สุสันธีชาดก วาติ คนฺโธ ติมิรานนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต อุกฺกณฺฌฐิฺภิกขุํ อารพฺภ กเถสิ ฯ
เมื่อสมเด็จพระอังคีรสทศพลญาณ เสด็จสำราญพระอิริยาบถอยู่ ณ พระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้มีความกระสันรูปหนึ่ง จึงได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีกำหนดด้วยบทพระคาถาว่า วาติ คนฺโธ ติมิรานํ ดังนี้ ฯ
ความพิสดารว่า สมเด็จพระมหามุนีตรัสถามภิกษุนั้นว่า ภิกษุ ได้ยินว่า ท่านมีความกระสันอยากสึกหรือ ภิกษุนั้นทูลรับสมจริงตามพุทธดำรัส จึงตรัสถามว่า ท่านได้เห็นสิ่งอะไร จึงได้มีความกระสัน ภิกษุนั้นทูลว่าได้เห็นมาตุคามที่ประดับเครื่องอาภรณ์ พระองค์จึงตรัสสอนว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่ามาตุคามนี้อันใครๆ ไม่อาจที่จะรักษาน้ำจิต ถึงโบราณกบัณฑิตแม้รักษาไว้ในพิภพสุบรรณ ก็ไม่สามารถที่จะรักษาน้ำจิตมาตุคามนั้นไว้ได้ ครั้นตรัสฉะนี้แล้วก็ทรงดุษณีภาพ ภิกษุนั้นจึงกราบทูลอาราธนาให้ทรงแสดงเรื่องที่ตนมิได้เห็นปรากฏ สมเด็จพระบรมสุคตจึงได้ทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้
อตีเต พาราณสิยํ ตมฺพราชา นาม รชฺชํ กาเรสิ ฯ ในอดีตชาติครั้งพระเจ้าตัมพราชได้ผ่านสมบัติในกรุงพาราณสี พระอัครมเหสีทรงนามว่านางสุสันธีมีพระรูปงามอุดมฯ ครั้งนั้นพระบรมโพธิสัตว์เกิดในกำเนิดสุบรรณ ฯ
เกาะนาคในกาลนั้นได้มีนามปรากฏว่าเกาะเสรุม ส่วนพระบรมโพธิสัตว์อยู่ ณ พิภพสุบรรณที่เกาะนี้ ครั้งหนึ่งพระยาครุฑแปลงอินทรีย์เป็นมานพ ออกจากพิภพสุบรรณไปสู่กรุงพาราณสี เล่นสกากับพระเจ้าตัมพราชบรมกษัตริย์ฯ นางปริจาริกาได้เห็นรูปสมบัติของมาณพนั้นพากันนำความไปทูลนางสุสันธี ฯ ครั้นพระมเหสีได้สดับคำนางปริจาริกา มีความปรารถนาจะใคร่เห็นมาณพนั้น วันหนึ่งนางแต่งพระองค์เสร็จเสด็จมาสู่ที่เล่นสกา ปลอมพระองค์ทอดทัศนาอยู่ในหมู่นางปริจาริกาที่ยืนดู ฯ ส่วนมาณพผู้นั้นก็แลดูนาง ฯ ฝ่ายคนทั้งสองต่างมีจิตรักใคร่ซึ่งกันและกัน ฯ พระยาสุบรรณก็นฤมิตให้เป็นลมพายุพัดมาในพระนคร มนุษย์ทั้งหลายพากันออกจากพระราชนิเวศน์ เหตุความกลัวพระราชมณเฑียรจะหักพัง พระยาครุฑกระทำพระราชวังให้มืดด้วยอานุภาพฤทธิ์ของตน แล้วพาพระเทวีหนีไปโดยอากาศได้เข้าไปสู่พิภพของตนในเกาะนาค ฯ ชนเป็นอันมากจะรู้เหตุที่นางสุสันธีไปหามีไม่ พระยาครุฑได้ร่วมอภิรมย์กับนางสุสันธีแล้วไปเล่นสกากับพระเจ้าตัมพราชอีก ฯ ฝ่ายคนขับรำของพระราชามีอยู่ผู้หนึ่งมีนามปรากฏว่านาคอัคคะ พระราชาจึงรับสั่งให้หาคนขับรำนั้นมา รับสั่งให้ไปเที่ยวแสวงหานางให้สิ้นทั้งทางบกแลทางน้ำ ให้รู้เห็นว่านางไปอยู่ที่ไหน ฯ คนขับรำไปเที่ยวแสวงหา ตั้งแรกแต่บ้านใกล้ประตูเมืองจนบรรลุถึงท่าภารุกัจฉาฯ
