มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« เมื่อ: 05 เมษายน 2557 21:02:10 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 05 เมษายน 2557 21:02:53 » |
|
คำนำของผู้แปล เมื่อราว ๒ ปีที่ผ่านมา คุณปู่ของข้าพเจ้าได้ล้มป่วยลงด้วยโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาได้ สำหรับคนรุ่นใหม่อย่างข้าพเจ้า ที่กิจกรรมในสังคม เป็นไปตามความคาดหวังและการจัดวางอย่างสูตรสำเร็จ ความรู้สึกสูญเสียเช่นนี้ได้บ่มเพาะความจริงบางประการที่ข้าพเจ้าไม่ได้แลเห็น มาเสียนาน ความไม่แน่แท้และความสิ้นหวังที่จะยึดมั่นอยู่ในสิ่งเราควบคุมไม่ได้ แม้ข้าพเจ้าจะได้สูญเสียน้องชายและคุณยายไปในเวลา ไล่เลี่ยกัน แต่ก็เป็นไปในปัจจุบันทันด่วนเต็มที พิธีกรรมทั้งหลายที่มีก็จัดขึ้นในเวลารวดเร็วและหมดจดยิ่งนัก ในฐานะของญาติสนิท แห่งผู้วายชนม์ ข้าพเจ้ามีสิทธิพิเศษแค่การชำระเงิน และปฏิบัติตามกำหนดการพิธีกรรมเท่านั้นแต่ในกรณีหลัง การเสื่อมสลายลงอย่างเชื่องช้า และการค่อย ๆ จากไป ทำให้ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจแปลหนังสือเล่มนี้ขึ้น ด้วยหวังจะให้ ทันการได้อ่านในพิธีกรรมของคุณปู่ แต่ก็หาได้ลุล่วงดังใจหวัง ถึงอย่างนั้นก็ตาม เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ได้ก่อให้ข้าพเจ้าได้เกิดสติ เล็งเห็นถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ ความตายไม่ใช่เรื่องปวดร้าว เป็นอาการอ่อนโยนของการยินยอมให้ร่างกายและสังขารที่เหนื่อยล้ามานาน ได้พักพิงอย่างสันติ เป็นช่วงเวลาอันมหัศจรรย์ที่เราจักได้ผ่านเข้าไปสู่โลกที่คุณไม่รู้จัก โลกที่เคลือบแคลง อย่างอาจหาญ การจัดการกับ ความตายเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ หากยังไม่รู้วิธีที่จะดำรงชีวิตอยู่ ที่จะเรียนรู้ความเป็นไปต่าง ๆ รอบตัวเราในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ข้าพเจ้าหวังว่าหนังสือเล่มนี้คงมีประโยชน์ต่อผู้เป็นมากกว่าผู้วายชนม์ ต่อผู้อยู่มากกว่าผู้จาก เป็นแรงบันดาลใจของการเผชิญหน้ากับ ทุกสถานการณ์อย่างไม่หวาดหวั่น ข้าพเจ้ากราบขอบพระคุณ พระไพศาล วิสาโล ที่ทั้งได้มอบหนังสือเล่มนี้ให้และยังได้สอบทาน หลังการแปลเสร็จ ทั้งที่ท่านมีภาระมาก รวมทั้งคุณฐิติมา คุณติรานนท์ ผู้ประสานงานให้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย อนุสรณ์ ติปยานนท์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 05 เมษายน 2557 21:03:39 » |
|
* ภาพ อาจารย์ตรุงปะ คำนำ คัมภีร์มรณศาสตร์ เป็นหนึ่งในบรรดาคำสอนว่าด้วยการหลุดพ้นหกประเภท อันได้แก ่การหลุดพ้นโดยอาศัยการระลึกได้ การหลุดพ้นโดยอาศัยการลิ้มรส การหลุดพ้นโดยอาศัยการสัมผัส คำสอนเหล่านี้ถูกรจนาขึ้นโดยท่านคุรุปัทมสมภพ และต่อมาภรรยาของท่านนามเยเซ ซอกยุง ได้จดจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมกับคัมภีร์สาธนา อันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทพสันติสี่สิบสององค์ และเทพพิโรธห้าสิบแปดองค์ คุรุปัทมสมภพฝังคัมภีร์เหล่านี้ไว้ในเทือกเขากัมโป ใจกลางประเทศธิเบต ต่อมาท่านกัมโปปะคุรุท่านหนึ่ง ก็ได้จัดตั้งอารามของท่านขึ้นที่นั่น คัมภีร์และวัตถุศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากจะถูกฝังไว้ทั่วธิเบตและได้รับการขนานนามว่า " มหาสมบัติที่ซ่อนเร้น " ท่านคุรุปัทมสมภพจักถ่ายทอดพลังอำนาจในการค้นพบคัมภีร์เหล่านี้แก่ศิษย์เอกจำนวนยี่สิบห้าท่านด้วยกัน คัมภีร์เล่มนี้ถูกค้นพบโดยท่าน กรรมะ ลิงปะ เป็นหนึ่งในศิษย์ กลุ่มดังกล่าวของคุรุปัทมสมภพที่กลับชาติมาเกิด คำว่าการหลุดพ้นในที่นี้หมายความว่า บุคคลใดก็ตามที่ได้รับรู้ถึงคำสอนเหล่านี้ แม้จะมีภาวะจิตอันเคลือบแคลงสงสัยหรือเปิดกว้าง ย่อม สัมผัสกับประพิมประพายแห่งการตรัสรู้ โดยผ่านอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอยู่ในคัมภีร์เล่มนี้ กรรมะ ลิงปะ เป็นคุรุในนิกายนยิงมา ทว่าสานุศิษย์ของเขาทั้งหมดสังกัดอยู่กับนิกายกาคิว เขาถ่ายทอดคำสอนเหล่านี้ให้แก่ โดกุล ดอร์จี ศิษย์ของเขาเป็นครั้งแรก บรรดาผู้ศึกษาคำสอนเหล่านี้ จะทำการฝึกฝนสาธนา และทำความเข้าใจกับเทพทั้ง ๒ กลุ่ม ( มณฑล ) อย่างครบถ้วน จนกลายเป็น ประสบการณ์ของตนเอง ข้าพเจ้าเองได้รับการถ่ายทอดคำสอนนี้เมื่ออายุได้แปดขวบ และถูกฝึกฝนโดยวิปัสสนาจารย์ประจำตัวข้าพเจ้า อาจารย์จะพาข้าพเจ้าไปเยี่ยมเยียนผู้กำลังจะสิ้นใจเสมอประมาณ ๔ ครั้งต่อหนึ่งสัปดาห์ การทำการติดต่อสัมพันธ์กับกระบวนการแห่ง ความตายเช่นนี้ โดยเฉพาะการเฝ้ามองเพื่อนรักและญาติสนิทค่อย ๆ จากเราไปนั้น ย่อมมีความสำคัญต่อผู้ฝึกฝนคำสอนนี้มาก ทั้งนี้เพื่อให้ ความคิดในเรื่องของอนิจจังภาวะ กลายมาเป็นประสบการณ์ชีวิตแทนที่จะเป็นแต่ความนึกคิดทางปรัชญา หนังสือเล่มนี้พยายามจะประยุกต์คำสอนดังกล่าวให้เข้ากับผู้สนใจ และบรรดานักศึกษาพุทธธรรมในโลกตะวันตก ข้าพเจ้าหวังว่า คัมภีร์สาธนาจะได้รับการแปลออกมาในกาลต่อไป เพื่อที่ว่าคำสอนแนวนี้ จะได้รับการถ่ายทอดออกมาอย่างครบถ้วน เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 05 เมษายน 2557 21:04:21 » |
|
บทนำ โดยอาศัยการอธิบายเค้าโครงย่อ ๆ ของแนวคิดทางพุทธธรรมที่มีอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ย่อมก่อประโยชน์ในการเข้าใจถึงรายละเอียดที่มีอยู่ใน ภาคอรรถาธิบาย การยึดมั่นในตัวตนของเรา ( ตัวกูของกู ) จักถูกวิเคราะห์ในระบบของขันธ์ห้า คำว่าขันธ์ แปลว่ารวมความได้ว่า กลุ่มหรือออกอง แต่ความหมายจริง ๆ ของมันคือ " องค์ประกอบทางจิต "องค์ประกอบแรกได้แก่รูป อันเป็นจุดเริมของความเป็นปัจเจกและการดำรงอยู่อย่างแยกตัวออกมาและจัดแจงประสบการณ์ออกเป็นทั้ง อัตวิสัยและภววิสัย บัดนี้มีตัวตนแต่เดิมที่ใช้รับรู้โลกภายนอก ทันทีที่การรับรู้นี้บังเกิดขึ้น ก็จะบังเกิดปฏิกิริยาตอบโต้อันเป็นขันธ์ที่สอง นามว่า เวทนา เวทนาเป็นอารมณ์ที่ยังไม่อิ่มตัวเต็มที่ เป็นเพียงความรู้สึกรักชอบ หรือไม่แบ่งแยกเราเขา ตามสัญชาตญาณนั้น ๆ แต่แล้วมันเริ่มซับซ้อนขึ้น เมื่อเจ้าตัวตนนี่เริ่มประเมินตัวเอง โดยการเปลี่ยนสภาพจากผู้รับรู้เป็นผู้ลงมือกระทำ อันเป็นสถานะขันธ์ที่สาม นามว่าสัญญา หรือการรับรู้ เป็นความรู้สึกอันเต็มเปี่ยม เมื่อเจ้าตัวตนได้ตระหนักถึงแรงกระตุ้นและทำการตอบโต้โดยพลันต่อสิ่งต่าง ๆ องค์ประกอบที่สี่ได้แก่ สังขาร หรือการปรุงแต่ง อันจะครอบคลุมกิจกรรมทางอารมณ์และกิจกรรมทางปัญญาที่เฝ้าแปลความหมายที่ ตามติดการรับรู้ องค์ประกอบนี้จะผูกองค์ประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และเริ่มสร้างบุคลิกลักษณะและกรรม ขั้นสุดท้ายจะเป็นวิญญาณ ที่ได้ผสมรวมทุกสัมผัสรับรู้และจิตใจเข้าด้วยกัน บัดนี้เจ้าตัวตนได้กลายเป็นสากลจักรวาลซึ่งแทนที่มันจะรู้โลกดังที่เป็นอยู่ มันกลับก่อ จินตนาการต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองคำสอนพื้นฐานในหนังสือเล่มนี้ได้แก่การทำความเข้าใจถึงการที่บุคคลได้เกิดความรู้สึกเป็นตัวตนและถอนออกจากความรู้สึกดังกล่าว เมื่อทำได้เช่นนั้น ส่วนประกอบขันธ์ทั้งห้าของจิตซึ่งสับสนหรืออวิชชาจะกลายเป็นปัจจัยแห่งการตรัสรู้ องค์ประกอบทั้งห้าจะกลับสู่ ภาวะอันบริสุทธิ์ ซึ่งจะปรากฏในระหว่างห้าวันแรกของบาร์โดหรืออันตรภพในระหว่างประสบการณ์ดังกล่าว ภูมิทั้งหกได้ปรากฏขึ้นด้วยเป็นภาวะจิตซึ่งมีอวิชชา ซึ่งจะได้รับการพรรณาอย่างละเอียดในคำสอนนี้ แต่ละภพจะปรากฏขึ้นพร้อมกับทางเลือกอื่น ๆ อันเป็นโอกาสละทิ้งซึ่งความปรารถนาเฉพาะอย่าง ละเลิกการยึดเพื่อความมั่นคงแห่งตัวตน แต่กลับปลดปล่อยตนเองเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับปัญญาซึ่งได้ปรากฏเป็นรูปลักษณ์ที่สอดคล้องกับแต่ละภพปัญญาดังกล่าวเหล่านี้ได้แก่อาณาจักรแห่งตถาคตทั้งห้า คำว่า ตถาคต หมายถึงผู้ไปแล้วด้วยดี ซึ่งอาจให้ความหมายเทียบเคียงได้ว่า เป็นผู้ที่เป็นหนึ่งเดียวกับแก่นสารสาระแห่งสัจธรรมอันเป็นความหมายใกล้เคียงกับคำว่า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน และชินะ ผู้ทรงชัย ตถาคตทั้งห้า เป็นพลังห้าแบบใหญ่ ๆ ของพุทธภาวะ อันหมายถึงปัญญาที่ได้ตื่นขึ้นแล้วอย่างสมบูรณ์ ตถาคตเป็นรูปปรากฏของปัญญาห้าประการ ทว่าในสังสารวัฏ อันหมายถึงโลกหรือภาวะแห่งจิตที่เราอาศัยอยู่ พลังงานเหล่านี้ปรากฏในรูปของอกุศลหรืออารมณ์อันสับสนทั้งห้า ทุกสิ่งในโลกหล้า ทั้งสัตว์สถานที่และสิ่งของต่าง ๆ ล้วนมีคุณลักษณ์โดดเด่นที่ข้องเกี่ยวกับหนึ่งในพลังงานทั้งห้า ดังนั้น นามอันเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปจึงได้แก่ ปัญจสกุลตถาคตองค์ที่หนึ่ง ที่สถิตอยู่ ณ ใจกลางแห่งมณฑล ได้แก่พระไวโรจนพุทธ พระองค์เป็นตัวแทนแห่งอกุศลพื้นฐาน อันได้แก่อวิชชา เป็นความโง่งมที่ระมัดระวังตั้งใจอันเป็นที่มาของอกุศลอื่น ๆ พระองค์ยังเป็นปัญญาแห่งธรรมธาตุ อันได้แก่ อากาศอันไม่มีขอบเขต ที่ซึ่งทุกอย่างได้บังเกิดขึ้น เป็นด้านหักล้างแห่งอวิชชา ความที่พระองค์ทรงเป็นต้นเค้าและเป็นศูนย์กลาง สกุลของพระองค์จึงเป็น ที่รู้จักกันในนามของตถาคตหรือพุทธะเป็นด้านตรงข้ามกับอวิชชาตถาคตองค์ที่สอง ได้แก่ พระอักโษภยพุทธ สถิตอยู่ทางทิศตะวันออกแห่งมณฑล ตามคติของชาวอินเดียจะอยู่ด้านล่างสุด ในบางคัมภีร์ พระอักโษภยพุทธอาจปรากฏอยู่ศูนย์กลางมณฑล โดยมีพระไวโรจนพุทธสถิตอยู่ทางทิศตะวันออกแทน อาจทำให้เกิดการสับเปลี่ยนคุณลักษณะพื้นฐานบางประการ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสีขาวและสีครามจึงปรากฏในวันที่หนึ่งและวันที่สอง และมักเกิดความสับสน ในแบบแผนของมณฑล พระอักโษภยพุทธเป็นผู้ปกครองวัชรสกุล อกุศลประจำองค์ได้แก่ความก้าวร้าวและความเกลียดชัง อันได้รับ การแปรเปลี่ยนเป็นปัญญาญาณที่แจ่มใสดุจกระจกเงา ที่สะท้อนทุกสิ่งอย่างแจ่มชัดไม่บิดเบือนในทางทิศใต้แห่งมณฑล ค่อนมาทางซ้าย พระรัตนสัมภวพุทธ ผู้ปกครองรัตนสกุล รัตนะ หมายถึงเพชร และในบางกรณีหมายถึง มณีล้ำค่าที่สนองตอบความต้องการ ดังนั้นยาพิษในที่นี้จึงไก่ มานะ อันเป็นผลมาจากการครอบครองความมั่งคั่งในทุกรูปแบบ ด้านหักล้างของมันได้แก่ปัญญาญาณแห่งความเท่าเทียม และวางเฉย หรืออุเบกขา ในทางทิศตะวันตก พระอมิตาภพุทธ อันอยู่ในสกุลปัทมะหรือดอกบัว พระองค์เป็นสัญลักษณ์ของความใคร่และกระหายต้องการเสพทุกสิ่งทุกอย่าง ปัญญาญาณ อันตรงข้ามอกุศลได้แก่ ความไม่แบ่งเขาแบ่งเรา อันก่อให้เกิดความสงบรำงับ และการปล่อยวางต่อความปรารถนา จนเปลี่ยนเป็นการุณย์แทน ลำดับสุดท้าย ณ ทิศเหนือ หรือด้านขวาแห่งมณฑล พระอโฆสิทธิพุทธแห่งกรรมสกุล กรรมหมายถึง การกระทำ มีสัญลักษณ์คือดาบหรือ วัชรไขว้ ความริษยาเป็นอกุศลที่ข้องเกี่ยวกับผลกรรม