หัวข้อ: “สลักดุน” ภูมิปัญญาเชิงช่าง จากอดีต สู่ปัจจุบัน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 08 กันยายน 2559 17:11:47 (http://www.sookjaipic.com/images_upload/59749708904160_IMG_1440.JPG) ชมนิทรรศการ “สลักดุน” ภูมิปัญญาเชิงช่าง จากอดีต สู่ปัจจุบัน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า กรุงเทพฯ ๒๖ กรกฎาคม - ๔ กันยายน ๒๕๕๙ เงิน เป็นโลหะธาตุชนิดหนึ่ง เนื้อสีขาวทึบ เงินบริสุทธิ์เนื้อค่อนข้างอ่อน มีความแข็งมากกว่าทองคำเล็กน้อย ถ้านําเงินไปขัดเงาจะมีประกายเป็นเงาวับ เงินจัดเป็นธาตุลำดับที่ ๔๗ มีชื่อเป็นภาษาลาตินว่า อาเยนตูม (Argentum) สัญลักษณ์หรือเขียนเป็นตัวย่อในสูตรทางเคมี คือ Ag คำสามัญเรียกว่า ซิลเวอร์ (Silver) มีคุณสมบัติเป็นตัวนำความร้อนและไฟฟ้าได้ดีมาก ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (หมายถึง ระยะเวลาในอดีตที่มนุษย์ยังไม่รู้จักการบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร) “เงิน” จัดว่าเป็นโลหะธาตุที่มีค่าเป็นอันดับสองรองจากทองคํา มนุษย์รู้จักนำเงินมาทำเป็นเครื่องใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา เครื่องประดับ และภาชนะเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ในยุคปัจจุบันยังใช้แร่เงินทำเหรียญตรา เสื้อผ้า เครื่องดนตรี ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ งานอุตสาหกรรม การแพทย์ ฯลฯ ในสมัยก่อนใช้โลหะเงินเป็นยาอีกด้วย ฮิปโปเครติสเขียนไว้ว่าโลหะเงินสามารถป้องกันและรักษาโรคภัยได้หลายอย่าง ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อของคนสมัยนี้ที่สวมใส่แหวนเงิน-แหวนทอง เพื่อเป็น “โลหะบำบัด” ไว้ที่นิ้วต่างๆ ว่าจะสามารถรักษาความผิดปกติหรือความเจ็บป่วยของร่างกายได้ เช่น ใส่แหวนเงินที่นิ้วโป้ง ช่วยดูดสารพิษที่อยู่ในปอด เป็นการบำรุงปอดให้แข็งแรง ใส่แหวนเงินที่นิ้วชี้ ช่วยขจัดสารพิษบริเวณม้าม แก้โรคเกาต์ เบาหวาน น้ำเหลืองเสีย และช่วยลดความอ้วน เป็นต้น นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า “เงิน” เป็นวัตถุอาถรรพ์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัว ในยุโรปตะวันออกมีความเชื่อลึกลับเกี่ยวแร่เงิน ว่ามีอํานาจป้องกันภูตผีปีศาจ โดยเฉพาะผีดูดเลือดและมนุษย์หมาป่า โดยการใช้เงินทําเป็นกระจกเงาเพื่อพิสูจน์ว่าใครเป็นผีดูดเลือดหรือมนุษย์หมาป่า หรือใช้เงินมาทําเป็นอาวุธ เช่น กระสุนเงินฆ่าพวกมนุษย์หมาป่าซึ่งเป็นที่มาของคําว่า Silver bullet ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะว่า เงินมีสีขาว เงางาม ซึ่งในวัฒนธรรมอินเดียถือว่าเป็นสีของความบริสุทธิ์ สงบ และศักดิ์สิทธิ์ เมื่อวัฒนธรรมอินเดียแพร่เข้ามาในดินแดนคาบสมุทรอินโดจีน ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นอาณาจักรทวารวดี และแว่นแคว้นต่างๆ ก่อนสมัยสุโขทัย เริ่มมีการผลิตเงินเหรียญเป็นสื่อกลางค้าขายและชำระหนี้เรื่อยมาจนถึงสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ทั้งนี้ สังเกตได้จากอัตราเงินตราสมัยก่อน