[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
18 พฤษภาคม 2567 20:20:10 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : มันอาจจะมาตรงเวลาก็ได้  (อ่าน 1469 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553 15:39:49 »


 
 
ความแน่นอนกับความไม่แน่นอนนั้น  หากมันยังไม่ได้เคลื่อนไปสู่จุดที่สุดของมันจริง  มันก็มีความหมายไม่แตกต่างกัน  เพราะฉะนั้น  เรื่องของบทความวันนี้จึงตีกันเผื่อเหนียว  ที่พูดว่ามันอาจจะมาตรงเวลาก็ได้นั้น  หมายถึง  ค.ศ.2012  ที่ผู้เขียนได้ย้ำถึงความเป็นไปได้ของสภาพการณ์สองอย่างสองประการ  อันสำคัญยิ่งซึ่งจะเกิดขึ้นกับโลกและกับสังคมของมนุษย์ทั่วทั้งโลกเลย  โดยจะไม่มีประชาชนคนใดหรือชุมชนสถานที่ไหนได้รับการยกเว้น  แต่ไม่ใช่โลกแตกอย่างแน่นอน  อาจจะพังไปบางส่วนโดยเฉพาะไบโอสเฟียร์  (biosphere)  จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สุดจะยิ่งใหญ่ที่ดาวเคราะห์โลก   อย่าว่าแต่ไม่เคยเห็น  แต่ทว่าแม้แต่ฝันถึงก็ไม่เคยฝันมาก่อน  อย่างที่เนชันแนลจีโอกราฟิกแมกกาซีน  ฉบับเดือนธันวาคม  2009  นำโฆษณาของไอบีเอ็มมาลง  "สนทนากับดาวเคราะห์โลกผู้ทรงปัญญา"  ว่าต่อไปนี้  "คือบัญชาที่สั่งให้  (ใครสั่ง?  สวรรค์รึ?)  ดาวเคราะห์โลกจะต้องเปลี่ยนแปลง  ซึ่งก็คือบัญชาที่สั่งให้ดาวเคราะห์โลกจะต้องมีปัญญา"  นั่นคือ  บัญชาที่ทำให้ดาวเคราะห์โลกหรือมนุษยชาติ  จำต้องเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนทั้งสองด้าน  คือโลกกายกับจิตมนุษย์  อย่างหนึ่งไม่ดีกับอย่างหนึ่งดี  กายอาจไม่ดี  แต่จิตอาจจะเรียกว่าดีก็ได้  นั่นคือสภาวะล่มสลายทางโลกแห่งรูปกายภาพ  กับการวิวัฒนาการของจิตมนุษย์สู่จิตวิญญาณ  (หรือ  noosphere)  แต่มันก็เป็นเรื่องของดุลยภาพที่เป็นธรรมชาติอย่างปกติ  ซึ่งจะเกิดขึ้น-ในมาตรของโลก-อาจเรียกว่าทันทีทันใดก็ได้  ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าสภาพการณ์ทั้งสองอาจจะเกิดขึ้นจริงๆ  ก็ได้  นั่น-เพราะว่ามีเหตุผลพร้อมมูลทั้งศาสนาและวิทยาศาสตร์  อย่าลืมว่าในทางปฐพีวิทยานั้น  มนุษยชาติมีความสุขกายสบายใจมานานนักหนา  เพราะว่าเราอยู่ในยุคแห่งอินเตอร์เกลเชียลพีเรียด  เรามีความสนุกสบายกับกายวัตถุนิยมกับความรู้ผิดๆ  ที่คิดว่าถูกคิดว่าจริง  อยู่กับระบบทุกๆ  ระบบที่ได้มาจากความรู้ผิดๆ  นั้น  ไม่ว่าระบบนั้นจะเป็นระบบของสังคม  ระบบการเมือง  ระบบเศรษฐกิจ  ระบบการศึกษา  กระทั่งระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน  ที่มีเงินและบริษัทยาเป็นนายและประชาชนทั้งโลกเป็นทาส