อุบัติจากความทะยานอยากที่ไม่ได้รับการตอบสนองอันก่อให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ นานาติดตามมา กุศลตรงข้ามได้แก่ ปัญญาที่ยังกิจสำเร็จในการณ์ทั้งปวงตถาคตทั้งห้ายังมีคุณลักษณ์อื่นอีกมากมาย ซึ่งได้พรรนาแลอธิบายไว้ในภาคอรรถาธิบาย นอกจากนี้ ตถาคตทั้งห้าแต่ละองค์ยังมาคู่กับ อิตถีภาวะและประกายฉายฉานแห่งโพธิสัตว์ด้วยในขณะที่พระพุทธองค์ทั้งหลายเป็นรูปธรรมของการตรัสรู้ที่ไปพ้นความสับสนวุ่นวายของชีวิต พระโพธิสัตว์ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่ง การบำเพ็ญกิจอย่างแข็งขันเพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายคือกิจกรรมภายนอกของปัญญาทั้งห้าร่วมกับพลังงาน แห่งอิตถีภาวะ ที่มอบความอุดมพรั่งพร้อม อันทำให้กิจสำเร็จและปรากฏออกมาอย่างเต็มที่ เหล่าทวยเทพดังกล่าวที่ปรากฏในหนังสือ เล่มนี้ถือได้ว่าเป็นการแสดงออกของโลกในท่ามกลางความเป็นจริง เทพเหล่านี้เป็นรูปปรากฏของพลังงานที่แตกต่างกันออกไป อันเราจักประสบอยู่เสมอทั้งใจ กาย จิต และอารมณ์ ถึงแม้ว่าเราจะไม่พินิจชีวิตของเราในแง่ของพลังงาน แต่ผลกระทบของมันก็บังเกิด ขึ้นกับเราตลอดเวลา ในภาคอรรถาธิบาย ท่าน เชอเกียม ตรุงปะ ได้ตีความพลังงานเหล่านี้โดยใช้ภาษาที่เราจดจำได้ง่าย ๆ ได้แก่ อารมณ์ คุณสมบัติ สภาพแวดล้อม วิถีชีวิต การกระทำและเหตุการณ์ดังนั้น ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเขียนขึ้นสำหรับผู้ตายโดยเฉพาะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันก็เป็นเรื่องของชีวิตด้วยเช่นกัน พระพุทธองค์ มิได้ทรงหยิบยกถกเถียงว่าภายหลังจากดับจากโลกนี้ไปจะมีอะไรบังเกิดขึ้นกับเรา นั่นเป็นเพราะว่าปัญหาดังกล่าวหาประโยชน์มิได้ในการแสวงหาสัจธรรมในปัจจุบันขณะ ทว่าแนวคิดเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด การดำรงอยู่ในภพทั้งหก และสภาวะระหว่างภพ ล้วนเกี่ยว ข้องกับชีวิตนี้เป็นอย่างยิ่ง ส่วนมันจะเกี่ยวพันกับชีวิตหลังความตายหรือไม่ เป็นอีกประเด็นหนึ่ง การตระหนักว่า จุดประสงค์ของการอ่าน คัมภีร์มรณศาสตร์ให้ผู้ตายก็คือการเตือนใจเขาให้ระลึกถึงสิ่งที่เขาได้กระทำยามมีชีวิตอยู่ หนังสือเกี่ยวกับความตายเล่มนี้สามารถบอกเรา ได้ว่าเราควรจะดำรงชีวิตอยู่อย่างไรในปัจจุบันขณะฟรานเชสก้า เฟอร์แมนเดิ้ล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 05 เมษายน 2557 21:10:28 » |
|
อรรถาธิบาย โดย เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ถ้อยความแห่งคัมภีร์ ดูเหมือนจะมีปัญหาพื้นฐานบางประการที่ต้องทำความเข้าใจร่วมกันเป็นเบื้องแรกเมื่อเราพูดถึงคัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต หากผู้อ่านศึกษา คัมภีร์เล่มนี้โดยเทียบเคียงกับคัมภีร์ศพแห่งอียิปต์ ในด้านของตำนานและเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับบุคคลผู้ล่วงลับไป อาจทำให้เราคลาดออก จากประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะประเด็นที่ข้องเกี่ยวกับหลักการพื้นฐานในเรื่องของการเกิดและการตายอันดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องในชีวิตเรา ซึ่งอาจทำให้เราขนานนามคัมภีร์เล่มนี้ว่าเป็นคัมภีร์ชาตศาสตร์ได้ด้วยเช่นกัน คัมภีร์เล่มนี้ไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่การสิ้นชีพเพียงอย่างเดียว แต่กลับมีมุมมองเกี่ยวกับความตายที่แตกต่างไปจากธรรมดามากทีเดียว มันเป็นคัมภีร์เกี่ยวกับช่องว่างเป็นช่องว่างระหว่างการเกิดและการตาย เป็นภาวะแวดล้อมที่ซึ่งเราจักปฏิบัติหายใจแสดงกิริยาอาการ เป็นสถานที่ที่ก่อแรงบันดาลใจให้เกิดหนังสือเล่มนี้ขึ้น วัฒนธรรมบอนที่ดำรงอยู่ก่อนการเข้ามาของพุทธศาสนาในธิเบต มีคำชี้แนะอย่างละเอียดว่าสมควรจักปฏิบัติต่อพลังจิตที่ถูกละทิ้งไว้โดย ผู้ตายอย่างไรดี สิ่งที่ผู้ตายหลงเหลือไว้นั้น ได้แก่ รอยเท้า ระดับอุณหภูมิ อันทำให้คาดคิดได้ว่าทั้งวัฒนธรรมบอนและวัฒนธรรมอียิปต์ ต่างก็มีรากฐานจากประสบการณ์ดังกล่าว คำแนะนำดังกล่าวเป็นในแง่ว่าจะทำอย่างไรดีกับรอยเท้า มากกว่าจะมุ่งความสนใจไปยัง มโนวิญญาณของผู้ตาย ทว่าหลักการสามัญที่ข้าพเจ้าจะพูดถึงในที่นี้นั้น ได้แก่บรรดาความไม่แน่นอนที่ปรากฏในสภาวะเปี่ยมสติและ ความคลุ้มคลั่ง คำว่าบาร์โดนั้นหมายถึง ช่องว่าง แต่กลับมิได้หมายเอาถึงช่วงพักในภายหลังการจบชีวิตของเราเท่านั้น หากยังหมายถึงช่องว่าง ในสถานการณ์ชีวิตประจำวันด้วย การแตกดับนั้นปรากฏในสภาวะการดำเนินชีวิตของเราอยู่ตลอดเวลา ประสบการณ์บาร์โดเป็นส่วนหนึ่ง จากการปรุงแต่งทางจิตวิทยาโดยพื้นฐานของเรา ความจริงแล้วประสบการณ์แห่งบาร์โดทุกประเภทอุบัติกับของเรา ทั้งความหวาดระแวง และความไม่แน่นอนแห่งชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่นความไม่แน่ใจในสภาพความเป็นอยู่ของเรา เราไม่รู้ว่า ตนกำลังแสวงหาสิ่งใดหรือ มุ่งสู่สิ่งใด ด้วยเหตุนี้คัมภีร์เล่มนี้จึงมิใช่เป็นเพียงถ้อยความสำหรับผู้ที่กำลังจะตายหรือได้ดับสิ้นลงไปแล้ว หากยังเป็นสารสำหรับบุคคล ที่ได้ถือกำเนิดแล้วอีกโสตหนึ่งด้วย การเกิดและการดับเกิดขึ้นกับทุกผู้คนในทุก ๆ ขณะภาวะ ประสบการณ์บาร์โดภพสามารถแยกพิจารณาได้เป็นเรื่องราวแห่งภูมิหก แห่งการคุมขังที่เราต้องเผชิญผ่าน เป็นภูมิหกแห่งสภาวะทางจิตใจ ของเรา ในรูปของภูติผีเทวาต่าง ๆ กัน ดังได้พรรณาบรรยายในคัมภีร์เล่มนี้ ในช่วงสัปดาห์แรกหลังการตายเราจะประสบกับเทพชั้นสูง ส่วนในสัปดาห์สุดท้าย จักปรากฏตถาคตทั้งห้าและเทพเฮรุกามากมาย และหมู่เการิศอันเป็นผู้เชิญสารแห่งตถาคตทั้งห้า เหล่าภูติผีปีศาจ เหล่านี้จักปรากฏตนในรูปแบบน่าหวาดกลัวและแปลกตายิ่งนัก รายละเอียดที่กล่าวถึงในที่นี้เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุดในชีวิตประจำวัน สิ่งเหล่านี้หาใช่อาการจิตหลอนหรือนิมิตที่ปรากฏหลังการตายเท่านั้น หากยังเป็นแง่มุมในสถานการณ์แห่งชีวิตที่เราต้องเผชิญหน้า กล่าวอีกนัยหนึ่ง ภาพนิมิตมายาเหล่านี้อาจหมายถึงสิ่งที่ปรากฏในการฝึกฝนสมาธิภาวนา อันเป็นกระบวนการที่จะไม่มีใครช่วยเหลือ เกื้อกูลเราได้ ทุกสิ่งถูกทอดทิ้งให้เป็นเรื่องเฉพาะตัวอย่างโดดเดี่ยว เป็นการเผชิญหน้าในสิ่งที่เราเป็น อาจเป็นได้ที่คุรุหรือกัลยาณมิตร เป็นผู้ปลุกเร้าส่วนนั้น แต่โดยพื้นฐาน พวกเขาหามีส่วนร่วมด้วยไม่ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นจริงภายหลังการตายของเรา มีใครเคยกลับมาจากเชิงตะกอนหรือหลุมศพและบอกเล่าถึง ประสบการณ์ที่เขาพานพบมาหรือ ทว่ารอยประทับเหล่านี้กลับทรงพลังมาก จนบุคคลที่เพิ่งถือกำเนิดมาใหม่จักมีความทรงจำในช่วงเวลา ระหว่างการเกิดและการตายอันใหม่สด ทว่าเมื่อเราเติบโตขึ้นเราจักตกอยู่ใต้อิทธิพลแห่งพ่อแม่ ผู้ปกครอง และสังคม อีกทั้งเรายังตกอยู่ ใต้แบบแผนการเลี้ยงดูอันแตกต่างกันไป ดังนั้นรอยประทับอันลึกล้ำจักลบเลือนไป เว้นแต่ในบางครั้งบางคราที่มันจะผุดขึ้นชั่วพริบตา เมื่อนั้นแลเราจักสงสัยใคร่รู้ในประสบการณ์เยี่ยงนั้น และเราจักเริ่มหวาดหวั่นที่จะสูญเสียสิ่งที่จับต้องได้อันได้แก่การดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ จนทำให้เราปฏิเสธหรือลังเลต่อสิ่งที่เราจับต้องไม่ได้ การพิจารณาเรื่องราวเหล่านี้จากแนวคิดที่ว่ามีสิ่งใดปรากฏขึ้นภายหลังการตายของเรา ดูออกจะคล้ายกับการศึกษาเรื่องราวในตำนาน แต่จริงแล้วเราจำเป็นต้องมีประสบการณ์บางอย่างในภาวะบาร์โด เรื่องราวเหล่านี้เป็นประสบการณ์ขัดแย้งแห่งกายและวิญญาณ ประสบการณ์ต่อเนื่องระหว่างการเกิดและการตาย ประสบการณ์บาร์โดแห่งธรรมดา แสงสุกใส ประสบการณ์ใกล้จุติ บิดามารดาในอนาคตหรือภูมิที่เราจะไปจุติ เราย่อมได้พบเห็นนิมิตแห่งเทพสันติและเทพพิโรธ ซึ่งปรากฏอย่างต่อเนื่องในเวลานั้น หากเราหาญกล้าและเข้มแข็งเพียงพอเราย่อมเฝ้ามองทุกสิ่งอย่างองอาจ ครั้นแล้วประสบการณ์แห่งความ ตายและสภาวะบาร์โดก็จะไม่เป็นเพียงตำนานหรือเรื่องราวที่น่าตื่นตระหนกอีกต่อไป เพราะว่าเราได้เตรียมตัวอย่างพร้อมมูลและ ทำความคุ้นเคยกับทุกสิ่งไว้ก่อนหน้าแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 05 เมษายน 2557 21:41:21 » |
|
สภาวะบาร์โดที่ปรากฏก่อนตาย ประสบการณ์บาร์โดแรกสุดได้แก่ ความไม่แน่ใจที่ว่าเขากำลังจะตายลงจริง เป็นความรู้สึกในแง่ของการพลัดพรากจากโลกที่เคยอาศัยอยู่ หรือเป็นในแง่ที่ว่าเขาจะมีชีวิตต่อไปได้หรือไม่ ความไม่แน่ใจหาใช่เป็นในเรื่องราวของการละร่างไป แต่เป็นเรื่องของการสูญเสียที่มั่น อันเคยดำรงอยู่ เป็นการก้าวออกจากโลกของความจริงสู่โลกมายา เราอาจอ้างถึงโลกของความจริง ในแง่ที่ว่ามันเป็นสถานที่ที่เราประสบซึ่งความทุกข์ทรมาณ ความดีงามและความเลวร้าย มีความเจ้าปัญญา ที่สรรหาบรรทัดฐานสำหรับสิ่งต่าง ๆ ในลักษณะทวิลักษณ์ ซึ่งหากเราได้ทำการสัมผัสกับความรู้สึกทวิลักษณ์เหล่านี้อย่างจริงจัง จะพบว่า ประสบการณ์อันจริงแท้นั้นปราศจากการแบ่งแยกแม้แต่น้อย ดังนั้นสภาวะทวิลักษณ์นั้นถูกมองโดยทัศนคติอันแจ่มชัดและเปิดกว้างอัน ปราศจากความขัดแย้ง จะไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่ความเป็นหนึ่งเดียวที่โอบล้อมทุกสิ่งทุกอย่าง ความขัดแย้งนั้นเกิดจากว่าสภาวะ ทวิลักษณ์ไม่ได้ถูกมองดังที่มันเป็น มันถูกพิจารณาผ่านแง่มุมจนบิดเบี้ยวและโง่งม ในความเป็นจริงแล้วเราแทบไม่เคยรับรู้สรรพสิ่งดังที่มันเป็นเลย เราจึงเริ่มงุนงงสงสัยว่าสิ่งต่าง ๆ เช่นตัวฉัน และภาพเงาฉายแห่งฉันนั้นมีตัวตนอยู่จริงในขณะนั้น ดังนั้นเมื่อเราเอ่ยถึง โลกแห่งทวิลักษณ์ว่าเป็นความสับสนยอกย้อนจริงแล้ว ความสับสนยอกย้อนหาใช่โลกทวิลักษณ์อันสมบูรณ์ไม่ มันเป็นเพียงโลกแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น อันเป็นโลกที่ก่อให้เกิดความไม่พึงใจและความไม่แน่นอนอย่างมหาศาล มันถูกก่อหวอดจนถึงจุดที่เกิดความรู้สึกหวาดกลัว ว่าจะกลายเป็นคนวิกลจริต เป็นจุดที่อาจพาเราผ่านพ้นโลกแห่งทวิลักษณ์เข้าสู่ความว่างอันบางเบาและอ่อนนุ่ม อันเป็นโลกแห่งความตาย เป็นสุสานที่ดำรงอยู่ในสายหมอก คัมภีร์เล่มนี้พรรณาถึงความตายในรูปขององค์ประกอบแห่งร่างกายในภาวะที่ลุ่มลึกลงไปเรื่อย ๆ คุณจะรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมากเมื่อ ธาตุดินสลายกลายเป็นธาตุน้ำ และเมื่อธาตุน้ำสลายกลายเป็นธาตุไฟ ระบบหมุนเวียนภายในตัวคุณจะดูหยุดยั้งลง และเมื่อธาตุไฟสลาย กลายเป็นธาตุลม ความรู้สึกอบอุ่นหรือเติบโตก็จบสิ้นลง และเมื่อธาตุลมได้ละลายสู่อากาศธาตุคุณย่อมสูญเสียสายสัมพันธ์สุดท้ายที่มีต่อโลก ในที่สุดเมื่อที่ว่างและมโนวิญญาณแปรเปลี่ยนสู่ศูนย์กลางนาภีย่อมบังเกิดแสงสว่างภายใน สรรพสิ่งจะน้อมลงสู่เบื้องในอย่างสิ้นเชิง ประสบการณ์ดังกล่าวนี้อุบัติขึ้นอย่างสม่ำเสมอ สถานะอันจับต้องได้อ้างอิงได้สูญสลายไป