[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
09 พฤษภาคม 2567 08:33:45 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ปฐมเหตุเวสสันดรชาดก การเทศน์คาถาพัน และการเทศน์มหาชาติ  (อ่าน 13044 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5477


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2556 14:24:50 »

.


ปฐมเหตุ เวสสันดรชาดก

พระพุทธองค์ สมัยเมื่อเสด็จละจากมหาวิหารเวฬุวัน ใกล้กรุงราชคฤห์อันเป็นราชธานีแห่งมคธ สู่นครกบิลพัสดุ์ แขวงสักกชนบท เพื่อบำเพ็ญญาตัตถจริยาโปรดพระญาติ มีพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดาเป็นประธาน อันพระกาฬุทายีเป็นผู้สื่อสาร และนำเสด็จไปประทับยังนิโครธารามไม่ห่างจากมหานคร ตามที่ศากยราชจัดถวายต้อนรับพร้อมด้วยหมู่ภิกษุบริวารเป็นอันมาก (๑ แสน) ยังความยินดีให้แผ่ไปทั่วทั้งกบิลพัสดุ์ ในกาลนั้นความมหัศจรรย์ได้บังเกิดขึ้น เป็นเหตุให้ทรงประกาศเรื่องเวสสันดรชาดก

โดยปกติพระตถาคตเจ้า เสด็จสู่ ณ ที่ใดก็ย่อมบังเกิดความสุขสวัสดี ณ ที่นั้น เพราะอานุภาพแห่งคำสั่งสอนที่ตรัสประทานด้วยพระมหากรุณา อุปมาเสมือนมหาเมฆหลั่งโปรยสายฝนอันเย็นฉ่ำลงมาลงโลก ยังความอ้าวระอุของไอแดดไอดินให้ระงับ ชุบชีพพฤกษาชาติที่เหี่ยวเฉาให้ฟื้นสู่ความชื่นบานตระการด้วยดอกช่อและก้านใบฉะนั้น แต่สำหรับกบิลพัสดุ์ดินแดนที่ทรงถือพระกำเนิดและเจริญวัยมา มวลพระญาติและราษฎรประชา หาได้ยินดีต่อพุทธวิสัยธรรมานุภาพไม่

พระองค์ทรงอุบัติมาเป็นความหวังของคนทั้งแว่นแคว้น ทุกคนพากันรอยคอยอย่างกระหายใคร่จะชมพระบารมีจักรพรรดิราช แต่แล้วท่ามกลางความไม่นึกฝัน ทรงอยู่ในพระเยาวกาลเกศายังดำสนิท ไม่ปรากฏร่องรอยความร่วงโรยแห่งสังขารแม้แต่น้อย ทั้งสมบูรณ์พูนพร้อมทุกอย่างเท่าที่สมบัติประจำวิสัยบุรุษจะพึงมี พระชายาทรงสิริโฉมเป็นเลิศ ซ้ำยังเป็นโชคอันประเสริฐให้กำเนิดโอรสอันเป็นสิริแห่งวงศ์ตระกูลอีกเล่า พระองค์ก็ยังตัดเยื่อใยแห่งโลกีย์  เสด็จแหวกวงล้อมเหล่านี้ออกสู่ไพรพฤกษ์ ประพฤติองค์ปานประหนึ่งพเนจรอนาถา สร้างความผิดหวังและวิปโยคแก่คนทั้งแคว้นเป็นเวลานาน ๖ ปี ทรงกระทำงานชีวิต และสำเร็จกิจโดยได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ จากนั้นก็ทรงใช้ไปเพื่องานสงเคราะห์สัตว์โลก เสด็จเที่ยวแจกจ่ายอุบายพ้นทุกข์ ด้วยเทศนาสั่งสอนจนชาวโลกยอมรับและเทิดทูนไว้ในฐานะองค์ศาสดาเอก  บัดนี้ พระพุทธองค์เสด็จคืนกลับกบิลพัสดุ์แล้ว แต่ชาวกบิลพัสดุ์มิได้ต้อนรับในฐานะศาสดา เขาพากันปีติต่อพระองค์ในฐานะที่เคยเป็นขวัญจิตขวัญใจของเขาต่างหาก (จากหนังสือเรื่องเพลงศาสนา ของหลวงตาแพร เยี่อไม้)

วันแรกที่เสด็จถึงดินแดนแห่งมารดร ทรงเห็นว่ายังไม่ใช่โอกาสที่จะประทานธรรมเทศนาแก่หมู่พระญาติ เพราะวันนี้เป็นวันที่วิถีประสาทและจิตใจตลอดทั้งร่างกายของเหล่าศากยะ เต็มไปด้วยอาการปีติตื่นเต้น และอิดโรยด้วยความยินดี และภารกิจไม่อยู่ในสภาพที่ควรแก่การรองรับกระแสธรรม ทรงรอวันรุ่ง แต่แล้วในตอนบ่ายของวันต่อมา เมื่อบรรดาศากยราชญาติประยูรพากันเสด็จไปเฝ้าที่นิโครธาราม ก็ทรงประจักษ์ว่า พระทัยของประยูรญาติบางส่วน ยังไม่อยู่ในฐานะควรแก่การรับคำสั่งสอน เพราะมีพระญาติวงศ์รุ่นสูงชันษาบางพระองค์แสดงอาการทรนงเป็นเชิงว่า “ข้าเกิดก่อน” เจ้าชายสิทธัตถะจะแสดงความเคารวะนบไหว้ หรือสนพระทัยต่อพระพุทโธวาท ก็เกรงจะเสียเชิงของผู้เห็นโลกมาก่อน จึงพากันประทับอยู่ห่างๆ ด้วยพระอาการเคอะเขิน หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตามซุ้มไม้และฉากกั้น ปล่อยแต่บรรดากุมารกุมารีรุ่นเยาว์ชันษาให้ได้เฝ้าอย่างใกล้ชิด พระอาการอันกระด้างเคอะเขินของพระญาติรุ่นสูงอายุนั้น พระพุทธองค์ทรงสังเกตว่า เกิดจากมูลเหตุอันจะเป็นอุปสรรคสกัดกั้นผลดีที่พึงเกิดมีแก่เขาเสีย

มูลเหตุอันจะปิดกั้นความงอกงามจำเริญแก่ดวงจิตนั้นก็คือ ทิฐิมานะ ความเห็นอันเป็นให้ถือตน ถ้าลงจับจิตสิงใจผู้ใดเข้าแล้ว ก็รังแต่จะทำให้สภาพจิตวิปริตไป เสมือนรากต้นไม้ที่เป็นโรค แม้ฝนจะฉ่ำน้ำจะโชก แผ่นดินจะฟูอยู่ด้วยรสปุ๋ย รากที่ปิดตันเสียแล้วด้วยอำนาจเชื้อโรค ก็ไม่ยอมดูดซับเอาโอชะเข้าบำรุงลำต้น เกรียนโกร๋นยืนตายไปในที่สุดฉันใด อนาคตของคนที่มีจิตมากอยู่ด้วยมานะทิฐิก็ฉันนั้น

ทรงพิจาณาดังนี้ จึงเห็นว่ากิจอันควรก่อนอื่น คือ ทำลายความกระด้าง ล้างความถือดีเสียด้วยอำนาจอิทธิปาฏิหาริย์ ทรงกำหนดจิตเจริญฌาน มีอภิญญาเป็นภาคพื้นลอยขึ้นสู่ห้วงนภากาศเสด็จลีลาศจงกรมไปมาน่าอัศจรรย์ เพียงเท่านี้เอง ความคิดข้องใจที่ว่าใครอาบน้ำร้อนก่อนหลังก็เสื่อมสูญอันตรธาน พากันก้มเศียรคารวะแสดงถึงการยอมรับนับถืออย่างเต็มใจ เมื่อเสด็จลงประทับ ณ พุทธอาสน์ เบื้องนั้น ฝนอันมหัศจรรย์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมีมาก่อนก็ตกลง ความมหัศจรรย์มีลักษณะดังนี้
• สีเม็ดน้ำฝน แดงเรื่อ เหมือนแก้วทับทิม
• ผู้ใดปรารถนาให้เปียกก็เปียก  ผู้ไม่ปรารถนา แม้ละอองก็ไม่สัมผัสผิวกาย
• ไม่เลอะเทอะขังนอง ก่อให้เกิดโคลนตมอันปฏิกูล พอฝนหาย แผ่นดินก็สะอาด
• ตกลงเฉพาะในสมาคมพระญาติ ไม่มีผู้อื่นอยู่ร่วมประชุมด้วย


คติความมหัศจรรย์โดยอุปมา มีดังนี้
ข้อที่ ๑ สีของน้ำฝน ได้แก่ สีโลหิตแห่งความชื่นชมยินดี วันนี้เป็นวันที่ศายราชทั้งปวงรอคอย ก็สมหวังแล้ว เมื่อพระพุทธองค์เสด็จคืนกลับมา ให้เขาได้เห็นพระรูปพระโฉม  จึงพากันชื่นบาน ผิวพรรณก็ซ่านด้วยสายเลือด อย่างที่เรียกราศีของคนมีบุญว่า ผิวพรรณอมเลือดฝาด
ข้อ ๒ ความชุ่มชื้นของสายฝน ก็ได้แก่พระธรรมเทศนาที่พระพุทธองค์ทรงประกาศออกไป มีเหตุมีผลสมบูรณ์ด้วยหลักการ  ถ้าผู้ใดตั้งใจฟังด้วยความเคารพธรรมก็เข้าสัมผัสจิตสำนึก  และสามารถจะปรับปรุงจิตของตนตามหลักแห่งเหตุผลนั้น จนกระทั่งจิตตั้งอยู่ในภาวะเยือกเย็นเหมือนผิวกายต้องละอองฝน แต่สำหรับบุคคลที่ฟังสักแต่ว่าฟัง ธรรมะนั้นก็จะไม่กระทบใจ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา อุปมาด้วยฝนไม่เปียก
ข้อ ๓ ปกติธรรมะเป็นของสะอาด ไม่ก่อทุกข์โทษอันพึงรังเกียจแก่ใครๆ ไม่ว่ากาลไหนๆ
ข้อ ๔ พระพุทธจริยาครั้งนี้ ทรงมุ่งบำเพ็ญเฉพาะหมู่พระญาติศากยะล้วนๆ

เมื่อเหล่าศากยะ ผู้ได้รับความเย็นกายด้วยสายฝน เย็นใจด้วยกระแสธรรม และกราบบังคมลาพากันคืนสู่พระราชนิเวศแล้ว แต่นั้นก็ย่างเข้าสู่เขตสนธยากาล แสดงแดดอ่อนสาดฝ่าละอองฝนที่เหลือตกค้างมาแต่ตอนบ่าย ทำให้เกิดบรรยากาศราวกับจะกลายเป็นยามอรุณ ดอกไม้ในสวนเริ่มเผยอกลีบอย่างอิดเอื้อนเหมือนหลงเผลอ แม้นกก็บินกลับรวงรังอย่างลังเล

ภิกษุทั้งหลายกำลังชุมนุมสนทนากันถึงฝนอันมหัศจรรย์และสายัณห์อันเฉิดฉาย ลงท้ายก็พากันเทิดทูนพุทธบารมีที่บันดาลให้ทุกสิ่งเป็นไปแล้วอย่างพิศวงยิ่ง พระพุทธองค์เสด็จสู่วงสนทนา ของภิกษุพุทธสาวก เมื่อทรงทราบถึงมูลเหตุอุเทสแห่งการสนทนานั้น ก็ตรัสแย้มว่าฝนนี้เรียกว่า ฝนโบกขรพรรษ ที่ตกลงในปัจจุบันนี้ หาชวนอัศจรรย์ไม่ แม้ในอดีตกาล เมื่อทรงอุบัติเกิดเป็นพระโพธิสัตว์ นามว่าเวสสันดร ก็ทรงบำเพ็ญบารมีธรรมจนเป็นเหตุให้ฝนโบกขรพรรษได้ตกลงมานั่นสิ อัศจรรย์กว่า ภิกษุทั้งหลายต่างกันกันกราบทูลพระมหากรุณาให้นำเรื่องครั้งนั้นมาแสดง ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงเรื่องราวพิสดาร แบ่งเป็นสิบสามกัณฑ์พันพระคาถา....



วงปี่พาทย์ ประโคมประกอบการเทศน์มหาชาติ
ด้วยเชื่อว่าเป็นการเสริมศรัทธาให้เกิดความปีติในผลบุญที่ได้บำเพ็ญ

เทศน์มหาชาติ
การเทศน์มหาชาติ เป็นบุญพิธีที่นิยมจัดให้มีกันมาแต่โบราณ สันนิษฐานว่ามีมาแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี  ดังปรากฏตามความในศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลักที่ ๓ หรือ “จารึกนครชุม” ซึ่งจารึกไว้ ในสมัยพญาลิไท (พระมหาธรรมราชาที่ ๑) เมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๐ ว่า “ธรรมเทศนาอันเป็นต้นว่า พระมหาชาติหาคนสวดแลมิได้เลย”

งานเทศน์มหาชาตินี้ นิยมทำกันหลังออกพรรษาพ้นหน้ากฐินไปแล้ว  โดยทั่วไปนิยมจัดงานสองวัน คือ วันเทศน์เวสสันดรชาดกทั้ง ๑๓ กัณฑ์วันหนึ่ง และวันเทศน์จตุราริยสัจจกถา ท้ายเวสสันดรชาดกอีกวันหนึ่ง ระยะเวลาจัดงานอาจทำในวันขึ้น ๘ ค่ำกลางเดือน ๑๒ หรือในวันแรม ๘ ค่ำก็ได้  ซึ่งในช่วงนี้น้ำเริ่มลดและข้าวปลาอาหารกำลังอุดมสมบูรณ์ จึงพร้อมใจกันทำบุญทำทานและเล่นสนุกสนานรื่นเริง  แต่ในภาคอีสานนั้นนิยมทำกันในเดือน ๔ เรียกว่า “งานบุญผะเหวด” ซึ่งเป็นช่วงที่เสร็จจากการทำบุญลานเอาข้าวเข้ายุ้ง  ในภาคกลาง บางท้องถิ่นทำกันในเดือน ๕ ต่อเดือน ๖ ก็มี
 
งานเทศน์มหาชาตินั้นจะทำในกาลพิเศษ จะทำในเดือนไหนก็ได้ไม่จำกัดฤดูกาล  โดยมากเพื่อเป็นการหาเงินเข้าวัด บางแห่งนิยมทำในเดือน ๑๐ ส่วนทางดินแดนล้านนาทางภาคเหนือ จะเรียกการเทศน์มหาชาติว่า “การตั้งธรรมหลวง” ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนยี่เพง (ยี่เป็ง) คือ วันเพ็ญเดือน ๑๒

เรื่องที่นำมาใช้ในการเทศน์มหาชาตินั้น เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเวสสันดรอันเป็นพระชาติสุดท้ายของพระบรมโพธิสัตว์ ก่อนที่จะมาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ และออกบวชจนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนการที่เรียกมหาเวสสันดรชาดก ว่า “มหาชาติ” นั้น เนื่องด้วยเวสสันดรชาดกนี้ เป็นเรื่องใหญ่และยืดยาว ท่านจึงจัดรวมไว้ในมหานิบาตชาดก คือ รวมเรื่องใหญ่ ๑๐ เรื่อง เรียกว่าทศชาติ แต่เหตุที่อีก ๙ เรื่องไม่เรียกว่ามหาชาติเช่นเดียวกับเวสสันดรชาดกนั้น ข้อนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายว่า พุทธศาสนิกชนชาวไทยตลอดจนประเทศใกล้เคียงนับถือกันมาแต่โบราณว่า เรื่องมหาเวสสันดรชาดก สำคัญกว่าชาดกอื่นๆ ด้วยปรากฏบารมีของพระโพธิสัตว์บริบูรณ์ในเรื่องมหาเวสสันดรชาดกทั้ง ๑๐ อย่างคือ
๑.ทานบารมี  ทรงบริจาคทรัพย์สิน ช้าง ม้า ราชรถ พระกุมารทั้งสองและพระมเหสี
๒.ศีลบารมี  ทรงรักษาศีลอย่างเคร่งครัด  ระหว่างทรงผนวชอยู่ ณ เขาวงกต
๓.เนกขัมมบารมี  ทรงครองเพศบรรพชิตตลอดเวลาที่ประทับ ณ เขาวงกต
๔.ปัญญาบารมี  ทรงบำเพ็ญภาวนามัยปัญญาตลอดเวลาที่ทรงผนวช
๕. วิริยบารมี ทรงปฏิบัติธรรมมิได้ย่อหย่อน
๖.สัจจบารมี  ทรงลั่นพระวาจายกสองพระกุมารให้ชูชก เมื่อพระกุมารหลบหนี ก็ทรงติดตามมาให้
๗.ขันติบารมี  ทรงอดทนต่อความยากลำบากต่างๆ ขณะที่เดินทางมายังเขาวงกต และตลอดเวลาที่ประทับ ณ ที่นั่น
   แม้เมื่อทอดพระเนตรเห็นชูชกเฆี่ยนตีพระกุมารอย่างทารุณ พระองค์ก็ทรงข่มพระทัยไว้ได้
๘.เมตตาบารมี  เมื่อพราหมณ์เมืองกลิงคราษฎร์ มาทูลขอช้างปัจจัยนาเคนทร์ เพราะเมืองกลิงคราษฎร์ฝนแล้ง ก็ทรงพระเมตตาประทานให้
   และเมื่อชูชกมาทูลขอสองพระกุมาร โดยอ้างว่าตนได้รับความลำบากต่างๆ พระองค์ก็มีเมตตาประทานให้ด้วย
๙.อุเบกขาบารมี  เมื่อทรงเห็นสองพระกุมารถูกชกชกเฆี่ยนตี วิงวอนให้พระองค์ช่วยเหลือ พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญอุเบกขา คือทรงวางเฉย
   เพราะทรงเห็นว่าได้ประทานเป็นสิทธิ์ขาดแก่ชูชกไปแล้ว
๑๐.อธิษฐานบารมี  คือ ทรงตั้งมั่นที่จะบำเพ็ญบารมีเพื่อให้สำเร็จโพธิญาณเบื้องหน้า แม้จะมีอุปสรรคก็มิได้ทรงย่อท้อ  
   จนพระอินทร์ต้องประทานความช่วยเหลือต่างๆ เพราะตระหนักในน้ำพระทัยอันแน่วแน่ของพระองค์




เทศน์มหาชาติ
ดังนั้น จึงเรียกพระชาติสำคัญนี้ว่า “มหาชาติ” ส่วนพันเอกพระสารสาสน์พลขันธ์ (เยรินี) กล่าวไว้ว่า พระโพธิสัตว์ในกำเนิดพระเวสสันดร ได้สร้างแบบของมนุษย์ผู้ก้าวถึงขั้นสูงสุดแห่งการดำเนินในทางวิวัฒนาการ อันนำไปสู่ความเต็มเปี่ยมทางจริยธรรมและความรู้ เหมาะแก่การข้ามพ้นโอฆะห้วงสุดท้าย  ซึ่งจะแยกออกเสียได้จากการเกิดเป็นเทวดา เพราะเหตุนี้กำเนิดสุดท้ายจึงได้นามว่า “มหาชาติ” คือเป็นพระชาติที่บำเพ็ญบารมีขั้นสูงสุดนั่นเอง

เวสสันดรชาดกนี้ คัมภีร์ธัมมบทขุททกนิกาย กล่าวว่า เป็นพุทธดำรัสที่สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสแก่ภิกษุสงฆ์ขีณาสพสองหมื่น และมวลหมู่พระยูรญาติที่นิโครธารามมหาวิหาร ในนครกบิลพัสดุ์ ในคราวเสด็จโปรดพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา และพระวงศ์ศากยะ  เพราะปรารภฝนโบกขรพรรษให้เป็นเหตุ จึงตรัสเวสสันดรชาดกในที่นี้  มหาชาติทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ประกอบด้วย ทศพร หิมพานต์ ทานกัณฑ์ วนประเวศน์ ชูชก จุลพน มหาพน กุมาร มัทรี สักกบรรพ มหาราช ฉกษัตริย์ และนครกัณฑ์

มหาชาติในสมัยปัจจุบัน แบ่งเป็น ๓ ลักษณะ คือ
๑.มหาชาติประยุกต์ ท่านพระครูพิศาลธรรมโกศล (หลวงตาแพร เยื่อไม้) วัดประยุรวงศาวาส  เป็นผู้คิดและให้คำ ๆ นี้  เมื่อ ๓๐ กว่าปีมาแล้ว จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้ผู้ฟังได้ประโยชน์ คือ ฟังรู้เรื่อง เข้าใจ และได้สาระ ไม่ง่วงน่าเบื่อหน่าย อีกทั้งประหยัดเวลาในการแสดง

๒.มหาชาติทรงเครื่อง มี ๓ ลักษณะ คือ
• มีการปุจฉา – วิสัชนา  ถาม – ตอบ  ในเรื่องเทศน์
• มีการสมมติหน้าที่ เช่น องค์โน้นเป็นพระเวสสันดร  องค์นี้เป็นพระนางมัทรี
• ในเทศน์มีแหล่ ทั้งแหล่นอก แหล่ใน มิใช่ว่าแต่ทำนองประจำกัณฑ์เท่านั้น (แหล่นอก หมายถึง แหล่นอกบทนอกเนื้อความจากหนังสือ  เป็นการเพิ่มเติมเข้ามา  แหล่ใน หมายถึง แหล่ในเรื่อง  
   เนื้อความตามหนังสือที่ยอมรับกัน เช่น ฉบับวชิรญาณ ฉบับกระทรวงศึกษาธิการ)

๓. มหาชาติหางเครื่อง มีการแสดงประกอบที่เรียกว่า บุคลาธิษฐาน มีเฉพาะฆราวาสล้วนๆ เช่น เอาชูชกมาออกฉาก แต่ปัจจุบัน ชาวบ้านนิยมหาลิเกมาแสดง แล้วนิมนต์พระมาเทศน์ประกอบ

ความเชื่อ
เชื่อกันว่า หากผู้ใดได้ฟังมหาชาติทั้ง ๑๓ กัณฑ์จบภายในวันเดียว หรือบูชาธูปเทียนดอกไม้จำนวน ๑,๐๐๐ เท่ากับจำนวนพระคาถา จะได้พบกับศาสนาพระศรีอาริย์




คาถาพัน
การเทศน์ “คาถาพัน” หมายถึง การเทศน์มหาชาติที่เป็นภาษาบาลีล้วนๆ จำนวน ๑,๐๐๐ พระคาถา ซึ่งเป็นความรู้ที่สืบต่อกันมาว่าเป็นจำนวนคาถาในเวสสันดรชาดก

พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ได้นับเทียบจำนวนคาถาในบทเทศน์คาถาพันที่ใช้เทศน์กันอยู่กับจำนวนคาถาในเวสสันดรชาดก และในทีปนีเวสสันดรชาดก  ปรากฏว่าไม่เท่ากัน ได้ทรงอธิบายว่า “...ที่จริงจะมีจำนวนเท่าไรก็ไม่สำคัญ แต่ได้คิดว่าจะนับก็เลยลองนับดู มีจำนวนนับได้ ๘๕๒ คาถา กับ ๑ บท  แต่จำนวนที่เทศน์อยู่บัดนี้ นับได้ ๑,๐๐๐ พระคาถาตรง  ส่วนในทีปนีเวสสันดรชาดก แก้บทสหสฺสปฏิมณฺฑิเต นับได้ ๑,๐๐๔ คาถา  อันที่จริงจำนวนมากเท่านี้เป็นอเนกสังขยา  ควรแปลว่าประดับด้วยคาถาประมาณ ๑,๐๐๐ แม้จะเกินไปบ้าง ขาดไปบ้างก็ไม่เป็นไร”



อานิสงส์คาถาพัน
เมื่อครั้งพระมาลัยเถรเจ้ารับดอกอุบลจากบุรุษเข็ญใจแล้ว ได้นำขึ้นไปบูชาพระจุฬามณีเจดียสถานในดาวดึงส์เทวโลก และมีโอกาสสนทนากับพระศรีอาริยเมตไตรย์  พระองค์ได้ตรัสแก่พระเถรเจ้าว่า ขอพระคุณเจ้าได้บอกแก่มนุษย์ทั้งหลายว่า ผู้ใดใคร่อยากพบปะพระศรีอาริย์เจ้า  ผู้นั้นพึงงดเว้นอนันตริยกรรม ๕ ประการ มีฆ่ามารดา บิดา เป็นต้น และพึงอุตสาหะ หมั่นก่อสร้างกองการกุศล มีให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และสดับตรับฟังพระธรรมเทศนามหาเวสสันดรชาดก อันประกอบด้วยคาถาพันหนึ่ง กระทำสักการบูชาด้วยข้าวตอกดอกไม้ต่างๆ และดอกไม้ธูปเทียนอย่างละพัน  ตั้งใจฟังให้จบเพียงวันเดียวครบบริบูรณ์ทั้ง ๑๓ กัณฑ์  ดังนี้แล้ว จะได้พบพระศรีอาริย์พุทธเจ้าในอนาคตโดยแท้ หากดับขันธ์แล้วก็จะได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์เสวยทิพยสมบัติอันมโหฬาร  ครั้นถึงพุทธกาล พระศรีอาริย์พุทธเจ้า เทพบุตร เทพธิดาเหล่านั้น ก็จะได้จุติลงไปเกิดเป็นมนุษย์  ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนา ก็จักได้บรรลุมรรคผล มีพระโสดาปัตติผล เป็นต้น  เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาดังนี้


คัดจาก : หนังสือเทศน์มหาชาติมหากุศลเฉลิมพระเกียรติฯ  จัดพิมพ์โดย คณะกรรมการอำนวยการจัดเทศน์มหาชาติมหากุศลเฉลิมพระเกียรติฯ  มูลนิธิร่วมจิตต์น้อมเกล้าฯ ในพระบรมราชินูปถัมภ์

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 กันยายน 2558 16:24:15 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5477


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 15 พฤษภาคม 2556 14:39:37 »

.


“พระอินทร์ประทานพร ๑๐ ประการ แด่พระนางผุสดี พระมเหสีแห่งกษัตริย์กรุงสญชัย
และอัญเชิญพระโพธิสัตว์ จุติในพระครรภ์พระนางผุสดี”

ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดร
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร
ออกแบบและร่างภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี  จิตรกรชาวอิตาลี

๑ กัณฑ์ทศพร

สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : ในมหาชาติเวสสันดรชาดก ๑๓ กัณฑ์ ๑,๐๐๐ พระคาถา กัณฑ์ทศพร นับเป็นกัณฑ์แรก กัณฑ์ทศพร ประดับด้วยคาถา ๑๙ พระคาถา  เป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส  วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม  เพลงประจำกัณฑ์ คือเพลง “สาธุการ”

ข้อคิดจากกัณฑ์: การทำบุญจะได้ดังประสงค์ ต้องอธิษฐานจิต  ตั้งเป้าหมายชีวิตที่ตนปรารถนาไว้ตั้งมั่นและบริบูรณ์ในศีล ได้แก่ การทำความดี รักษาความดีนั้นไว้ และหมั่นเพิ่มพูนความดีให้มากยิ่งขึ้น


เนื้อความโดยย่อ  
อดีตกาลโพ้น ก่อนสมัยพุทธกาลนานหลายกัปป์ กล่าวถึงพระเจ้ากรุงสญชัย พระโอรสพระเจ้าสีวีราชแห่งกรุงสีพี  ทรงอภิเษกสมรสกับพระธิดาพระเจ้ากรุงมัททราช พระนามผุสดี  ผู้ซึ่งทรงได้รับพร ๑๐ ประการหรือทศพร จากพระอินทร์ เทพผู้เป็นใหญ่ด้วยมูลเหตุดังนี้

พระนางผุสดีเมื่อสิ้นพระชาติที่ทรงกำเนิดเป็นพระนางสุธรรมา และด้วยพระบารมีแก่กล้า พระนางเสด็จสู่สวรรค์อุบัติเป็นเทพธิดาผุสดี เป็นพระอัครมเหสีแห่งพระอินทรเทพ  ครั้งถึงคราต้องทรงจุติจากสวรรค์  พระอินทรเทพประทานพร ๑๐ ประการให้ตามที่พระนางมีพระประสงค์ดังนี้
     ๑. ได้บังเกิดในปราสาทแห่งพระเจ้ากรุงสีพี
     ๒. มีพระเนตรดำขลับประดุจตาลูกเนื้อทราย
     ๓. พระขนงดำสนิท
     ๔. ทรงพระนามว่า ผุสดี
     ๕. มีพระโอรสทรงพระเกียรติยศยิ่งกษัตริย์ทั้งปวง และมีพระศรัทธาในพระกุศลทั้งปวง
     ๖. เมื่อทรงพระครรภ์ อย่าให้พระครรภ์โย้นูนดังสตรีมีครรภ์ทั่วไป
     ๗. พระถันงาม เวลาทรงพระครรภ์ก็มิดำและหย่อนคล้อย แม้กาลเวลาล่วงไป
     ๘. พระเกศาดำสนิทประดุจสีปีกแมลงค่อมทอง
     ๙. พระฉวีละเอียดงามเป็นนวลละออง ดังทองคำธรรมชาติ ปราศจากราคี
    ๑๐. ขอให้ทรงบารมี ทรงอำนาจไว้ชีวิตนักโทษประหารได้

มิใช่เพียงพร ๑๐ ประการเท่านั้น ที่หนุนเนื่องให้พระนางผุสดีได้เป็นพระพุทธมารดาในชาติกาลต่อมา ครั้งอดีตชาติ พระนางเคยเฝ้าถวายแก่นจันทน์แดงเป็นพุทธบูชาแก่พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทรงอธิษฐาน ตั้งพระปรารถนาให้ได้เป็นพระพุทธมารดาในอนาคตชาติด้วย

ตัวละครสะท้อนคุณธรรมพระเจ้ากรุงสญชัย-พระนางผุสดี ทรงเป็นแบบอย่างของผู้ปกครองที่ดี ฟังเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน รู้จักผ่อนปรนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์




"พระเวสสันดร ประทานช้างปัจจัยนาเคนทร์ ซึ่งเป็นช้างคู่บ้านคู่เมืองให้แก่พราหมณ์ต่างเมืองที่มาทูลขอ”
ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดร
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร
ออกแบบและร่างภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี  จิตรกรชาวอิตาลี

๒ กัณฑ์หิมพานต์

สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : กัณฑ์หิมพานต์ ประดับด้วยคาถา ๑๓๔ พระคาถา เป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม  เพลงประจำกัณฑ์ คือ เพลง “ตวงพระธาตุ”  ประกอบกิริยาอวยทานของพระเวสสันดรที่ทรงบริจาคทาน

ข้อคิดจากกัณฑ์: การทำความดี มักมีอุปสรรค


เนื้อความโดยย่อ  
เทพธิดา “ผุสดี” พระอัครมเหสีแห่งพระอินทรเทพ  ทรงจุติจากสวรรค์ ลงมาถือกำเนิดเป็นพระธิดากษัตริย์มัททราช มีพระนาม “ผุสดี”  ดังทศพรประการที่ ๔ ที่ทรงขอไว้  ทรงอภิเษกสมรสกับพระเจ้ากรุงสญชัยแห่งกรุงสีพี เมื่อมีพระโอรสนามว่า “เวสสันดร” ด้วยทรงประสูติในตรอกพ่อค้า ก็ทรงได้สมพระปรารถนาในทศพรประการที่ ๕ ด้วยพระกุมารเวสสันดรนั้น  ทันทีที่ประสูติจากพระครรภ์ ก็ทรงทูลขอทรัพย์บริจาคทันที และเมื่อทรงขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา ก็ทรงสร้างทานศาลาขึ้น ๖ แห่ง สำหรับบริจาคทานแก่ผู้ยากไร้โดยถ้วนหน้า

ในวันที่พระเวสสันดรประสูตินั้น ทรงได้ช้างเผือกขาวบริสุทธิ์  ที่แม่ช้างชาติฉัททันต์นำมาถวายไว้ในโรงช้าง ชาวสีพีขนานนามช้างว่า “ปัจจัยนาเคนทร์”  ด้วยเป็นช้างมงคลที่แม้ขับขี่ไปในที่ใด ก็จะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล
กาลต่อมา เมื่อเมืองกลิงคราษฏร์เกิดข้าวยากหมากแพง ด้วยฝนฟ้าแล้งมิตกต้องตามฤดูกาล พระเจ้ากลิงคราษฏร์มิอาจทรงแก้ไขได้ แม้จะทรงรักษาอุโบสถศีลครบกำหนด ๗ วันแล้วก็ตาม จนต้องทรงแต่งตั้งพราหมณ์ ๘ คนไปทูลขอช้างปัจจัยนาเคนทร์จากพระเวสสันดร  พระเวสสันดรก็ประทานให้ เป็นเหตุให้ชาวเมืองสีพีไม่พอใจ ถึงขั้นกราบทูลพระเจ้ากรุงสญชัยให้เนรเทศพระเวสสันดรออกจากบ้านเมืองไป

พระเวสสันดรแม้จะประทานช้างปัจจัยนาเคนทร์ จนต้องถูกเนรเทศก็มิทรงย่อท้อที่จะบำเพ็ญทาน ยังทรงทูลขอโอกาสบริจาคทานครั้งใหญ่ที่เรียกว่า “สัตสดกมหาทาน” ก่อนจะทรงจากไป ทรงให้พระนางมัทรีบริจาคทรัพย์ถวายแด่ผู้ทรงศีล และให้พระนางทรงอยู่บำรุงรักษาพระโอรสพระธิดา  

งทรงอนุญาตให้อภิเษกสมรสใหม่ได้  แต่พระนางมัทรีขอตามเสด็จไปพร้อมพระโอรสและพระธิดา  และได้ทรงพรรณนาถึงความสวยงามและน่าทัศนาของป่าหิมพานต์ถึง ๒๔ พระคาถา เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ว่า พระนางเต็มพระทัยโดยเสด็จ มิได้ทรงเห็นเป็นเรื่องทุกข์ทรมานแต่ประการใด

ตัวละครสะท้อนคุณธรรมพระเวสสันดร  เป็นแบบอย่างของผู้เสียสละประโยชน์ส่วนตัว เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่ยึดติดกับอำนาจวาสนา บริบูรณ์ในพรหมวิหาร ๔ ประการ ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา




“พระเวสสันดร ประทานม้าและราชรถแก่พราหมณ์ที่ตามมาทูลขอระหว่างทาง”
ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดร
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร
ออกแบบและร่างภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี  จิตรกรชาวอิตาลี

๓. กัณฑ์ทานกัณฑ์

สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : กัณฑ์ทานกัณฑ์ ประดับด้วยคาถา ๒๐๙ พระคาถา เนื้อความเป็นของสำนักวัดถนน จังหวัดอ่างทอง  มิได้ระบุชื่อผู้นิพนธ์  กัณฑ์นี้มีจำนวนพระคาถามากที่สุดในจำนวนมหาชาติทั้ง ๑๓ กัณฑ์  เพลงประจำกัณฑ์คือ “พระยาโศก”  ประกอบกิริยาโศกสลดรันทดใจของพระบรมวงศานุวงศ์ ที่พระเวสสันดรถูกเนรเทศออกจากเมือง

ข้อคิดจากกัณฑ์: พึงยอมเสียสละประโยชน์สุขส่วนตัว เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม


เนื้อความโดยย่อ  
เมื่อพระเวสสันดรทรงบริจาคสัตตสดกมหาทาน เป็นทาน ๗ สิ่ง สิ่งละ ๗๐๐ ตามที่ทรงทูลของพระเจ้ากรุงสญชัยพระราชบิดาแล้ว ทรงนำเสด็จพระนางมัทรีและสองพระกุมารกราบทูลลาพระราชบิดา
พระเจ้ากรุงสญชัยทรงทัดทานมิให้พระนางมัทรีและพระนัดดาทั้งสองตามเสด็จไปด้วย  ครั้นพระนางมัทรีมิทรงยินยอมก็ทรงขอพระนัดดาทั้งสองไว้  พระนางมัทรีก็ไม่ทรงยินยอมอีก  ด้วยทรงตั้งพระทัยมั่นที่จะขอตามเสด็จพระสวามีไปพร้อมพระโอรสและพระธิดา  ทรงกราบทูลว่า เมื่อเป็นมเหสีแล้วก็ถือพระองค์เป็นดุจทาสทาสี ย่อมจงรักภักดีต่อพระสวามี ขอตามเสด็จไปปรนนิบัติประหนึ่งทาสติดตามรับใช้ มิยอมให้พระสวามีไปตกระกำลำบาก ทุกข์ยากพระวรกายแต่เพียงลำพัง ส่วนพระโอรสพระธิดาเป็นประดุจแก้วตาดวงใจ จะทอดทิ้งเสียกระไรได้ พระเจ้ากรุงสญชัยต้องทรงเลิกทัดทานในที่สุด

เมื่อพระเวสสันดรทรงกราบบังคมทูลลาพระชนกชนนีแล้ว ทรงเบิกแก้วแหวนเงินทอง บรรทุกราชรถเทียมม้า และทรงโปรยเป็นทานไปตลอดทาง แม้แต่รถทรง ม้าเทียมรถทรง ก็ประทานให้แก่พราหมณ์ที่มาทูลขอไปจนหมดสิ้น แล้วทั้งสองพระองค์ทรงอุ้มพระโอรสและพระธิดา ทรงพระดำเนินไปสู่มรรคาเบื้องหน้า



"พระเวสสันดรทรงอุ้มพระชาลี พระนางมัทรีทรงอุ้มพระกัณหา ทรงพระดำเนินไปยังเขาวงกตในป่าหิมพานต์”
ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดร
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร
ออกแบบและร่างภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี  จิตรกรชาวอิตาลี

๔ กัณฑ์วนประเวศน์

สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : กัณฑ์วนประเวศน์  ประดับด้วยคาถา ๕๗ พระคาถา  เป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เพลงประจำกัณฑ์คือ “พระยาเดิน” ประกอบกิริยาเดินป่าของพระเวสสันดร พระนางมัทรี พระชาลี และพระกัณหา

ข้อคิดจากกัณฑ์: มิตรแท้ ย่อมไม่ทอดทิ้งเมื่อยามเพื่อนทุกข์ ช่วยปลอบปลุกยามเพื่อนอ่อนล้า ช่วยฉุดดึงยามเพื่อนตกต่ำ และช่วยชูค้ำยามเพื่อนขึ้นสู่ที่สูง


เนื้อความโดยย่อ  
พระเวสสันดร พระนางมัทรี และสองพระกุมาร เสด็จโดยพระบาทเป็นระยะทางถึง ๓๐ โยชน์  จึงลุมาตุลนคร แคว้นเจตราษฎร์  ด้วยพระบารมี เทพยดาจึงทรงย่นระยะทางให้เสด็จถึงตัวเมืองในเวลาเพียงวันเดียว ทั้งสี่พระองค์ได้ประทับแรมที่แคว้นเจตราษฎร์นี้

เมื่อกษัตริย์เจตราษฎร์ทรงทราบ ได้กราบทูลขอถวายความอนุเคราะห์ทุกประการ ทั้งเชิญเสด็จเสวยราชสมบัติแทนพระองค์ แต่พระเวสสันดรมิทรงรับ ด้วยผิดพระประสงค์ ทรงขอเพียงให้ชี้ทางไปเขาวงกต  สถานที่ที่พระองค์ตั้งพระทัยมั่นจะประทับรักษาพระจริยวัตรของนักพรตโดยเคร่งครัดสืบไป

กษัตริย์เจตราษฎร์สุดที่จะทรงโน้มน้าวพระทัยพระเวสสันดรได้ จำต้องทำตามพระประสงค์ ทรงทำได้เพียงตามส่งเสด็จ จนสุดแดนแคว้นเจตราษฎร์ และทรงตั้งให้พรานเจตบุตร ถวายงานเป็นผู้พิทักษ์ระวังระไวมิให้ภยันตรายใดๆ แผ้วพาน และมิให้สิ่งใดหรือใครเข้าไปรบกวนความสงบได้

ณ เขาวงกต ทั้งสี่พระองค์ประทับในพระอาศรม ที่พระอินทรเทพทรงบัญชาให้พระวิษณุกรรมเทพบุตร  เนรมิตไว้ให้พร้อมด้วยเครื่องบรรพชิต  บริขารครบถ้วน  พระเวสสันดรประทับในพระอาศรมหนึ่งโดยลำพัง  พระนางมัทรีกับสองพระกุมารประทับอีกพระอาศรมหนึ่ง  ทั้งสี่พระองค์ทรงผนวชเป็นพระฤาษี ต่างพระองค์ต่างทรงรักษาพระจริยวัตรของผู้ถือบวชโดยเคร่งครัด สมดังพระหฤทัยตั้งมั่นทุกประการ

ตัวละครสะท้อนคุณธรรม : กษัตริย์เจตราษฎร์ เป็นแบบอย่างของมิตรแท้ที่มีน้ำใจ พร้อมจะช่วยเหลือยามมิตรตกทุกข์ได้ยาก




"ชูชกหนีเหล่าสุนัขของพรานเจนบุตร ขึ้นไปนั่งบนต้นไม้
ระหว่างเดินทางไปเขาวงกตเพื่อขอสองพระกุมาร”

ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดร
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร
ออกแบบและร่างภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี  จิตรกรชาวอิตาลี

๕ กัณฑ์ชูชก

สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : กัณฑ์ชูชก ประดับด้วยคาถา ๗๙ พระคาถา  พระเทพโมลี วัดสังข์กระจาย เป็นผู้นิพนธ์ เพลงประจำกัณฑ์คือ “เซ่นเหล้า” ประกอบกิริยากินอย่างตะกละตะกลามของพราหมณ์ชูชก  

ข้อคิดจากกัณฑ์: อย่าฝากของมีค่า ของสำคัญ หรือของหวงแหนไว้กับผู้อื่น


เนื้อความโดยย่อ  
ในละแวกบ้านทุนวิฐ  แคว้นกลิงคราษฎร์ มีชูชกพราหมณ์เข็ญใจเที่ยวขอทานเขากิน เมื่อเก็บเงินได้มากถึง ๑๐๐ กษาปณ์ ก็นำไปฝากเพื่อนพราหมณ์ผัวเมียคู่หนึ่งไว้ แล้วเที่ยวตระเวนขอทานต่อไป

ชูชกหายไปนาน จนพราหมณ์ผัวเมียคิดว่าชูชกไม่กลับมาแล้ว ประกอบกับเกิดขันสนยากจนลง ชวนกันใช้เงินของชูชกจนหมด เมื่อชูชกกลับมาทวงไม่มีจะคืนให้ จึงยกนางอมิตตดาใช้หนี้แทน ชูชกได้นางอมิตตดาซึ่งนอกจากจะเป็นลูกที่ดี คือ กตัญญูต่อพ่อแม่ ทดแทนพระคุณโดยยอมตัวเป็นของชูชกแล้ว ยังเป็นเมียที่ประเสริฐ แม้ชูชกจะแก่คราวปู่ นางก็ปรนนิบัติชูชกอย่างดี มิได้ขาดตกบกพร่อง ทำให้พราหมณ์หนุ่มในละแวกนั้นไม่พอใจนางพราหมณีภรรยาของตน ต่างไปต่อว่าด่าทอทุบตีภรรยาตน นางพราหมณีทั้งหลายโกรธแค้นจึงไปรุมขับไล่และด่าว่านางอมิตตดาอย่างรุนแรง นางทั้งเสียใจและอับอายจนสุดจะทน จึงร้องไห้บอกชูชกว่า จะไม่ทำงานรับใช้สามีอีก ชูชกขอทำงานแทน นางก็ยอมไม่ได้ ด้วยเทือกเถาเหล่ากอของนางไม่เคยใช้สามีต่างทาส

ด้วยเทพยดาฟ้าดินจะทรงให้การบำเพ็ญทานบารมีของพระเวสสันดรเพิ่มพูนขึ้นอีก จึงดลใจให้นางอมิตตดารู้เรื่องของพระเวสสันดร และคิดของสองพระกุมารมาเป็นข้ารับใช้ โดยให้นางแนะชูชกไปของสองพระกุมาร ชูชกจำใจจากนางเดินทางไปตามหาพระเวสสันดร จนกระทั่งไปถึงเขาวงกตเพราะเทพยดาดลใจให้หลงทางไป  ชูชกพบพรานเจตบุตรและใช้อุบายลวงล่อ จนพรานเจตบุตรหลงเชื่อว่า เป็นผู้ถือพระราชสาส์นพระเจ้ากรุงสญชัย มากราบทูลเชิญทั้งสี่พระองค์เสด็จกลับกรุงสีพี จึงต้อนรับชูชกเต็มที่ ทั้งเตรียมเสบียงและยอมชี้ทางไปสู่พระอาศรมพระเวสสันดรแต่โดยดี
 
ตัวละครสะท้อนคุณธรรม : ชูชก เป็นตัวอย่างของคนมัธยัสถ์ รู้จักเก็บหอมรอมริบ รักครอบครัว แต่มีนิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบาย เต็มไปด้วย โลภะ โมหะ และโทสะ ติดอยู่ในกาม เข้าลักษณะ “วัวแก่กินหญ้าอ่อน”
นางอมิตตดา   เป็นตัวอย่างของลูกที่อยู่ในโอวาท กตัญญูต่อพ่อแม่ เป็นภรรยาที่ดีของสามี แต่ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง




“พรานเจตบุตร ผู้ที่พระเจ้าเจตราษฎร์ทรงแต่งตั้ง
ให้ทำหน้าที่นายด่านประตูป่าคอยระวังภัยแก่พระเวสสันดร”

ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดร
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร
ออกแบบและร่างภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี  จิตรกรชาวอิตาลี

๖ กัณฑ์จุลพน

สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : จุลพน หมายถึง ป่าที่มีต้นไม้น้อยๆ หรือป่าโปร่ง  กัณฑ์จุลพนประดับด้วยคาถา ๓๕ พระคาถา  เป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เพลงประจำกัณฑ์คือ “คุกพาทย์” หรือ “รัวสามลา” ประกอบกิริยาการแสดงอิทธิฤทธิ์ หรือการข่มขวัญ ซึ่งพรานเจตบุตรได้แสดงแก่ชูชก

ข้อคิดจากกัณฑ์: มีอำนาจ แต่หากขาดปัญญา ย่อมถูกหลอกได้ง่าย


เนื้อความโดยย่อ  
พรานเจตบุตร ซึ่งได้รับคำสั่งจากกษัตริย์เจตราษฎร์ให้ทำหน้าที่เป็นนายด่านประตูป่า คอยห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปพบกษัตริย์ทั้งสี่พระองค์ เว้นแต่ราชทูตเท่านั้น รู้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของชูชก จึงหลงเชื่อ ให้ที่พักอาศัยและเลี้ยงดูจนอิ่มหนำสำราญ ครั้นรุ่งเช้า ก็จัดเตรียมเสบียงให้ชูชก พร้อมทั้งนำชูชกไปยังต้นทางที่จะไปเขาวงกต และชี้บอกเส้นทางที่จะต้องผ่านว่า ต้องผ่านเขาคันธมาทน์ อันอุดมด้วยไม้หอมนานาชนิด ถัดไปจะเห็นเขาสีเขียวคราม คือเขาอัญชัน  ซึ่งอุดมไปด้วยไม้ผลและสมุนไพรชนิดต่างๆ เดินต่อไปอีกสักครู่จะถึงสถานอัมพวันใหญ่ คือ ป่ามะม่วง ถัดไปเป็นป่าตาล ป่ามะพร้าวกับต้นแป้ง จากนั้นจะเป็นป่าไม้ดอกนานาพรรณที่มีกลิ่นหอมตระหลบไปทั้งป่า แล้วจะถึงสระอันอุดมไปด้วยสัตว์น้ำหลากหลายชนิด มีขัณฑสกรซึ่งเป็นน้ำตาลที่เชื่อกันว่าเกิดที่ใบบัว และเป็นเครื่องยาอย่างดีที่หาได้ยาก

พรานเจตบุตรยังได้แนะทางที่จะไปยังอาศรมของพระอัจจุตฤาษี เพื่อให้ชูชกถามถึงหนทางที่จะไปยังพระอาศรมพระเวสสันดร

ชูชกจดจำเส้นทางที่พรานเจตบุตรบอกไว้ แล้วอำลาโดยทำประทักษิณ ๓ รอบ จากนั้นจึงออกเดินทางต่อไป

ตัวละครสะท้อนคุณธรรม : พรานเจตบุตร เป็นแบบอย่างของคนดี คนซื่อ แต่ขาดความเฉลียวฉลาด จึงถูกหลอกได้ง่าย




คัดจาก : หนังสือเทศน์มหาชาติมหากุศลเฉลิมพระเกียรติฯ  จัดพิมพ์โดย คณะกรรมการอำนวยการจัดเทศน์มหาชาติมหากุศลเฉลิมพระเกียรติฯ  มูลนิธิร่วมจิตต์น้อมเกล้าฯ ในพระบรมราชินูปถัมภ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 กันยายน 2558 16:27:59 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5477


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 31 พฤษภาคม 2556 16:47:10 »

.

“ชูชกถามทางไปพระอาศรมของพระเวสสันดรจากอัจจุตฤาษี”
ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดร
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร
ออกแบบและร่างภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี  จิตรกรชาวอิตาลี

๗ กัณฑ์มหาพน

สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : มหาพน หมายถึง ป่าใหญ่ หรือไพรกว้าง  กัณฑ์มหาพน ประดับถ้วยคาถา ๘๐ พระคาถา พระเทพโมลี (กลิ่น) วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) เป็นผู้นิพนธ์ เพลงประจำกัณฑ์คือ เพลง “เชิดกลอง” ประกอบกิริยาเดินอย่างเร่งรีบของชูชก

ข้อคิดจากกัณฑ์: คนฉลาดแต่ขาดเฉลียว คนมีปัญญา แต่ขาดสติ ย่อมพลาดท่าเสียทีได้


เนื้อความโดยย่อ  
ชูชกเดินทางผ่านสถานที่สำคัญๆ ตามที่พรานเจตบุตรบอกจนกระทั่งพบพระอัจจุตฤาษี จึงสอบถามที่อยู่ของพระเวสสันดร

พระอุจจุตฤาษี เห็นท่าทีและพฤติกรรมของชูชกครั้งแรกก็ลังเล กลัวว่าชูชกจะมาขอพระชาลี พระกัณหาไปเป็นทาส หรือไม่ก็ขอพระนางมัทรี จึงไม่บอกทาง แต่ชูชกแก้ตัวด้วยมธุรสวาจา ยกเหตุผลว่าจะมาเที่ยวขอให้เสื่อมเสียพงศ์พราหมณ์ทำไม การมาครั้งนี้เพื่อเยี่ยมเยียนพระเวสสันดรจริงๆ ขอให้ได้เห็นจะได้เป็นกุศล ทั้งยังอ้างว่าตั้งแต่พระเวสสันดรจากเมืองมา ตนยังไม่ได้พบพระเวสสันดรเลย ทำให้พระอัจจุตฤาษีใจอ่อน หลงเชื่อว่าชูชกมาด้วยเจตนาดี

เมื่อเห็นว่าพระอัจจุตฤาษีใจอ่อนหลงเชื่อแล้ว ชูชกจึงขอค้างแรมที่อาศรมหนึ่งคืน รุ่งขึ้น พระอัจจุตฤาษีจัดหาผลไม้ให้ และบอกทางไปพระอาศรมของพระเวสสันดรอย่างละเอียด พรรณนาถึงป่าเขา ฝูงสัตว์ร้ายต่างๆ ด้วยเป็นป่าใหญ่ สมกับที่เรียกว่า ป่ามหาพน

ชูชกจดจำคำแนะนำเส้นทางไว้ มุ่งหน้าเดินทางไปสู่พระอาศรมของพระเวสสันดร
 
ตัวละครสะท้อนคุณธรรม : พระอัจจุตฤาษีเป็นแบบอย่างของนักพรตผู้ฉลาด แต่ขาดเฉลียว หูเบา เชื่อคนง่าย




“พระเวสสันดรตรัสเรียกพระชาลีและพระกัณหา ให้ขึ้นมาจากสระบัวที่สองพระกุมารลงไปซ่อนตัว”
ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดร
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร
ออกแบบและร่างภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี  จิตรกรชาวอิตาลี

๘ กัณฑ์กุมาร

สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : คำว่า กุมารในกัณฑ์นี้ หมายความถึง พระชาลี และพระกัณหา กัณฑ์กุมารประดับด้วยคาถา ๑๐๑ พระคาถา  เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นผู้นิพนธ์  เพลงประจำกัณฑ์คือ เพลง “โอดเชิดฉิ่ง”  ประกอบกิริยาที่ชูชกพาพระชาลี และพระกัณหา เดินทางเข้าไปในป่า และเฆี่ยนตีไปตลอดทาง

ข้อคิดจากกัณฑ์: ความเป็นผู้รู้จักกาลเทศะ รู้จักโอกาส รู้ความควรไม่ควร จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนา


เนื้อความโดยย่อ  
ชูชกเดินทางไปถึงพระอาศรมพระเวสสันดรเวลาจวนค่ำ แต่ไม่คิดจะเข้าเฝ้าเพื่อทูลขอสองพระกุมารในเวลานั้น ด้วยเกรงว่าพระนางมัทรีจะทรงขัดขวางตามวิสัยผู้เป็นแม่ รอให้พระนางมัทรีเสด็จไปหาผลไม้ และพระเวสสันดรประทับอยู่โดยลำพังในวันรุ่งขึ้น จึงค่อยเข้าไปขอ

ในคืนนั้น พระนางมัทรีทรงพระสุบิน ด้วยเทวดามาบอกเหตุว่า มีบุรุษร่างกายกำยำ ผิวดำ ถือดาบ ๒ มือ พังประตูอาศรมเข้าไปฉุดกระชากพระนาง ควักพระเนตร ตัดพระพาหาสิ้นทั้งซ้ายขวา ท้ายสุดผ่าพระอุระควักดวงพระหทัยแล้วหนีไป พระนางทรงตระหนักดีว่าทรงฝันร้าย จึงกังวลพระทัยยิ่งนักและไม่วางพระทัย แม้พระเวสสันดรจะทรงทำนายเลี่ยงไปว่า เป็นเพราะธาตุวิปริต และทรงปลอบพระนางให้หายหวาดกลัวและคลายกังวล  ครั้นรุ่งเช้า พระนางก็ยังคงเสด็จไปหาผลไม้ดังเช่นที่ทรงปฏิบัติทุกวัน

ฝ่ายชูชกสบโอกาสดังคิด จึงเร่งเข้าเฝ้าพระเวสสันดร แล้วทูลขอสองพระกุมาร แม้พระเวสสันดรจะทรงอาลัยพระโอรสพระธิดาเพียงใด ก็ต้องตัดพระทัยเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณ อันจะยังประโยชน์สุขให้แก่มวลมนุษย์ ยิ่งกว่าสุขของพระองค์เอง ทั้งสองพระกุมารก็เข้าพระทัยในเหตุผลของพระบิดาจึงยอมเสด็จไปกับชูชก

ทั้งสามพระองค์ต้องทรงกลั้นพระทัย พระเวสสันดรต้องทรงสะกดพระโทสะ ด้วยชูชกลงมือเฆี่ยนตีสองพระกุมาร ตั้งแต่ยังไม่ทันพ้นพระอาศรม

ก่อนจะทรงให้ชูชกนำสองกุมารไป ได้ทรงตั้งค่าตัวไว้ว่า หากมีผู้ใดต้องการไถ่สองพระกุมารให้พ้นทาส พระชาลีนั้นทรงตั้งไว้พันตำลึงทอง พระกัณหาเป็นหญิง นอกจากทรัพย์พันตำลึงทองแล้ว ยังต้องประกอบด้วยข้าทาสชายหญิง ช้างม้า โคคาวี และโคอุศุภราชอีกอย่างละร้อย

ตัวละครสะท้อนคุณธรรม : พระชาลี – พระกัณหาเป็นแบบอย่างของลูกที่ดี เชื่อฟังพ่อแม่ มีเหตุผล ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน จากการถูกชูชกเฆี่ยนตีก็ตาม




“เทวดาแปลงเป็นราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง
ขวางทางพระนางมัทรีมิให้กลับไปทันเวลา ที่พระเวสสันดรประทานสองพระกุมารแก่ชูชก”

ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดร
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร
ออกแบบและร่างภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี  จิตรกรชาวอิตาลี

๙ กัณฑ์มัทรี

สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : กัณฑ์มัทรี ประด้วยคาถา ๙๐ พระคาถา เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นผู้นิพนธ์ เพลงประจำกัณฑ์คือ เพลง “ทยอยโอด” ประกอบกิริยาคร่ำครวญหวนไห้ของพระนางมัทรี เมื่อตามหาพระโอรสและพระธิดาไม่พบ

ข้อคิดจากกัณฑ์: ไม่มีความรักใด ยิ่งใหญ่กว่าความรักของพ่อและแม่


เนื้อความโดยย่อ  
เมื่อชูชกพาสองพระกุมารไปแล้ว พระอินทรเทพทรงเกรงว่าพระนางมัทรีจะเสด็จกลับจากป่าเร็วกว่าปกติด้วยความกังวลที่ทรงฝันร้าย และพระนางมัทรีจะเสด็จกลับจากป่าเร็วกว่าปกติด้วยความกังวลที่ทรงฝันร้าย และพระนางจะเสด็จตามทันสองพระกุมาร จึงทรงบัญชาให้เทพยดา ๓ องค์ แปลงกายเป็นสัตว์ร้ายที่น่ากลัว คือ เสือโคร่ง เสือเหลือง และราชสีห์ นอนขวางทางเสด็จกลับพระอาศรม จนค่ำ จึงหลีกทางให้พระนาง

ครั้นพระนางมัทรีเสด็จกลับถึงพระอาศรม ไม่ทรงเห็นสองพระกุมาร ทรงตามหาไม่พบ ก็กันแสงอ้อนวอนทูลถามพระเวสสันดรถึงสองพระกุมาร พระเวสสันดรไม่ทรงตอบ และทรงแกล้งกล่าวตำหนิที่พระนางทรงกลับมืดค่ำให้พระนางเจ็บพระทัย จะได้คลายทุกข์โศกถึงสองพระกุมาร แม้พระนางจะทรงอ้อนวอนสักเท่าใดก็ไม่ทรงตอบ จนพระนางน้อยพระทัย ทรงออกติดตามพระโอรสพระธิดาทั้งราตรี

ลุรุ่งอรุณวันใหม่ พระนางมัทรีจึงเสด็จกลับพระอาศรมด้วยความอิดโรยอ่อนพระทัย อ่อนล้าพระกำลังถึงกับทรงสลบไป เมื่อพระเวสสันดรทรงแก้ไขให้ฟื้นแล้ว จึงทรงบอกความจริงว่า ได้ประทานพระโอรสพระธิดาให้ชูชกไปแล้ว ทรงขอให้พระนางอนุโมทนาใน “ปิยบุตรทาน” ด้วย อันจะส่งผลให้พระองค์เสด็จสู่พระสัมมาสัมโพธิญาณ  พระนางมัทรีเมื่อทรงทราบความจริงจึงทรงบรรเทาโศกและทรงอนุโมทนาด้วย

ตัวละครสะท้อนคุณธรรม : พระนางมัทรีเป็นแบบอย่างของภรรยาที่ดี ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อสามี รวมถึงเป็นแม่ที่รักและห่วงลูกมาก เปรียบลูกเป็นเสมือนแก้วตาดวงใจ




“พระอินทร์แปลงเป็นพราหมณ์มาทูลขอพระนางมัทรีจากพระเวสสันดร”
* แก้ไข เลขกำกับกัณฑ์ในภาพ จากเลข ๑๑ เป็น ๑๐
ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดร
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร
ออกแบบและร่างภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี  จิตรกรชาวอิตาลี

๑๐ กัณฑ์สักบรรพ

สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : สักกบรรพ แปลว่า ตอนที่ว่าด้วยพระอินทร์ คือ ท้าวโกสินทร์สักกรินทร์เทวราช ผู้เป็นจอมเทพบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กัณฑ์สักกบรรพ ประดับด้วยคาถา ๑๓ พระคาถา เป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เพลงประจำกัณฑ์คือ เพลง “กลม” หรือเพลง “เหาะ”  ประกอบกิริยาเหาะลงมา และการแปลงกายของพระอินทร์  

ข้อคิดจากกัณฑ์: การทำความดี แม้ไม่มีคนเห็นแต่เทพยดาอารักษ์ย่อมรู้ย่อมเห็น


เนื้อความโดยย่อ  
เมื่อพระเวสสันดรประทานสองพระกุมารให้ชูชกไปแล้ว พระอินทรเทพทรงดำริว่า แม้นมีผู้มาทูลขอพระนางมัทรี พระเวสสันดรก็จะทรงยกให้อีก จะทำให้พระเวสสันดรขาดผู้ปรนนิบัติดูแล จึงทรงนิรมิตองค์เป็นพราหมณ์แก่ เข้าไปทูลขอพระนางมัทรี และเป็นดังที่ทรงคาด เมื่อพราหมณ์จำแลงรับพระนางมัทรีมาแล้ว จึงกลับร่างเป็นพระอินทรเทพถวายพระนางคืน พร้อมประทานพร ๘ ประการ ตามที่พระเวสสันดรทรงแสดงพระประสงค์คือ
๑. ให้พระบิดาทรงรับพระองค์กลับไปครองราชย์สมบัติดังเดิม
๒. ให้พระองค์มีพระกรุณาและพระปัญญา ที่จะไม่ต้องเข่นฆ่าผู้มีความทุจริตร้ายกาจ
๓. ให้พระองค์ทรงกอปรด้วยพระเมตตาและพระอำนาจ เป็นที่พึ่งและเป็นที่รักแก่ปวงชน
๔. ให้พระองค์พอพระทัย มั่นคงอยู่แต่ในพระชายาพระองค์เดียว แม้มีสตรีเป็นที่รักมากเพียงใด
    ขออย่าให้ทรงลุอำนาจของสตรี จนเป็นทางที่ทุจริตผิดตามมาได้
๕. ให้พระโอรสได้ปกครองแผ่นดิน ทรงอำนาจด้วยธรรมปฏิบัติ
๖. ให้เกิดภักษาหารมากมีเพียงพอที่จะบริจาคเป็นทานได้ไม่ขาด
๗. ให้มีทรัพย์สมบัติเป็นเครื่องอุดหนุนไทยธรรมทานการกุศลของพระองค์
    มีแต่เพิ่มพูนมิรู้หมดสิ้น เช่นเดียวกับน้ำพระทัยในทางกุศลของพระองค์
๘. เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ไป ขอให้บังเกิดในสวรรค์ชั้นสูง มีพระบารมี
    และมิมีวันเสื่อมถอยลดลงจากพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญ




“ชูชกพาพระชาลีและพระกัณหาเดินทางออกจากเขาวงกต
กลับไปบ้านของตน แต่เทพยดาดลใจให้หลงทาง เข้าไปเฝ้าพระเจ้ากรุงสญชัย”

ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดร
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร
ออกแบบและร่างภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี  จิตรกรชาวอิตาลี

๑๑ กัณฑ์มหาราช

สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : กัณฑ์มหาราช ประดับด้วยคาถา ๖๓ พระคาถา เป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และกวีอีก ๒ ท่านคือ พระยาธรรมปรีชา (บุญ) และ ขุนวรรณวาทวิจิตร เพลงประจำกัณฑ์คือ เพลง “กราวนอก” ประกอบกิริยาการยกพล และเคลื่อนพลที่พระเจ้ากรุงสญชัยทรงยกไปรับพระเวสสันดร และพระนางมัทรีกลับเมือง

ข้อคิดจากกัณฑ์: คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ย่อมได้รับการคุ้มครองปกป้องในทุกที่ทุกสถาน


เนื้อความโดยย่อ  
ชูชกตั้งใจพาสองพระกุมารกลับไปหานางอมิตตดาที่เมืองกลิงคราษฎร์ แต่เทพยดาดลใจให้ชูชกเลือกทางผิด กลายเป็นเดินทางเข้าสู่กรุงสีพีของพระเจ้ากรุงสญชัย
ฝ่ายพระเจ้ากรุงสญชัย คืนก่อนที่จะได้พบสองพระกุมาร ได้ทรงพระสุบินว่า มีบุรุษรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว นำดอกบัว ๒ ดอกมาถวาย ซึ่งโหรหลวงทำนายว่า จะมีพระญาติใกล้ชิดที่พลัดพรากไปกลับสู่พระนคร