     ผู้เขียนได้พูดได้เขียนเรื่องของปี  2012  มานานร่วม  10  ปีแล้ว  และที่เขียนเพราะมีเหตุผลที่เป็นความรู้ทั้งทางวิทยาศาสตร์  ทั้งทางศาสนา  ทั้งหมดไม่ใช่ว่ามีเจตนามองโลกในแง่ร้าย  เพราะว่าจริงๆ  แล้วการที่มองโลกด้านหนึ่งด้านใดโดดๆ  เพียงด้านเดียวนั้นไม่มี  มันจะมีสองด้านเสมอ  เป็นดีกับชั่ว  เป็นซ้ายหรือเป็นขวา  เป็นข้างบนหรือล่าง  เป็นหน้าหรือหลัง  สองขั้วสุดโต่งเสมอไป  ดุลยภาพหรือมัชฌิมาปฏิปทาคือชีวิต  ฉะนั้นเอง  ความทุกข์ทรมานไม่ชอบใจกับความสุขความพอใจ-ในความเห็นส่วนตัว-เป็นเรื่องที่มีผ้าคลุมบางๆ  กั้นขวางไว้เท่านั้นเอง  ทำไมชีวิตถึงจะต้องสนุกอย่างเดียว?  ประเด็นคือ  มันมีเหตุผลที่เป็นภาพรวมของชีวิตและมนุษยชาติจริงๆ  คิดดูให้ดีๆ  ที่ผู้เขียนจำเรื่อง  2012  ได้แม่น  ส่วนหนึ่งเพราะเป็นผู้เขียนเองที่แปลวิทยานิพนธ์ของซูซาน  แคนนอน  ตอนที่เธอทำปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย  และหนังสือพิมพ์  ครับ-อนาคตที่เป็นบวก  (Yes! The  Positive  Future,  2000)  เอาธีสิสของเธอ  (ที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม)  มาลง  วิทยานิพนธ์ของเธอได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมและอารยธรรมโลก  "สมัยใหม่"  ที่จะเกิดขึ้นและจำต้องเกิดขึ้นในศตวรรษที่  21  นี้  ในรูปแบบหนึ่งรูปแบบใดในสี่รูปแบบ  ซึ่งเธอได้เสนอไว้ในวิทยานิพนธ์ของเธอนั้น  ซึ่งสังคมอารยธรรมที่เรามีเราใช้กันอยู่มาช้านาน  จนถึงในขณะนี้นั้นมันจะจบสิ้นลง-ขึ้นกับสถานภาพของชุมชน  สังคมของประเทศที่จะลุกลามไปทั่วทั้งโลก  กับสภาพการณ์ของระบบยุติธรรมและจิตสำนึกโดยรวมของประชาชน  (law  and  level  of  mind)  ในขณะนั้นๆ  ซึ่งในทั้งสี่รูปแบของสังคมหรือประเทศต่างๆ  ที่จะค่อยๆ  ลุกลามไปทั่วโลก  ถ้าว่ากันจริงๆ  แล้วซูซาน  แคนนอน  ดูจะเขียนไปในทำนองว่า  น่าจะเป็นรูปแบบของสังคม  อนารยธรรมและความป่าเถื่อน  (anarchy)  มากกว่ารูปแบบใด  ทั้งนี้ก็เพราะว่าซูซาน  แคนนอน  คงจะเอาจิตใจของคนในสังคมขณะนี้  กับสภาพของระบบเศรษฐกิจของรัฐบาลและของประชาชนในเมือง-นครใหญ่ๆ  ของประเทศตะวันตก  เช่น  อเมริกา  หรือยุโรปเป็นบันทัดฐาน  (รัฐบาลก็ไม่มีคนอยากเป็น  เพราะไม่มีเกียรติและต้องรับผิดชอบสูง  แถมไม่มีเงินเพราะเอาเงินไปช่วยประชาชนที่เดือดร้อนจากภัยธรรมชาติหมด)  ในธีสิสของซูซาน  แคนนอน  นั่นเองที่ผู้เขียนได้ความคิดเรื่องปี  2012  ของพวกนิวเอจ  ที่ประชากรจำนวนไม่น้อยกวาหนึ่งในสามของโลกเชื่อ  (the crash  of  2012!)