และบุคคลนั้นจักไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังเข้าสู่ ภาวะวิมุตติหรือกำลังเสียสติกันแน่ เมื่อใดก็ตามที่ประสบการณ์เช่นนี้บังเกิดขึ้นมักปรากฏขั้นตอนสี่ห้าประการอยู่เสมอในขั้นแรก คุณลักษณ์อันจับต้องได้ ที่มีชีวิตจิตใจจะเริ่มพร่ามัว กล่าวอีกนัยหนึ่ง คุณได้สูญเสียสัมผัสทางกาย แล้วคุณจะหันมาเพื่อพาสิ่งที่กำลัง ทำงานอยู่อันได้แก่ธาตุน้ำ คุณย้ำเตือนกับตนเองว่า จิตใจคิดนึกของคุณยังทำงานอยู่ ในขั้นต่อไป จิตใจเริ่มเกิดความไม่แน่นอนว่ามันยัง ปฏิบัติงานอยู่หรือไม่ บางจุดในวงจรการทำงานของมันเริ่มชำรุดบกพร่อง หนทางเดียวในการติดต่อสื่อสาร คือ การผลักดันทางอารมณ์ คุณพยายามจะคิดถึงบุคคลที่คุณรักหรือเกลียดชัง บางสิ่งแจ่มชัด ด้วยเหตุที่คุณลักษณ์แห่งธาตุน้ำในระบบไหลเวียนไม่ทำงานอีกต่อไป ดังนั้นอุณหภูมิอันเร่าร้อนของความรักและความเกลียดชังจึงกลายเป็นของสำคัญ และแล้วคุณจะค่อยกลืนหายไปในอากาศ มีความรู้สึก บางเบาของความปลอดโปร่ง มีแนวโน้มว่าคุณจะเริ่มละทิ้งการผูกติดอยู่กับความรู้สึกรัก หรือการพยายามที่จะจดจำบุคคลที่คุณรัก สิ่งทั้งหลายดูจะดำดิ่งลงสู่ภายใน ประสบการณ์ต่อไปได้แก่แสงสว่างเรืองรอง คุณมีทีท่าว่าจะปราชัยเพราะคุณได้ดิ้นรนมาเนิ่นนานแล้วและไม่อาจต่อสู้ต่อไปได้อีก ความรู้สึกทอดทิ้งที่ได้บังเกิดขึ้นแล้วในเวลานี้ ดูกับว่าความเจ็บปวดและความสมหวังได้บังเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนในเวลาเดียวกัน สายธารอันเชี่ยวกรากของผืนน้ำที่เยียบเย็นดุจก้อนน้ำแข็งและผืนน้ำที่ร้อนระอุได้ไหลรินไปทั่วร่างของคุณ เป็นประสบการณ์อันหนักหน่วง เปี่ยมล้นและทรงพลัง ประสบการณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวที่ความทุกข์ทนและปีติสุขไม่อาจแยกขาดออกจากกัน ความพยายามอย่าง แรงกล้าที่จะแบ่งแยกบางสิ่งถูกทำให้สับสนโดยแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่สองประการอันได้แก่ ความหวังที่จะเข้าสู่วิมุตติสุข และ ความหวาดกลัวที่จะเสียจริต แรงยิ่งใหญ่สองประการที่เข้มข้นจนกระทั่งก่อให้เกิดความผ่อนคลาย และเมื่อคุณไม่ทำการดิ้นรนอีกต่อไป แสงสุกใสก็จะปรากฏตนตามธรรมชาติ ขั้นต่อไปได้แก่การประสบแสงสุกใสในชีวิตประจำวัน แสงสุกใสคือฉากเบื้องหลัง หรือฉากอันเป็นช่องว่างเมื่อความมืดทึบได้จางลง ปัญญาบางประการได้เริ่มทำการเชื่อมต่อกับภาวะตื่นขึ้นแห่งจิต อันนำไปสู่ประพิมประพายแห่งสมาธิหรือพุทธภาวะซึ่งเรียกขานกันว่า ธรรมกาย ทว่าหากเราไม่อาจทำการเชื่อมต่อกับปัญญาพื้นฐานได้ และพลังแห่งความสับสนยังคงมีอำนาจเหนือกระบวนการแห่งจิต พลังอำนาจอันสั่งสมอย่างสะเปะสะปะจะกลับเป็นพลังงานเจือจางหลายระดับ อาจกล่าวได้ว่าจากพลังงานเปี่ยมล้นแห่งแสงสุกใส แนวโน้มในการยึดติดได้พัฒนาขึ้น จากจุดนี้ภพทั้งหกก็จักเกิดขึ้นโดยมีความเข้มข้นต่างกัน แต่อย่าลืมว่า ความเข้มข้นหรือความบีบรัดนั้นไม่อาจดำเนินไปโดยปราศจากพลังงานเป็นตัวกระตุ้น อีกนัยหนึ่งก็คือพลังงานถูกใช้ไปในการจับฉวย ซึ่งบัดนี้เราจะพิจารณาภูมิทั้งหกซึ่งขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณการประพฤติตน
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 เมษายน 2557 21:43:49 โดย มดเอ๊ก »
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 05 เมษายน 2557 21:44:33 » |
|
นรกภูมิ เราจะเริ่มต้นด้วยนรกภูมิ อันเป็นภูมิที่ตึงเครียดที่สุด ในขั้นแรกพลังงานหรือภาวะอารมณ์จะก่อตัวขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง จนในบางครั้งคราว เราจะไม่แน่ใจว่าพลังงานควบคุมเราอยู่หรือเราเป็นฝ่ายควบคุมพลังกันแน่ บัดดลนั้นเราจะรู้สึกเสียสูญ จิตใจของเราจะจากไปสู่ ภาวะว่างเปล่า อันได้แก่ แสงสุกใส จากภาวะว่างเปล่านี้เองที่ความรู้สึกแรงกล้าที่จะต่อสู้ รวมทั้งความหวาดระแวงอันส่งผล ให้เราสะพรึงกลัว ทว่าเรากลับหาได้แน่ใจแจ่มชัดว่าใครกันแน่ที่เราต้องต่อกรด้วย และเมื่อทุกสิ่งได้ถูกสร้างขึ้นจนสมบูรณ์แบบความน่าสะพรึงกลัวนั้นก็หันก็หันมาเล่นงานตัวเราเอง เมื่อใดก็ตามที่เราพยายามต่อสู้กับเงาเบื้องหน้า เรากลับพบว่าเราได้จู่โจมด้านในของตัวเอง อุทาหรณ์เปรียบดังชายพเนจรที่แลเห็นขาแกะอยู่เบื้องหน้าปรารถนาจะหยิบฉวยและกัดกิน แต่อาจารย์ของเขาบอกให้เขาทำตำหนิรูปไม้ กางเขนไว้ ต่อมาภายหลังเขาพบว่ารูปไม้กางเขนนั้นปรากฏอยู่หน้าอกของเขาเอง นั่นเป็นตัวอย่างที่ดีมาก คุณคิดว่ามีบางสิ่งภายนอกที่ต้อง ทำการต่อสู้หรือเข่นฆ่าหรือฟันฝ่า ในหลาย ๆ กรณีความโกรธแค้นก็เป็นเช่นนี้ คุณโกรธแค้นในบางสิ่งและพยายามจะทำลายมัน ในเวลา เดียวกันการณ์กลายกลับเป็นว่าคุณสร้างความพินาศให้กับตัวเอง เป็นการหันศรสู่ด้านใน และหันหลังวิ่งหนี ทว่าดูจะสายไปเสียแล้ว คุณกลับเป็นเหยื่อเสียเอง ไม่มีที่ให้หลบหนีไปไหนได้ คุณไล่ล่าตนเองอย่างไม่หยุดหย่อน นั่นแหละคือพัฒนาการแห่งนรก การทรมาณอันน่าสะพรึ่งกลัวในนรกเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงภาพฉายทางจิตวิทยาของตัวเอง ในนรกภูมิคุณหาถูกลงทัณฑ์จริง ๆ ไม่ แต่กลับถูกข่มขู่ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งพรรณากันไว้ในรูปของท้องทุ่งและหุบเขาเล็กร้อนแดง และบรรยากาศที่ลุกไหม้ เป็นไฟโชนอยู่ หากคุณปรารถนาจะหลบหนีคุณจำต้องทะลวงผ่านสิ่งเผาผลาญเหล่านี้ และหากไม่หลบหนีคุณก็จะถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน มีหายนะที่บีบคั้นคุณอยู่ ความร้อนสาดเผามาจากทุกหนทุกแห่ง โลกทั้งโลกกลายเป็นเหล็กร้อนแดง แม่น้ำลำธารกลายเป็นเตาหลอม ท้องฟ้าแผ่คลุมไปด้วยเปลวเพลิง รูปแบบของนรกอีกประการหนึ่งนั้นกลับเป็นไปในด้านตรงกันข้าม เป็นประสบการณ์แห่งหิมะและความหนาวเย็น เป็นโลกน้ำแข็งที่ทุกสิ่ง แข็งตัวไปหมด อันเป็นความก้าวร้าวอีกประการหนึ่ง ความก้าวร้าวที่ปฏิเสธการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่น เป็นความขุ่นเคืองที่มาจากทิฏฐิ มานะอันแรงกล้า ทิฏฐิมานะเช่นนี้ได้กลายเป็นสภาพแวดล้อมอันหนาวเย็นที่เริ่มคลี่คลุมบรรยากาศและได้รับการเสริมแรงโดยความพึงพอใจ ส่วนรวม มันไม่ยินยอมให้เราแย้มยิ้มหรือเริงร่าหรือสดับฟังเสียงดุริยะใด ๆ เปรตภูมิ ครั้นแล้วจะปรากฏภูมิแห่งจิตอีกภูมิหนึ่ง เป็นภูมิแห่งพวกเปรตหรือภูติผีหิวกระหาย เราเข้าสู่แสงสว่างมิใช่เพราะความก้าวร้าว แต่เป็นเพราะความละโมบหิวกระหาย มีความรู้สึกยากไร้ แต่ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกมั่งคั่งเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในภูมิแห่งเปรตมีความรู้สึกอันโอ่อ่าแห่งความรุ่มรวย รู้สึกเป็นเจ้าของสิ่งต่าง ๆ มากมาย เมื่อใดทีคุณเกิดความต้องการคุณไม่จำเป็นต้อง ออกไปเสาะหา คุณพบว่ามันมีอยู่ในมือแล้ว และจึงทำให้คุณหิวกระหายมากขึ้น พลัดพรากมากขึ้น เป็นเพราะว่าคุณได้รับความพึงพอใจ จากการแสวงหาด้วย ทว่าบัดนี้เรามีทุกอย่างพร้อมมูล เราไม่สามารถเดินทางไปยังที่อื่นเพื่อแสวงหาและได้มาซึ่งสิ่งพึงประสงค์ มันช่างน่า เศร้าใจนัก เป็นความโหยหิวที่เติมเต็มมิได้ มันเหมือนกับตอนที่คุณเกิดอาการจุกแน่น คุณไม่สามารถจะกลืนกินอะไรลงไปได้อีก แต่คุณปรารถนาจะกินมันต่อไปอีก ดังนั้นคุณจึงเกิด ภาพลวงตาเกี่ยวกับรสชาติและความเอร็ดอร่อยในการรับประทาน กัดกิน กลืนและย่อยมัน กระบวนการดังกล่าวนี้ดูหรูหราโอชะ และคุณ จะรู้สึกอิจฉาเป็นยิ่งนักต่อบุคคลที่หิวโหยและยังกัดกินได้สัญลักษณ์ของเปรตได้แก่คนที่มีท้องใหญ่มโหฬาร แต่กลับมีลำคอเรียวบางและปากเล็กจ้อย มีประสบการณ์หลากรูปแบบในภูมินี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับของความหิวกระหาย เปรตบางตนสามารถหยิบฉวยอาหารไว้ได้ แต่อาหารกลับมลายหายไปต่อหน้าต่อตาหรือ ไม่สามารถจะกลืนกินมันลงไปได้ บางตนก็หยิบฉวยได้จับยัดใส่ปากแต่กลับไม่สามารถกลืนลงไปในท้อง บางตนสามารถกลืนลงไปได้ แต่ครั้นพอตกถึงท้องมันกลับระเบิดออก ซึ่งจริงแล้วในโลกปัจจุบันของเรานี้ เราก็จะพบกับความหิวโหยระดับต่าง ๆ อยู่เสมอความสุขในการครอบครองหาได้สร้างปีติมากมายแก่เราเลยไม่ เมื่อเราได้อะไรบางอย่างมา เราก็จะออกหาอย่างอื่นอีก แล้วก็จะตกอยู่ใน แบบแผนเดิมอีก มันจึงกลายเป็นความหิวกระหายอย่างสม่ำเสมอที่ไม่ได้มีพื้นฐานมาจากความยากจน แต่เป็นเพราะความรู้สึกว่าแม้เราจะมีสิ่งของมากมาย เรากลับไม่มีความสุขและชื่นชมมันได้เต็มที่ พลังดังกล่าวหรือการแลกเปลี่ยน เช่น การแสวงหาของสะสม การโอบรัดจับฉวย การจัดวาง การกลืนกิน ดูน่าตื่นเต้นมากกว่า พลังงานเช่นนี้ดูเย้ายวนยิ่งนัก แต่พอถึงการจับฉวยมันกลับดูน่ากลัว ครั้งแรกที่คุณได้จับต้องสิ่งของใด ๆ คุณปรารถนาจะครอบครองมัน แต่แล้วคุณไม่มีความสุขในการครอบครองอีกต่อไป แต่คุณเองก็จะไม่อยากปลดปล่อยสิ่งใดไป เป็นความสัมพันธ์ทั้งเกลียดทั้งรักต่อสรรพสิ่งภายนอก ตัวอย่างเปรียบเปรยได้แก่การแอบชื่นชมสวนเขียวขจีของ เพื่อนบ้าน ครั้นเมื่อมันได้เปลี่ยนมือเป็นของเราเอง เรากลับหามีความชื่นชมยินดีเยี่ยงแรกเห็นไม่ คุณลักษณ์อันอ่อนหวานของความรักใคร่ ได้เจือจางลงไป เดรัจฉานภูมิ เดรัจฉานภูมิมีคุณลักษณ์เด่นที่การขาดแคลนอารมณ์ขันอย่างยิ่งยวด เราพบว่าเราไม่สามารถดำรงความเป็นกลางไว้ในแสงสุกใสอย่างไม่สั่นคลอนได้ ดังนั้นเราจึงแสร้งทำตนใบ้บ้า เป็นการปล่อยวางอย่างชาญฉลาดที่สุด อันบ่งว่าเรากำลังซ่อนเร้นความจริงบางประการไว้ เป็นการเก็บกดอารมณ์ขัน ภูมินี้มีสัญลักษณ์เป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่ไม่สามารถ ยิ้มหัว หรือสรวลสันต์ได้ สัตว์เดรัจฉานล้วนรู้จักความสุขและความเจ็บปวดดี แต่มันกลับไม่คุ้นเคยต่ออารมณ์ขันหรือการประชดประชันเอาเลยคนเราอาจพัฒนาคุณลักษณ์เช่นนี้ได้โดยพึ่งพากรอบอ้างอิงทางศาสนาเทววิทยา หรือบทสรุปทางปรัชญาแนวคิดก็เป็นได้ หรือไม่ก็ทำตนด้านชา หรือไม่แยแส เมื่อเขาคิดว่าตนเองปลอดภัยดีแล้ว เขาย่อมประพฤติตนเป็นคนดี มีประสิทธิภาพและพึงพอใจกับชีวิต ยิ่ง เปรียบเสมือนชาวบ้านนอกที่เอาใจใส่ไร่นาเป็นอย่างดี เขาเฝ้าตรวจตรา หมั่นระวังระไว ไม่ย่อหย่อน หรืออาจเปรียบดังนักบริหารที่ ดำเนินธุรกิจ หรือหัวหน้าครอบครัวที่มีชีวิตมั่นคง เป็นสุข แน่นอนไม่มีอะไรผิดพลาด ไม่มีอะไรลึกลับสำหรับเขา หากเขาจะซื้อเครื่องมือ เครื่องใช้สักชิ้นเขาต้องแน่ใจว่ามันมีคู่มือประกอบด้วย ถ้ามีปัญหาในชีวิตเขาย่อมไปพบทนาย ผู้นำศาสนาหรือตำรวจ บุคคลมืออาชีพเหล่านี้ มั่นคงและปลอดภัยในที่มั่นของเขา ไม่มีอะไรพลาดคาดเดาได้แน่นอน และมีกลไกที่ย่ำอยู่อย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่ขาดหายไปในที่นี้ได้แก่เมื่อมีบางสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น จักเกิดความรู้สึกหวาดระแวงขึ้นทันที อันเป็นการคุกคามขู่เข็ญ หากมีบุคคลใด ที่แลดูผิดแผกไป แลดูแตกต่างไป มีรูปแบบชีวิตอันไม่เหมือนใคร การดำรงอยู่ของบุคคลพวกนี้จะเริ่มสั่นคลอน สิ่งที่คาดเดาไม่ได้จักเริ่มขู่เข็ญ คุกคามพวกเขา ด้วยเหตุนี้ความซ้ำซากและความด้านชาจึงเป็นลักษณะเด่นแห่งเดรัจฉานภูมิที่ปราศจากอารมณ์ขัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 05 เมษายน 2557 21:45:22 » |
|
* The Wheel of Life หรือ สังสาระ สังสารจักร วฏสงสาร มนุษย์ภูมิ มนุษย์ภูมิเป็นอีกสถานการณ์หนึ่งที่ไม่เหมือนเดรัจฉานภูมิในแง่ของการดิ้นรนและคุมขัง มนุษย์ภูมินั้นมีพื้นฐานจากอารมณ์ปรารถนา มีแนวโน้มที่จะสำรวจตรวจตราและแสวงหาแต่ความสุขสมหวัง เป็นภูมิแห่งการวิจัยและทะเยอทะยาน พยายามสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองไม่สิ้นสุด อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์ภูมินั้นไกล้เคียงกับเปรตภูมิในแง่ของการไขว่คว้าหาสรรพสิ่ง แต่ก็แอบแฝงคุณลักษณ์ แห่งเดรัจฉานภูมิไว้ด้วย ในแง่ที่จะทำแต่สิ่งที่คาดการณ์ล่วงหน้าได้ สิ่งพิเศษในมนุษย์ภูมิได้แก่ความสนใจอันแปลกประหลาดที่ติดมากับ ความปรารถนา อันทำให้มนุษย์เต็มไปด้วยเล่ห์มากอุบายและแปรเปลี่ยนไม่แน่นอน พวกเขาสามารถคิดผลิตเครื่องมือมากมายได้และนำ เอาไปใช้ในสถานการณ์อันซับซ้อน เพื่อใช้จัดการกับคนมากเล่ห์ ขณะเดียวกันบุคคลเหล่านั้นก็จะประดิษฐ์เครื่องมือแก้ลำขึ้นมาด้วย ดังนั้นเราจึงสร้างโลกของเราให้เต็มไปด้วยความสำเร็จและการบรรลุเป้าหมายมากมายไปหมด ทว่าการสร้างเครื่องมือและเครื่องมือตอบโต้ จะขยายตัวไม่หยุดหย่อน ก่อให้เกิดความปรารถนาและความสนเท่ห์ จนในที่สุดจะไม่สามารถทำงานใหม่นี้ให้เป็นจริงได้ เราต้องเกิดและต้องตายประสบการณ์ใหม่ ๆ อาจเกิดขึ้นได้ แต่มันก็เสื่อมสลายลงในที่สุดด้วย การค้นพบของเราอาจไม่จีรังหรือถาวรเอาเลย อสุรภูมิ ภูมิแห่งอสูุรหรือเทพริษยาเป็นภูมิสูงสุดเท่าที่การสื่อสารติดต่อจะเกิดขึ้นได้ เป็นภูมิแห่งสถานการณ์อันชาญฉลาด เมื่อคุณถูกแยกตนออก จากแสงสุกใสในฉับพลัน คุณจักบังเกิดความรู้สึกสับสนราวกับว่ามีใครบางคนได้นำคุณไปปล่อยทิ้งไว้กลางป่าดึกดำบรรพ์ คุณย่อมชะเง้อ และดูด้านหลังและสงกาสงสัยแม้เจ้าเงาของตัวคุณเอง ไม่ว่ามันจะเป็นเงาจริง ๆ หรือเล่ห์อุบายของใครบางคน ความหวาดระแวงเป็นระบบ ตรวจจับที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่อัตตาจะมีขึ้นได้ มันตรวจตราได้แม้สิ่งที่แผ่วบางและเล็กจ้อย สงสัยในทุกสิ่งอย่างและประสบการณ์ ทุกรูปแบบในชีวิตจะถูกมองว่าเป็นสิ่งที่บังคับขู่เข็ญ ภูมินี้เป็นที่รู้จักกันดีในนามของภูมิแห่งความอิจฉาริษยา แต่ไม่ใช่ริษยาในรูปแบบที่เราคุ้นเคย มันเป็นอารมณ์ริษยาที่มีพื้นฐานอยู่บนการดิ้นรน เพื่ออยู่รอดและแสวงหาชัยชนะ ซึ่งไม่คล้ายคลึงกับมนุษย์ภูมิหรือเดรัจฉานภูมิ เป้าประสงค์ของภูมิแห่งอสูรคือการทำงานภายใต้เล่ห์กระเท่ห์ ซึ่งเป็นทั้งทรัพย์สมบัติและความเพลิดเพลินใจของมัน เปรียบดังบุคคลที่ถูกเลี้ยงดูแบบนักการทูต เติบโตแบบนักการทูต และตายไปแบบนักการทูต เล่ห์กลและการติดต่อสัมพันธ์เป็นแบบแผนชีวิตและการดำรงอยู่ของเขา เล่ห์กลเหล่านี้ปรากฏอยู่ในความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ทางอารมณ์ ความสัมพันธ์ฉันมิตร หรือแม้แต่ในความสัมพันธ์ฉันครูและลูกศิษย์ก็ตาม เทวดาภูมิ ภูมิสุดท้ายได้แก่เทวดาภูมิ หรือเทวโลก เมือบุคคลได้ตื่นขึ้นในแสงสุกใสจักบังเกิดความสุขที่ไม่ได้คาดเดาเอาไว้และอยากจะถนอม ความสุขดังกล่าวนี้ไว้ แทนที่จะยินยอมสูญสลายสู่ปกติภาวะ ( นิพพานภาวะ ) เรากลับเกิดเห็นตระหนักถึงตนเองในฐานะของปัจเจกชน และปัจเจกชนนี้ได้นำมาซึ่งความรู้สึกชื่นชอบตนเองจนอยากจะรักษาตนเองในสภาพนี้ไว้ อันเป็นสภาวะแห่งสมาธิสุข เป็นสภาวะสงบ และซึมซาบดื่มด่ำยิ่งนัก ภูมิแห่งเทวดาเป็นที่รู้จักกันในฐานะ ภูมิแห่งมานะ มานะในแง่ที่มองทุกสิ่งโดยมีตนเองเป็นศูนย์กลาง เป็นการรักษาความสุขส่วนตัวไว้ ในอีกแง่หนึ่ง เป็นการเมามายอยู่กับตนเอง คุณเริ่มที่จะรู้สึกยินดีปรีดาในความมั่นใจที่คุณเป็นอะไรบางอย่าง แทนที่จะเป็นแสงสุกใสที่ปราศจากดินแดนพักพิง และเนื่องเพราะคุณเป็นอะไรบางอย่าง คุณจึงจำต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งตนเอง อันเป็นบ่อเกิดแห่งสภาวะอันสะดวกสบายและปีติสุข เป็นการซึมซาบดื่มด่ำกับตนเองอย่างยิ่งยวด ภูมิทั้งหกแห่งจักรวาลเป็นแหล่งอาศัยในสังสารวัฏ และเป็นบันไดก้าวต่อไปสู่ภูมิแห่งธรรมกาย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการช่วยให้เข้าใจใน ความสำคัญของนิมิตที่บรรยายในคัมภีร์เกี่ยวกับภาวะบาร์โดแห่งการเกิด อันเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างโลกสองโลก เป็นประสบการณ์ของภูมิทั้งหก จากมุมมองแห่งตัวตนที่กำลังจะเคลื่อนสู่ภูมิใหม่ นิมิตต่าง ๆ อาจมองได้ว่าเป็นการแสดงออกของพลังงานอันปกติ มากกว่าจะมองว่าเป็นเทพที่ช่วยคุณให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ หรือเป็นเหล่าปีศาจที่ไล่ล่าคุณ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 05 เมษายน 2557 21:46:07 » |
|
บาร์โดแห่งธรรมดา นอกจากภูมิทั้งหกแล้วเรายังจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับแนวคิดพื้นฐานของบาร์โด คำว่า " บาร์ " หมายถึงในระหว่าง " โด " หมายถึง เกาะแก่งหรือตำแหน่ง รวมความหมายถึงดินแดนที่อยู่ระหว่างสิ่งสองสิ่ง คล้ายดังแก่งในใจกลางทะเลสาบ บาร์โดนั้นอยู่ท่ามกลาง ความปกติและความวิกลจริต หรือในระหว่างความสับสนและการเปลี่ยนแปลงของความสับสนสู่ปัญญญาณ เราอาจกล่าวว่าเป็นสถานภาพระหว่างการเกิดและการตาย สถานการณ์ในอดีตเพิ่งผ่านพ้นไปและสถานการณ์ในอนาคตก็ยังมาไม่ถึง ดังนั้นจึงบังเกิดช่องว่างขึ้น นี้คือ ประสบการณ์บาร์โด ธรรมดาบาร์โดคือ ประสบการณ์ที่เป็นแสงสุกใส ธรรมดาคือแก่นของสรรพสิ่งที่มันเป็นอยู่จริง เป็นคุณลักษณ์เช่นนั้นเอง ดังนั้นธรรมดา บาร์โดคือพื้นภูมิกลาง ๆ ที่เป็นสามัญ เปิดเผยและเป็นปกติและการรับรู้ถึงสภาพปกตินี้คือการได้ประจักษ์ชัดถึงธรรมกาย กายอันเป็นภาวะแห่งความจริงและกฎธรรมชาติ ธรรมดานั้นปรากฏแสดงไม่ใช่ในรูปวัตถุหรือสิ่งที่แลเห็นได้แต่เป็นในรูปพลังงาน พลังงานที่มีคุณลักษณ์แห่งธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และ อากาศธาตุ เราไม่ได้กำลังพูดถึงวัตถุธาตุในแบบธรรดาสามัญ ทว่าเราจักพูดถึงวัตถุธาตุที่คุณลักษณ์อันละเอียดอ่อน จากแง่มุมของผู้รับรู้ การประจักษ์ถึงตถาคตทั้งห้าในนิมิตมิใช่ตัวนิมิต และมิใช่การรับรู้และมิใช่ประสบการณ์ มันมิใช่นิมิต เพราะหากมันเป็นนิมิตคุณย่อมต้อง ดูแลมัน และการแลดูคือกระบวนการส่งออกนอกที่แยกตัวคุณเองออกจากสิ่งของ นัยเดียวกัน คุณไม่อาจรับรู้มันได้ เพราะหากคุณทำการรับรู้ คุณก็จะย่อยประสบการณ์ดังกล่าวนั้นสู่ระบบภายในตัวของคุณ อันเป็นรูปแบบสัมพันธ์แบบทวิลักษณ์ แม้คุณไม่สามารถรู้จักมันได้ เพราะตราบใดที่มีคนคอยแนะนำคุณว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นประสบการณ์เฉพาะตัวของคุณ คุณย่อมแยกแยะพลังงานทั้งหลายออกจากตัวคุณ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สำคัญมาก และต้องทำความเข้าใจให้ดี เพราะมันเป็นกุญแจดอกสำคัญในการทำความเข้าใจสัญลักษณ์ในภาพจิตกรรมแห่งตันตระ มีคำอธิบายอย่างแพร่หลายว่าภาพเทพศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เป็นภาพของจิต แต่จริงแล้วภาพเหล่านี้กลับมีความหมายล้ำลึกกว่าที่คิด หนึ่งในรูปแบบการฝึกฝนชั้นสูงที่อันตรายที่สุด ได้แก่การฝึกฝนให้เผชิญหน้ากับภาวะบาร์โดซึ่งได้แก่การนั่งสมาธิในความมืดอย่างยิ่งยวด ๒ สัปดาห์ ซึ่งย่อมบังเกิดนิมิตธรรมดาที่มีพื้นฐานอยู่บนหลักการแห่งตถาคตทั้งห้าโดยจะมีสภาพแตกต่างไปตามแต่ละบุคคล ตำแหน่ง ศูนย์กลางดวงหทัย ดังนั้นคุณจะเห็นรูปดวงตาจำนวนมากหลากแบบที่หัวใจของคุณ และภาพแห่งเทพดุร้ายมีศูนย์กลางอยู่ที่สมองของคุณ อันทำให้คุณได้พบเห็นดวงตาจำนวนหลากแบบจ้องมองซึ่งกันและกันอยู่ในสมองคุณ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ใช่นิมิตธรรมดา มันอุบัติขึ้น เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดความวิกลจริตและการสุญเสียการติดต่อสัมพันธ์กับหลักธรรมดา ครั้นแล้วประสบการณ์อันเปี่ยมล้นและท่วมท้นแห่งแสงสุกใสจะพัฒนาต่อเนื่องไป จะเกิดอาการสว่างวูบและดับมิดสลับไป บางคราคุณจะเห็นแสงกระจ่างนี้ บางคราก็ไม่ หากแต่เข้าไปรวมตัวอยู่ในนั้นเลยทีเดียว ดังนั้นจึงเกิดมีการเดินทางติดต่อระหว่างธรรมกายและแสงสุกใส โดยทั่วไปแล้วราว ๆ สัปดาห์ที่ห้า จะบังเกิดความเข้าใจโดยพื้นฐานเกี่ยวกับตถาคตทั้งห้า นิมิตทั้งหลายจะอุบัติขึ้นแต่ไม่ได้เป็นไปในแง่ศิลปะ เราอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งนี้ได้เคยปรากฏมาก่อน แต่คุณลักษณ์เชิงนามธรรมจะเริ่มพัฒนา โดยอาศัยพื้นฐานจากพลังงาน เมื่อพลังงานเริ่มเป็น อิสระและสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น มันจักเริ่มหันมาดูตนเองและทำการรับรู้ตนเองซึ่งเป็นสิ่งที่เหนือกว่าการรับรู้แบบสามัญ เปรียบเสมือนการที่คุณ ตัดสินใจเดินเพราะคุณเชื่อว่าคุณเดินได้เองโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องค้ำจุน คุณก้าวเดินอย่างไม่รู้ตัว หาใช่เรื่องเพ้อฝันไม่ แต่เป็นประสบการณ์ ซึ่งคุณไม่รู้ตัวเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 05 เมษายน 2557 21:50:22 » |
|
ธรรมชาติแห่งนิมิต นิมิตที่อุบัติขึ้นในสภาวะบาร์โด รวมทั้งลำแสงและสีสรรที่บังเกิดขึ้นอย่างพร้อมกันนั้น ไม่ได้ก่อเกิดจากองค์ประกอบใด ๆ ที่ต้องการ ประคับประคองของผู้รับรู้สัมผัส มันเพียงอุบัติขึ้นเป็นการแสดงออกของความเงียบงันและความว่างเปล่า การจะรับรู้นิมิตต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องนั้น ผู้รับรู้จำต้องละทิ้งการยึดมั่นในตนเองลงเสียก่อน ตัวตนของเราในที่นี้ได้แก่สิ่งซึ่งเป็นเหตุให้เราทำสมาธิภาวนาหรือรับรู้บางสิ่งบางอย่าง เมื่อใดก็ตามที่มีผู้รับรู้ บุคคลย่อมได้ประสบกับเหล่าเทพหรือสิ่งต่าง ๆ ที่อุบัติขึ้นนอกตัว การรับรู้เช่นนี้ช่างตื่นตาตื่นใจ และเป็นสุขยิ่งนัก นั่นเป็นเพราะว่ามันเป็นกระบวนการที่นอกจากจะมีผู้เฝ้ามองแล้ว ยังแฝงนัยบางอย่างที่ละเอียดอ่อน เป็นวิญญาณขั้นสามัญ เป็นแนวคิดและ แรงกระตุ้นอันละเอียดอ่อนลึกซึ้งที่มองสู่โลกภายนอก เป็นการเริ่มสัมผัสได้ถึงความงดงามแห่งความเปิดกว้าง ความว่างโล่งและความปีติสุข ซึ่งเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับจักรวาล ความรู้สึกเปิดเผยและว่างโล่งของสากลจักรวาลนั้นช่างดูง่ายดาย และสะดวกดายที่จะเข้าไป เปรียบเสมือน การเดินทางเข้าสู่ครรภ์มารดา เป็นแหล่งพักพิงอันปลอดภัย มีแรงดึงดูดให้เข้าร่วมที่แรงกล้ามาก ผู้คนดูอบอุ่นและมีมิตรไมตรี สนทนาด้วย ถ้อยคำอ่อนหวาน บางทีก็มีนิมิตศักดิ์สิทธิ์บางประการปรากฏขึ้นในสภาวะนี้ด้วย แสงสว่างวาบหรือคีตบรรเลงและสิ่งสวยหรูดูจเคลื่อนใกล้ เข้ามา ในกรณีของบุคคลที่สัมพันธ์กับตนเองไปในลักษณะเช่นนี้เป็นไปได้ว่า ภายหลังการตายเขาอาจเกิดขุ่นเคืองที่ได้เห็นนิมิตแห่งตถาคตทั้งห้า ในบาร์โดซึ่งจะมิได้ขึ้นตรงต่อการรับรู้ของเขา ในยามนี้นิมิตแห่งตถาคตทั้งห้าจะมิได้ปรารถนาการเข้าร่วมอีกต่อไป แต่กลับมีการต่อต้าน อย่างรุนแรง พวกเขาดำรงอยู่ที่นี้ อยู่ที่นั่นอย่างชวนขุ่นเคือง เพราะว่าพวกเขาจะไม่ตอบรับการติดต่อสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ นิมิตแรกที่บังเกิดขึ้นได้แก่นิมิตแห่งเทพสันติ สันติในที่นี้มิได้หมายถึงประสบการณ์แห่งความรักและความอบอุ่นดังเรากล่าวถึงในข้างต้น หากเป็นสันติในแง่ของความนิ่งเงียบที่โอบล้อมเราอยู่ไม่เคลื่อนไหว ไม่อาจจะเอาชนะหักหาญได้ ไม่แก่ชรา ไม่มีจุดสิ้นสุด ไม่มีจุดเริ่มต้น สัญลักษณ์แห่งสันติในที่นี้ได้แก่วงกลมที่ปราศจากทางเข้าเป็นสภาวะแห่งนิรันดรกาล ไม่เพียงแต่ในประสบการณ์บาร์โดหลังการตายเท่านั้น แม้ในชีวิตประจำวันของเรา เหตุการณ์เช่นนี้ก็อุบัติขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ยามใดก็ตาม ที่บุคคลเกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับกับจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างจะดูสวยสด รื่นรมย์และน่าปรารถนา เป็นไปได้ที่จะมีบางสิ่งบางอย่าง ก้าวย่างเข้ามา เป็นอย่างเดียวกับกับนิมิตแห่งเทพสันติ คุณจะพบว่า เป็นไปได้ที่คุณจะสูญเสียภูมิพำนัก สูญเสียการเข้าร่วมรวมตัว สูญเสีย เอกลักษณ์แห่งตน และเริ่มเลือนหายไปในสถานการณ์แห่งแสงสุกใส สภาวะของสันติสุขอันเลอค่าดูจะน่าตื่นอกตื่นใจ บ่อยครั้งทีเดียวที่ ศรัทธาของบุคคลอาจสั่นคลอนได้โดยประกายสว่างไสวจากมิติอื่น ที่ซึ่งแม้กระทั่งแนวคิดแห่งเอกภาพก็ไม่อาจใช้การได้อีกต่อไป นอกจากนี้ยังปรากฏประสบการณ์ที่เป็นเทพพิโรธ อันเป็นรูปแบบแสดงออกอีกแง่มุมหนึ่งของสันติธรรม ความอำมหิต ที่ไม่ยินยอมให้เกิด การผิดพลั้งใด ๆ ถ้าคุณย่องเข้าหาพวกเขาและพยายามเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ พวกเขาจะจับคุณเหวี่ยงออกมา นั้นคือสิ่งซึ่งดำเนินอย่าง ต่อเนื่องพร้อมอารมณ์ในสถานการณ์อันมีชีวิตชีวา จะโดยเหตุใดก็ตาม การเข้าถึงเอกภาวะที่ซึ่งทุกสิ่งมีความสงบและกลมกลืน ไม่ใช่ตัว สัจธรรมสูงสุด เพราะเมื่อใดก็ตามที่การระเบิดออกทางอารมณ์ในรูปของความก้าวร้าวหรือมักใคร่บังเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน คุณจะตาสว่างขึ้น นั้นแลคือความโหดร้ายแห่งสันติสุข เมื่อคุณต้องเข้าเกี่ยวกับขบวนการผลิตอัตตา ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างเป็นที่น่าพอใจ สัจจะอันแท้จริงแห่งความเปล่าเปลือยทางจิตและสีสรรแห่งอารมณ์จักปลุกคุณให้ตื่นขึ้น อาจเป็นไปอย่างรุนแรง ราวกับอุบัติเหตุหรือความโกลาหลฉับพลัน แต่ก็แน่ละอาจเป็นได้ว่าพวกเราจะพากันเพิกเฉยต่อคำตักเตือนเหล่านี้ และพากันยึดมั่นอยู่แต่ความเชื่อดั้งเดิม ดังนั้นแนวคิดแห่งการละร่าง และเข้าสู่แสงสุกใส ครั้นแล้วก็ตื่นจากแสงสุกใสและได้รับรู้นิมิตเหล่านี้ในบาร์โดขั้นที่สาม อาจถูกมองในทางสัญลักษณ์ได้ว่าเป็นประดุจดัง การรับเข้าสู่อากาศธาตุอันว่างโล่ง เป็นอากาศธาตุที่ห้ามแม้กระทั่งร่างกายให้ล่องผ่าน เป็นอากาศที่ว่างที่คุณไม่อาจแสวงหาการรวมตัวได้ เพราะไม่มีสิ่งใดให้รวมตัวหรือพักพิง มีเพียงประกายแสงแห่งพลังงานที่ล่องลอยอยู่ ซึ่งอาจเบี่ยงเบนหรือส่งผ่านเข้าไปได้ นั่นคือนิยามแห่งจิตในกรณีเช่นนี้ จิตในที่นี้เป็นพลังงานลวงหลอกที่อาจเบี่ยงเบนไปสู่สถานการณ์แบบอื่น ๆ หรืออาจแปรรูปเป็นสถานการณ์ที่ถูกต้องได้ โอกาสที่บุคคลจะปลดปล่อยตนเองเข้าสู่สัมโภคกายภาวะแห่งตถาคตทั้งห้านั้นขึ้นอยู่กับว่า ยังมีความพยายามที่จะเล่นเกมส์แบบเดิมอยู่อีกหรือไม่ ในเวลาเดียวกันที่เราประสบอยู่กับสถานการณ์อันคมชัดและเร้าใจอยู่นี้ก็จะบังเกิดอาการทวนกลับไปมาของภูมิทั้งหกแห่งประสบการณ์ บาร์โด การรับรู้ภูมิทั้งหกและการรับรู้ตถาคตทั้งห้านั้นจะเป็นภาวะเดียวกันแต่มีหลายแบบ ดูเหมือนว่าผู้ที่ได้พบเห็นตถาคตทั้งห้ามักเป็น ผู้ที่มีความสามารถอย่างใหญ่หลวง ในการธำรงสายสัมพันธ์ระหว่างกายเนื้อและจิตใจไว้ได้อย่างเป็นไปเอง ไม่มีการแบ่งแยกระหว่าง มโนวิญญาณของร่างกายกับจิตใจ ทั้งคู่เป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่มีความขัดแย้งใด ๆ บังเกิดขึ้น คัมภีร์เล่มนี้กล่าวไว้ว่า นับแต่คุณได้ตื่นจากภาวะซึมซาบดื่มด่ำใจกายอย่างไร้สำนึก คุณมีประสบการณ์แห่งนิมิต รวบรัดแจ่มชัด และแม่นยำ ใสสว่างและน่าเกรงขาม คล้ายดังการแลเห็นภาพลวงตาในทุ่งกว้างแห่งฤดูใบไม้ผลิ คุณจะได้สดับเสียงที่กึกก้องดุจดังสายฟ้าฟาดทั่งทั้งธรณี ในสภาพแห่งจิตมีความรู้สึกปลดปล่อยและลอยตัว ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกเหมือนถูกท่วมทับด้วยปัญญานานา เปรียบดังมีศีรษะ แต่ปราศจากกาย ศีรษะขนาดมโหฬารลอยล่องอยู่ ณ อากาศเวิ้งว้าง ด้วยเหตุนี้มิมิตอันแท้จริงในสภาวะบาร์โดจึงแจ่มใส ชาญฉลาด และ สุกสว่างยิ่งนัก แต่กลับจับต้องไม่ได้ คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคุณกำลังอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด มีเสียงกึกก้องระรัว คำรามอยู่เบื้องหลัง แผ่นดิน ก็สั่นไหว แต่กลับดูเหมือนว่าไม่มีสิ่งใดไหวติงเลยในขณะนั้น ถึงแม้ว่าภาพนิมิตในบาร์โดจะแจ่มชัดและดูลวงหลอกได้แนบเนียน อันเนื่อง มาจากการหย่าขาดจากร่างกายก็ตามที ประสบการณ์ไกล้เคียงกันนี้ก็อาจอุบัติได้ในชีวิตประจำวันเช่นกัน แม้ในชีวิตธรรมดาภาพลวงตา จะดูไม่สมจริง แต่ก็ยังมีคุณลักษณ์แห่งความไร้ชีวิตจิตใจทำงานอยู่ รวมทั้งความเปล่าเปลี่ยวและความไม่แน่ไม่นอนด้วย เมื่อผู้คนเริ่มตระหนัก ว่าพวกเขาสุญเสียที่มั่นที่ใช้สัมพันธ์อ้างอิงเช่นตัวตนไปแล้ว ประสบการณ์แห่งความอ้างว้างเหลือประมาณนี้ย่อมนำมาซึ่งความสั่นคลอนสั่นไหว อันสุดแมนจะทนทาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 05 เมษายน 2557 21:51:28 » |
|
วันที่หนึ่ง มีข้อความกล่าวในคัมภีร์เล่มนี้ว่า ภายหลังที่ไม่รู้สึกตัวมาเป็นวันที่สี่ บุคคลจะตื่นขึ้นสู่แสงสุกใส อันก่อให้เกิดความเข้าใจในทันทีว่าตนเอง ได้อยู่ในสภาวะบาร์โด และวินาทีนั้นเองที่ประสบการณ์สังสารวัฏจะฉายฉาน มีการรับรู้ถึงแสงสว่างและจินตภาพอันเป็นด้านผกผันแห่งกายและรูป แทนที่มันจะปรากฏตนรูปอันจับต้องได้ มันกลับปรากฏตนในรูปที่จับต้องไม่ได้ จากนั้นคุณก็ได้ประจักษ์กับแสงเจิดจรัส อันเป็นการเชื่อมโยงกันของกายและปัญญา ถึงแม้เราจะถูกดูดซึมเข้าสู่ภาวะสุกใส ภูมิปัญญาก็ยังคง ดำเนินต่อไปอย่างแหลมคมและแจ่มชัด พร้อม ๆ กับความเจิดจรัส และแล้วกายเนื้อ กายจิต ปัญญา และใจอันปราดเปรื่องก็จะสูญสลายสู่ อากาศธาตุ ในกรณีเช่นนี้ พื้นที่ว่างแห่งอากาศธาตุจักเป็นสีคราม นิมิตที่ปรากฏขึ้นไดพ้แก่พระไวโรจนพุทธ พระไวโรจนพุทธนั้นได้แก่พระพุทธองค์ที่ปราศจากด้านหน้าและด้านหลัง พระองค์เป็นรูปนิมิตที่แผ่ไพศาลซึมซาบไปในทุกแห่งหนโดยปราศจากศูนย์กลางแน่ชัด ดังนั้นพระองค์ จึงปรากฏกายในท่วงท่าขัดสมาธิมีพระพักตร์สี่ด้านทอดพระเนตรออกไปในทิศทั้งสี่ มีพระวรกายสีขาว นั้นเป็นเพราะว่าการรับรู้ของพระองค์ นั้นไม่ต้องการสีสันอื่นเจือปน คงไว้แต่สีสันเดิมอันเก่าแก่เท่านั้น อันได้แก่สีขาว พระองค์ทรงถือธรรมจักร อันเป็นสัญลักษณ์แสดงถึง การไปพ้นจากกาละและเทศะ สัญลักษณ์โดยรวมของพระไวโรจนะพุทธ ได้แก่การปราศจากที่มั่นศูนย์กลาง และการครอบครองมุมมอง อันไพศาล ทั้งจุดศูนย์กลางและวงรัศมีดำรงอยู่ ณ ทุกแห่งหน เป็นการเปิดเผยจิตใจอย่างสิ้นเชิง พร้อม ๆ กันนั้นก็บังเกิดนิมิตแห่งภูมิเทพเทวาขึ้น ภาพที่กว้างใหญ่ไพศาลปราศจากจุดศูนย์กลางก่อให้เกิดความหวาดหวั่นนั้นเป็นเพราะว่า เราไม่มีที่พักพิงอีกต่อไป ทว่าประกายนวลใสแห่งสีขาวจักเปรียบประดุจดังตะเกียงในพายุมืด ซึ่งเราจะมุ่งหน้าเข้าหามัน ภูมิแห่งเทพเทวานั้นมักปรากฏในชีวิตประจำวันของเราเสมอ เมื่อใดก็ตามที่เราอยู่ในภาวะดิ่งนิ่งอยู่ใต้สภาวะปีติสุขและเริงรื่นคล้ายกับเข้าฌาน เมื่อใดที่ความปีติสุขเช่นนี้บังเกิดขึ้น ด้านตรงข้ามของมันอันได้แก่การใช้ศูนย์กลางก็อาจเกิดขึ้น มันเป็นสิ่งที่น่าขุ่นเคืองอย่างยิ่ง ไม่น่ายินดีเลย เพราะไม่มีสิ่งใดให้เราได้คลอเคลีย ไม่มีที่ให้เราแสวงหาความเพลิดเพลินใจ เป็นการดีที่เราจะแลเห็นทุกสิ่งได้กว้างไกล แต่หากปราศจากคนที่รับรู้สิ่งเหล่านั้นเสียแล้ว เรื่องเช่นนี้กลับน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ความขัดแย้งระหว่างภูมิแห่งเทพเทวากับคุณลักษณ์แห่งพระไวโรจนพุทธ นั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในชีวิตเรา บ่อยครั้งทีเราต้องเป็นผู้ตัดสินว่า เราจักยึดมั่นอยู่กับสิ่งซึ่งเป็นต้นตอศูนย์กลางแห่งความสุขใจ หรือว่า จะก้าวเข้าไปสู่ความเปิดโล่งอันบริสุทธิ์ผุดผ่องที่ปราศจากศูนย์กลางดี ประสบการณ์ดังกล่าวเกิดจากความก้าวร้าว เพราะความก้าวร้าวจะฉุดรั้งเราให้ถอยหลังกลับและปิดบังเราจากการแลเห็น พระไวโรจนพุทธ ความก้าวร้าวเป็นสิ่งทึบตันอึดอัด เมื่อเราตกอยู่ภายใต้ความเกลียดชัง ก็เปรียบเสมือนการกลายเป็นตัวเม่นที่ทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องตนเอง จากการแลเห็นได้กว้างไกล เราไม่ต้องการจะมีสี่หน้า แม้ดวงตาข้างเดียวเราก็ไม่ปรารถนา เป็นเรื่องของการหมกมุ่นกับตนเองอย่างรุนแรง นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมความก้าวร้าวจึงผลักไสเราจากคุณลักษณ์อันเปิดโล่งแห่งพระไวโรจนพุทธ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: 05 เมษายน 2557 21:52:11 » |
|
วันที่สอง เมื่อพ้นจากธาตุน้ำ แสงนวลขาวก็ริบหรี่ลง และในทางทิศตะวันออก ณ ภูมิแห่งสุขาวดี พระตถาคตวัชรสัตว์ หรือพระอักโษภยพุทธจะ ปรากฏขึ้น
คำว่า อักโษภยะแปลว่า ผู้ไม่หวั่นไหว และวัชรสัตว์ แปลว่า สรรพสัตว์ที่มีคุณลักษณ์ดุจดังวัชระหรือเพชร ทั้งสองคำนี้หมายถึง ความแข็งแกร่ง ความหนักแน่น ในตำนานโบราณของชาวอินเดีย วัชระ ได้แก่ อัญมณีสูงค่าหรือสายฟ้า ที่สามารถทำลายล้างอาวุธ หรืออัญมณีอื่น ๆ ได้ แม้กระทั่งเพชร ตำนานเล่าว่ามีฤษีตนหนึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุเป็นเวลานานนับศตวรรษ เมื่อ ฤษีตนนี้ดับชีพลง กระดูกของท่านได้กลายเป็นวัชระ พระอินทร์ได้เสด็จมาพานพบเข้าและนำติดตัวกลับไปทำเป็นอาวุธ เป็นวัชรศาสตรา ที่แหลมคมในทุกเหลี่ยมมุม วัชรศาสตรานั้นมีคุณลักษณ์เด่น สามประการ ได้แก่ หนึ่ง มันไม่อาจนำไปใช้อย่างพร่ำเพรื่อ สอง มันมีอำนาจสูงสุดในการทำลายคู่ต่อสู้ สาม มันจะย้อนกลับคืนสู่ผู้เป็นเจ้าของเสมอ มันเป็นอาวุธที่ทำลายไม่ได้ แข็งแกร่งและทรงพลังมาก
