๖. อะทุกขะมะสุขายะ เวทนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา เบื้องหน้าแต่นี้จักได้แสดงในบทที่ ๖ อะทุกขะมะสุขายะ เวทนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา นี้ต่อไป ข้อนี้แปลว่า
ธรรมทั้งหลายอันสัมปยุตแล้วด้วยเวทนาที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ โดยความอธิบายว่า ทุกข์ก็อาศัยแก่เบญจขันธ์ทั้ง ๕ เมื่อ
ได้ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา วิจารณญาณเห็นเบญจขันธ์ทั้ง ๕ เป็น
อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน หรือเห็นว่าเป็นอย่างอื่น มิใช่เราและตัวตนของเราแล้ว อุปาทานก็ไม่เข้าไปใกล้ไปยึดถือปล่อยวางเฉย เพราะฉะนั้นจึงว่า สุขทุกข์ไม่มีดังนี้ ส่วนอารมณ์นั้นเล่าก็มีอุเบกขา อุเบกขานั้นแปลว่า
เข้าไปเห็นเบญจขันธ์ทั้ง ๕ เบญจขันธ์ทั้ง ๕ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดับสูญไปสิ้นไป ส่วนความรู้ความเห็นนั้นก็
ไม่เจือปนอยู่ด้วยเบญจขันธ์ทั้ง ๕ เพราะเหตุนั้นจึงว่า ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ฉะนี้ฯ
ท่านพระสกวาทีอาจาจารย์จึงถามสืบต่อไปว่า อารมณ์ที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขนั้นเป็นอย่างไร เป็นโลกีย์หรือเป็นโลกุตระ หรือเป็นประการใด?
ท่านพระปรวาทีอาจารย์จึงได้เฉลยวินิจฉัยว่า ความที่ว่าไม่มีทุกข์ไม่มีสุข
นั้น ที่เป็นโลกีย์ก็มี ที่เป็นโลกุตรก็มี เปรียบเหมือนหนึ่งอารมณ์ที่ร้อนแล้ว แลมีความปรารถนา
จักให้พ้นร้อนไปหาเย็น แต่ยังไปไม่ทันจะถึงความเย็นฉะนั้น
แล้วท่านปรวาทีอาจารย์จึงย้อนถามท่านสกวาทีอาจารย์กลับคืนมาอีกว่า ท่านสกวาทีอาจารย์จักมีความเห็นเป็นอย่างไร เมื่อได้ออกจากความร้อนแต่ยังไม่ทันถึงความเย็น?
ท่านสกวาทีฯ ตอบว่า อารมณ์นั้นร้อน
ท่านปรวาทีอาจารย์จึงถามอีกว่า อารมณ์นั้นจักร้อนอย่างไร เมื่อได้หนีพ้นร้อนมากแล้ว?
พระสกวาทีฯ จึงตอบว่า ถ้าพ้นอารมณ์ร้อนมาแล้ว อารมณ์นั้นก็เย็น
พระปรวาทีฯ จึงว่า จะเย็นได้อย่างไรเพราะยังไม่ถึงความเย็น?
พระสกวาทีฯ จึงว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว อารมณ์นั้นก็
ไม่เย็นไม่ร้อน พระปรวาทีฯ จึง
อนุโลมคล้อยตามว่า นั้นแลธรรมที่สัมปยุตแล้วด้วยเวทนาที่ไม่ทุกข์ไม่สุข ท่านสกวาทีอาจารย์ยังมีความวิมุติกังขา คือ มีความสงสัย จึงไถ่ถามอีกว่า ธรรมที่เป็นโลกีย์นั้นคือใคร ผู้ใดกระทำได้แล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าชี้บอกบุคคลที่เป็นโลกีย์มาแสดงในทีนี้ เพื่อให้เห็นเป็นแบบอย่างสักเรื่องหนึ่ง พอเป็นเครื่องเตือนสติให้สิ้นความสงสัย?
ท่านปรวาทีฯ จึงนำบุคคลมาแสดงเพื่อให้เป็นนิทัศนอุทาหรณ์ว่า เอโกเถโร ยังมีพระมหาเถระองค์หนึ่ง ไปเจริญสมณธรรมอยู่ในอรัญราวป่า ท่านได้นั่งเจริญวิปัสสนา
พิจารณาซึ่งสังขารธรรม คืออนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง ความทนทุกข์ยากลำบาก อนัตตา ความมิใช่ตัวเราและของเรา หรือตัวตนของเรา จนอารมณ์นั้นไม่มีทุกข์ไม่มีสุข แต่เฉย ๆ อยู่ตลอดกาล ขณะนั้นยังมีเสือโคร่งใหญ่ตัวหนึ่ง เข้ามาคาบเอาพระมหาเถระองค์นั้นไปบริโภคเป็นภักษาหาร เมื่อเดิมทีนั้นก็บริโภคตั้งแต่เท้าขึ้นไปจนถึงโคนเข่า พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่สุขไม่ทุกข์ จิตของพระผู้เป็นเจ้านั้นก็ยังเป็นโลกีย์อยู่ คือท่านยังเป็นปุถุชน ยังไม่ได้สำเร็จอะไร เมื่อเสือโคร่งใหญ่นั้นบริโภคถึงจะเอวและท้องน้อย ท่านก็ยังไม่สำเร็จมรรคผลธรรมวิเศษ
อันใด อารมณ์ของท่านนั้นก็ยังเฉย ๆ อยู่ ไม่ได้เดือดร้อนหวั่นไหว ครั้นบริโภคถึงดวงหฤทัยของท่านแล้ว ท่านก็ได้สำเร็จอรหันต์
พ้นกิเลสเป็น
สมุจเฉทปหาน ดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานในปากเสือโคร่งใหญ่นั้น ฉะนี้ฯ
อนึ่ง นักปราชญ์ผู้มีวิจารณญาณพึงสันนิษฐานเข้าในตามนัยพระพุทธภาษิตอันวิจิตรพิศดาร อาตมารับประทานวิสัชนามาในติกมาติกาบทที่ ๖ แต่ขอสังขิตนัยโดยย่นย่อพอสมควรแก่กาลเวลาเพียงเท่านี้ฯ