.“ชูชกถามทางไปพระอาศรมของพระเวสสันดรจากอัจจุตฤาษี”ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น
เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดรจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหารออกแบบและร่างภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี จิตรกรชาวอิตาลี
๗ กัณฑ์มหาพน
สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : มหาพน หมายถึง ป่าใหญ่ หรือไพรกว้าง กัณฑ์มหาพน ประดับถ้วยคาถา ๘๐ พระคาถา พระเทพโมลี (กลิ่น) วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) เป็นผู้นิพนธ์ เพลงประจำกัณฑ์คือ เพลง “เชิดกลอง” ประกอบกิริยาเดินอย่างเร่งรีบของชูชก
ข้อคิดจากกัณฑ์: คนฉลาดแต่ขาดเฉลียว คนมีปัญญา แต่ขาดสติ ย่อมพลาดท่าเสียทีได้เนื้อความโดยย่อ ชูชกเดินทางผ่านสถานที่สำคัญๆ ตามที่พรานเจตบุตรบอกจนกระทั่งพบพระอัจจุตฤาษี จึงสอบถามที่อยู่ของพระเวสสันดร
พระอุจจุตฤาษี เห็นท่าทีและพฤติกรรมของชูชกครั้งแรกก็ลังเล กลัวว่าชูชกจะมาขอพระชาลี พระกัณหาไปเป็นทาส หรือไม่ก็ขอพระนางมัทรี จึงไม่บอกทาง แต่ชูชกแก้ตัวด้วยมธุรสวาจา ยกเหตุผลว่าจะมาเที่ยวขอให้เสื่อมเสียพงศ์พราหมณ์ทำไม การมาครั้งนี้เพื่อเยี่ยมเยียนพระเวสสันดรจริงๆ ขอให้ได้เห็นจะได้เป็นกุศล ทั้งยังอ้างว่าตั้งแต่พระเวสสันดรจากเมืองมา ตนยังไม่ได้พบพระเวสสันดรเลย ทำให้พระอัจจุตฤาษีใจอ่อน หลงเชื่อว่าชูชกมาด้วยเจตนาดี
เมื่อเห็นว่าพระอัจจุตฤาษีใจอ่อนหลงเชื่อแล้ว ชูชกจึงขอค้างแรมที่อาศรมหนึ่งคืน รุ่งขึ้น พระอัจจุตฤาษีจัดหาผลไม้ให้ และบอกทางไปพระอาศรมของพระเวสสันดรอย่างละเอียด พรรณนาถึงป่าเขา ฝูงสัตว์ร้ายต่างๆ ด้วยเป็นป่าใหญ่ สมกับที่เรียกว่า ป่ามหาพน
ชูชกจดจำคำแนะนำเส้นทางไว้ มุ่งหน้าเดินทางไปสู่พระอาศรมของพระเวสสันดร
ตัวละครสะท้อนคุณธรรม : พระอัจจุตฤาษีเป็นแบบอย่างของนักพรตผู้ฉลาด แต่ขาดเฉลียว หูเบา เชื่อคนง่าย “พระเวสสันดรตรัสเรียกพระชาลีและพระกัณหา ให้ขึ้นมาจากสระบัวที่สองพระกุมารลงไปซ่อนตัว”ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น
เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดรจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหารออกแบบและร่างภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี จิตรกรชาวอิตาลี
๘ กัณฑ์กุมาร
สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : คำว่า กุมารในกัณฑ์นี้ หมายความถึง พระชาลี และพระกัณหา กัณฑ์กุมารประดับด้วยคาถา ๑๐๑ พระคาถา เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นผู้นิพนธ์ เพลงประจำกัณฑ์คือ เพลง “โอดเชิดฉิ่ง” ประกอบกิริยาที่ชูชกพาพระชาลี และพระกัณหา เดินทางเข้าไปในป่า และเฆี่ยนตีไปตลอดทาง
ข้อคิดจากกัณฑ์: ความเป็นผู้รู้จักกาลเทศะ รู้จักโอกาส รู้ความควรไม่ควร จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนา เนื้อความโดยย่อ ชูชกเดินทางไปถึงพระอาศรมพระเวสสันดรเวลาจวนค่ำ แต่ไม่คิดจะเข้าเฝ้าเพื่อทูลขอสองพระกุมารในเวลานั้น ด้วยเกรงว่าพระนางมัทรีจะทรงขัดขวางตามวิสัยผู้เป็นแม่ รอให้พระนางมัทรีเสด็จไปหาผลไม้ และพระเวสสันดรประทับอยู่โดยลำพังในวันรุ่งขึ้น จึงค่อยเข้าไปขอ
ในคืนนั้น พระนางมัทรีทรงพระสุบิน ด้วยเทวดามาบอกเหตุว่า มีบุรุษร่างกายกำยำ ผิวดำ ถือดาบ ๒ มือ พังประตูอาศรมเข้าไปฉุดกระชากพระนาง ควักพระเนตร ตัดพระพาหาสิ้นทั้งซ้ายขวา ท้ายสุดผ่าพระอุระควักดวงพระหทัยแล้วหนีไป พระนางทรงตระหนักดีว่าทรงฝันร้าย จึงกังวลพระทัยยิ่งนักและไม่วางพระทัย แม้พระเวสสันดรจะทรงทำนายเลี่ยงไปว่า เป็นเพราะธาตุวิปริต และทรงปลอบพระนางให้หายหวาดกลัวและคลายกังวล ครั้นรุ่งเช้า พระนางก็ยังคงเสด็จไปหาผลไม้ดังเช่นที่ทรงปฏิบัติทุกวัน
ฝ่ายชูชกสบโอกาสดังคิด จึงเร่งเข้าเฝ้าพระเวสสันดร แล้วทูลขอสองพระกุมาร แม้พระเวสสันดรจะทรงอาลัยพระโอรสพระธิดาเพียงใด ก็ต้องตัดพระทัยเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณ อันจะยังประโยชน์สุขให้แก่มวลมนุษย์ ยิ่งกว่าสุขของพระองค์เอง ทั้งสองพระกุมารก็เข้าพระทัยในเหตุผลของพระบิดาจึงยอมเสด็จไปกับชูชก
ทั้งสามพระองค์ต้องทรงกลั้นพระทัย พระเวสสันดรต้องทรงสะกดพระโทสะ ด้วยชูชกลงมือเฆี่ยนตีสองพระกุมาร ตั้งแต่ยังไม่ทันพ้นพระอาศรม
ก่อนจะทรงให้ชูชกนำสองกุมารไป ได้ทรงตั้งค่าตัวไว้ว่า หากมีผู้ใดต้องการไถ่สองพระกุมารให้พ้นทาส พระชาลีนั้นทรงตั้งไว้พันตำลึงทอง พระกัณหาเป็นหญิง นอกจากทรัพย์พันตำลึงทองแล้ว ยังต้องประกอบด้วยข้าทาสชายหญิง ช้างม้า โคคาวี และโคอุศุภราชอีกอย่างละร้อย
ตัวละครสะท้อนคุณธรรม : พระชาลี – พระกัณหาเป็นแบบอย่างของลูกที่ดี เชื่อฟังพ่อแม่ มีเหตุผล ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน จากการถูกชูชกเฆี่ยนตีก็ตาม“เทวดาแปลงเป็นราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง
ขวางทางพระนางมัทรีมิให้กลับไปทันเวลา ที่พระเวสสันดรประทานสองพระกุมารแก่ชูชก”ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น
เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดรจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหารออกแบบและร่างภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี จิตรกรชาวอิตาลี
๙ กัณฑ์มัทรี
สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : กัณฑ์มัทรี ประด้วยคาถา ๙๐ พระคาถา เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นผู้นิพนธ์ เพลงประจำกัณฑ์คือ เพลง “ทยอยโอด” ประกอบกิริยาคร่ำครวญหวนไห้ของพระนางมัทรี เมื่อตามหาพระโอรสและพระธิดาไม่พบ