ว่า เบี้ย* ๘,๐๐๐ เบี้ย เท่ากับเงิน ๑ เฟื้อง เบี้ย ๖,๔๐๐ เบี้ย เท่ากับ ๑ บาท (หรือ ๘ เฟื้อง) จะพึงเห็นได้ว่า เงิน ๑ บาท ตีค่าเป็นเบี้ยถึง ๖,๔๐๐ เบี้ย จึงเป็นราคาสูงสำหรับค่าในสมัยโบราณและเป็นทรัพย์ที่มีความสำคัญอยู่แล้วตั้งแต่สมัยนั้น (*“เบี้ย" เป็นเปลือกหอยน้ำเค็มชนิดหนึ่ง ที่ชาวต่างชาตินำเข้ามาจากหมู่เกาะมัลดีฟ และได้ใช้เป็นเงินตราในสมัยโบราณ) นอกจากนี้ยังพบเครื่องประดับ เช่น ต่างหู และกำไล ทำด้วยเงิน ซึ่งทำขึ้นในสมัยทวารวดีอีกจำนวนมาก จึงแสดงอย่างชัดเจนว่าการผลิตเครื่องเงินของไทยมีมาแล้วตั้งแต่สมัยทวารวดี สมัยกรุงสุโขทัย อาศัยหลักฐานจากศิลาจารึกวัดบางสนุก ว่า “พระงาสอง ทั้งขันหมากเงิน ขันหมากทอง จ้อง ธง” ทำให้ทราบได้ว่า นอกจาก เงิน เป็นสื่อกลางการใช้จ่ายหรือซื้อขายแล้ว ยังใช้เงินทำสิ่งของใช้สอยอีกด้วย สมัยอยุธยาตอนต้น เครื่องเงินคงเป็นสิ่งที่ใช้กันอยู่เฉพาะในหมู่เจ้านายหรือขุนนาง มีการนำ “เงิน” มาทำเครื่องยศ สำหรับพระราชทานแก่ข้าราชสำนัก ที่ถือศักดินา ๑๐,๐๐๐ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของไทย มีปรากฏค่อนข้างชัดเจนในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งทรงครองราชย์ที่กรุงศรีอยุธยาระหว่าง พ.ศ.๑๙๙๑-๒๐๓๑ โดยในรัชกาลของพระองค์ได้ตรากฎหมายทำเนียบศักดินาข้าราชการ จัดเป็นลำดับชั้นกันเป็น เจ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน หมื่น พัน ทนาย และมีข้อความในกฎหมายตอนหนึ่งว่า “ขุนนางศักดินา นา ๑๐,๐๐๐ กินเมือง กินเจียดเงินถมยาดำรองตะลุ่ม” คำว่า เจียด นั้น ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ อธิบายว่า “เป็นภาชนะชนิดหนึ่งลักษณะคล้ายตะลุ่ม มีฝาคล้ายรูปฝาชี เป็นเครื่องยศขุนนางโบราณ สำหรับใส่ของ เช่น ผ้า มักทำด้วยเงิน” เมื่อถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย สภาพการณ์เปลี่ยนแปลงไป บ้านเมืองเริ่มมีความเจริญในด้านเศรษฐกิจมากขึ้น ประชาชนพลเมืองมีฐานะมั่งคั่ง สามารถจะซื้อหาหรือจ้างช่างที่มีฝีมือทำเครื่องเงิน หรือสิ่งของต่างๆ ไว้ใช้สอยขยายเป็นวงกว้างออกไป ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะในราชสำนัก วังเจ้านายหรือขุนนาง พึงทราบได้จากเอกสารจากหอหลวง เรื่อง คำให้การขุนหลวงหาวัดประดู่ทรงธรรม ตอนที่ว่าด้วยตลาดในพระนครศรีอยุธยา ดังต่อไปนี้ “ถนนย่านป่าขันเงิน มีร้านขายขัน ขายผอบ ตลับ ซองเครื่องเงินแลถมยาดำ กำไลมือแลท้าว ปิ่นซ่นปิ่นเข็ม กระจับปิง พริกเทศ ขุนเพ็ด สายสอิ้ง สังวาลทองคำขี้รักแล สายลวด ชื่อตลาดขันเงิน” ต่อมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ช่างเครื่องเงินยังคงไว้ซึ่งฝีมือประณีตวิจิตร ได้มีการพัฒนารูปแบบเครื่องเงิน ได้แก่ ขันเงิน พาน กระเป๋าถือ และเครื่องประดับอื่นๆ เช่น แหวน กำไล ปิ่นปักผม สร้อยคอ สร้อยข้อมือ ตุ้มหู เข็มขัด โดยการนำเอาศิลปะของไทยมาประดิษฐ์ตกแต่งลวดลายให้ดูสวยงาม มีความหลากหลายและมีคุณภาพดีขึ้น เนื่องจาก ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องเงินยังไม่เสื่อมความนิยมในคนหมู่ใหญ่ และมีผู้ประสงค์จะใช้เครื่องใช้ดังกล่าวเพิ่มจำนวนขึ้นแม้จะมีราคาค่อนข้างสูง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/57477812924318_SAM_5345.JPG) กำไลเงินประดับเทอร์คอยส์ ฝีมือช่างชาวบ้านเชียงใหม่ ของใช้ส่วนตัว ประวัติเครื่องเงินในภาคเหนือ เมื่อพระยามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ.๑๘๓๙ พระองค์ได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองในด้านศิลปกรรม เกษตรกรรม และพาณิชยกรรมมาสู่แคว้นล้านนาเป็นอเนกประการ โดยเมื่อครั้งที่ยกทัพไปตีเมืองพุกาม พระองค์ได้นำช่างฝีมือต่างๆ เช่น ช่างฆ้อง ช่างทอง ช่างเงิน ช่างเขิน และช่างเหล็ก ชาวพุกาม มาไว้ยังเมืองเชียงใหม่ เพื่อช่างเหล่านั้นจะได้ฝึกฝน สอนสรรพวิชาแก่ชาวล้านนาไทย จึงเข้าใจว่าศิลปต่าง ๆ ของพุกามที่มีเหลืออยู่ในปัจจุบันน่าจะเริ่มมาแต่นั้น ต่อมา ตั้งแต่ พ.ศ.๒๑๐๑ อาณาจักรล้านนาสมัยราชวงศ์มังรายต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าเรื่อยมา ในยุคนั้นพม่ากำลังเรืองอำนาจเพราะสามารถรบชนะกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๐ ความเสียหายของกรุงศรีอยุธยาครั้งนั้นมากมายเสียจนไม่สามารถบูรณะบ้านเมืองให้ดีเหมือนเดิมได้ เมื่อพระเจ้าตากสินกู้อิสรภาพคืนได้แล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายพระนครหลวงมาสร้างขึ้นใหม่ที่กรุงธนบุรี และทรงมีพระราชประสงค์จะกำจัดอำนาจของพม่าให้หมดไปจากแผ่นดินไทย ในช่วงปี พ.ศ.๒๓๒๐ กองทัพของพระเจ้าธนบุรีโดยความร่วมมือของกองทัพของเจ้ากาวิละสามารถขับไล่กำลังพม่าออกจากเมืองเชียงใหม่ได้สำเร็จ การศึกครั้งนั้นทำให้เชียงใหม่ต้องตกเป็นเมืองร้างอยู่ร่วม ๒๐ ปี เนื่องจากผู้คนหนีภัยสงครามไปอยู่ตามป่าตามเขากันหมด พระเจ้ากาวิละจึงดำเนินนโยบาย "เก็บผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมือง" คือรวบรวมกำลังคนเผ่าต่างๆ ประกอบด้วย หมอโหรา และสล่า (ช่างฝีมือ) ทุกประเภท ให้มาตั้งรกรากอยู่ในเมืองเชียงใหม่ดังเดิม โดยช่างฝีมือจะได้รับการจัดที่อยู่ให้อยู่ในบริเวณกำแพงเมืองชั้นนอกกับกำแพงเมืองชั้นใน ปัจจุบันยังมีชื่อหมู่บ้านช่างหล่อ ช่างเงิน และช่างคำ อยู่รายรอบตั้งแต่บริเวณแจ่งศรีภูมิ ถึงแจ่งกู่เรือง โดยเฉพาะการทำเครื่องเงินบ้านวัวลาย มีช่างตีขันเงินที่อดีตเคยเป็นช่างในคุ้มหลวงในอดีตอาศัยอยู่และถ่ายทอดศิลปหัตถกรรมเครื่องเงินของไทยทั้งที่เป็นศิลปะชั้นสูงและฝีมือประดิษฐ์ของชาวบ้านให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทยตลอดไป ผู้เรียบเรียง : Kimlehg (http://www.sookjaipic.com/images_upload/35465091715256_1.JPG) ผลงาน "สลักดุน" จากนิทรรศการ “สลักดุน” ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า กรุงเทพมหานคร (http://www.gangtoon.com/images/admin_user.gif) งานสลักดุนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว Lao People's Democratic Republic (http://www.sookjaipic.com/images_upload/78087501393424_2.JPG) พาน
