[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
05 พฤษภาคม 2567 03:40:44 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
กระบวนการ NEW AGE


.:::

ความทรงจำนอกมิติ เพราะโลกกับจักรวาลเป็นสสารวัตถุจึงมีมนุษย์ที่มีจิตข้างใน (III)

:::.
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ เพราะโลกกับจักรวาลเป็นสสารวัตถุจึงมีมนุษย์ที่มีจิตข้างใน (III)  (อ่าน 1610 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5076


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 14 สิงหาคม 2554 05:44:04 »




  บทความวันนี้ตั้งใจว่าจะมีชื่อว่า “ใครอยากจะเขียนอะไรก็เชิญ ฉันไม่สนใจฉันไม่แคร์” ที่เป็นมุมมองของคนทั้งโลกส่วนใหญ่ที่มีต่องานเขียนของผู้เขียน โดยเฉพาะข้อเขียนในสัปดาห์ที่แล้ว การเขียนที่เขียนถึงความเป็นไปได้ของความจริงทางโลกที่อยู่เบื้องหลังความลึกลับของการรับรู้ (perception) ของเรา ทำให้ความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏในโลกนี้จักรวาลนี้เป็นความฝัน  เป็นสมมุติสัจจะมีรูปร่างทางกายภาพหลากหลาย มีรูปกับแข็งกระด้างทั้งๆ ที่วิทยาศาสตร์บอกเราอีกอย่างหนึ่งที่เป็นตรงกันข้าม ความรู้สึกหรือเวทนาที่เป็นเรื่องของกายกับจิต (ไร้สำนึก) คนละครึ่ง ที่การรับรู้ทั้งหมดเหมือนกับใช้  “มายากล” ที่ทำให้การรับรู้ - ผ่านอายตนะประสาทสัมผัส เช่น ตา หู จมูก ฯลฯ  รับรู้ผิดๆ การรับรู้ผิดๆ ที่ทำให้ผู้เขียนบอกว่าเป็นความจริงทางโลก หรือคิดว่าเป็นความฝันที่ต่อเนื่องยาวนานหรือว่าฝันไป ความฝันที่เหมือนกับว่าโลกนี้จักรวาลนี้ต่างตกอยู่ใต้อิทธิพลของ “มายา” ตามที่พุทธศาสนาสอนไว้ แต่เรายังคงสงสัยว่าเราเข้าใจถูกต้องหรือไม่?

 ความสงสัยที่ทำให้คนส่วนใหญ่ในสมัยนี้ “เชื่อยาก หรือไม่เชื่อเลย” เพราะว่าคุ้นกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่บอกอีกอย่างและเห็นเองรู้เองอีกอย่าง ซึ่งก็คือที่มาของประโยค “ใครอยากจะพูดจะเขียนอย่างไรก็เชิญ ฉันไม่สนใจฉันไม่แคร์” ความสงสัยที่ทำให้อาร์โนลด์ มินเดล เรียกสถานภาพของมนุษย์แบบนี้ว่า  “เวลาที่ฝัน” (dreamtime) อาร์โนลด์ มินเดล นั้นกำลังมีชื่อเสียงมากๆ ขนาดบางคนบอกว่าเป็นน้องๆ ของเค็น วิลเบอร์ เขาเป็นนักควอนตัมฟิสิกส์จากเอมไอทีที่มาจบปริญญาเอกทางจิตวิทยา และสอนทางฟิสิกส์แห่งยุคใหม่หลายๆ  มหาวิทยาลัย แต่มาสอนปริญญาเอกวิชาจิตวิยาที่แคลิฟอร์เนียและที่ซูริก  สวิตเซอร์แลนด์ อาร์โนลด์ มินเดล สนใจอย่างยิ่งในเซนพุทธศาสนา และเป็นเขาเองที่บอกว่า ฟิสิกส์ใหม่ ทั้งทฤษฎีสัมพัทธภาพและทั้งทฤษฎีควอนตัม โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ ศาสตร์แห่งพ่อมดวิทยา (shamanism) คือพื้นฐานของจิตวิทยาที่ผู้เขียนเองยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งนัก