พระตถาคตวัชรสัตว์-อักโษภยะทรงถือวัชระห้าแยก อันมี ความแกร่งเป็นเลิศ ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์กุญชร ศักติหรือเทวีของพระองค์ ได้แก่ โลจนะพุทธะหรือดวงเนตรแห่งพุทธะ ในตำนานทางพุทธธรรมมีดวงเนตรอยู่ห้าประเภท เนตรแห่งกาย เนตรแห่งพุทธะ เนตรแห่งภูมิปัญญา เนตรแห่งสรวงสวรรค์ เนตรแห่งธรรมะ ในที่นี้เนตรแห่งพุทธะ หมายถึง การตรัสรู้แจ้งแล้ว คุณอาจครอบครอง สถานการณ์ที่แข็งแกร่ง มั่นคง แต่หากคุณไม่สามารถทำการสื่อสารกับสภาวะแวดล้อมได้ คุณจะเริ่มเซื่องซึมเฉื่อยชา ด้วยเหตุนี้คุณลักษณ์ แห่งอิตถีเพศจะเป็นตัวเปิดทางให้ นางเป็นผู้จัดการหาหนทางออกหรือการเคลื่อนไหวให้กับสรรพสิ่ง เป็นองค์ประกอบของการสื่อสาร ที่โยกย้ายความเย็นชาสู่การเลื่อนไหล เป็นสถานการณ์อันมีชีวิตยิ่ง
ผู้ติดตามอีกท่านหนึ่งได้แก่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ คำว่า กษิติครรภ์ หมายถึง ครรภ์แห่งแผ่นดิน พระองค์เป็นตัวแทนแห่งความสมบูรณ์ และความงอกงาม เป็นรูปแบบของการเผยแพร่คำสอนอีกแบบหนึ่งของพระพุทธองค์ พระองค์มักร่วมทางมากับพระเมตไตรยโพธิสัตว์ โพธิสัตว์ผู้ทรงไว้ซึ่งความเมตตา ความแข็งแกร่งมั่นคง ความอุดมสมบูรณ์ ต้องพึ่งพาอารมณ์อ่อนโยนเมตตา เพื่อนำความมีชีวิตชีวา ถ่ายทอดสู่สิ่งที่แข็งกระด้าง ความกรุณาในที่นี้ก่อจากความรักอันไพศาล หาใช่ความกรุณาที่มุ่งแต่ตนเองไม่
ลำดับต่อมาได้แก่โพธิสัตว์สตรีนาม ลาสยา เป็นโพธิสัตว์แห่งการเริงร่ายหรือท่วงท่ามุทรา นางเป็นเทพีที่เลศในการแสดงมากกว่าการเริงรำ เป็นผู้แสดงให้เห็นถึงความงามและความสูงค่าแห่งร่างกาย เป็นความสง่างามและความเย้ายวนแห่งอิตถีเพศ นอกจากนี้ยังตามติดด้วยบุษบา เทวีแห่งบุปผาลดาวัลย์อันเป็นองค์คุณโพธิสัตว์แห่งทัศนียภาพ ทิวทัศน์และฉากประเทศ
สิ่งที่พ้นไปจากรูปขันธ์คือ ลำแสงที่สุกใสดุจกระจกแก้วและสว่างแวววาวแจ่มใสและเจิดจรัส ซึ่งฉายฉานจากดวงหทัยของวัชรสัตว์และชายาประจำองค์ พร้อมกันนี้ลำแสงจากนรกภูมิที่มีสีเทาสลัวปราศจากความใสสว่างก็จักบังเกิดขึ้นด้วย เมื่อผู้คนโดยทั่วไปได้ประสบพบกับคุณลักษณ์ อันสูงส่งแห่งวัชระเลอคำ เขาจักรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งซับซ้อน ดังนั้นเขาจึงหันเหความสนใจไปยังแสงสีเทาที่เกี่ยวโยงกับนรกภูมิ อันเป็นความ หวาดระแวงซึ่งสัมพันธ์เชื่อมโยงกับคุณลักษณ์ทางด้านปัญญาของวัชระ ในการจะทำความเข้าอกเข้าใจเหตุการณ์ได้อย่างถ่องแท้นั้น คุณจำต้องแลเห็นอย่างชัดแจ้งว่าเกิดข้อผิดพลาดประการใดขึ้น มากกว่าจะเฝ้าค้นหาในสิ่งที่ถูกต้อง นี่แลคือคุณลักษณ์แห่งปัญญาอันเป็นธรรมชาติ สูงส่งของวัชรสกุลเป็นทัศนคติที่เปี่ยมไปด้วยเหตุผล ปัญญาญาณของคุณจะตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดินอันหนักแน่นหรือความเป็นปกติสามัญได้ มันย่อมกวนก่อความหวาดระแวงให้ตามติดมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 05 เมษายน 2557 21:53:09 » |
|
วันที่สาม เมื่อเวลาผ่านไป คุณลักษณ์แห่งธรรมธาตุของไวโรจนพุทธจักสร้างขอบเขตที่ว่างอันเวิ้งว้างขึ้น ส่วนคุณลักษณ์แห่งพระวัชรสัตว์ - อักโษภยพุทธ จักก่อให้เกิดความแข็งแกร่ง แข็งกร้าว และแล้วนิมิตแห่งรัตนสัมภวพุทธ จักปรากฏขึ้น รัตนสัมภวพุทธเป็นนิมิต แห่งสกุลรัตนะ ซึ่งกำเนิดจากความรุ่มรวยและความสง่างามสมเกียรติ ความมั่งคั่งจักแผ่กระจายไปในทุกแห่งหน โดยมีพื้นฐานจากความแข็งแกร่งร่ำรวยและแผ่ไพศาล ด้านเลวร้ายของคุณลักษณ์แห่งรัตนะได้แก่ อาศัยความรุ่มรวยรุกล้ำไปในดพินแดนของผู้อื่น รุกล้ำเข้าไปใน ดินแดนอันว่างเปล่า เป็นการแผ่ขยายทานกรุณาอย่างเกินขอบเขต ทำให้ปิดกั้นการสื่อสารอันเหมาะควร รัตนสัมภวพุทธนั้นมีพระวรกายสีเหลืองอันหมายถึงโลก เป็นความงอกงามอุดมมั่งคั่ง พระองค์ทรงถือดวงมณีอันบ่งบอกถึง การหย่าขาด จากความยากจน ศักติของพระองค์มีนามว่ามามากีอันหมายถึงสายน้ำ ความสมบูรณ์แห่งผืนแผ่นดินย่อมต้องพึ่งพาแหล่งน้ำเป็นสำคัญ พระโพธิสัตว์ที่ร่วมทางมาด้วยได้แก่ อากาศครรภ์ หรือ ครรภ์แห่งผืนฟ้า ผืนดินอันอุดมย่อมต้องการที่ว่างเพื่อใช้แลดูทัศนียภาพรอบ ๆ นอกจากนี้ยังมีพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ผู้ถึงพร้อมด้วยมหาจริยาและมหาปณิธาน ผู้คงความแข็งแกร่งของโลกโดยพื้นฐานไว้ ความแข็งแกร่งนั้นเป็นองค์ประกอบสำคัญในมณฑลทั้งหมดแห่งสกุลรัตนะ ในวัฒนธรรมเก่าแก่แห่งการเลือกที่เพาะปลูกหว่านไถ ใหม่นั้น ( ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลและพัฒนามาจากวัฒนธรรมบอนของธิเบต ) คุณไม่อาจสุ่มหาที่ตั้งโดยปราศจากปัจจัยทางจิตวิทยาเข้ามา เกี่ยวข้อง ตำแหน่งสถานที่ต้องกอปรด้วยความรู้สึกว่างโล่งแห่งทิศตะวันออก ( บูรพา ) ความหอมหวานชื่นใจแห่งทิศใต้ ( ทักษิณ ) โดยอาศัยลำธารและสายน้ำ ความรู้สึกหนักแน่นแห่งทิศตะวันตก ( ปราจีน ) โดยอาศัยก้อนหินศิลาเป็นสำคัญ ความรู้สึกปกป้องแห่งทิศเหนือ ( อุดร ) โดยอาศัยทิวเขาเป็นแนวหลัก รวมทั้งการพิจารณาการไหลบ่าของทางน้ำโดยยึดรูปร่างแผ่นดินเป็นหลัก และบริเวณที่ใกล้เคียงกับ น้ำพุหรือตาน้ำ มักจะมีจุดที่ไม่ชื้นแฉะและมีแหล่งหินอันเหมาะสมในการเพาะปลูกสร้างเคหะสถาน ตำแหน่งที่มีแหล่งหินล้อมรอบด้วย ที่ตั้งและรูปร่างลักษณะอันถูกต้องเรียกขานกันในนามว่า สมันตภัทรปริมณฑล นอกจากนี้ สมันตภัทรโพธิสัตว์ยังข้องเกี่ยวกับแรงบันดาลใจ และความคิดด้านบวก เป็นความเชื่อมั่นศรัทธาและจิตใจอันดีงามที่มองไปในอนาคตเบื้องหน้า รัตนะสัมภวพุทธจะร่วมทางกับศักตินาม มาลา เทวีที่ประทานให้ซึ่งเครื่องหอม พวงมาลา สร้อยคอ กำไลมือ และเครื่องประดับต่าง ๆ โพธิสัตว์สตรีอีกนางหนึ่งได้แก่ ธูป เทวีอันทรงไว้ซึ่งกำยานของหอม นางเป็นตัวแทนแห่งกลิ่นหอมจรุงใจในสภาพธรรมชาติแห่งพื้นพิภพ เป็นอากาศบริสุทธิ์ที่ปราศจากมลภาวะ เป็นสถานที่บริเวณอันพืชพันธุ์จะผลิใบแตกหน่อและสายน้ำจะไหลรินโคจร แสงสว่างที่ผูกพันกับสกุลรัตนะได้แก่่่่แสงเหลืองนวลที่สงบรำงับไม่พร่ามัว แต่ดูราวกับว่าคุณลักษณ์อันรุ่มรวยและละเอียดอ่อนของ รัตนปริมณฑลสูงส่งและซับซ้อนเกินไป ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ว่าบุคคลจะพลัดหลงไปสู่ซอกมุมโสมมและพึงใจอยู่แต่ตนเองอันเป็น มุมอับเล็ก ๆ ของความเย่อหยิ่ง ซึมเซา แห่งมนุษย์ภูมิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 05 เมษายน 2557 21:55:57 » |
|
วันที่สี่ ในวันที่สี่จักถึงคราธาตุบริสุทธิ์แห่งไฟ ที่ปรากฏตนในรูปพระอมิตาภพุทธในปัทมสกุล พระอมิตภพุทธ หมายถึง พระผู้มีรัศมีหาที่สุดมิได้ คุณลักษณ์สำคัญแห่งปัทมสกุลได้แก่ความดึงดูด ความเย้ายวน ความเชื้อเชิญและอบอุ่น ความเปิดโล่ง และกรุณาคุณ รัศมีนั้นหาที่สุดมิได้ นั่นเป็นเพราะมันได้สาดส่องไปตามธรรมชาติ มิได้ร้องหารางวัลตอบแทนใด ๆ เป็นคุณลักษณ์แห่งธาตุไฟที่มิใช่ความก้าวร้าวชิงชัง หากแต่ ทำการเผาผลาญในทุกสิ่งโดยปราศจากการเลือกที่รักมักที่ชัง
พระอมิตาภพุทธทรงถือดอกบัวหรือปัทมะไว้ในมือ อันมีความหมายดังข้างต้น ดอกบัวจะแย้มบานเมื่อจันทราหรือสุริยาสาดฉายมาต้อง มันจะแย้มกลีบออกรับแสง ประดุจดังว่าทุกสถานการณ์จะได้รับการต้อบรับเสมอ นอกจากนี้มันยังแฝงคุณสมบัติแห่งความบริสุทธิ์เลอค่า ความเอื้ออาทรเช่นนี้อุบัติจากโคลนตมและฝุ่นผงแต่หาแปดเปื้อนแม้แต่น้อย พระองค์ทรงพาหนะมยุราอันหมายถึงความเปิดกว้างและ การตอบสนอง ในตำนานโบราณมยุราจักได้รับการชุบเลี้ยงโดยมียาพิษเป็นภักษาหาร สีสันบนตัวกำเนิดจากโอสถพิษอันร้ายแรง โดยอาศัยการเปิดเผย เปิดกว้าง ทำให้มันสามารถเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันเลวร้ายได้อย่างไม่หวั่นไหว จริงแล้วความกรุณาจักอาจหาญร่าเริงได้ถึงขีดสุดก็ต่อเมื่อยามเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันเลวร้ายเท่านั้น
ชายาของพระองค์ได้แก่ปันฑราสาสินี หรือนางในอาภรณ์ชุดขาว อันเกี่ยวข้องกับตำนานเก่าแก่ของอินเดียที่กล่าวถึงภูษาอันถักทอ จากใยหิน ซึ่งจะชำระล้างมลทินได้โดยเปลวไฟเท่านั้น นางเป็นตัวแทนแห่งอัคคีที่เผาผลาญทุกสิ่ง และเผยให้เห็นถึงผลจากการแผดเผา อันได้แก่ความบริสุทธิ์และความกรุณาอันเปี่ยมล้น
นอกจากนี้ยังปรากฏองค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเจ้า ผู้ทรงความการุณย์ พระองค์ทรงทอดพระเนตรไปในทุกแห่งหน อันเป็นการแสดง ออกถึงปัญญาญาณขั้นสูงสุดของความกรุณา ที่ใดก็ตามที่ปรารถนาความกรุณา ท่านก็จักปรากฏตัวขึ้นดังสภาพธรรมดาสามัญ เฉียบคมและ เป็นไปโดยพลัน หาใช่ความกรุณาแบบบอดใบ้หรือปัญญาอ่อน แต่เป็นความกรุณาอันชาญฉลาดที่ปฏิบัติตนได้ดีเลิศ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ที่ปรากฏตนในที่นี้ด้วยนั้น แสดงให้เห็นถึงกลไกแห่งความกรุณา เป็นกลไกที่อุบัติจากปัญญามากกว่าอาศัยแรงกระตุ้นทางอารมณ์เพียงถ่ายเดียว พระมัญชุศรีโพธิสัตว์เป็นผู้ก่อกำเนิดสรรพเสียงที่ใช้ติดต่อแสดงความกรุณา พระองค์เป็นตัวแทนแห่งถ้อยคำของความว่างอันเป็นบ่อเกิด ของถ้อยคำทั้งปวง
สำหรับ คีตา โพธิสัตว์สตรีแห่งบทเพลง นางเป็นผู้ขับร้องท่วงทำนองแห่งพระมัญชุศรี ส่วนอโลคาเทวี คือโพธิสัตว์สตรีที่ถือดวงตะเกียง หรือคบเพลิง กระบวนการทั้งหมดแห่งความกรุณานั้นมีทั้ง จังหวะ ทำนอง และแสงสว่าง มีทั้งความลึกล้ำแห่งปัญญาและความแหลมคมอันทรงประสิทธิภาพ มีทั้งคุณสมบัติแห่งความบริสุทธิ์ของพุทธะเช่นเดียวกับคุณลักษณ์อันแผ่ไพศาลของพระอมิตาภพุทธ
ทั้งหมดนี้คือเทพแห่งปัทมสกุล ที่อยู่เหนือสัญญาขันธ์และเจิดจ้าด้วยลำแสงสีแดงแห่งภูมิปัญญาอันตระหนักแจ้งไม่เบี่ยงเบนเป็นสมบัติ ความกรุณานั้นคมชัดและเที่ยงตรง มันจึงจำต้องอาศัยปัญญาที่รู้จักแยกแยะซึ่งมิได้หมายถึงการเลือกยอมรับหรือปฏิเสธ แต่หากหมายถึง การแลเห็นสรรพสิ่งดังความเป็นจริง
ในคัมภีร์เล่มนี้ปัทมสกุลและความกรุณาเกี่ยวข้องกับเปรตภูมิอันทำให้เกิดข้อโต้แย้งบางประการ เพราะอารมณ์ปรารถนามักผูกพัน กับมนุษย์ภูมิเป็นที่ตั้ง คุณลักษณ์มากมายแห่งปัทมสกุลไม่ว่าจะเป็นความแหลมคม ความแจ่มชัด ความลึกล้ำ และความสูงส่งนั้นมักท่วมท้น มากล้นจนในบางครั้งคราบุคคลปรารถนาจะบอดใบ้อยากจะหลบหนีจากสิ่งสมบูรณ์พร้อมเช่นนี้และไปเพลิดเพลินกับอารมณ์อันเย้ายวนแทน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 05 เมษายน 2557 21:57:58 » |
|
วันที่ห้า ในวันที่ห้ากรรมสกุลจักปรากฏตนขึ้น พร้อมกับคุณสมบัติใสสะอาดแห่งอากาศหรือสายลม แสงสาดส่องฉายฉานในที่นี้ได้แก่แสงสีเขียว เป็นสีแห่งความอิจฉาริษยาจากดินแดนแห่งกรรมที่สั่งสม พระอโฆสิทธิพุทธได้ปรากฏขึ้น กรรมสกุลนั้นข้องเกี่ยวกับการกระทำ ความสำเร็จ และประสิทธิภาพ ที่บังเกิดมีนั้นช่างทรงพลังและยากจะต้านทานได้ ดังนั้นมันจึงถูกมองว่าเป็นตัวทำลายล้างด้วยเช่นกัน พระอโฆสิทธิ หมายถึงการสำเร็จกิจทุกประการและบรรลุถึงอำนาจทั้งปวง