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/94012288459473_3.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/45967490060461_4.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/70298340999417_5.JPG) แอ่บใส่นวด (ขี้ผึ้ง) หรือ เขนงยา (ยาเส้น) หรือ เขนงดิน(ดินปืน)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/89210437321000_IMG_1454.JPG) ซองพลู
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/71331538839472_IMG_1458.JPG) ชุดขันหมาก หรือ สำรับหมาก
หัวข้อ: Re: “สลักดุน” ภูมิปัญญาเชิงช่างจากอดีตสู่ปัจจุบัน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 19 กันยายน 2559 13:37:00 (http://www.gangtoon.com/images/admin_user.gif) งานสลักดุน สาธารณรัฐประชาชนจีน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/63856438837117_1.JPG)
(http://www.gangtoon.com/images/admin_user.gif) งานสลักดุน สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล (http://www.sookjaipic.com/images_upload/41911354329850_2.JPG)
(http://www.gangtoon.com/images/admin_user.gif) งานสลักดุน สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (http://www.sookjaipic.com/images_upload/98751944096552_3.JPG)
(http://www.gangtoon.com/images/admin_user.gif) งานสลักดุน ทวีปยุโรป (http://www.sookjaipic.com/images_upload/82119445668326_4.JPG)
(http://www.gangtoon.com/images/admin_user.gif) งานสลักดุน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (http://www.sookjaipic.com/images_upload/66219133345617_5.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/76575806861122_IMG_1532.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/61050697829988_IMG_1535.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/23874348691768_5_3_1_.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/75338662084605_5_3_2_.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/49147300670544_5_3_8_.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/71994340254200_5_3_9_.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/65545349361167_5_3_10_.JPG) "ทั่วแคว้นแดนไทย จะหาไหนมาเปรียบปาน" ลวดลายสลักดุนนูนสูง อันวิจิตรงดงาม เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเครื่องเงินพม่า ซึ่งในอดีตมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ศิลปหัตถกรรมเครื่องเงินให้แก่ชาวล้านนา งานศิลปะงานช่างสลักดุน หรือเป็นที่รู้จักกันในนามว่า “ช่างบุ” ตามรูปแบบของสกุลช่างพม่า (เมียนมา) ส่วนใหญ่ล้วนมีหลักฐานมาตั้งแต่ ๒,๔๐๐ ปีล่วงมาแล้ว ส่วนใหญ่จะพบในรูปแบบศิลปะงานช่าง ในสถาบันพระมหากษัตริย์ ประเภทเครื่องทรงของกษัตริย์ หรือศาสตราวุธ ตลอดจนเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศของชนชั้นปกครอง ส่วนใหญ่จะทำด้วยโลหะมีค่าประเภททองคำ เงินฝังพลอยหรือรัตนชาติอันมีค่าต่างๆ ปัจจุบันจะเห็นตัวอย่างได้จากเครื่องยศของอดีตกษัตริย์ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ และนับตั้งแต่พม่าในขณะที่อยู่ในการปกครองของอังกฤษ ได้ทำให้งานวิจิตรศิลป์ประเภทสลักดุนเหล่านี้ได้สูญหายไปอย่างมากมาย คงหลงเหลืออยู่แต่ในพิพิธภัณฑ์เท่านั้น รูปแบบงานบุ (สลักดุน) โลหะ ที่พบในเมียนมา อีกอย่างก็คือการแผ่แผ่นโลหะประเภททองคำ หรือทองจังโกหุ้มเจดีย์ หรือพุทธสถานในศาสนาพุทธ งานเหล่านี้มีความเก่าแก่ที่ย้อนกลับไปตั้งแต่ราวสมัยเมืองพุกามรุ่งโรจน์ สืบเนื่องลงมาจนถึงสมัยพระเจ้ามินดง กษัตริย์องค์สุดท้ายของเมียนมา นอกจากนี้ ยังพบข้าวของเครื่องใช้ของชนชั้นสูงหรือคหบดีประเภทอูบ หรือแอบ หรือสลุง ที่ทำด้วยเงินสลักดุนลาย แต่ละรัฐแต่ละเมืองก็มีความแตกต่างในรูปแบบ ลวดลาย ต่างสมัยที่ต่างกัน หากแต่ก็ยังคงเอกลักษณ์งานสลักดุนตามแบบลวดลายศิลปะงานช่างแบบดั้งเดิมของพม่าไว้ เช่น ลายพันธุ์พฤกษา และลายภาพเล่าเรื่องตัวละครในวรรณคดีเป็นเรื่องราว อาทิ มหาชาติ ทศชาติชาดก หรือรามเกียรติ์ สิบสองนักษัตร หรือวิถีชีวิตของผู้คนในเมืองสังคมยุคนั้น เป็นต้น ผลงานที่มีชื่อเสียงมากเป็นที่ยอมรับนับถือกันในฝีมือเชิงช่างก็ก็ สกุลช่างแห่งรัฐชาน เพราะผลงานการสลักดุนเป็นเรื่องราวภาพเล่าเรื่องนูนเด่น ละเอียดลออ ราวกับมีชีวิต บางคนจะเรียกว่า “ภาพสลักดุนสามมิติ” นั่นเอง (http://www.gangtoon.com/images/admin_user.gif) งานสลักดุน ราชอาณาจักรกัมพูชา (http://www.sookjaipic.com/images_upload/26824885730941_IMG_1544.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/63113576546311_IMG_1549.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/29465048387646_IMG_1554.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/44336016351977_IMG_1556.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/85724909893340_IMG_1559.JPG)
งานช่างบุ หรืองานสลักดุนโลหะ ของมหาอาณาจักรอันเกรียงไกรในอดีต ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ในพื้นที่เหนือทะเลสาบเขมร เป็นที่รู้จักกันในนามประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน มีประวัติศิลปะงานช่างอันยาวนานตั้งแต่พบหลักฐานสมัยก่อนเมืองพระนคร ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่๑๑-๑๒ ส่วนใหญ่จะเป็นงานสลักดุนโลหะวัตถุมีค่าประเภททองคำเป็นเครื่องทรงเทวรูป ที่เคารพนับถือในศาสนสถาน หรือในเทวาลัย ประวัติศิลปะงานช่างอันยาวนานที่แสดงถึงอายุสมัยของศิลปะกัมพูชา สามารถแบ่งแยกสมัยต่างๆ ตามรูปแบบโบราณคดีถึง ๑๕ สมัย ได้แก่ ศิลปะสมัยพนมดา ศิลปะสมัยถาลาบริวัติ ศิลปะสมัยสมโบไพรกุก ศิลปะสมัยไพรกเมง ศิลปะสมัยกุเลน ศิลปะสมัยพะโค ศิลปะสมัยบาเค็ง ศิลปะสมัยเกาะแกร์ ศิลปะสมัยแปรรูป ศิลปะสมัยบันทายศรี ศิลปะสมัยคลัง (เกรียง) ศิลปะสมัยบาปวน ศิลปะสมัยนครวัด และศิลปะสมัยบายน หลังจากสมัยบายน อันเป็นช่วงสุดท้ายของศิลปกรรมแบบกัมพูชาแล้ว ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อมของอาณาจักนี้ จนถึงในช่วงที่กัมพูชาที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ต้องตกเป็นส่วนหนึ่งของสยามประเทศในเวลาต่อมา และอยุธยาก็ปกครองกัมพูชาอย่างต่อเนื่องมาและเป็นเวลาเกือบ ๔๐๐ ปี ตลอดช่วงระยะเวลานี้ ช่างฝีมือการสลักดุนและบุโลหะของทั้งไทยและกัมพูชาได้มีโอกาสศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้และรูปแบบศิลปะซึ่งกันและกันเป็นอย่างมาก ชิ้นงานสลักดุนหลายต่อหลายชิ้นในสมัยอยุธยาตอนต้นจึงล้วนแล้วแต่แสดงอิทธิพลของศิลปะกัมพูชาได้อย่างชัดเจน กระทั่งเมื่อกัมพูชาได้รับเอกราชจากการปกครองของฝรั่งเศส และเป็นช่วงที่มีชาวต่างประเทศรู้จักกัมพูชาและพากันเดินทางมาชมปราสาทนครวัดในกัมพูชาเพิ่มมากขึ้น ทำให้งานช่างฝีมือสลักดุนและบุโลหะของช่างกัมพูชา เริ่มฟื้นขึ้นอีกครั้งด้วยการผลิตสิ่งของเครื่องใช้ขึ้นในลักษณะของที่ระลึก ก่อให้เกิดความหลากหลายของรูปแบบ เพื่อตอบสนองประโยชน์การใช้งานของชาวยุโรปและอเมริกาที่มาเยือน เช่น กล่องใส่ซองบุหรี่ เครื่องเขียนบนโต๊ะทำงาน ช้อนส้อมขนาดใหญ่ สำหรับใช้เสิร์ฟอาหาร เป็นต้น ในปัจจุบัน จะพบสกุลช่างสลักดุนหรือบุโลหะได้ในเมืองพนมเปญเป็นส่วนใหญ่ ชิ้นงานสลักดุนพบเห็นอยู่ตามร้านขายเครื่องเงินโดยทั่วไปในกรุงพนมเปญ แม้ฝีมือจะเทียบไม่ได้เลยกับฝีมือของบรรพบุรุษในอดีต แต่ผู้คนและนักท่องเที่ยวก็ให้ความสนใจกันอย่างมาก รูปแบบของผลิตภัณฑ์ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เคยผลิตเป็นข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ขัน เชี่ยนหมาก กลัก ตลับ หรือกล่องรูปสัตว์ต่างๆ ก็มีการปรับเปลี่ยนเป็นสินค้าประเภทเครื่องประดับ ของแต่งบ้านมากขึ้น และใช้เนื้อเงินค่อนข้างต่ำ และนิยมผสมโลหะอื่นๆ มากขึ้น เช่น ทองเหลือง อัลลอย (alloy) เป็นต้น หัวข้อ: Re: “สลักดุน” ภูมิปัญญาเชิงช่างสู่ปัจจุบัน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 19 กันยายน 2559 16:41:20 (http://www.gangtoon.com/images/admin_user.gif) งานสลักดุน ราชอาณาจักรไทย • ภาคเหนือ Northern Thailand งานช่างสลักดุนภาคเหนือ ส่วนใหญ่จะพบอยู่ในจังหวัดแถบภาคเหนือของไทย จะเป็นที่รู้จักในนามของ “ช่างเชียงใหม่” เนื่องจากเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา มีกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายเชื้อชาติ อาทิ ยวน ลื้อ ลาว เขิน และชาวเขาอาศัยอยู่ รูปแบบของงานสลักดุน จะสะท้อนออกมาในศิลปะของเชิงช่างตามสายสกุล สิ่งที่เห็นได้ชัด คือ ลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ งานสลักดุนของสกุลช่างเชียงใหม่ จะมีลักษณะโดดเด่นกว่างานสลักดุนของกลุ่มสกุลช่างอื่น ทั้งในส่วนของรูปทรงและลวดลาย โดยการแกะลายของช่างจะใช้กรรมวิธีการแกะลายสองด้านและจะตอกลายจากด้านในหรือด้านหลังของชิ้นงานให้เป็นรอยนูนสูงตามโครงร่างภายนอกของลายก่อน ซึ่งบางครั้งก็เรียกว่า การโกลนลาย หรือการขึ้นลาย จากนั้นจึงตีกลับจากด้านนอกเพียงด้านเดียว เพื่อเป็นการทำรายละเอียดอีกครั้ง ซึ่งในกรณีของสกุลช่างอื่นๆ มักนิยมการแกะลายหรือตอกลายจากด้านนอกเป็นหลัก งานสลักดุนของสกุลช่างเชียงใหม่ จึงแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลผสมผสานของงานสลักดุนจากกลุ่มวัฒนธรรมที่อยู่ใกล้เคียงรายรอบ เช่น อิทธิพลงานสลักดุนของกลุ่มวัฒนธรรมพม่า จีน ลาว เนื่องจากเชียงใหม่มีอาณาเขตติดต่อกับพม่า จีน และลาว ลักษณะงานสลักดุนภาคเหนือ มีแบบเฉพาะของตนเอง ซึ่งสามารถแบ่งแยกออกตามสายสกุลช่างต่างๆ เช่น สกุลช่างวัวลาย สกุลช่างสันป่าตอง สกุลช่างลำปางหลวง สกุลช่างแพร่ สกุลช่างน่าน และงานสลักดุนชาวเขา ซึ่งงานชาวเขาที่ขึ้นชื่อมากที่สุดคือ งานสลักดุนของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ ที่พบที่จังหวัดน่าน พะเยา และเชียงราย แต่เชียงใหม่ก็ยังเป็นแหล่งผลิตงานสลักดุนที่หลากหลาย ที่มีการผลิตงานสลักดุนขึ้นใช้กันจนแทบจะเป็นวิถีชีวิตของคนล้านนาไปแล้ว สิ่งที่นิยมใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ขันหรือสลุง ตลับหมากหรือเชี่ยนหมาก พานทรงแบนขาสูง หรือขันดอก พานทรงสูงขาต่ำ และเครื่องรูปพรรณต่างๆ เช่น ปิ่น หวีสับ ลานหูหรือต่างหู กรองคอ หัวเข็มขัด เป็นต้น เอกลักษณ์ ลวดลายที่ปรากฏบนงานสลักดุนภาคเหนือ จะนิยมลวดลาย เช่น ลายสับสองนักษัตร ลายชาดก ลายดอกกระถิน ลายดอกทานตะวัน ลายสับปะรด ลายนกยูง ลายดอกหมาก เป็นต้น งานสลักดุนราขอาณาจักรไทย (ภาคเหนือ) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/19327411593662_IMG_1435.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/36163813455237_IMG_1436.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/69525919730464_IMG_1438.JPG) • ภาคใต้ Southern Thailand งานช่างสลักดุนของสกุลช่างภาคใต้ มีปรากฏพบส่วนใหญ่ที่นครศรีธรรมราช บางครั้งจึงมีผู้นิยมเรียกงานช่างสลักดุนนี้ว่า งานช่างสลักดุนสกุลช่างนครศรีธรรมราช สืบเนื่องจากทำเลที่ตั้งของเมืองนครศรีธรรมราชนั้นอยู่ในบริเวณคาบสมุทรภาคใต้ หรือที่ต่างประเทศเรียกว่า Southern Peninsula หรือ Malay Peninsula เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่บนเส้นทางผ่านของการเดินเรือ หรือการค้าทางทะเลมานับพันๆ ปี ดังนั้นศิลปะวิทยาการแขนงต่างๆ จากหลากหลายประเทศทั้งในซีกโลกตะวันตก เช่น ประเทศสเปน ประเทศโปรตุเกส เอเชียกลาง เช่น ประเทศอิหร่าน เอเชียตะวันตก เช่น ประเทศอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประเทศมาเลเซีย ประเทศอินโดนีเซีย และเอเชียตะวันออก เช่น ประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี ทำให้รูปแบบของงานสลักดุนที่ค้นพบในสกุลช่างภาคใต้นี้มีรูปทรงและลวดลายที่มีลักษณะผิดแปลกไปอย่างมาก ชิ้นงานสลักดุนในสกุลช่างภาคใต้ที่ค้นพบส่วนใหญ่จะมีอายุเก่าแก่ร่วมสมัยกับกรุงศรีอยุธยา แต่ก็ปรากฏว่ามีหลงเหลืออยู่เป็นจำนวนน้อยชิ้นมาก ที่ยังปรากฏพบเหลืออยู่ในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่มีอายุร่วมสมัยกับกรุงรัตนโกสินทร์ โดยมีรูปทรง และลวดลายที่แสดงจากสกุลช่างมาเลค่อนข้างชัดเจน และที่สำคัญที่สุดคือ งานช่างสลักดุนสกุลช่างภาคใต้ หรือสกุลช่างนครศรีธรรมราชในปัจจุบันมีปรากฏพบเป็นจำนวนน้อยและมีชื่อเสียงไม่เทียบเท่ากับเครื่องถมตามที่ทำกันในปัจจุบัน งานสลักดุนราขอาณาจักรไทย (ภาคใต้) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/64485130003756_2.