 สมาชิกจิตวิวัฒน์บางคนและผู้เขียนโดยส่วนตัวเชื่อว่า ฝรั่งหรือชาวตะวันตกที่เป็นหัวหอก (core-group) ของการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง  (transformation) สู่การตรัสรู้ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับศาสนาที่อุบัติขึ้นที่จีนและอินเดีย โดยเฉพาะวัฒนธรรมเวดิก ซึ่งมีราว 10% ที่อเมริกา (ดู Paul  H. Ray : Creative Culture, New Age, 1996) จะเป็นผู้ที่จุดประกายการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กับชาวตะวันตกและชาวโลกบางส่วน ที่เจมส์ ลัฟล็อก นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเครือจักรภพของอังกฤษบอกว่า ชาวโลกจะเหลือเพียง  18% จากกว่า 7,000 ล้านคนในขณะนั้น (อ้างแล้ว)                                                 ที่ชาวโลกมากยิ่งกว่ามากพูดว่า “ใครอยากจะพูดอยากจะเขียนอะไรก็เชิญ  แต่ฉันไม่สนใจฉันไม่แคร์” นั้น ก็เพื่อแสดงว่า ฉัน-ที่ก่อนนี้มีฝรั่งแต่มีแต่ชาวตะวันตกที่เชื่อชาวกรีก โดยเฉพาะอริสโตเติล แต่ปัจจุบันนี้แม้คนไทยแทบจะทุกคนก็เชื่อเช่นนั้นไปด้วย โดยคิดว่ามันเป็นความจริงที่มีเพียงอย่างเดียว เพราะอะไรรู้ไหม? ก็เพราะว่าระบบการศึกษาของเรานั่นซี! ที่เอาแต่ปฏิรูป-ปฏิรูป จริงๆ แล้วบอกตรงๆ ว่าอะไรๆ ที่เราเรียนอยู่ทุกวันนี้ เป็นเรื่องที่ผิดทั้งนั้นเลย ยิ่งระบบเศรษฐกิจยิ่งผิดไปใหญ่ เพราะไม่เพียงแต่ผิดเฉยๆ ยังก่อกิเลสด้วย ระบบการศึกษานั้นถึงได้ผิดดั่งพระพุทธเจ้าสอนว่าความจริงทางโลกล้วนเป็นสมมุติสัจจะ  พระพุทธเจ้านั้นเป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นนักฟิสิกส์ และเป็นนักจิตวิทยา ทั้งยังเป็นนักนิยายโบร่ำโบราณวิทยา (mythology) คล้ายๆ ศาสตร์พ่อมดวิทยา  (shamanism) ที่ผู้เขียนยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งนักที่ว่า พระพุทธเจ้าจึงพูด-สอน  “ถูกต้องทั้งหมด เป็นความจริงที่แท้จริง หรือความจริงทางธรรมทั้งหมด” เช่น  ความเป็นหนึ่งของทั้งหมด มายา ความจริงทางโลกคือสมมุติสัจจะ ฯลฯ เป็นแต่เราเองที่ไม่แน่ใจต่างหาก แล้วความรู้ที่เราสอนเราเรียนกันในปัจจุบันล้วนแล้ว แต่เป็นความจริงทางโลกทั้งสิ้น พูดกันตรงๆ ระบบการศึกษา-ความรู้ของโลกควรจะเลิกได้แล้ว สอน-เรียนสิ่งที่พระพุทธเจ้าเห็นแล้วสอนดีกว่า อย่างน้อยก็เรียนควอนตัมฟิสิกส์ที่เหมือนและตามพิสูจน์สิ่งที่พระพุทธเจ้าเห็น ส่วนระบบเศรษฐกิจยังผิดไม่พอ แถมยังกลับก่อกรรมซ้ำสองด้วย ความล่มสลายหายนะของธรรมชาติสิ่งแวดล้อมคือกรรมร่วม (collective karma) นี้เอง ซึ่งเพราะกรรมอันนี้เองที่ทำให้ธรรมชาติมันหวนกลับมาทำร้ายเรา ทราบมาว่าทางชมรมจิตวิวัฒน์ ซึ่งผู้เขียนไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย - เพราะไปไม่ไหว - มีความเห็นร่วมว่า การภาวนาอาจจะสามารถ “กู้วิกฤติโลกครั้งนี้ได้” แต่ทว่าผู้เขียนโดยความเห็นส่วนตัวคิดว่ากรรมร่วมเป็นคนละประเด็นกับกรรมแห่งปัจเจกบุคคลและแน่นอนที่สุดกว่า