พระอโฆสิทธิพุทธทรงถือวัชระไขว้ไว้ในมือ วัชระนั้นเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จในทุกขอบข่ายแห่งการกระทำ เป็นความแข็งกร้าว แข็งแกร่ง และไม่อาจขจัดทำลายได้ดังที่ได้เคยกล่าวถึงวัชรสกุล วัชระไขว้เป็นตัวแทนแห่งกิจการงานที่ได้รับการตรวจตราอย่างถี่ถ้วน เป็นการใส่ใจในทุกแง่มุม เป็นวัชระอันหลากสีสัน พระอโฆสิทธิพุทธจะทรงประทับนั่งอยู่บนชาง-ชาง อันเป็นสัตว์จำพวกครุฑ ครุฑประเภทนี้เชี่ยวชาญอย่างล้นเหลือในทางดุริยศาสตร์ ชาง-ชางจะถือฉิ่งไว้ในมือทั้งสองข้างขณะที่แบกพระอโฆสิทธิพุทธไว้บนหลัง ก่อให้เกิดภาพพจน์อันน่าเกรงขามและเป็นสัญลักษณ์ แห่งความสำเร็จในกาลทั้งปวง ชาง-ชางเป็นยอดแห่งวิหค เป็นวิหคชั้นสูงที่สามารถโผบินไปทั่วสากลจักรวาล บุกฝ่าไปทุกแห่งหน
ชายาประจำตัวของท่านนั้นได้แก่ สัมมายะ-ธารา เป็นเทพีแห่งถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ หรือในนามแห่งสัมมายวาจา ในพระสูตรแห่งตันตระ มีการตีความคำว่าสัมมายะแตกต่างกันไป ทว่าในกรณีดังกล่าวนี้ มันมีความหมายถึงความสมหวังอันเต็มเปี่ยมในสถานการณ์ขณะนั้น
พระโพธิสัตว์ที่ร่วมขบวนในกรรมสกุลนั้นได้แก่ วัชรปาณีหมายถึงผู้ทรงวัชระไว้ในฝ่ามือ เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงการธำรงไว้ซึ่งพละ กำลังอันมหาศาล ท่านทรงเป็นองค์คุณโพธิสัตว์แห่งพลังติดตามด้วยท่านศรวณี-วิศคันภิม ผู้ขจัดเสียซึ่งนิวรณ์ขวางอารมณ์หากนิวรณ์ เข้าครอบงำในระหว่างกระทำกรรม ซึ่งเกิดจากความเข้าใจผิดหรือความไม่สามารถสัมผัสกับปัจุบันขณะ ดังนั้นท่านจะเข้ามาขจัดล้าง นิวรณ์และเปี่ยมล้นด้วยอำนาจแห่งชัยชนะ
โพธิสัตว์สตรีแห่งกรรมสกุลนั้นได้แก่ คันธะ และไนเวทยะ คันธะเป็นเทวีแห่งน้ำปรุงเครื่องหอม นางถือหัวน้ำหอมที่ทำจากโอสถ สมุนไพรนานาชนิด อันแสดงถึงประสาทสัมผัส ในการประกอบกิจการอันเป็นกุศล คุณจำเป็นต้องมีประสาทสัมผัสอันฉับไว ส่วน ไนเวทยะนั้นเป็นผู้ประทานซึ่งอาหารหล่อเลี้ยง เป็นภักษาหารแห่งสมาธิภาวนาที่บำรุงเลี้ยงกิจการอันเชี่ยวชาญ
กรรมสกุลนั้นอยู่เหนือสังขารปรุงแต่ง และเชื่อมโยงอยู่กับอสุรภูมิ อีกครั้งหนึ่งที่ภูมิปัญญาได้ทำการเผชิญหน้ากับความสับสนหรืออวิชชา และทั้งคู่ต่างก็ปองหมายในสิ่งเดียวกัน อันได้แก่การครอบครองกักขัง ทว่าภูมิปัญญานั้นครอบครองโอกาสความเป็นไปได้ทั้งปวง ในขณะ ที่ความสับสนครอบครองกระบวนการคับแคบในการจัดการกับปัญหา นั้นเป็นเพราะว่าภูมิปัญญาล้วนแจ่มชัดต่อหนทางขจัดปัญหา นั้นเป็น ไม่ว่าจะเป็นในแง่อัตวิสัย - สภาววิสัย การใช้พลกำลัง พื้นผิว อารมณ์ ความเข้มข้น ความเร่ง พื้นที่ว่างหรือสิ่งใด ๆ อื่น ในขณะที่ความสับสนแทบไม่เคยพัฒนาตนเองหรือแผ่ขยายแนวคิดหนทางใด ๆ เลย ความสับสนเป็น ปัญญาล้าหลังต่ำทราม ในขณะที่ความชาญฉลาดคือปัญญาที่พัฒนาถึงขีดสุดแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: 05 เมษายน 2557 21:58:55 » |
|
วันที่หก บัดนี้ถึงวาระที่บรรดาเทพแห่งสันติสี่สิบสององค์ ตถาคตทั้งห้า จตุรบาลทั้งสี่ เทวีทั้งสี่และภูมิทั้งหกอุบัติขึ้นอย่างพร้อมเพรียง เราตกอยู่ ในสถานการณ์ที่สับสนอลหม่าน ตถาคตทั้งห้าจักเติมเต็มที่ว่างจนแน่น ในทุกทิศทาง ในทุกแง่มุมของอารมณ์ ไม่มีรอยปริรอยแยก ไม่มีการหลบหนี ไม่มีการเบี่ยงเบน ทวารผ่านเข้าออกทั้งสี่จักถูกเฝ้าระวังโดยเทพเฮรุกาทั้งสี่ นายทวารแห่งทิศบูรพาเป็นที่รู้จักกันในนามของผู้พิชิต ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความสงบสันติ ทว่าท่านกลับปรากฏตนในรูปของ ความพิโรธโกรธเกรี้ยว จนทำให้เกิดความเกรงขามสะพรึงกลัว จนคุณไม่กล้าจะฝ่าออกไป ท่านเป็นตัวแทนแห่งสันติสุขที่ไม่มีทางหักล้าง ทำลายหรือสั่นคลอนได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมท่านจึงได้รับสมญาว่าผู้พิชิต นายทวารแห่งทิศทักษิณนั้นได้แก่ปรปักษ์แห่งยมราชท่านข้องเกี่ยวกับกรรมที่เพิ่มพูนซึ่งความมั่งคั่ง ความมั่งคั่งในเชิงธรรมดาสามัญนั้นมี ข้อจำกัดแห่งสถานที่และเวลา ดังนั้นผู้ที่ผ่านพ้นข้อจำกัดเหล่านี้ไปได้ย่อมเป็นปรปักษ์อันกล้าแข็งแห่งยมราชในทิศหรดีนั้นเป็นเทพหยครีวะมีศรีษะเป็นม้าท่านเป็นสัญลักษณ์แห่งการตักเตือนภัย เนื่องจากเสียงอาชานั้นสามารถปลุกคุณจากอาการ หลับใหลได้ในทุกสถานการณ์ สัญญาณเตือนภัยนั้นข้องเกี่ยวกับการดึงดูด อันเป็นความปรารถนาที่กอปรด้วยปัญญา แทนที่คุณจะตกอยู่ภายใต้อาการหลงใหล คุณกลับจะได้รับการปลุกให้ตื่น ในทิศทักษิณนั้นนายทวารบาลได้แก่ ท่านอมฤตากุนดาลี วงแหวนแห่งอมฤต อันหมายถึงยาขจัดพิษ ท่านทรงเกี่ยวข้องกับความตาย และมรณกรรม ถ้าแรงกระตุ้นจากความสิ้นหวังนั้นรุนแรงจนบุคคลถึงกับสังหารตนเอง ยาขจัดพิษจักปกปักชีวิตคุณไว้ การฆ่าตัวตายหาใช่ ทางออกไม่ บัดนี้คุณได้รวบรวมคุณสมบัติสี่ประการไว้ในตน อันได้แก่ การธำรงอย่างสงบในชัยชนะชั้นสูง การไปพ้นข้อจำกัดแห่งเวลาและ สถานที่ การสร้างสัญญาณเตือนตนจากความหลงใหล การสร้างยาขจัดพิษภัยเพื่อทำลายล้าง การสังหารตนเอง บัดนี้คุณได้ถูกจับยึดอยู่ อย่างหมดหนทางหลบหนี ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหมู่เทวีที่เฝ้าพิทักษ์ทวารทั้งสี่ เทวีที่ทรงคันเบ็ด อันใช้เกี่ยวกระหวัดคุณดังปลาน้อยหากคุณคิดหลบหนี หรือในกรณีที่คุณ ก่อร่างความหยิ่งทะนง ให้ที่ว่างนั้นไม่อาจถูกคุกคามได้ เทวีที่ทรงบ่วงแส้จักจับคุณมัดนับแต่ศีรษะจรดเท้า มิให้คุณทำการแผ่ขยายความหยิ่ง ทะนงไปได้ หนทางหลบอีกประการหนึ่งได้แก่การทะยานวิ่งโดยอาศัยความไขว่คว้าเป็นตัวเร่ง เทวีแห่งโซ่ตรวนจักพันธนาการจนคุณไม่ อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้ และหากคุณจะใช้การข่มขวัญโกรธเกรี้ยวข่มขู่ผู้อื่นให้เปิดทางหนีแก่คุณ เทวีแห่งเสียงระฆังแก้วจะระรัวกลบเสียง คำรามก้าวร้าวและเสียงโกรธเกรี้ยวให้สงบลงครั้นแล้วคุณจะต้องเผชิญหน้ากับภูมิทั้งหกแห่งพิภพจักรวาล พระพุทธองค์แห่งเทวโลก พระพุทธองค์แห่งอสุรภูมิ พระพุทธองค์แห่งมนุษย์ภูมิ พระพุทธองค์แห่งเดรัจฉานภูมิ พระพุทธองค์แห่งเปรตภูมิ และพระพุทธองค์แห่งนรกภูมิ จักอุบัติขึ้นจากศูนย์กลางดวงหทัยของคุณ อันเป็นสถานที่ที่เชื่อมโยงอยู่กับอารมณ์ความปรารถนา และความพึงพอใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: 05 เมษายน 2557 22:00:32 » |
|
วันที่เจ็ด ในกาลต่อไป เหล่าวิทยาธรจักอุบัติเรืองรองออกจากลำคออันเป็นอวัยวะที่ใช้ในการสื่อสาร ในขณะที่เทพแห่งสันติเกี่ยวข้องกับดวงหทัย เทพพิโรธเกี่ยวข้องกับสมอง ถ้อยคำย่อมเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างขั้วทั้งสอง โดยมีวิทยาธรเป็นเทพอารักษ์เส้นทาง วิทยาธรหมายถึง ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาหรือญาณทัสนะอันมิใช่ทั้งความสงบสันติหรือก้าวร้าว หากแต่เป็นการธำรงความเป็นกลางไว้ภายใน พวกเขาช่างดึงดูดใจ ทรงพลัง และสูงส่ง เป็นตัวแทนแห่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์จากคุรุตันตระ ที่ครอบครองพลังอำนาจเหนือมนต์วิเศษแห่งจักรวาล
ในเวลาเดี่ยวกัน แสงสีเขียวแห่งเดรัจฉานภูมิจักก่อตัวขึ้นเป็นสัญลักษณ์แห่งอวิชชาและความโง่งมที่จำต้องพึ่งพาคำสอนแห่งคุรุเพื่อ ขจัดให้แจ้ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: 05 เมษายน 2557 22:02:57 » |
|
เทพพิโรธ บัดนี้เมื่อนิมิตแห่งตถาคตทั้งห้าได้แปรเปลี่ยนเป็นเทพเฮรุกาและชายาประจำตน คุณสมบัติประจำสกุลก็ย่อมดำเนินสืบเนื่องไปเปรียบดัง การแสดงหรือละครโรงใหญ่ ที่มีพละแห่ง วัชรสกุล ปัทมสกุล กรรมสกุล และสกุลอื่น ๆ เป็นตัวละครเอกมากกว่าจะยึดถืออยู่แต่ คุณสมบัติขั้นพื้นฐาน เทพเฮรุกานั้นมีสามเศียร หกกร อันเป็นสัญลักษณ์ถึงพลังแห่งการแปรเปลี่ยน ซึ่งปรากฏในตำนานการพิชิตรุทรรุทร นั้นเป็นตัวแทนของบุคคลที่ยึดมั่นในตนเองอย่างรุนแรง มีตำนานเล่าว่า ยังมีสหายสองคนเล่าเรียนศิลปวิทยาอยู่กับอาจารย์คนเดียวกัน อาจารย์ของพวกเขาสั่งสอนว่าแก่นแท้แห่งคำเทศนาที่เขาได้ถ่ายทอดให้ก็คือ การบรรลุแจ้งอย่างฉับพลัน หากบุคคลได้อุทิศตนให้แก่กิจกรรม ทั้งปวงอย่างยิ่งยวด พวกเขาจะเป็นประดุจดังเมฆาในนภากาศที่จักได้รับความสว่างโดยพลัน อันเป็นความสว่างที่แอบอยู่หลังเมฆหมอกมา แต่เดิม ศิษย์ทั้สองต่างเข้าใจนัยความหมายต่างกันไป หนึ่งได้ออกจาริกไปและเริ่มต้นขัดเกลาตนเองโดยเรียนรู้คุณสมบัติแห่งตนทั้งดีและเลวร้าย และในที่สุดก็สามารถเป็นอิสระจากคุณสมบัติเหล่านั้นไปเองโดยปราศจากการบีบคั้นพยายาม ศิษย์อีกคนนั้นเดินทางออกไปในดินแดนอัน ห่างไกลจัดสร้างโรงคณิกา ก่อตั้งซ่องโจร ใช้ชีวิตอันตำช้า เข้าปล้นชิงหมู่บ้านในละแวก เข่นฆ่าเหล่าบุรุษ และข่มขืนอิสตรีไม่ละเว้นแล้วจากนั้นทั้งคู่ได้มาพานพบกันอีกครั้งหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างตื่นตระหนกในพฤติกรรมของกันและกันที่ใช้ในการปลดปล่อยตนเอง ทั้งสองจึง ตัดสินใจเดินทางไปพบอาจารย์เพื่อให้ทำการตัดสินชี้แนะ ทั้งคู่ได้เล่าถึงประสบการณ์ที่พานพบในเวลาผ่านมา ฝ่ายอาจารย์ได้ทำการสรรเสริญ แนวทางของศิษย์คนแรกว่าเป็นไปในมรรคาอันถูกต้องและประณามแนวทางของศิษย์คนที่สองว่าเป็นอนันตริยกรรมยิ่งนัก ศิษย์คนที่สองทน รับการตำหนิประณามและแลเห็นสิ่งที่เขาก่อร่างนั้นพินาศย่อยยับไปไม่ได้ เขาจึงเปลือยดาบออกจากฝัก แล้วสังหารอาจารย์ของตนเสีย เมื่อสิ้นชีพลงจึงไปเกิดเป็นแมลงป่องนับห้าร้อยชาติ เป็นสุนัขจิ้งจอกห้าร้อยชาติ และยังถือกำเนิดในภูมิอันมีโทษทัณฑ์อีกคณานับ ในที่สุด แล้วเขาจึงได้รับการถือกำเนิดเป็นรุทรในภพภูมินี้ เขามีรูปกาย สามเศียร หกกร มีเขี้ยวและเล็บอันยาวโง้ง หลังจากการถือกำเนิด มารดาก็สิ้นชีพลงในไม่ช้า เหล่าเทพต่างเกรงกลัว ในเภทภัยที่จะตามติดมา พวกเทพจึงนำเขาพร้อมด้วยซากศพแห่งมารดาไปไว้ในสุสานและกลบหลุมฝังเสีย ทว่าทารกน้อยนั้นกลับรอดชีวิต มาได้โดยอาศัยโลหิตและมังสาของศพมารดาเป็นอาหาร จิตใจของเขาจึงดุร้ายยิ่งนักและยังทรงพลังอันกล้าแข็ง เขาส่งเสียงขู่คำรามไป ทั่วสุสาน กำราบพวกผีป่าและเทพเป็นพวกและจัดตั้งอาณาจักรของตนเอง จนในที่สุดเขาก็สามารถครอบครองไตรพิภพไว้ได้ ในเวลานั้น อาจารย์และศิษย์อีกท่านหนึ่งได้เข้าถึงซึ่งภาวะวิมุตติสุขแล้ว ทั้งคู่คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องทำการปราบปรามรุทร ดังนั้น องค์วัชรปาณีจึงอวตารกายเป็นหยครีวะ ในกายดุสีแดงชาดและทรงร้องคำรามถึงสามครั้ง เพื่อประกาศว่าท่านได้เข้ามารุกรานอาณาจักรของรุทรแล้ว ครั้นแล้วท่านจึงชำแรกผ่านรุทรทางเวจมรรค รุทรจึงถึงซึ่งความปราชัย เขายอมรับในความพ่ายแพ้และอุทิศตนให้ใช้ ต่างพาหนะเดินทางหรือบัลลังก์ประทับ ส่วนเครื่องทรงชั้นสูงสุด