ครั้งนั้นพ่อค้าชาวภารุกัจฉาเตรียมสินค้าบรรทุกเรือจะไปสู่สุวรรณภูมิ คนขับรำเข้าไปหาพ่อค้าเหล่านั้นขอโดยสาร รับจะกระทำการขับร้องให้หักค่าจ้างเรือ ฯ พ่อค้ายอมอนุญาตให้ไป ฯ ครั้นออกเรือแล้ว พ่อค้าเหล่านั้นจึงให้หาคนขับรำมาขับให้พวกตนฟัง ฯ คนขับกล่าวว่า ถ้าข้าพเจ้าจะพึงทำการขับให้ท่านฟังไซร้ ก็แต่ว่าเมื่อข้าพเจ้าขับอยู่ ปลาทั้งหลายจะขึ้นมาทำเรือให้โยกโคลง เมื่อเป็นเช่นนี้เรือของท่านจักแตกทำลาย ฯ พ่อค้าทั้งหลายกล่าวว่า ท่านทำการขับรำอยู่ในทางที่มนุษย์เคยไปมา หามีปลาที่จะทำให้เรือโยกโคลงได้ไม่ ท่านจงขับไปเถิด ฯ คนขับกล่าวว่าถ้าเช่นนั้นท่านอย่าได้โกรธข้าพเจ้า ครั้นกล่าวฉะนี้แล้วแก้พิณออกดีดแลร้องขับให้เสียงรับกับสายพิณที่ดีดนั้น ฯ ฝูงปลาจึงพากันมาประชุมเพราะได้ยินเสียงนั้นทำเรือให้หวั่นไหวโยกโคลง ฯ ครั้งนั้นปลามังกรตัวหนึ่งจึงโดดเข้าไปในเรือนั้น ดิ้นจนเรือแตกทำลายลง ฯ ส่วนนายอัคคะลงนอนเหนือแผ่นกระดานลอยตามลมไป บรรลุถึงถิ่นไม้ไทรซึ่งเป็นพิภพสุบรรณอันอยู่ในนาคทวีป ฯ
กาลเมื่อพระยาครุฑไปเล่นสกาในกรุงพาราณสี ฝ่ายนางสุสันธีลงจากวิมานไปเที่ยวเดินเล่นที่ริมฝั่งน้ำ ครั้นเห็นนายอัคคะก็จำได้จึงถามว่า ท่านมาอย่างไร ฯ นายอัคคะได้แจ้งเหตุที่ตนมาให้นางฟังทุกประการฯ นางกล่าวปลอบนายอัคคะให้มีใจ จึงประคองให้ขึ้นบนวิมานแล้วให้สยนาการเหนือที่นอน ฯ กาลเมื่อนายอัคคะมีความสามารถหายเหน็ดเหนื่อยลง นางจึงให้บริโภคโภชนาหารแล้วเชิญให้อาบน้ำหอม นุ่งห่มผ้าประดับประดาตนด้วยดอกไม้แลของหอมแต่ล้วนเป็นของทิพย์ทุกประการ แลได้เชิญให้นอนเหนือแท่นทิพย์อีก ฯ นางปฏิบัตินายอัคคะอยู่อย่างนี้ ปกปิดแต่เวลาที่พระยาครุพมา ในเวลาเมื่อพระยาครุฑไปเล่นสกานางก็ได้ร่วมอภิรมย์กับนายอัคคะนั้น จำเดิมแต่วันนั้นมาล่วงไปได้กึ่งเดือนหรือเดือนหนึ่ง พ่อค้าชาวเมืองพาราณสีมาถึงต้นนิโครธในเกาะนั้นเพื่อจะหาฟืนแลน้ำ ฯ นายอัคคะจึงได้โดยสารเรือนั้นไปถึงเมืองพาราณสีได้เข้าเฝ้าพระเจ้าตัมพราช ครั้นเวลาบรมกษัตริย์ทรงสกากับพระยาครุฑ นายอัคคะจึงถือพิณมา เมื่อจะขับรำถวายพระราชาจึงได้กล่าวคาถาที่แรกว่า วาติ คนฺโธ ติมารานํ | | กุสมุทฺโทว โฆสวา |
ทูเร อิโต หิ สุสนฺธี | | ตมฺพ กามา ตุทนฺติมํ ฯ |
กลิ่นดอกติมิระ๑ ทั้งหลายฟุ้งตระหลบไป น้ำในมหาสมุทรกึกก้อง
คะนองใหญ่เทียว นางสุสันธีอยู่ในที่ไกลจากพระนครนี้แท้
ข้าแต่พระเจ้าตัมพราช กามทั้งหลายเจาะแทงหฤทัยข้าพระบาทอยู่ครั้นพระยาครุฑได้ฟังคาถานั้นจึงได้กล่าวคาถาที่สองว่า กถํ สมุทฺทมตริ | | กถํ อทฺทกฺขิ เสรุมํ |
กถํ ตสฺสา จ ตุยฺหญฺจ | | อหุ อคฺค สมาคโม ฯ |
ท่านข้ามสมุทรไปอย่างไร ทำไฉนท่านจึงได้เห็นเกาะเสรุม
แน่ะ นายอัคคะ ความสมาคมของนางแลตัวท่านได้มีแล้วอย่างไร ฯในลำดับนั้น นายอัคคะจึงได้ภาษิตคาถาทั้งสามว่า
ภรุกจฺฉา ปยาตานํ | | พาณิชานํ ธเนสินํ |
มงฺกเรหิ ภินฺนา นาวา | | ผลเกน มหณฺณวํ๒ ฯ |
สา มํ สญฺเหน มุทุนา | | นิจฺจํ จนฺทนคนฺธินี |