เพราะฉะนั้นความเห็นของสาธารณชนแทบจะทุกคนของชาวโลก  ยกเว้นหัวหอกของชาวตะวันตก (core-group) ที่กล่าวแล้ว และชาวไทยกับประโยคที่ว่า “ใครอยากจะพูดอยากจะเขียนอะไรก็เชิญ ฉันไม่สนใจ ฉันไมแคร์”  ที่กล่าวมาในช่วงต้นๆ ของบทความเพื่อแสดงว่าคนเราโดยทั่วไปอยู่กับนิสัยความเคยชิน อยู่กับอุปาทาน หรืออยู่กับ “อุปาทานขันธ์” ที่เป็นความยึดติด   เพราะว่าไปแล้วเป็นผลของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเก่าที่มีอายุ 500 ปี ที่เรียงรายรอบๆ นิวโตเนียนฟิสิกส์ ตอกย้ำซ้ำด้วยชีววิทยาของชาร์ลส์ ดาร์วิน  หรือดาร์วินิซึ่ม ซึ่งผิดธรรมชาติประมาณครึ่งหนึ่ง (chance and necessity -  naturally selected) ความบังเอิญหรือฟลุกคือสิ่งนั้น และความบังเอิญหรือเผอิญที่ไม่มีจริง คือเป็นเรื่องของจิตจักรวาลที่ประสงค์ให้มีความเท่าเทียมกันในโอกาส   หากไม่เชื่อลองเลือกหัว-ก้อยแล้วโยนเหรียญให้ครบล้านครั้งดูซิ! นั่นคือความจริงทางธรรมของการพึ่งพาอาศัยกันเป็นเหตุปัจจัยที่แท้จริง (อิธิปจจยตา) ในขณะที่ความบังเอิญหรือเผอิญเป็นความจริงทางโลก เช่นเดียวกับฟลุกแอคซิเดนต์ หรือการโยนเหรียญทายหัว-ก้อยด้วยการนับต่ำๆ เช่น 100 หรือ 200-300 ครั้ง อย่างที่บอก ความรู้ที่การเรียนการสอนกันในปัจจุบันควรเลิกได้แล้ว  แล้วหันกลับมาใช้ความจริงที่แท้จริง หรือความจริงทางธรรมที่เป็นอกาลิโกแทน  ทั้งนี้ รวมทั้งการย้ำแล้วย้ำอีกซ้ำๆๆ ในความจริงที่แท้จริงหรือความจริงทางธรรมแก่พระสงฆ์ที่มีพรรษาน้อยๆ ปฏิบัติน้อยๆ เช่น 10 พรรษาลงมา ซึ่งสึกไปหา “ความจริงทางโลก” ง่ายๆ ยึดติดหรืออุปาทานได้ง่าย ความจริงทางโลก “ที่ไม่จริงเลย” จึงเป็นความรู้ที่แท้จริงเพียงอย่างเดียวที่คนทั้งโลกต้องการในปัจจุบันที่เรายังคงเรียนเช่นนี้อยู่ เพราะเราเห็นว่าโลกนี้จักรวาลนี้เป็นสสารวัตถุ  (matter) นั่นเอง

แต่ว่าแม้ว่าความจริงทางโลกที่ในตอนแรกจะมีชาวตะวันตกเท่านั้นที่คิดว่าจริงแท้และมีอยู่ความจริงเดียวด้วย แต่ตอนนี้ชาวโลกทุกๆ คน รวมทั้งคนไทยด้วย ต่างก็คิดว่ามีความจริงแค่อันเดียวคือความจริงทางโลกอันนั้น และเป็นระบบการศึกษาระบบเดียวที่ชาวโลกใช้ในขณะนี้ และแทบว่าเป็นอย่างที่พูดมานั้น“ ใครอยากจะพูดอยากจะเขียนอะไรก็ได้ ฉันไม่สนใจ ฉันไม่แคร์” และอาจตอบให้สะใจยิ่งกว่านี้ว่า “ฉันก็เชื่อของฉันอย่างนี้ ใครจะทำไม? สำหรับคนไทยส่วนใหญ่ที่เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าชนิดที่ไม่ต้องถามก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่สำหรับฝรั่งหรือชาวตะวันตกที่นับถือคนละศาสนากับคนไทยส่วนใหญ่ที่ว่านั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฝรั่งอาจถามว่าเราก็เห็นอยู่ทนโท่แล้วว่าโลกนี้ จักรวาลนี้ประกอบด้วยสสารวัตถุ (matter) ความจริงจึงควรจะเท่าที่ตาเห็น หูได้ยิน ฯลฯ  เท่านั้น แล้วความจริงทางโลกกับความจริงทางธรรมจะมาจากไหน? พุทธศาสนาจะตอบว่า นั่นเป็นความรู้สึกเวทนาของพวกคุณ แต่ความจริงที่แท้จริงมันไม่ใช่อย่างนั้น แต่เป็นจิต หรือจิตไร้สำนึก (ของคาร์ล จุง) ที่มีมาตั้งแต่ต้น มีมาก่อนจักรวาลเสียอีก และจักรวาลนั้นก็ไม่ใช่มีหนึ่งเดียวตามที่พวกท่านคิด แต่มีอย่างไม่รู้จบสิ้น ตอนนี้ทั้งจักรวาลวิทยาใหม่ที่เพิ่งจะเกิดไม่ถึง 10 ปี และควอนตัมเม็คคานิกส์กับทฤษฎีซูเปอร์สตริงก็พิสูจน์แล้วพิสูจน์อีกว่าเป็นเช่นนั้น พวกคุณไปอยู่ที่ไหน? ถึงจะไม่รู้เรื่องนี้? และพุทธศาสนายังบอกด้วยว่าจิต (ไร้สำนึก)   ปฐมภูมินั้นแยกออกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้ (primordial consciousness and  energy) เพราะฉะนั้น ความจริงทางโลก (ที่รู้สึกเอาเองหรือที่รับรู้) กับความจริงทางธรรม (ที่เห็นจริงๆ ในสมาธิ) ที่ต้องทำกันเป็นเวลายาวนานขนาดที่นักศาสนาปรัชญาที่ทีแรกจบปริญญาตรีในทางฟิสิกส์วิทยาศาสตร์ที่ติดตามองค์ทะไล ลามะ มาหลายสิบปี บี.อแลน วอลเลซ บอกว่า การทำสมาธิจะต้องทำนานร่วม 10,000-15,000 ชั่วโมง หรือปฏิบัติสมาธิวันละ 2 ชั่วโมงทุกวันติดต่อกันเป็นเวลา 20 ปี (อ้างแล้ว) มันจึงขึ้นอยู่กับระบบความเชื่อของผู้นั้นๆ แต่อย่าลืมว่าคนที่ทำสมาธิเป็นประจำ ที่รวมทั้งชาวตะวันตกเองในทุกวันนี้ - รวมๆ กันแล้ว อาจจะมีนับร้อยๆ ล้านคน จงอย่าลืมคำว่า ปัจัตตังเว วิญญูหิติ หรือคนที่ปฏิบัติสมาธิอยู่ “จะเป็นผู้รู้นั้นด้วยตัวของตัวเอง” แถมมีนักฟิสิกส์ใหม่ยังพิสูจน์ความจริงที่มีสอง (dualism) ได้ด้วยควอนตัมฟิสิกส์ (Heisenberg duplex world) อีกต่างหาก

และผู้ปฏิบัติสมาธิ หรือผู้รู้ด้วยตัวเองส่วนมากก็จะไม่พูดเสียด้วย  หรือมีนักวิทยาศาสตร์-นักฟิสิกส์ทั่วทั้งโลกไม่กี่หมื่นคนที่เป็นนักควอนตัมเม็คคานิกส์จริงๆ และคนไทยหรือแม้คนเอเชียไม่ว่านักวิทยาศาสตร์ในประเทศที่พัฒนาใหม่แล้ว - ซึ่งอาจจะเกี่ยวกันก็ได้หรืออาจจะไม่เกี่ยวกันก็ได้ - ก็เถอะ ก็ไม่เคยได้ - ได้ฟังว่ามีความรู้อย่างเชี่ยวชาญในเรื่องควอนตัมฟิสิกส์ “จริงๆ”   เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงขึ้นอยู่กับระบบความเชื่อ หรือไม่เชื่อ ทั้งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ฝรั่งชาวตะวันตกนั้นทุกวันนี้ ยากนักที่จะหานักวิทยาศาสตร์ผู้ที่ไม่เชื่อในฟิสิกส์ใหม่เลย - เราจะใช้คำฟิสิกส์ใหม่เสมอที่ระบุว่าเมื่อไหร่ที่เรารวมทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์กับทฤษฎีควอนตัมไว้ด้วยกัน - แต่ทว่าสำหรับชาวโลกที่เป็นคนทั่วไปอีกกว่าหกพันล้านคนนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งต้องใช้เวลาสำหรับสาธารณชนคนไทยทั่วไปนั้น เราที่เห่อและชอบตามไปดูแห่ ปากพูดว่าเราเป็นพุทธแท้ๆ แต่ได้โยนทิ้งความจริงที่แท้จริงหรือความจริงทางธรรมมานานนมแล้วตั้งแต่ปีมะโว้ เมื่อเรารับวิทยาศาสตร์เก๋ากึ้กที่ห้อมล้อมนิวโตเนียนฟิสิกส์และเทคโนโลยีมาบูชา.  

http://thaipost.net/sunday/140811/43328

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2002 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2055 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวจริงๆ
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1472 กระทู้ล่าสุด 13 มิถุนายน 2553 14:31:09
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : จักรวาลแห่งแสงเสียงและดนตรี
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 7522 กระทู้ล่าสุด 13 มิถุนายน 2553 15:37:13
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มันอาจจะมาตรงเวลาก็ได้
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1462 กระทู้ล่าสุด 13 มิถุนายน 2553 15:39:49
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 2.36 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 30 เมษายน 2567 14:58:57