[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ห้องสมุด => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 29 พฤษภาคม 2557 17:56:18



หัวข้อ: "ต้นหมาปลายหมา" พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖)
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 29 พฤษภาคม 2557 17:56:18
.

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/69466238675845__3627_3617_3634_.gif)

ต้นหมาปลายหมา
นิทานเก่า แต่ไม่เกินสมัย
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖)
(พระนามแฝง “ศรีอยุธยา”)
 

นิทานที่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปนี้ ข้าพเจ้าได้เคยฟังผู้ใหญ่เล่าให้ฟังตั้งแต่เมื่อยังเด็กๆ อยู่ และในเวลานั้นข้าพเจ้ามิได้เคยรู้สึกว่าเป็นนิทานอย่างอื่น นอกจากเป็นเรื่องตลกอันหนึ่งเท่านั้น ต่อเมื่อข้าพเจ้ามีอายุมากขึ้นแล้ว และได้รู้จักโลกและเพื่อนมนุษย์มากขึ้นแล้ว จึงได้เล็งเห็นคติอันมีอยู่ในเรื่องนิทานนี้ และเพราะได้แลเห็นคติเช่นนั้นจึงได้แลเห็นคติเช่นนั้น จึงได้นำมาสู่ท่านฟัง ด้วยความหวังว่าถึงแม้ท่านจะไม่เล็งเห็นคติอย่างเดียวกับข้าพเจ้า อย่างน้อยก็จะเห็นขันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

บัดนี้จักขอดำเนินความตามนิทานเดิมนั้นต่อไป

ยังมีหมาอยู่ตัวหนึ่งโดยรูปพรรณสัณฐานหรืออุปนิสัยก็ไม่ผิดกับหมาตัวอื่นๆ นัก เป็นแต่สมมติว่านึกอะไรๆ ได้อย่างมนุษย์เท่านั้น    วันหนึ่ง หมาตัวนี้ได้เข้าไปหาอาหารกินในลานบ้านของชาวชนบทผู้หนึ่ง ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านเห็นหมาก็ฉวยไม้ไล่ตีหมานั้นออกพ้นจากลานบ้านและเขตสวนของตน

หมานั้นถูกตีไล่ออกไปแล้ว ก็ไปนอนอยู่ที่ทุ่งชายบ้าน และรำพึงในใจว่า “เรานี้เป็นอาภัพสัตว์จริงๆ หนอ จนชั้นไปเที่ยวหาอาหารพอเลี้ยงชีพเท่านั้นก็ถูกคนไล่ตี ซึ่งที่จริงไม่เป็นยุติธรรมเลย ทีคนนั้นมีอาหารกินบริบูรณ์ มีเรือนชานอยู่อาศัยกันแดดกันฝน แล้วยังหวนแหนเกียจกันมิให้เราแม้แต่อาหารพอเลี้ยงท้องเท่านั้น”

หมามันบ่นเช่นนี้ ท่านผู้ฉลาดคงจะแลเห็นแล้วว่า ความคิดของมันนั้นเป็นอย่างหมาแท้ๆ เพราะมันหาหวนคำนึงไปไม่ว่า คนที่เขามีอาหารกินก็เพราะเขาอุตสาหะ เพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารและผักผลไม้ อุตสาหะหาเนื้อหาปลาโดยล่าไล่จับเองหรือเอาของไปแลกหามา หรือซื้อด้วยทุนทรัพย์ และมันหานึกไม่ว่าที่เขามีเรือนชานอยู่อาศัยก็เพราะเขาอุตสาหะปลูกสร้างของเขาขึ้น และข้อสำคัญที่สุด มันหาหวนคิดไม่ว่ามันเองไม่มีสิทธิอันใดที่จะไปคาบขโมยเอาอาหารที่เขาหามาได้โดยน้ำพักน้ำแรงของเขา ที่จริงมันเองก็มีแรงพอที่จะไปเที่ยวหาอาหารกินเองอย่างเช่นที่ปู่ย่าตาทวดของมันที่เป็นหมาป่าได้เคยประพฤติมา และซึ่งญาติวงศ์พงศาของมันที่ยังเป็นหมาป่าอยู่นั้นยังคงประพฤติอยู่ แต่หมาตัวที่กล่าวในเรื่องนิทานนี้มันเป็นหมาที่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ใกล้มนุษย์เสียนานแล้ว มันจึงขี้เกียจเที่ยวหาอาหารตามแบบหมาป่า เพราะเที่ยวคาบขโมยเขาเอาเป็นการง่ายกว่าสะดวกกว่า เลยเป็นการหากินเช่นนี้เป็นการที่ดีและไม่ผิด

มันนอนบ่นอยู่เช่นที่กล่าวมานั้นช้านาน จนรุกขเทวดาที่อยู่ในที่ใกล้เคียงรู้สึกรำคาญ จึงลงมาพูดกับหมาตัวนั้นว่า
“นี่แน่ะเจ้าเอ๋ย! ทำไมเจ้ามานอนบ่นถึงความอยุติธรรมของคนเช่นนี้ อาหารของเขาอุตสาหะสะสมไว้ เจ้าไปแย่งของเขาแล้ว เมื่อเขาไล่ตีจะโกรธเขาทำไม? เจ้านึกหรือเปล่าว่าเขาทนระกำลำบากเพื่อหาอาหารไว้เลี้ยงตน?”


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/39880736337767_1.jpg)

หมาของเราออกจะเป็นเจ้าถ่อยอยู่ จึงตอบรุกขเทวดาว่า “ข้าพเจ้าบ่น เพราะคนที่ตีข้าพเจ้านั้นไม่เป็นยุติธรรมจริงๆ ทีหมาที่เขาเลี้ยงไว้ในบ้านเขาให้อาหารกินอย่างอิ่มหนำสำราญ แต่ส่วนข้าพเจ้าจะไปกินบ้างเขากลับไล่ตี”

รุกขเทวดาจึงชี้แจงว่า “หมาที่เขาเลี้ยงไว้ในบ้านนั้น เขาได้ใช้มันเป็นประโยชน์ เช่นเฝ้าบ้านเฝ้าสวนของเขาเป็นต้น” นับว่ามันได้ทำประโยชน์ตอบแทนค่าที่เขาเลี้ยง แต่ส่วนเจ้าไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ตอบแทนแก่เขาเลย”

ฝ่ายหมานั้นมันหัวดื้อ ถึงรุกขเทวดาจะชี้แจงเท่าใดมันก็ไม่ยอมแพ้ และในที่สุดเมื่อรุกขเทวดาถามว่ามันจะปรารถนาอะไร หมาก็ตอบด้วยความเหิมเห่อระคนกับความริษยาว่า “ข้าพเจ้าอยากจะเป็นคน”

รุกขเทวดานั้น เผอิญเมื่อเป็นมนุษย์อยู่ได้เคยเป็นฤษีบำเพ็ญตบะอยู่ช้านาน จึงมีอภินิหารประสาทพรหรือสาปแช่งได้ รุกขเทวดามีญาณเล็งเห็นได้ไกลว่า หนทางที่จะทรมานหมานั้นอย่างดีที่สุดคือให้พรให้มันเป็นไปสมปรารถนา และในไม่ช้าก็คงได้รู้สำนึกตัว รุกขเทวดาจึงกล่าวว่า

“เอาเถิด! กูจะประสาทพรให้มึงเป็นคน ณ บัดนี้”  พอขาดคำหมาตัวนั้นก็กลายเป็นคน และรุกขเทวดาสั่งไว้ว่า ถ้าเมื่อใดปรารถนาจะแปลงชาติอีกก็ให้รำลึกถึงตนและเปล่งอุทานขอตามปรารถนาเถิด  

หมาที่ได้กลายเป็นคนนั้นก็มีความยินดี ลุกเดินไปจากที่เฉพาะหน้าเทวดานั้น โดยมิได้ยกมือไหว้แม้แต่ครั้งเดียวด้วยซ้ำ เพราะถึงแม้ได้เป็นคนแล้วก็จริง แต่ได้เป็นไปแต่รูปเท่านั้น ส่วนความคิดและนิสัยก็คงเป็นหมาอยู่ตามเดิมนั้นเอง

อีกประการหนึ่ง อาศัยที่มีนิสัยเกียจคร้านอยู่แล้ว แม้เมื่อเป็นคนขึ้นแล้ว ก็มิได้คิดที่จะประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริตเหมือนเขาทั้งหลายเลย ในชั้นต้น เมื่อเข้าไปสู่หมู่คนใหม่ๆ เขาเห็นว่าเป็นคนต่างถิ่นมาผู้ที่ใจดีก็ให้อาหารบริโภคและยอมให้อาศัยในบ้านเรือนของเขา แต่เมื่อเขาเห็นว่านายหมานั้นไม่ทำประโยชน์ตอบแทนเขาบ้างเลย ต่างคนก็ต่างพากันระอาและไม่ใคร่พอใจคบ นายหมาขอเขากินและอาศัยเขาอยู่ไม่ใคร่ได้เข้า ลงท้ายก็ต้องริขโมย ตั้งต้นแต่หยิบเล็กฉวยน้อย ต่อขึ้นไปถึงวิ่งราว ตัดช่องย่องเบา และเป็นโจรปล้นเป็นที่สุด เจ้าพนักงานเขาก็จับตัวอ้ายหมาไปยังเจ้าเมือง และเมื่อพิจารณาเป็นสัตย์แล้ว เจ้าเมืองก็เฆี่ยนและเอาตัวจำคุกไว้

อ้ายหมาไปติดคุกได้รับทุกข์เวทนาอยู่ จะได้รู้สึกว่าตนเองหาทุกข์ให้แก่ตนก็หามิได้ เป็นแต่นอนรำพึงขึ้งแค้นบรรดาเจ้าหน้าที่ซึ่งจับกุมตนไปลงอาญาทรมานอยู่นั้น จนลงท้ายรำลึกได้ถึงคำที่รุกขเทวดาอนุญาตไว้ จึงเปล่งอุทานว่า “เทวดาเจ้าขา ข้าพเจ้าขอเป็นเจ้าเมือง!”

ทันใดนั้นก็ได้มีพะทำมะรงเข้าไปถอดเครื่องพันธนาการ และมีกรมการเข้าไปหา นำเสื้อผ้าเข้าไปให้ผลัด และเชิญไปยังศาลากลาง เมื่อถึงที่นั้นได้พบข้าหลวงซึ่งลงไปจากราชธานี เชิญกระแสพระดำรัสของพญามหากษัตริย์ทรงตั้งนายหมาให้เป็นพญาโสณามาตย์ผู้ว่าราชการเมือง

เมื่อได้มีอำนาจขึ้นแล้วเช่นนั้น กิจการอันแรกของพญาโสณามาตย์ก็คือให้เกาะตัวเจ้าเมืองคนเก่าและบรรดาเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ได้จับกุม และลงอาญาแก่ตนมาแล้ว สั่งให้เฆี่ยนและทรมานต่างๆ ให้สาแก่ใจ แล้วเอาตัวไปจองจำไว้ในคุกทุกคนโดยไม่มีกำหนดวันพ้นโทษ

การสำแดงอำนาจโดยอาการอันรุนแรงเช่นนี้ ทำให้คนในเมืองนั้นพากันยำเยงเกรงขามไปทั่วกัน พญาโสณามาตย์ฮึกเหิมได้ใจ ก็ใช้อำนาจรุนแรงหนักขึ้นเป็นลำดับ และฉ้อราษฎร์บังหลวงตามอำเภอใจ หาผลประโยชน์สำหรับตนได้มากมายในไม่ช้า และหาความสุขต่างๆ เป็นอันมาก มีเมียจนนับตัวไม่ถ้วน มีข้าทาสพึ่งบุญทวีขึ้นทุกที แต่เป็นธรรมดาของผู้ที่ไม่มีศีลธรรมยิ่งได้มากก็ยิ่งโลภมาก จึงเบียดเบียนราษฎรพลเมืองจนเดือดร้อนแสนสาหัสทุกเส้นหญ้า

ในไม่ช้าก็มีผู้ร้องฎีกา พญามหากษัตริย์จึงตรัสใช้ให้ข้าหลวงออกไปจับตัวพญาโสณามาตย์จำเข้าไปยังราชธานี ตรัสสั่งให้ลูกขุนชำระได้ความจริงตามข้อหาในฎีกา จึงให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนหลัง ๒ ยกและจำคุก อีกทั้งให้ถอดจากยศบรรดาศักดิ์และริบทรัพย์สมบัติหมดสิ้น

แต่พญาโสณามาตย์ได้เคยชิมรสคุกมาครั้งหนึ่งแล้ว จึงมิได้ยับยั้งรั้งรอให้เนิ่นนานไปเช่นคราวก่อน พอลูกขุนศาลรับสั่งอ่านคำพิพากษาจบ พญาโสณามาตย์ก็เปล่งอุทานขึ้นว่า “เทวดาเจ้าขา ข้าพเจ้าขอเป็นพญามหากษัตริย์!”

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอื้ออึงขึ้นที่นอกศาลลูกขุน ปรากฏว่าราชธานีที่ใกล้เคียงแห่งหนึ่งได้เสี่ยงเสียงราชรถมา และรถได้มาเกยจำเพาะที่ตรงพญาโสณามาตย์ พวกชีพ่อพราหมณ์และอำมาตย์ที่มากับราชรถนั้นก็อัญเชิญพญาโสณามาตย์ขึ้นรถเดินกระบวนไปยังราชธานีที่ได้เสี่ยงรถนั้นมา และเชิญขึ้นเสวยราชย์ถวายพระนามว่าพระเจ้าโสณะราช

ตั้งแต่นั้นมาพระเจ้าโสณะราชก็ได้เสวยบรมสุขอย่างเป็นที่พึงใจ มีมเหสีซ้ายขวา สาวสนมกำนัลในแวดล้อมอยู่โดยสะพรั่ง ทั้งในท้องพระคลังก็เต็มไปด้วยราชทรัพย์นับไม่ถ้วนทั้งประมวลมากขึ้นทุกวัน เป็นอันควรที่จะพอใจด้วยประการทั้งปวง แต่พระเจ้าโสณะราช แม้ได้เป็นใหญ่ถึงปานนี้แล้วก็ยังหาได้ทิ้งนิสัยเดิมไม่ ยังมีใจเต็มไปด้วยความริษยาและโลภหาที่ขีดขั้นมิได้ ดังนี้จึงหาเหตุก่อวิวาททำสงครามกับอาณาเขตใกล้เคียงอยู่มิได้ขาด เพื่อหาอำนาจและทรัพย์ศฤงคารให้ยิ่งขึ้น งานสงครามที่กระทำก็มีชัยได้สมหวังแทบทุกราย แต่ยิ่งมีชัยก็ยิ่งอยากเที่ยวรบแผ่อำนาจมากขึ้น จนทำให้โลกเดือดร้อนแสนสาหัส

วันหนึ่งในระหว่างเวลาไปในงานสงคราม จำเป็นต้องหยุดพักกลางทุ่ง เพื่อรอรวมกำลังรี้พลสำหรับยกเข้าโจมตีข้าศึกซึ่งเข้มแข็ง พระเจ้าโสณะราชจำเป็นต้องประทับอยู่กลางแจ้งแดดร้อนจัด พระหฤทัยกลุ้มกลัดด้วยความร้อน จึ่งได้เปล่งอุทานออกมาว่า “เทวดาเจ้าขา ข้าพเจ้าขอเป็นพระอาทิตย์!”

ทันใดนั้นพระเจ้าโสณะราชก็รู้สึกพระองค์ลอยขึ้นไปบนอากาศ ลิ่วๆ ไปจนไปนั่งอยู่บนรถ ซึ่งทราบได้ว่าเป็นรถพระอาทิตย์ ก็ยินดียิ่งนัก และเริ่มแผดรัศมีร้อนแรงเผาไปทั่วพิภพ จนผู้คนและสัตว์ดิรัจฉานล้มนอนระเนระนาดไปด้วยความร้อน และต้นหมากรากไม้ก็เหี่ยวแห้งไปโดยทันด่วน

ดังนี้จึงร้อนถึงพระอินทร์ ซึ่งทิพยอาสน์เร่าร้อนราวกับไฟเผา ครั้นเล็งทิพย์เนตรไปเห็นเหตุแจ้งประจักษ์แล้ว จึงมีเทวบัญชาสั่งให้เมฆฝนไปบังแสงตะวันโสณาทิตย์นั้นเสีย และให้โปรยปรายฝนลงไปให้ชุ่มชื้นโลกด้วย

ฝ่ายพระโสณาทิตย์พยายามแผดรัศมีเท่าใดก็มิสามารถลอดเมฆฝนไปได้ ทำให้มีความขัดแค้นเป็นกำลังจึงเปล่งอุทานว่า “เทวดาเจ้าขาข้าพเจ้าขอเป็นเมฆฝน”

ทันใดนั้นพระโสณาทิตย์ก็กลายเป็นเมฆฝน และต่อแต่นั้นมาฝนได้ตกในโลก ๗ วัน ๗ คืนติดๆ กันไม่หยุดหย่อน จนน้ำแทบท่วมโลกทั่วไป พระอินทร์ต้องเดือดร้อนอีกครั้งหนึ่ง จึงขอแรงให้พระพายุช่วยไปแก้ไขระงับเหตุ พระพายุก็รีบไปพัดหอบเอาเมฆฝนไปเสียนอกจักรวาฬในชั่วพริบตา

โสณะเมฆมีความโทมนัสเป็นอันมากที่ต้องแพ้พายุเช่นนี้ จึงเปล่งอุทานว่า “เทวดาเจ้าขา ข้าพเจ้าขอเป็นพายุ!”

พอได้สมปรารถนาอีกครั้งหนึ่งแล้ว พระโสณะวายุก็เที่ยวพัดเป่าตึกกว้านบ้านเรือนโรงล้มซวนไป และต้นไม้ก็หักโค่นไปทุกๆ ทางที่พัดไป แต่อัศจรรย์นักหนา พระโสณะวายุได้พัดผ่านจอมปลวกอันหนึ่งไปก็ไม่เห็นเป็นอันตราย หวนกลับมาพัดเป่าอย่างแรงทุกๆ ด้าน จอมปลวกนั้นก็ไม่ล้มหรือพังอย่างหนึ่งอย่างใดได้ พระโสณะวายุพยายามจนสิ้นกำลัง จวนจะคลั่งอยู่แล้ว จึงร้องขึ้นว่า “เทวดาเจ้าขา ข้าพเจ้ามีแรงสู้แต่จอมปลวกนี้ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นขอเป็นจอมปลวกเถิด!”

โสณะวายุก็กลายเป็นจอมปลวกไปทันที แต่ยังคงมีวิญญาณสำหรับคิดและสำเนียงพูดได้ อยู่มาไม่ช้ามีหมูตัวหนึ่งเที่ยวคุ้ยเขี่ยหาอาหาร มาถึงจอมปลวกก็คุ้ยเขี่ยเอาทลายลง

หมาจอมปลวกมีความเสียใจเป็นกำลังที่ได้แลเห็นแล้วว่าจอมปลวกซึ่งสามารถทนอำนาจแห่งพายุได้นั้นทนอำนาจของหมูหาได้ไม่ เห็นว่าหมูดีกว่าจึงเปล่งอุทานว่า “เทวดาเจ้าขา ข้าพเจ้าขอเป็นหมู!”

พอพูดขาดคำก็กลายเป็นหมูเดินอุ้ยอ้ายไปเที่ยวหาอาหารกินตามวิสัยของหมู และนึกในใจว่า “นี่แหละเป็นปางที่สุดของเราแน่แล้ว! สบายเบาหรือ! มีแต่กินกับนอนวันยังค่ำคืนยังรุ่ง ไม่ต้องทำงานอะไรเลย!”

หมูนั้น กำลังเพลิดเพลินอยู่ด้วยความสุขก็พอมีหมาตัวหนึ่งผ่านมา และตามวิสัยของหมา พอแลเห็นหมูก็เริ่มเห่าแลแสดงกิริยาอาการเหมือนจะกัดทีเดียว ฝ่ายหมูของเราตกใจเหลือทน เห็นจนแต้มเข้าแล้วจึงเปล่งว่า “เทวดาเจ้าขา ข้าพเจ้าขอเป็นหมา!”

พอได้เป็นหมาแล้วก็พูดโอ้อวดว่า “คราวนี้แหละเป็นเก่งที่สุดแน่ละ! ใครจะมาสู้เราได้เล่าคราวนี้  เทวดาเจ้าขา ข้าพเจ้าไม่ขอเป็นอื่นอีกต่อไปละ”

รุกขเทวดาก็หัวเราะและตอบว่า “อ้ายถ่อย! เมื่อเดิมทีมึงก็เป็นหมาอยู่แล้ว มึงอยากเหิมเห่อแปลงชาติไปแล้ว ก็มิได้ถือโอกาสทำประโยชน์อย่างใดเลย"


     “เป็นหมาอยู่ก่อนแล้ว      คงหมา เรื่อยแฮ
     เพราะว่าแปลงกายา        สรรพแล้ว
     แต่จิตก็อิจฉา               หยาบอย่าง เดิมแล
     จึงมิอาจไคลแคล้ว         คลาดพ้นพรรณหมาฯ”                  
                  ..."ศรีอยุธยา"
   

(http://www.sookjai.com/Themes/default/images/ImagesOnBoard/p11.jpg)   (http://www.sookjai.com/Themes/default/images/ImagesOnBoard/p11.jpg)