ข้อคิดจากกัณฑ์: ไม่มีความรักใด ยิ่งใหญ่กว่าความรักของพ่อและแม่เนื้อความโดยย่อ เมื่อชูชกพาสองพระกุมารไปแล้ว พระอินทรเทพทรงเกรงว่าพระนางมัทรีจะเสด็จกลับจากป่าเร็วกว่าปกติด้วยความกังวลที่ทรงฝันร้าย และพระนางมัทรีจะเสด็จกลับจากป่าเร็วกว่าปกติด้วยความกังวลที่ทรงฝันร้าย และพระนางจะเสด็จตามทันสองพระกุมาร จึงทรงบัญชาให้เทพยดา ๓ องค์ แปลงกายเป็นสัตว์ร้ายที่น่ากลัว คือ เสือโคร่ง เสือเหลือง และราชสีห์ นอนขวางทางเสด็จกลับพระอาศรม จนค่ำ จึงหลีกทางให้พระนาง
ครั้นพระนางมัทรีเสด็จกลับถึงพระอาศรม ไม่ทรงเห็นสองพระกุมาร ทรงตามหาไม่พบ ก็กันแสงอ้อนวอนทูลถามพระเวสสันดรถึงสองพระกุมาร พระเวสสันดรไม่ทรงตอบ และทรงแกล้งกล่าวตำหนิที่พระนางทรงกลับมืดค่ำให้พระนางเจ็บพระทัย จะได้คลายทุกข์โศกถึงสองพระกุมาร แม้พระนางจะทรงอ้อนวอนสักเท่าใดก็ไม่ทรงตอบ จนพระนางน้อยพระทัย ทรงออกติดตามพระโอรสพระธิดาทั้งราตรี
ลุรุ่งอรุณวันใหม่ พระนางมัทรีจึงเสด็จกลับพระอาศรมด้วยความอิดโรยอ่อนพระทัย อ่อนล้าพระกำลังถึงกับทรงสลบไป เมื่อพระเวสสันดรทรงแก้ไขให้ฟื้นแล้ว จึงทรงบอกความจริงว่า ได้ประทานพระโอรสพระธิดาให้ชูชกไปแล้ว ทรงขอให้พระนางอนุโมทนาใน “ปิยบุตรทาน” ด้วย อันจะส่งผลให้พระองค์เสด็จสู่พระสัมมาสัมโพธิญาณ พระนางมัทรีเมื่อทรงทราบความจริงจึงทรงบรรเทาโศกและทรงอนุโมทนาด้วย
ตัวละครสะท้อนคุณธรรม : พระนางมัทรีเป็นแบบอย่างของภรรยาที่ดี ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อสามี รวมถึงเป็นแม่ที่รักและห่วงลูกมาก เปรียบลูกเป็นเสมือนแก้วตาดวงใจ“พระอินทร์แปลงเป็นพราหมณ์มาทูลขอพระนางมัทรีจากพระเวสสันดร”* แก้ไข เลขกำกับกัณฑ์ในภาพ จากเลข ๑๑ เป็น ๑๐
ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น
เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดรจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหารออกแบบและร่างภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี จิตรกรชาวอิตาลี
๑๐ กัณฑ์สักบรรพ
สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : สักกบรรพ แปลว่า ตอนที่ว่าด้วยพระอินทร์ คือ ท้าวโกสินทร์สักกรินทร์เทวราช ผู้เป็นจอมเทพบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กัณฑ์สักกบรรพ ประดับด้วยคาถา ๑๓ พระคาถา เป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เพลงประจำกัณฑ์คือ เพลง “กลม” หรือเพลง “เหาะ” ประกอบกิริยาเหาะลงมา และการแปลงกายของพระอินทร์
ข้อคิดจากกัณฑ์: การทำความดี แม้ไม่มีคนเห็นแต่เทพยดาอารักษ์ย่อมรู้ย่อมเห็นเนื้อความโดยย่อ เมื่อพระเวสสันดรประทานสองพระกุมารให้ชูชกไปแล้ว พระอินทรเทพทรงดำริว่า แม้นมีผู้มาทูลขอพระนางมัทรี พระเวสสันดรก็จะทรงยกให้อีก จะทำให้พระเวสสันดรขาดผู้ปรนนิบัติดูแล จึงทรงนิรมิตองค์เป็นพราหมณ์แก่ เข้าไปทูลขอพระนางมัทรี และเป็นดังที่ทรงคาด เมื่อพราหมณ์จำแลงรับพระนางมัทรีมาแล้ว จึงกลับร่างเป็นพระอินทรเทพถวายพระนางคืน พร้อมประทานพร ๘ ประการ ตามที่พระเวสสันดรทรงแสดงพระประสงค์คือ
๑. ให้พระบิดาทรงรับพระองค์กลับไปครองราชย์สมบัติดังเดิม
๒. ให้พระองค์มีพระกรุณาและพระปัญญา ที่จะไม่ต้องเข่นฆ่าผู้มีความทุจริตร้ายกาจ
๓. ให้พระองค์ทรงกอปรด้วยพระเมตตาและพระอำนาจ เป็นที่พึ่งและเป็นที่รักแก่ปวงชน
๔. ให้พระองค์พอพระทัย มั่นคงอยู่แต่ในพระชายาพระองค์เดียว แม้มีสตรีเป็นที่รักมากเพียงใด
ขออย่าให้ทรงลุอำนาจของสตรี จนเป็นทางที่ทุจริตผิดตามมาได้
๕. ให้พระโอรสได้ปกครองแผ่นดิน ทรงอำนาจด้วยธรรมปฏิบัติ
๖. ให้เกิดภักษาหารมากมีเพียงพอที่จะบริจาคเป็นทานได้ไม่ขาด
๗. ให้มีทรัพย์สมบัติเป็นเครื่องอุดหนุนไทยธรรมทานการกุศลของพระองค์
มีแต่เพิ่มพูนมิรู้หมดสิ้น เช่นเดียวกับน้ำพระทัยในทางกุศลของพระองค์
๘. เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ไป ขอให้บังเกิดในสวรรค์ชั้นสูง มีพระบารมี
และมิมีวันเสื่อมถอยลดลงจากพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญ“ชูชกพาพระชาลีและพระกัณหาเดินทางออกจากเขาวงกต
กลับไปบ้านของตน แต่เทพยดาดลใจให้หลงทาง เข้าไปเฝ้าพระเจ้ากรุงสญชัย” ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น
เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดรจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหารออกแบบและร่างภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี จิตรกรชาวอิตาลี
๑๑ กัณฑ์มหาราช
สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : กัณฑ์มหาราช ประดับด้วยคาถา ๖๓ พระคาถา เป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และกวีอีก ๒ ท่านคือ พระยาธรรมปรีชา (บุญ) และ ขุนวรรณวาทวิจิตร เพลงประจำกัณฑ์คือ เพลง “กราวนอก” ประกอบกิริยาการยกพล และเคลื่อนพลที่พระเจ้ากรุงสญชัยทรงยกไปรับพระเวสสันดร และพระนางมัทรีกลับเมือง
ข้อคิดจากกัณฑ์: คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ย่อมได้รับการคุ้มครองปกป้องในทุกที่ทุกสถานเนื้อความโดยย่อ ชูชกตั้งใจพาสองพระกุมารกลับไปหานางอมิตตดาที่เมืองกลิงคราษฎร์ แต่เทพยดาดลใจให้ชูชกเลือกทางผิด กลายเป็นเดินทางเข้าสู่กรุงสีพีของพระเจ้ากรุงสญชัย
ฝ่ายพระเจ้ากรุงสญชัย คืนก่อนที่จะได้พบสองพระกุมาร ได้ทรงพระสุบินว่า มีบุรุษรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว นำดอกบัว ๒ ดอกมาถวาย ซึ่งโหรหลวงทำนายว่า จะมีพระญาติใกล้ชิดที่พลัดพรากไปกลับสู่พระนคร
รุ่งขึ้น ชูชกก็มีโอกาสนำสองพระกุมารเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงสญชัย และพระนางผุสดี ทั้งสองพระองค์ดีพระทัยยิ่งนัก พระราชทานสิ่งของไถ่องค์พระนัดดาทั้งสอง ตามที่พระเวสสันดรทรงกำหนดไว้ และทรงให้จัดเลี้ยงชูชกด้วยอาหารหวานคาวมากมาย ชูชกบริโภคเกินขนาด จนไฟธาตุไม่อาจเผาผลาญได้ อาหารไม่ย่อย สุดท้ายก็ถึงแก่จุกตาย ทรัพย์ที่ได้รับก็ถูกริบเข้าพระคลังหลวง หลังจากที่ประกาศหาวงศาคณาญาติให้มารับ แล้วไม่มีผู้ใดมารับ