     นั่น-เสริมเติมคำทำนายของศาสนาทุกศาสนา  กับความคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ว่าโลกจะร้อน  "ดุจนรก"  หรือน้ำท่วมโลก  หรือยุคน้ำแข็งใหม่  หรือการย้ายขั้วโลก  อุกกาบาตและอื่นๆ  ที่ผู้เขียนค้นหามาเขียนเล่าว่า  ทั้งหมดอาจจะเกิดขึ้นได้ในเร็วๆ  วันนี้  หรือวันที่  21  December  2012  เมื่อดวงอาทิตย์โคจรมาตรงกับจุดศูน์กลางของกาแล็กซี  (Jose  Arguelles:  Galactic  Research  Institute,  www.lawoftime.org;  and  Major  Jenkins:  Galactic  Alignment,  According  to  Mayans,  Egyptians,  Vedas  Tradition,  2006)  โดย  ดร.โฮเซ  อาร์กีเลส  กล่าวว่า  "วันที่   21  เดือนธันวาคม  ค.ศ.2012  คือวันที่ดวงอาทิตย์ของเราจะเคลื่อนมาทับกับจุดศูนย์กลางของกาแล็กซีของเราพอดี  (ระบบสุริยะจะโคจรไปรอบๆ  จุดศูนย์กลางของกาแล็กซีทางช้างเผือกได้ครบหนึ่งรอบ  โดยใช้เวลา  250  ล้านปี)  ซึ่งวันนั้นคือวันสำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการของจักรวาลจากกายมาสู่จิต  (โลกได้ผ่านวิวัฒนาการของ  physicoshere-biosphere  มาแล้ว  ต่อไปนี้จะเป็นเวลาของ  biosphere-nosphere  transition-ตามที่  เตยา เดอ  ชาดัง  ศรีอรพินโธ  และวลาดิเมีย  เวอนาดสกี  มองเห็นในสมาธิ  ต่างกรรมต่างวาระกัน)-สำหรับประชาชนส่วนที่รอดพ้นธรณีประตู  (ของความตายและความล่มสลายระดับโลกมาได้)"  นัน-โฮเซ  อะกีเลส  บอกว่าโลกไม่ได้แตก  แต่หากเป็นการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการของโลกของจักรวาล  จากสิ่งไม่มีชีวิต  (physicosphere)  มาเป็นวิวัฒนาการของชีววิทยา  หรือสิ่งมีชีวิตในอดีต  (biosphere)  ซึ่งโฮเซ  อะกีเลส  ได้บอกว่าวิวัฒนาการทางชีววิทยาได้ก้าวมาถึงจุดจบแล้ว-และโฮเซ  อะกีเลส  ก็กล่าวว่า  "ความสำเร็จของเทคโนโลยี  (ที่โฮเซ  อะกีเลส  เรียกว่า  technosphere  อันเป็นส่วนของ  biosphere-ที่ข้อมูล  (information)  ซึ่งข้อมูลนั้นก็คือความหมาย  (meaning)  ที่จะต้องแปลด้วยจิตรู้หรือจิตสำนึกซึ่งได้เปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการสู่จิตวิญญาณ  (spirituality)  ตามเสปกตรัมของจิตไปเรียบร้อยแล้ว  (spectrum  of  consciousness)  ถึงจะแปลความหมายได้ถูกต้องตามเจตนาของจักรวาล  เพราะฉะนั้นปี  2013  เป็นต้นไป  จะเป็นปีที่จะมีวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณหรือธรรมจิต  (spirituality  คือการเริ่มต้นของ  noosphere) ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของวิวัฒนาการของโลกแห่งชีวิต  ซึ่งมีจิตของมนุษยชาติเป็นจุดหมายปลายทางนั่นเอง  (physicosphere-biosphere-noosphere)  ถามว่ารู้ได้อย่างว่าจิตมนุษย์คือจุดหมายปลายทางของวิวัฒนาการของจักรวาล   หรือถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าวิวัฒนาการมีแค่สาม  spheres  เท่านั้นเองหรือ?  แล้วโลกพัง  และประชาชนจำนวนมากยิ่งกว่ามากที่ตายด้วยภัยธรรมชาติหลากหลายที่ว่านั่น  มันเกี่ยวข้องกับจักรวาลอย่างไร?  คำตอบที่ถามทั้งหมดนั้นได้อธิบายไว้แล้วในพารากราฟนี้  กรุณาอ่านซ้ำๆ  หลายๆ  หน  เพราะว่าอาจจะเป็นที่ผู้เขียนเองเขียนไม่กระจ่างพอก็ได้ 