รุ่งขึ้น ชูชกก็มีโอกาสนำสองพระกุมารเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงสญชัย และพระนางผุสดี ทั้งสองพระองค์ดีพระทัยยิ่งนัก พระราชทานสิ่งของไถ่องค์พระนัดดาทั้งสอง ตามที่พระเวสสันดรทรงกำหนดไว้ และทรงให้จัดเลี้ยงชูชกด้วยอาหารหวานคาวมากมาย ชูชกบริโภคเกินขนาด จนไฟธาตุไม่อาจเผาผลาญได้ อาหารไม่ย่อย สุดท้ายก็ถึงแก่จุกตาย ทรัพย์ที่ได้รับก็ถูกริบเข้าพระคลังหลวง หลังจากที่ประกาศหาวงศาคณาญาติให้มารับ แล้วไม่มีผู้ใดมารับ

หลังจากพระเจ้ากรุงสญชัยทรงสดับเรื่องราวจากพระนัดดาทั้งสองที่ต้องตกระกำลำบากกับพระชนกพระชนนี พระเจ้ากรุงสญชัยก็ทรงเตรียมยกพยุหยาตราไปรับพระเวสสันดรกับพระนางมัทรีกลับพระนคร ในวันรับเสด็จพราหมณ์ชาวเมืองกลิงคราษฎร์ ๘ คน นำช้างปัจจัยนาเคนทร์มาถวายคืน จึงโปรดให้พระชาลีทรงช้างปัจจัยนาเคนทร์ นำขบวนสู่เขาวงกต




“พระชาลีและพระกัณหานำทางพระเจ้ากรุงสญชัยและพระนางผุสดี
ไปยังพระอาศรมที่ประทับของพระเวสสันดรและพระนางมัทรี
เมื่อกษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ทรงพบกัน ต่างกันแสงจนสลบไป”

ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดร
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร
ออกแบบและร่างภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี  จิตรกรชาวอิตาลี

๑๒ กัณฑ์ฉกษัตริย์

สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : คำว่า “ฉ หรือ ฉะ” แปลว่า ๖ (หก) ฉกษัตริย์ จึงหมายถึง กษัตริย์ ๖ พระองค์  กัณฑ์ฉกษัตริย์ ประดับด้วยคาถา ๓๖ พระคาถา เป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เพลงประจำกัณฑ์คือ เพลง "ตระนอน” ประกอบกิริยานอนหลับใหลของกษัตริย์ ๖ พระองค์ เมื่อได้ทรงพบกัน

ข้อคิดจากกัณฑ์: การให้อภัย สามารถลบรอยร้าวฉานและความบาดหมางทั้งปวง ก่อให้เกิดสันติสุขแก่ส่วนรวม


เนื้อความโดยย่อ  
พระชาลีทรงช้างปัจจัยนาเคนทร์เป็นทัพหน้า เสด็จถึงเขาวงกตก่อน เพื่อเตรียมรับเสด็จพระเจ้ากรุงสญชัย

เมื่อพระเจ้ากรุงสญชัยเสด็จถึงเขาวงกต ทรงพระดำริว่า หากเสด็จเข้าไปพร้อมกันทุกพระองค์ จะเป็นเหตุให้ทุกข์โศกสาหัสจนระงับมิได้ จึงเสด็จเข้าสู่พระอาศรมแต่พระองค์เดียวก่อน พอทุเลาโศกลงบ้างแล้วจึงจะให้พระนางผุสดีและสองพระกุมารตามเสด็จเข้าไป แม้กระนั้น เมื่อทั้งสามพระองค์เสด็จเข้าไปในพระอาศรม พระนางมัทรีซึ่งมิอาจทรงหวังได้เลยว่า จะได้พบสองพระกุมารอีก ครั้นได้ทรงพบกัน จึงต่างกันแสงพิไรรำพัน ทั้งเศร้าโศกและยินดีจนข่มพระทัยไว้มิได้ ก็สลบสิ้นสติสมปฤดี ณ ที่นั้นทั้งสามพระองค์

ฝ่ายพระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดีและพระเวสสันดร ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ทรงกลั้นโศกมิได้ กันแสงแล้วสลบสิ้นสติสมปฤดีไปเช่นกัน เหล่าพระสนมและข้าราชบริพารก็ล้วนโศกศัลย์ ล้มสลบตามกันไป
เหตุครั้งนั้นทำให้แผ่นพสุธาไหวทั่วพื้นพิภพ พระอินทรเทพทรงทราบจึงทรงแก้เหตุวิกฤตที่อุบัติขึ้น ทรงบันดาลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมา ณ ที่นั้น กษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ และผู้คนทั้งหลายต่างฟื้นคืนสติโดยทั่วกัน

นั่นเป็นฝนโบกขรพรรษที่เคยตกมาสมัยก่อนพุทธกาล ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเล่าโปรดพระอรหันตสาวก อันเป็นพระพุทธปรารภเรื่องพระเวสสันดร





“ขบวนพยุหยาตราของพระเวสสันดร พระนางมัทรี พระชาลี และพระกัณหากลับคืนสู่กรุงสีพี และพระเจ้ากรุงสญชัยทรงรับพระเวสสันดรกลับคืนพระราชวัง”

ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดร
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร
ร่างภาพ ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี  จิตรกรชาวอิตาลี

๑๓ กัณฑ์มหาราช

สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : “ขบวนพยุหยาตราของพระเวสสันดร พระนางมัทรี พระชาลี และพระกัณหากลับคืนสู่กรุงสีพี และพระเจ้ากรุงสญชัยทรงรับพระเวสสันดรกลับคืนพระราชวัง”

ข้อคิดจากกัณฑ์: การทำความดี ย่อมได้รับผลดีตอบแทน การใช้ธรรมะในการปกครอง จะทำให้บ้านเมืองมีแต่ความสงบและร่มเย็น  


เนื้อความโดยย่อ  
เมื่อเหตุทั้งปวงคลี่คลายลง ต่างพระองค์ต่างสงบพระทัยได้แล้ว พระเจ้ากรุงสญชัยจึงทรงขอให้พระเวสสันดรเสด็จกลับไปปกครองบ้านเมืองดังเดิม เหล่าข้าราชบริพาร และเหล่าชาวเมือง ที่ตามเสด็จพระเจ้ากรุงสญชัยมาต่างก็กราบทูลวิงวอน ร้องขอให้พระเวสสันดรทรงอภัยให้ และกลับไปครองสิริราชสมบัติดังเดิม

พระเวสสันดรทรงใคร่ครวญไตร่ตรองเหตุที่ควรจะเป็น และทรงคำนึงถึงพระพรที่ทรงขอจากพระอินทรเทพว่า ให้พระราชบิดากลับไปครองสิริราชสมบัติ จึงตัดสินพระทัยเสด็จกลับพระนคร

กษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์เสด็จกลับกรุงสีพีพร้อมข้าราชบริพารและผู้ตามเสด็จ ท่ามกลางเสียโห่ร้องต้อนรับด้วยความปีติยินดีของชาวเมือง ที่รักเคารพเทิดทูนพระองค์เป็นที่ยิ่ง
 
ตัวละครสะท้อนคุณธรรม : ชาวเมืองสีพีเป็นตัวอย่างของผู้รักษาสิทธิ์ตามระบอบประชาธิปไตย เมื่อไม่พอใจก็แสดงความคิดเห็น คัดค้าน และเรียกร้องให้มีการลงโทษ เมื่อพอใจก็ยอมรับ และยุติ พร้อมรู้จักขอโทษในสิ่งที่ได้กระทำไป



คัดจาก : หนังสือเทศน์มหาชาติมหากุศลเฉลิมพระเกียรติฯ  จัดพิมพ์โดย คณะกรรมการอำนวยการจัดเทศน์มหาชาติมหากุศลเฉลิมพระเกียรติฯ  มูลนิธิร่วมจิตต์น้อมเกล้าฯ ในพระบรมราชินูปถัมภ์




ภาพเขียนเล่าขานตำนานพระเวสสันดร
เป็นภาพเขียนสีฝุ่น เล่าเรื่องพระเวสสันดรชาดก
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร



สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์

ผู้ทรงออกแบบและร่างภาพ กัณฑ์ที่ ๑ - กัณฑ์ที่ ๑๒

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ พระนามเดิมว่าพระองค์เจ้าจิตรเจริญ  เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระองค์เจ้าพรรณราย ประสูติ เมื่อวันที่๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๐๖  สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๙๐  ผู้ทรงออกแบบพระอุโบสถ  พระพุทธไสยาสน์ และภาพเขียนภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร



http://www.bloggang.com/data/h/haiku/picture/1335456874.jpg
ปฐมเหตุเวสสันดรชาดก การเทศน์คาถาพัน และการเทศน์มหาชาติ

Carlo Rigoli
คาร์โล ริโกลี
(พ.ศ. ๒๔๒๖ - ๒๕o๕)

นายคาร์โล  ริโกลี  จิตรกรชาวอิตาลี  ผู้ร่างภาพกัณฑ์ที่ ๑๓
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสีทั้ง ๑๓ กัณฑ์


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 กันยายน 2558 16:32:55 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.7 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 05 พฤษภาคม 2567 01:35:04