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/89268525027566_3.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/63510450844963_IMG_1471.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/22387017144097_IMG_1472.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/90175387014945_1.JPG)
• ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) Northeastern Thailand ในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสานของประเทศไทย จะพบชุมชนช่างเงินอยู่ตามท้องถิ่นที่เป็นเมืองเก่าหรือจังหวัดที่มีพื้นที่ดินแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศลาว และรู้จักกันในนาม “ช่างเงิน-ช่างคำ” เช่น จังหวัดหนองคาย จังหวัดนครพนม เป็นต้น ช่างสลักดุนส่วนใหญ่ มีเชื้อสายลาวเวียงจันทน์ มีฝีไม้ลายมือในการสร้างสรรค์รูปแบบงานสลักดุน ในสกุลช่างไทย-ลาว ส่วนใหญ่จะมีผลิตงานสลักดุนขึ้นใช้ในชุมชน และจำหน่ายในพื้นที่เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเภทงานสลักดุนที่พบได้แก่ เครื่องประดับชนิดต่างๆ เช่น สร้อยคอ กำไล เข็มขัด เครื่องภาชนะ เช่น พาน ชัน และเชี่ยนหมาก เป็นต้น อีกสกุลช่างหนึ่งของภาคอีสาน คือ สกุลช่างอีสานใต้ ที่มีเขตพื้นที่ติดต่อกับประเทศกัมพูชา รูปแบบของช่างในชุมชนที่สืบทอดเชื้อสายมาจากช่างเขมร ลวดลายที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของวัฒนธรรมนี้ จะพบที่ชุมชนบ้านเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ชุมชนส่วย อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนใหญ่จะสร้างสรรค์ผลงานออกมาในรูปเครื่องประดับ เช่น ลูกปะเกือม ตะเภา (ต่างหู) เป็นต้น งานสลักดุนราขอาณาจักรไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) Northeastern Thailand (http://www.sookjaipic.com/images_upload/38195442159970_1.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/49954595168431_2.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/66541062999102_IMG_1481.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/71448888008793_IMG_1482.JPG)
งานสลักดุนราขอาณาจักรไทย • ภาคกลาง Central Thailand (http://www.sookjaipic.com/images_upload/50905664472116_1.JPG) ชื่อชิ้นงาน : ขันพานรอง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/35568497578302_2.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/13401242304179_3.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/66395623899168_1.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/85408413451578_2.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/50857360164324_3.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/17115840315818_4.JPG)
|