หลังจากพระเจ้ากรุงสญชัยทรงสดับเรื่องราวจากพระนัดดาทั้งสองที่ต้องตกระกำลำบากกับพระชนกพระชนนี พระเจ้ากรุงสญชัยก็ทรงเตรียมยกพยุหยาตราไปรับพระเวสสันดรกับพระนางมัทรีกลับพระนคร ในวันรับเสด็จพราหมณ์ชาวเมืองกลิงคราษฎร์ ๘ คน นำช้างปัจจัยนาเคนทร์มาถวายคืน จึงโปรดให้พระชาลีทรงช้างปัจจัยนาเคนทร์ นำขบวนสู่เขาวงกต “พระชาลีและพระกัณหานำทางพระเจ้ากรุงสญชัยและพระนางผุสดี
ไปยังพระอาศรมที่ประทับของพระเวสสันดรและพระนางมัทรี
เมื่อกษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ทรงพบกัน ต่างกันแสงจนสลบไป”ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น
เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดรจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหารออกแบบและร่างภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี จิตรกรชาวอิตาลี
๑๒ กัณฑ์ฉกษัตริย์
สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : คำว่า “ฉ หรือ ฉะ” แปลว่า ๖ (หก) ฉกษัตริย์ จึงหมายถึง กษัตริย์ ๖ พระองค์ กัณฑ์ฉกษัตริย์ ประดับด้วยคาถา ๓๖ พระคาถา เป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เพลงประจำกัณฑ์คือ เพลง "ตระนอน” ประกอบกิริยานอนหลับใหลของกษัตริย์ ๖ พระองค์ เมื่อได้ทรงพบกัน
ข้อคิดจากกัณฑ์: การให้อภัย สามารถลบรอยร้าวฉานและความบาดหมางทั้งปวง ก่อให้เกิดสันติสุขแก่ส่วนรวมเนื้อความโดยย่อ พระชาลีทรงช้างปัจจัยนาเคนทร์เป็นทัพหน้า เสด็จถึงเขาวงกตก่อน เพื่อเตรียมรับเสด็จพระเจ้ากรุงสญชัย
เมื่อพระเจ้ากรุงสญชัยเสด็จถึงเขาวงกต ทรงพระดำริว่า หากเสด็จเข้าไปพร้อมกันทุกพระองค์ จะเป็นเหตุให้ทุกข์โศกสาหัสจนระงับมิได้ จึงเสด็จเข้าสู่พระอาศรมแต่พระองค์เดียวก่อน พอทุเลาโศกลงบ้างแล้วจึงจะให้พระนางผุสดีและสองพระกุมารตามเสด็จเข้าไป แม้กระนั้น เมื่อทั้งสามพระองค์เสด็จเข้าไปในพระอาศรม พระนางมัทรีซึ่งมิอาจทรงหวังได้เลยว่า จะได้พบสองพระกุมารอีก ครั้นได้ทรงพบกัน จึงต่างกันแสงพิไรรำพัน ทั้งเศร้าโศกและยินดีจนข่มพระทัยไว้มิได้ ก็สลบสิ้นสติสมปฤดี ณ ที่นั้นทั้งสามพระองค์
ฝ่ายพระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดีและพระเวสสันดร ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ทรงกลั้นโศกมิได้ กันแสงแล้วสลบสิ้นสติสมปฤดีไปเช่นกัน เหล่าพระสนมและข้าราชบริพารก็ล้วนโศกศัลย์ ล้มสลบตามกันไป
เหตุครั้งนั้นทำให้แผ่นพสุธาไหวทั่วพื้นพิภพ พระอินทรเทพทรงทราบจึงทรงแก้เหตุวิกฤตที่อุบัติขึ้น ทรงบันดาลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมา ณ ที่นั้น กษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ และผู้คนทั้งหลายต่างฟื้นคืนสติโดยทั่วกัน
นั่นเป็นฝนโบกขรพรรษที่เคยตกมาสมัยก่อนพุทธกาล ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเล่าโปรดพระอรหันตสาวก อันเป็นพระพุทธปรารภเรื่องพระเวสสันดร“ขบวนพยุหยาตราของพระเวสสันดร พระนางมัทรี พระชาลี และพระกัณหากลับคืนสู่กรุงสีพี และพระเจ้ากรุงสญชัยทรงรับพระเวสสันดรกลับคืนพระราชวัง”ภาพ : ภาพเขียนสีฝุ่น