องฺเคน อุทฺธริ ภทฺทา | | มาตา ปุตฺตํว โอรสํ ฯ |
สา มํ อนฺเนน ปาเนน | | วตฺเถน สยเนน จ |
อตฺตนาปิ จ มทกฺขี | | เอวํ ตมฺพ วิชานาหิ ฯ |
เมื่อพ่อค้าทั้งหลายผู้แสวงหาทรัพย์ไปแล้วจากท่าชื่อภารุกัจฉา เรือของพ่อค้าเหล่านั้น
อันฝูงปลามังกรให้แตกแล้ว ฯ นางสุสันธีผู้มีกลิ่นกายหอมดังแก่นจันทน์เป็นนิจ
มีลักษณะงามวิจิตรควรดูควรชมนั้น ครั้นเห็นเราผู้ข้ามถึงฝั่งได้เพราะแผ่นกระดาน
ได้ยกเราด้วยพระหัตถ์ทั้งสอง ประหนึ่งมารดาประคองอุ้มบุตรผู้เกิดในอกฉะนั้น
กล่าวปลอบเราด้วยถ้อยคำอันไพเราะอ่อนหวาน นางได้บำเรอเราด้วยข้าวน้ำ
ผ้านุ่งห่มแลที่นอน ใช่แต่เท่านั้น ถึงตัวนางก็ได้ยังเราให้อภิรมย์ยินดีมีนัยเนตร
เป็นที่ยั่วยวนใจ ข้าแต่พระเจ้าตัมพราชบรมกษัตริย์ ขอพระองค์จงทรงทราบชัด
อย่างนี้เถิด ฯครั้นนายอัคคะกล่าวขับขึ้นฉะนี้ พระยาครุฑมีความระแวงใจว่า เราอยู่ถึงในพิภพสุบรรณยังมิอาจที่จะรักษานางนั้นไว้ได้ เราจะประโยชน์อะไรด้วยคนทุศีลเห็นปานนี้ ครั้นดำริแล้วจึงนำนางสุสันธีมาถวายคืนแก่บรมกษัตริย์แล้วกลับพิภพสุบรรณ ฯ จำเดิมแต่กาลนั้นพระยาครุฑก็มิได้มาเล่นสกาอีกต่อไป ฯ
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สมเด็จพระมหามุนีบรมศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงจบลงแล้ว จึงทรงประกาศอริยสัจทั้งสี่ ครั้นจบเทศนาลงภิกษุผู้มีความกระสันก็ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล สมเด็จพระทศพลจึงทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า พระราชาในกาลนั้นได้มาเป็นอานนท์ พระยาครุฑได้มาเป็นเราตถาคต มีพุทธพจน์ให้จบลงแต่เพียงนี้ ฯ-------------------------------------------------------
๑ อรรถกถาว่าต้นไม้นี้ล้อมรอบต้นนิโครธซึ่งที่เป็นวิมานครุฑ๒ ยุ อหมฺปลวี เราลอยไปแล้ว (กวป.)* สุสันธีชาดก มีเนื้อหาสอดคล้องกับเรื่อง "กากี" มีที่มาจากนิบาตชาดก ๓ เรื่อง คือ กุณาลชาดก กากาติชาดก และสุสันธีชาดก เรื่องดังกล่าวเป็นที่นิยมแพร่หลายในสังคมไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
มุ่งแสดงโทษแห่งความปรวนแปรไม่แน่นอนของมาตุคามอันเป็นอุปสรรคต่อการครองเพศพรหมจรรย์ ในชาดกทั้ง ๓ เรื่อง ไม่ปรากฏชื่อ "กากี" เป็นตัวเอกของเรื่อง และชื่อของบุคคลอื่นๆ ก็มีความลักลั่น
แตกต่างไปจากเรื่องกากี ได้แก่
กากาติชาดก นางกากาติ - พระเจ้าพาราณสี - พญาสุบรรณ - นฏะกุเวร (คนขับพิณลำนำ)
สุสันธีชาดก นางสุสันธี - พระเจ้าตัมพราช - พระยาครุฑ - นายอัคคะ (คนขับพิณลำนำ)
กุณาลชาดก นางกากวันตี - พระยาครุฑเวนไตย - นาฏกุเวร (คนขับพิณลำนำ)
ชื่อ กากี ปรากฏหลักฐานลายลักษณ์อักษรที่น่าจะมีอายุเก่าที่สุดคือ สมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยาคัดจาก : กากีคำกลอนและลิลิตกากี กรมศิลปากร พิมพ์เผยแพร่ พุทธศักราช ๒๕๖๓