     ไล่มาตั้งแต่โลกได้มีชีวิตเกิดขึ้นมา  จนกระทั่งมีมนุษยชาติเมื่อประมาณสองแสนปีที่แล้ว  มนุษยชาติในภาพรวมเพิ่งจะย่างเท้าเข้าสูวัยรุ่น  ไม่เคยทำอะไรถูกต้องธรรมชาติเลย  หากว่าสิ่งที่ผู้เขียนคิด  วิเคราะห์  เชื่อมั่น  ตามที่ได้เขียนเล่ามาในบทความต่างๆ  ซึ่งผู้เขียนได้มาจาก-น้อยหรือมาก-ศาสดา  ปราชญ์  นักวิทยาศาสตร์ที่อ้างอิงมาทั้งหมด  ล้วนแสดงภาพใหญ่และภาพรวมของวิวัฒนาการ  (ของจักรวาล  ของโลกมนุษยชาติกับสังคม)  อย่างน่าสนใจยิ่ง  คือแสดงภาพลักษณ์ที่สอดคล้องต้องกันกับการวิวัฒนาการ  และการเจริญเติบโตของเด็กหรือมนุษย์แต่ละคนเป็นปัจเจกอย่างใดก็อย่างนั้น  (ดูญอง  เปียเจต์  และโจเซฟ  ซี. เพียร์ซ  ด้วย)  ในความเห็นของผู้เขียน  มนุษยชาติยังเป็นเด็กที่เพิ่งย่างก้าวเข้าสู่วัยรุ่น  ความรู้เรื่องของโลกรอบๆ  ตัวและตัวตนของตัวเอง  ส่วนใหญ่ที่ได้มาจากประสบการณ์ตรงตั้งแต่ครบ  3  ขวบบริบูรณ์มาในช่วงการเจริญเติบโตระหว่างนั้น  ทำให้ตัวเองมั่นใจว่า  ตนเองได้เรียนรู้โลกรอบๆ  ตัวที่สำคัญต่อ  "การอยู่รอด"  กับเรียนรู้ตัวตนของตัวเองได้ทั้งหมดแลัว  เพราะไม่รู้ว่าที่ตัวเองคิดอย่างมั่นใจว่า  ที่คิดนั้นเป็นแต่เพียงได้เรียนรู้เฉพาะที่สำคัญๆ  ของหนึ่งการเรียนรู้  ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดถึงสามการเรียนรู้-รู้รอด  รู้เพื่อรู้  (intellectual  การเข้าโรงเรียน)  และรู้แจ้ง-ดังนั้นเด็กวัยรุ่น  (ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้วยฮอร์โมนเพศ)  จึงทะนงตน  "ข้าใหญ่"  ไปตามเพศนั้นๆ  นั่นคือธรรมชาติของวิวัฒนาการ  ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลจะต้องเป็นไปตามนั้น