อาทิเช่น มงกุฎกระโหลก สังวาลย์กระดูก หนังเสือ ผ้าคลุมไหล่ที่ทำ จากหน้ามนุษย์และหน้าคชสาร เสื้อเกราะ ปีกคู่ จันทร์เสี้ยวที่รัดเกศา และเครื่องประดับอื่น ๆ ได้กลายเป็นอาภรณ์แห่งเทพเฮรุกาในช่วงแรกจะปรากฏปฐมเฮรุกาที่หาได้เกี่ยวข้องกับปัญจสกุลเลยไม่ เฮรุกาตอนนี้เกิดจากช่องว่างระหว่างปัญจสกุล เป็นมหาเฮรุกา ที่ปลุกเร้าพลังพื้นฐานแก่เทพพิโรธทั้งปวง ในยามต่อมาจะปรากฏพุทธเฮรุกา วัชรเฮรุกา รัตนเฮรุกา ปัทมเฮรุกา และกรรมเฮรุกา หรือ พร้อมด้วยองค์ศักติประจำตน หากเขาเป็นตัวแทนแห่งพลังอันรุนแรงกล้าแข็ง และเปี่ยมล้นเบิกบานอันคุณไม่อาจท้าทายอาจหาญได้ โดยพื้นฐานแล้วคุณลักษณ์แห่งปัญจสกุลนั้นได้แก่ สภาวะอันสงบสันติ เปิดเผย และโอนอ่อน นั่นเป็นเพราะว่าสกุลเหล่านี้ได้ตั้งตระหง่าน มั่นคงจนไม่มีสิ่งใดมาสั่นคลอนสั่นไหวได้ ด้วยเหตุนี้เมื่อพละแห่งสันติได้แปรเปลี่ยนเป็นความก้าวร้าวอันรู้จักกันดีในนามของ กรุณาแห่งพิโรธธรรม จึงเป็นความรุนแรงที่ปราศจากความอาฆาตแค้นเคืองใด ๆ ครั้นแล้วเการีเทวะจักปรากฏตนขึ้น อันเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของเทพพิโรธในขณะที่เฮรุกาแห่งปัญจสกุลแสดงพละพื้นฐานดังเป็นอยู่จริง เหล่าเการีจักแสดงพละที่ไหลริน เการีขาวจักเริงร่ายอยู่บนซากศพ ภารกิจของนางได้แก่การดับสิ้นซึ่งความคิดปรุงแต่ง ดังนั้นนางจึงทรง คฑาที่ทำขึ้นจากซากศพของทารก ซากศพนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงสภาวะปกติของสรรพสัตว์ ร่างกายที่ปราศจากชีวิตก็คือสภาวะ ที่ปราศจากความคิดปรุงแต่งทุกรูปแบบ ไม่ว่าดีหรือชั่ว อันเป็นสภาวะอทวิลักษณ์แห่งจิต ส่วนเการีเหลืองจักทรงคันศรและลูกศร นั่นเป็น เพราะว่านางเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความชำนาญและสรรพความรู้ ภารกิจของนางได้แก่ การผสมรวมคุณลักษณ์เด่นสองประการนี้เข้าด้วยกัน ส่วนเการีแดงจะทรงธงชัยที่ทำขึ้นจากผิวหนังของพวกพรายทะเล พรายทะเลเป็นสัญลักษณ์แห่งห้วงสังสารวัฏ ที่ไม่อาจหลบหนีออกไปได้ การถือธงประกาศของนางนั้นหมายความว่าสังสารวัฏนั้นไม่อาจจะถูกปฏิเสธทำลาย แต่ต้องทำการยอมรับมันดังที่มันเป็นจริง ครั้นแล้ว ในเบื้องทิศบูรพาจักปรากฏเวตาลีกายสีนิล ถือทรงถ้วยวัชระและถ้วยกะโหลก นางนั้นเป็นตัวแทนแห่งคุณลักษณ์อันไม่แปรผันของธรรมดา ภาวะ วัชระนั้นเป็นอาวุธที่ไม่มีสิ่งใดทำลายได้ ส่วนถ้วยหัวกะโหลกนั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งอุปายะโกศวะ ( ความชำนาญการ ) ด้วยเช่นกัน เราจะไม่สอบสวนอะไรลึกไปกว่านี้ เพียงแต่จะให้แนวคิดหลักเกี่ยวกับพวกเการีและตัวแทนต่าง ๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับปริมณฑลอันโหดร้าย กราดเกรี้ยวเทพแต่ละองค์มีภารกิจที่ต้องแสดงอำนาจของตนอย่างเต็มที่เทพพิโรธเหล่านี้เป็นต่างตัวแทนแห่งความหวัง ส่วนเทพสันตินั้นเป็นตัวแทนแห่งความหวาดกลัว เป็นความหวาดกลัวในความหมายที่เป็น ความขุ่นเคือง นั่นเป็นเพราะว่าอัตตาตัวตนไม่สามารถจะทำการใด ๆ ได้เลย เทพพิโรธเหล่านี้ไม่อาจพิชิตได้ และไม่ต่อกรกลับด้วย ความ หวังของพลังงานพิโรธเป็นความหวังในสถานการณ์ที่สร้างสรรค์ สม่ำเสมอ ดังพลังพื้นฐานที่ดำเนินอย่างต่อเนื่อง ไม่ดี ไม่ชั่ว สถานการณ์ อาจแลดูทรงพลังอยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณ แต่จริงแล้วไม่มีความสงสัยว่าคุณควรจะควบคุมมันหรือปล่อยให้มันควบคุมคุณกันแน่ ความคิดที่จะควบคุมมันนั้น ย่อมก่อให้เกิดความโกลาหลมโหฬาร เปรียบเสมือนการขับรถบนท้องถนนจู่ ๆ คุณก็คิดว่าคุณขับรถเร็วมากไป คุณจึงเหยียบเบรคอย่างกระทันหัน อันก่อให้เกิดอุบัติเหตุอย่างใหญ่หลวง สำหรับภารกิจของเการีนั้นได้แก่การแทรกตัวลงไปในระหว่างกาย และจิต จิตในที่นี้ได้แก่ปัญญาญาณ ความฉลาด กายได้แก่แรงกระตุ้น เช่น ความตื่นตกใจ อันเป็นการกระทำทางกาย พวกเการีมักจะสอด แทรกตัวลงระหว่างปัญญาและการกระทำ ทำให้ความต่อเนื่องแห่งการยึดมั่นในตัวตนขาดตอน นี่แหละคือความโหดร้ายอันแท้จริง พวกเขา จะแปรเปลี่ยนพลังงานแห่งการทำลายล้างให้กลายเป็นพลังงานแห่งการสร้างสรรค์ ประดุจเดียวกับการที่รุทรแปรเปลี่ยนเป็นเฮรุกา ด้วยเหตุ นี้เองสัญชาติญาณที่อยู่เบื้องหลังการปลุกเร้าจะได้รับการแปรเปลี่ยนไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 33.0.1750.154
|
|
« ตอบ #18 เมื่อ: 05 เมษายน 2557 22:16:18 » |
|
ผู้กำลังจะจากไป สำหรับชนชาวธิเบตแล้วความตายหาใช่เรื่องน่าหวาดหวั่นหรือคุกคามเลย แต่ในประเทศตะวันตก ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งบีบคั้นรุนแรง ยิ่งนัก ยามเราไกล้ตายนั้นแทบจะไม่มีใครพูดความจริงขั้นสุดท้ายกับเราเลย เป็นการปฏิเสธซึ่งความรักและเมตตาอย่างสูง เป็นความน่า สะพรึงกลัว ในแง่ที่ว่าไม่มีผู้ใดปรารถนาจะเอื้ออาทรต่อจิตใจของผู้ตายอย่างแท้จริง เป็นการสำคัญมากที่ผู้ตายสมควรได้ทราบว่าตนเองกำลังจะจากไป ไม่ว่าเขาจะมีอาการหมดหวังหรือไม่สามารถสื่อสารกับเราได้ก็ตาม สิ่งนี้อาจฟังดูยากเย็นแสนเข็ญ แต่ทว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่คุณจะได้แสดงความสัตย์ซื่อจริงใจออกมา ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นสามีหรือ ภรรยาของคุณ มันเป็นสถานการณ์อันทรงคุณค่าที่ในบั้นปลายสุดท้าย ยังมีผู้คนห่วงใยความรู้สึกของคุณ ไม่มีใครเสแสร้งหลอกลวงคุณ อีกต่อไป ไม่มีใครพูดเท็จเพียงเพื่อรักษาน้ำใจคุณซึ่งบังเกิดมาตลอดชีวิต เราได้มาบรรจบกับความจริงขั้นสุดท้าย เป็นความไว้วางใจซึ่ง งดงามยิ่ง อันควรที่เราจะพยุงพยายามสานแนวคิดดังกล่าวนี้ ในความเป็นจริงแล้ว การปลูกฝังความสัมพันธ์กับผู้ที่กำลังจะจากไปเป็นเรื่องสำคัญยิ่งนัก การบอกกล่าวต่อเขาว่าความตายหาใช่เรื่อง เหลวไหลไกลตัวอีกต่อไป แต่มันกำลังเกิดขึ้นกับเขาในขณะนี้ " มันกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว เราเป็นมิตรสหายของคุณ บัดนี้เรากำลังเเฝ้าดู การจากไปของคุณ เรารู้ว่าคุณกำลังจะตาย และคุณเองก็รู้ว่าคุณกำลังจะตายเหมือนกัน บัดนี้เป็นช่วงเวลาที่เราต้องแยกจากกันแล้ว " การแสดงออกดังกล่าวนี้เป็นการแสดงออกของการสื่อสารสัมพันธ์อันดีงามที่สุด อันเป็นการบ่งให้เห็นถึงการสร้างพลังใจอย่างใหญ่หลวง แก่ผู้ที่กำลังจะจากไปเราควรสร้างความสัมพันธ์กับร่างของผู้กำลังจะจากไป พินิจดูความเสื่อมสลายแห่งสังขาร แห่งประสาทรับรู้ต่าง ๆ มีแต่ผู้บ่มฝังกำลังใจ อันกล้าแข็งเท่านั้นที่ยังคงแย้มยิ้มอยู่จนวาระสุดท้าย เขากำลังจะต่อต้านขัดขืนกับอายุขัย ต่อต้านขัดขืนกับความเสื่อมสลายของสังขาร ผู้ใกล้ชิดพึงตระหนักถึงสถานการณ์เช่นนี้ด้วย เพียงแค่การอ่านคัมภีร์มรณศาสตร์อาจจะไม่ช่วยอะไรมากนัก เว้นเสียแต่ผู้ใกล้ตายจักล่วงรู้ว่าคุณกำลังประกอบพิธีกรรมบางประเภทให้เขา คุณจำเป็นต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ต่อแบบแผนพิธีกรรมทั้งปวง คุณควรจะทำให้มันดูเหมือนเป็นบทสนทนาตอบโต้ระหว่างคุณและผู้กำลังจากไป นอกเหนือจากการท่องอ่านแบบธรรมดา คุณควรกล่าวกับผู้ตายเช่นนี้ว่า " เธอกำลังจะจากไป เธอกำลังจะละทิ้งซึ่งมิตรสหายและครอบครัว ทรัพย์สมบัติและความสุขรอบตัว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เธอจะสลัดทิ้งไปสิ้น เธอจะละทิ้งพวกเราไป หากทว่ายังคงมีบางสิ่งดำเนินสืบเนื่องไป มีบางสิ่งที่ต่อเนื่องไปในความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับญาติมิตรและคำสอนอันสูงส่ง เธอไม่ควรจะยึดมั่นในตัวตนอีกต่อไป เมื่อเธอตายจะบังเกิด ความเจ็บปวดต่าง ๆ นานา ในขณะที่เธอผละจากร่าง ภาพเหตุการณ์ในอดีตจะย้อนกลับมาดุจภาพลวงตา ไม่ว่าจะเป็นนิมิตหรือภาพลวงตา ใด ๆ ก็ตาม เธอควรข้องเกี่ยวกับมันในฐานที่เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ หาควรเตลิดหลบหนีไม่ แต่ควรเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญในสิ่งที่เกิดขึ้น " ในขณะที่คุณกำลังดำเนินการสนทนา ปัญญารับรู้และวิญญาณของผู้ตายกำลังหมองมัวลงและใกล้จะดับสูญ ในขณะเดียวกันก็บังเกิด มโนวิญญาณขั้นสูงที่สามารถรับรู้ภาวะขณะนั้นได้ ดังนั้นหากคุณจะสามารถสร้างสรรค์ความเชื่อมั่นและความอบอุ่นตามธรรมชาติให้ บังเกิดมีขึ้นได้ ในแง่ที่ว่าคุณได้ถ่ายทอดความจริงใจต่อผู้กำลังจะจากไป มากกว่าเพียงแค่การถนอมน้ำใจโดยการกล่าวแต่สิ่งที่คุณคาดคิด ว่าเขาต้องการฟัง ความจริงใจเช่นนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก เป็นไปได้ที่อาจมีการบรรยายให้เห็นแจ้งถึงภาวะเสื่อมสลายจากดธาตุดินสู่ธาตุไฟ จากธาตุไฟสู่ธาตุน้ำและสืบเนื่องไป เป็นการมอดดับแห่ง กายสังขาร แล้วอุบัติขึ้นในภาวะสุกใสการนำพาผู้ตายสู่ภาวะสุกใสจำต้องมีหลักการแนวคิดพื้นฐานบางประการ ซึ่งได้เแก่ ความมั่นคงอาจหาญ คุณควรปลอบโยนผู้ตายว่า " มิตรสหายของเธอรู้ดีว่าเธอกำลังจะจากไป แต่พวกเขาปราศจากความตื่นตระหนก พวกเขาพากันมาอยู่ ณ ที่นี้แล้ว พวกเขากำลังจะบอกให้เธอทราบว่าวาระแห่งการจบชีพได้มาถึงแล้ว ไม่มีอะไรน่าหวาดระแวงอยู่เบื้องหลังเลย การอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง และสงบเป็นสิ่งสำคัญมากเมื่อบุคคลได้ตายลง การคงอยู่ในปัจจุบันอย่างไม่พรั่นพรึงนั้นช่างทรงพลังยิ่ง เพราะในขณะนั้นมีความไม่แน่นอน ระหว่างกายกับจิตอย่างสูง ร่างกายและมันสมองกำลังเสื่อมสลายลง แต่คุณเองที่ได้เชื่อมโยงสัมพันธ์เหตุการณ์ขณะนั้น ทำให้มีฐานที่มั่นคง ตราบใดที่นิมิตแห่งเทพสันติและเทพพิโรธได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าผู้ตาย เราจำต้องปล่อยให้เขาได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์เหล่านี้ตามลำพัง ในคัมภีร์เล่มนี้กล่าวว่าคุณต้องปลุกปลอบดวงวิญญาณของผู้ตายและบอกกล่าวถึงนิมิตเหล่านั้น คุณอาจทำเช่นนั้นได้หากคุณยังสามารถธำรง รักษาความต่อเนื่องไว้ได้ แต่ออกจะดูเป็นการคาดหวังเกินไปตราบใดที่ผู้ตายเป็นเพียงสามัญชนที่ไม่เคยผ่านการภาวนา ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า การติดต่อระหว่างคุณกับผู้ตายยังดำเนินต่อไป ประเด็นของเรื่องจะกลับกลายเป็นว่า ในขณะที่คุณกำลังอ่านถ้อยคำในคัมภีร์นั้นคุณเพียง แต่พูดคุยกับตนเองแทน ความสงบมั่นคงของคุณเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของผู้ตาย ถ้าคุณธำรงความหนักแน่นไม่หวั่นไหวได้อย่างดีเลิศ ผู้ตายในบาร์โดจะรับรู้ติดต่อกับคุณได้โดยอัตโนมัติ คุณจำต้องเก็บรักษาความสงบไม่หวั่นไหวและความเข้มแข็งที่มีส่งมอบแสดงออกต่อผู้ตาย สัมพันธ์กับเขา เปิดเผย สัตย์ซื่อต่อเขาในปัจจุบันกาล และพัฒนาซึ่งการพบกันแห่งใจสอง http://heartway.files.wordpress.com/2013/05/5-buddhas.jpg
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม นะตะเอง
|
|
|
|
กำลังโหลด...