เล่าขาน ตำนานพระเวสสันดรจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหารร่างภาพ ขยายแบบร่าง และระบายสี : นายคาร์โล ริโกลี จิตรกรชาวอิตาลี
๑๓ กัณฑ์มหาราช
สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : “ขบวนพยุหยาตราของพระเวสสันดร พระนางมัทรี พระชาลี และพระกัณหากลับคืนสู่กรุงสีพี และพระเจ้ากรุงสญชัยทรงรับพระเวสสันดรกลับคืนพระราชวัง”
ข้อคิดจากกัณฑ์: การทำความดี ย่อมได้รับผลดีตอบแทน การใช้ธรรมะในการปกครอง จะทำให้บ้านเมืองมีแต่ความสงบและร่มเย็น เนื้อความโดยย่อ เมื่อเหตุทั้งปวงคลี่คลายลง ต่างพระองค์ต่างสงบพระทัยได้แล้ว พระเจ้ากรุงสญชัยจึงทรงขอให้พระเวสสันดรเสด็จกลับไปปกครองบ้านเมืองดังเดิม เหล่าข้าราชบริพาร และเหล่าชาวเมือง ที่ตามเสด็จพระเจ้ากรุงสญชัยมาต่างก็กราบทูลวิงวอน ร้องขอให้พระเวสสันดรทรงอภัยให้ และกลับไปครองสิริราชสมบัติดังเดิม
พระเวสสันดรทรงใคร่ครวญไตร่ตรองเหตุที่ควรจะเป็น และทรงคำนึงถึงพระพรที่ทรงขอจากพระอินทรเทพว่า ให้พระราชบิดากลับไปครองสิริราชสมบัติ จึงตัดสินพระทัยเสด็จกลับพระนคร
กษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์เสด็จกลับกรุงสีพีพร้อมข้าราชบริพารและผู้ตามเสด็จ ท่ามกลางเสียโห่ร้องต้อนรับด้วยความปีติยินดีของชาวเมือง ที่รักเคารพเทิดทูนพระองค์เป็นที่ยิ่ง
ตัวละครสะท้อนคุณธรรม : ชาวเมืองสีพีเป็นตัวอย่างของผู้รักษาสิทธิ์ตามระบอบประชาธิปไตย เมื่อไม่พอใจก็แสดงความคิดเห็น คัดค้าน และเรียกร้องให้มีการลงโทษ เมื่อพอใจก็ยอมรับ และยุติ พร้อมรู้จักขอโทษในสิ่งที่ได้กระทำไป คัดจาก : หนังสือเทศน์มหาชาติมหากุศลเฉลิมพระเกียรติฯ จัดพิมพ์โดย คณะกรรมการอำนวยการจัดเทศน์มหาชาติมหากุศลเฉลิมพระเกียรติฯ มูลนิธิร่วมจิตต์น้อมเกล้าฯ ในพระบรมราชินูปถัมภ์
ภาพเขียนเล่าขานตำนานพระเวสสันดรเป็นภาพเขียนสีฝุ่น เล่าเรื่องพระเวสสันดรชาดก
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหารสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ผู้ทรงออกแบบและร่างภาพ กัณฑ์ที่ ๑ - กัณฑ์ที่ ๑๒
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ พระนามเดิมว่าพระองค์เจ้าจิตรเจริญ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระองค์เจ้าพรรณราย ประสูติ เมื่อวันที่๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๐๖ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๙๐ ผู้ทรงออกแบบพระอุโบสถ พระพุทธไสยาสน์ และภาพเขียนภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหารปฐมเหตุเวสสันดรชาดก การเทศน์คาถาพัน และการเทศน์มหาชาติ
Carlo Rigoli
คาร์โล ริโกลี (พ.ศ. ๒๔๒๖ - ๒๕o๕)
นายคาร์โล ริโกลี จิตรกรชาวอิตาลี ผู้ร่างภาพกัณฑ์ที่ ๑๓
ผู้ขยายแบบร่าง และระบายสีทั้ง ๑๓ กัณฑ์