     ฉันใดฉันนั้น  มนุษยชาติโดยเผ่าพันธุ์ก็ต้องเป็นเช่นนั้น  ตามที่  ปิแอร์  เดอ  ชาดัง  ศรีอรพินโธ  วลาดิเมีย  เวอนาดสกี  และนักจิตวิทยาแทบจะทุกคนรวมทั้ง  เคน  วิลเบอร์  (spectrum  of  consciousness)  จะมองเรื่องของวิวัฒนาการไม่ว่าของสิ่งใด  มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต  รวมทั้งจักรวาลกับโลก  หรือมนุษยชาติกับสังคมของมนุษย์ล้วนคิดไปทำนองนั้น  นั่นคือ  physicosphere-biosphere-noosphere  ที่กล่าวมาข้างต้น  ซึ่งก็คือหัวใจของอิทัปปัจจยตา  การคลี่ขยายเป็นวัฏจักรอันไม่มีที่สิ้นสุดที่วิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบ  (non-linear  dynamicity)

     เพราะฉะนั้น  ผู้เขียนจึงคิดว่าครั้งนี้  "มันอาจจะมาตรงเวลาก็ได้"  มัน-ในที่นี้คือสองอย่างสองประการที่ได้อ้างถึง-ความล่มสลายบางส่วนที่อาจเป็นส่วนใหญ่ของโลกแห่งรูปกาย  กับการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ  (biosphere  to  noosphere)-ซึ่งหมายความว่าต่อไปนี้มนุษยชาติและสังคมของมนุษย์  โดยรวมจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสุดใหญ่หลวง  จนเราไม่อาจมองเห็นหรือคาดเดาอย่างไรได้แม้แต่น้อย  เพราะว่ามันไม่เคยมีมาก่อน  ประเทศไทยจะไม่มีหรือมีน้อยในปัญหาและวิกฤติต่างๆ  การขัดแย้งแตกแยก  ปัญหาแยกดินแดน  ปัญหาข้าราชการกับนักการเมืองคอรัปชั่น  กระทั่งปัญหาเศรษฐกิจ  การศึกษา  ยาเสพติด  ฯลฯ  จะน้อยลงๆ   ครั้งแรกที่  physicosphere  เปลี่ยนเป็น  biosphere  หรือวงจรแห่งชีวิตนั้นเกิดขึ้นเมื่อร่วม  3,500-4,000  ล้านปีมาแล้ว  และโลกก็ไม่แตกด้วย  ในทางวิทยาศาสตร์คาดกันว่า  มีการเคลื่อนย้ายของแผ่นเปลือกโลกขนานใหญ่   มีดาวหางอุกกาบาตวิ่งมาชนโลก  มีการย้ายขั้วโลกหรือบางส่วนมาแล้ว-เฉกเช่นครั้งนี้-ทั้งนั้น

     ทั้งหมดจึงมากกว่าเป็นไปได้  อย่าลืมว่าการอธิบายปฏิทินของชาวมายา  โฮปี  อียิปต์และฮินดูโบราณนั้น  ล้วนเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญยิ่งกว่าประวัติศาสตร์ที่บุคคลเขียนขึ้นมากนัก  ความล่มสลายโลกในครั้งนี้  หากจริงคงจะได้พิสูจน์เสียทีว่า  ระหว่างบังเอิญและกายวัตถุนิยม  กับจิตและจิตวิญญาณนั้น  อันไหนคือความจริงแท้กว่ากัน.
 
 
http://www.thaipost.net/sunday/271209/15580

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : เลิกมองโลกด้วยแว่นตาสีเสียที
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1940 กระทู้ล่าสุด 29 มิถุนายน 2553 08:09:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : การแพทย์องค์รวมที่บูรณาการจริง ๆ
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 1 2241 กระทู้ล่าสุด 17 มกราคม 2554 00:15:27
โดย หมีงงในพงหญ้า
ความทรงจำนอกมิติ : จิตปฐมภูมิในพุทธศาสนา กับ สนามแห่งรูป
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2938 กระทู้ล่าสุด 16 มกราคม 2554 10:07:06
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : แสงกับความว่างเปล่าหรือสุญตา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1937 กระทู้ล่าสุด 23 มกราคม 2554 08:21:18
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : จิต-สมองจักรวาลคือจักรวาลวิทยาใหม่ที่สุด
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2092 กระทู้ล่าสุด 30 มกราคม 2554 05:46:17
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.468 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 06 พฤศจิกายน 2566 12:30:14