พุทธเกษตร=เมืองพระนิพพาน ที่อยู่สำหรับสัมโภคกาย หรือธรรมกาย แล้วผู้ที่เชื่อว่า "นิพพาน เป็นเมืองแก้วที่เป็นอมตะนคร ...
และเชื่อว่ามี รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณที่เที่ยง ไม่แปรปรวน และเป็นอัตตา"นี้เป็นสัมมาทิฎฐิ?
ตอบมนุษย์เราเป็นกายเนื้อหรือนิรมาณกาย ที่ประกอบด้วยขันธ์ 5 มนุษย์จึงต้องละความยึดมั่นถือมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณที่ไม่เที่ยง ไม่แปรปรวน เสียก่อน เมื่อละได้แล้ว เขาผู้นั้นจะได้ภาวะบุคคลศูนยตา หรือ พระอรหันต์ กายของอรหันต์นี้แหละมีรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณที่เที่ยง ไม่แปรปรวน เรียกว่า "อัตตา"= อายตนะนิพพาน หรือสัมโภคกาย หรือธรรมกาย ขึ้นอยู่กับว่าเรียกแบบมหายานหรือเถรวาท
อธิบายให้ชัดๆไปเลย บุคคลศูนยตา หรือ พระอรหันต์ มีที่ไป 2 ที่ คือ:
1. วิสุทธิภูมิหรือพุทธเกษตร - พระอรหันต์ ที่เข้าไปในวิสุทธิภูมิหรือพุทธเกษตร จะมีอายตนะด้วย เรียกว่า อายตนะนิพพาน หรือ ธรรมกาย ทางมหายานเรียกธรรมกายของเถรวาทว่า "สัมโภคกาย"
2. ธรรมกาย(ตามความหมายของมหายาน) หรือ นิพพาน(ตามความหมายของเถรวาท) - เป็นแสงสุกสกาวในท้องฟ้าอันเวิ้งว้าง
บุคคลศูนยตา
(อรหันต์ หรืออายตนะนิพพาน หรือธรรมกายตามความหมายของเถรวาท) จะเข้าไปในจุดนี้ได้ คือ เข้าไปในธรรมกาย
(ตามความหมายของมหายาน) หรือ นิพพาน
(ตามความหมายของเถรวาท) บุคคลศูนยตา
(อรหันต์ หรืออายตนะนิพพาน)จะต้องละอายตนะนิพพานของตนเองเสียก่อน = ธรรมศูนยตาจะเห็นว่า มีมนุษย์เพียงไม่กี่คนที่สามารถพึ่งอำนาจตนเอง จนสามารถเข้าไปเป็นบุคคลศูนยตา(อรหันต์) และเมื่อทิ้งขันธ์ 5 แล้ว ได้อายตนะนิพพาน - "ธรรมกาย" ตามความหมายของเถรวาท หรือ "สัมโภคกาย" ตามความหมายของมหายาน
ดังนั้น มนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกเป็นไปไม่ได้เลยหรือยากมากๆที่จะช่วยตัวเอง ปุถุชนสามัญ จึงพึ่งอำนาจผู้อื่น (คือพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์) เพื่อออกจากสังสารวัฏฏ์ไปก่อน แล้วค่อยไปขัดเกลากิเลสด้วยตนเองในพุทธเกษตรต่างๆ เมื่อขัดเกลากิเลอออกหมดแล้ว ก็จะเป็นบุคคลศูนยตา(อรหันต์)ในพุทธเกษตร(เมืองพระนิพพาน)นั้น
ถ้าไม่อยากอยู่ในพุทธเกษตร(เมืองพระนิพพาน)นั้น อยากเข้านิพพานสูงสุดหรือธรรมกาย(ตามความหมายของมหายาน) หรือ นิพพาน(ตามความหมายของเถรวาท)ไปเลย ก็ต้องเอาอายตนะนิพพานของตนเองออกสรุปศูนยตา มี 2 ชั้น คือ 1. บุคคลศูนยตาและ 2. ธรรมศูนยตา บุคคลศูนยตาได้แก่การละกิเลสทั้งปวงหรือบรรลุอรหันต์นั่นเอง พระอรหันต์จะได้อายตนะนิพพาน = ธรรมกาย(เถรวาท) หรือสัมโภคกาย(มหายาน) ซึ่งจะออกมารองรับเมื่อดับขันธ์ 5 ไปแล้ว
ส่วนธรรมศูนยตา ได้แก่ การละความยึดถือแม้ในอายตนะนิพพานและวิสุทธิภูมิ(พุทธเกษตร)ที่ตนเองอยู่ นี่ล่ะคือนิพพานแท้ที่ไม่มีเมืองพระนิพพาน(พุทธเกษตร)
หลวงปู่ดู่ พูดถึงเมืองพระนิพพานและพระนิพพานแท้ดังนี้ “เมื่อ ไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัปป์ ทำจิตให้ดี
เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้ง สี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก”- เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า = หนึ่งในเมืองพระนิพพานที่พระพุทธเจ้าของเรา(สัมโภคกาย)อยู่
- มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก = พระนิพพานของแท้ ที่จิตบริสุทธิ์และว่างเปล่าอยู่
หลวงปู่ดุลย์ พูดถึงพระนิพพานของแท้ดังนี้:" โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน"
- โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว = จะได้อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย เถร. สัมโภคกาย มหา.)
- ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน = ทิ้งอายตนะนิพพาน ไปรวมกับ แสงสุกสกาวบริสุทธิ์สว่างของจักรวาลเดิม ที่เรียกว่า อาทิพุทธ นี่แหละพุทธภาวะแท้ๆ ธรรมธาตุทุกดวงรวมกันเป็นหนึ่ง
- ศาสนาพราหมณ์เรียกว่า
อาตมัน เข้าไปรวมกับ ปรมาตมัน = พระอรหันต์ทั้งหมด เข้าไปรวมกับ พระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรม