[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ห้องสมุด => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 09 สิงหาคม 2566 14:57:46



หัวข้อ: ประวัติหลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก) - พระนิพนธ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 09 สิงหาคม 2566 14:57:46
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/40749328914615_111_Copy_.jpg)

ประวัติหลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก)
พระนิพนธ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

หลวงธรรมาภิมณฑ์(ถึก) ผู้ต้นสกุลจิตรกถึก เป็นชาวจังหวัดจันทบุรี บ้านเดิมอยู่ ณ ตำบลบ้านตะปอนน้อยในท้องที่อำเภอขลุง เกิดในรัชชกาลที่ ๔ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๔๐๑ บิดาเป็นที่ขุนมณีบุบผา ชื่อจีด เมื่อหลวงธรรมาภิมณฑ์ยังเป็นเด็กเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ กับ พระยาธรรมปรีชา(บุญ) ผู้เป็นลุง พระยาธรรมปรีชา (บุญ) นั้นเป็นที่นับถือกันว่าเป็นอาจารย์พระปริยัติธรรมอย่างยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง มีศิษย์มาก ที่ได้ถึงคุณธรรมชั้นสูงก็หลายองค์ ว่าแต่เพียงที่นึกได้ในเวลาแต่งหนังสือนี้ เช่น พระศาสนโสภณ (อ่อน) วัดราชประดิษฐ์ และสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย วัดเทพศิรินทรบัดนี้ เป็นต้น ถึงเจ้าพระยายมราชก็เป็นศิษย์พระยาธรรมปรีชา จนได้เป็นเปรียญ หลวงธรรมาภิมณฑ์ได้ศึกษาอักษรสมัยเบื้องต้นต่อพระยาธรรมปรีชา (บุญ) แล้วบรรพชาเป็นสามเณรไปอยู่วัดบุบผาราม จังหวัดธนบุรี จนอายุครบอุปสมบทบวชเป็นพระภิกษุอยู่วัดนั้นต่อมา เมื่อคิดดูโดยสำนักที่ได้ศึกษาและโอกาสที่ได้บวชเรียน ถ้าหากหลวงธรรมาภิมณฑ์มีใจรักในทางที่จะศึกษาพระปริยัติธรรม ก็คงจะได้เป็นมหาบาเรียน แต่อุปนิสสัยของหลวงธรรมาภิมณฑ์ชอบมาทางบทกลอนภาษาไทย จึงศึกษาพระปริยัติธรรมแต่พอเป็นนิสสัยปัจจัย พยายามศึกษาแต่ทางวิชาหนังสือไทยจนสามารถแต่งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน นับว่าเป็นอย่างดีในสมัยของตนคนหนึ่ง อันนี้เป็นเหตุให้ได้รับราชการมียศศักดิ์ และเป็นผู้หนึ่งซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งในรัชชกาลที่ ๕ และรัชชกาลที่ ๖ ทรงพระเมตตากรุณามาด้วยเป็นกวี

แรกหลวงธรรมาภิมณฑ์จะได้รู้จักกับข้าพเจ้านั้น ในสมัยเมื่อข้าพเจ้าเป็นอธิบดีกรมศึกษาธิการ มีหน้าที่จัดการบำรุงศาลาที่เล่าเรียนพระปริยัติธรรมของพระภิกษุสามเณรที่ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามด้วย ครั้งนั้นตำแหน่งอาจารย์ว่างลงคนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินคำสรรเสริญความสามารถของพระยาธรรมปรีชา เมื่อยังไม่ได้รับพระราชทานสัญญาบัตร เรียกกันว่า “อาจารย์บุญ” จึ่งชวนเข้ามาเป็นอาจารย์บอกพระปริยัติธรรม ที่ศาลาหน้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วกราบบังคมทูลขอพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นที่หลวงญาณภิรมย์ ในกรมราชบัณฑิตย์ เสมอกับอาจารย์คนอื่นซึ่งบอกหนังสืออยู่ในที่แห่งเดียวกัน ในไม่ช้าก็มีพระภิกษุสามเณรพากันนิยมมาศึกษาในสำนักหลวงญาณภิรมย์ (บุญ) มากขึ้นทุกที จนที่เก๋งศาลาข้างหน้าวัดไม่พอ ต้องย้ายเข้าไปอาศัยพระพุทธปรางค์ปราสาท (ซึ่งเป็นปราสาทพระเทพบิดรเดี๋ยวนี้) เป็นที่บอกพระปริยัติธรรม มีพระภิกษุสามเณรมาเล่าเรียนมากกว่าที่แห่งใดๆ หมด เกียรติคุณของหลวงญาณภิรมย์ (บุญ) ก็ปรากฏแพร่หลายขึ้นโดยลำดับมา เป็นเหตุให้ทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นจนถึงได้เป็นพระยาธรรมปรีชา เป็นที่สุด

เมื่อหลวงธรรมาภิมณฑ์บวชเป็นพระภิกษุได้ ๗ พรรษาแล้วลาสิกขาบท พระยาธรรมปรีชา (บุญ) พามาฝากข้าพเจ้าเมื่อ พ.ศ.๒๔๒๗ แรกเข้ารับราชการเป็นตำแหน่งเสมียนในกรมศึกษาธิการ อยู่สักปี ๑ ได้เลื่อนตำแหน่งย้ายไปเป็นครูรองที่โรงเรียนวัดประยูรวงศาวาส ต่อมาอีก ๓ ปี ถึง พ.ศ. ๒๔๓๑ ได้เลื่อนเป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดจักรวรรดิราชาวาส คุณวิเศษของหลวงธรรมาภิมณฑ์ ในทางกวีเริ่มปรากฏในตอนนี้ ด้วยเหตุสองอย่างคือ เมื่อมีโรงเรียนหลวงตั้งขึ้นตามวัด เวลาเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานพระกฐิน หรือว่าเจ้านายเสด็จไปทอดพระกฐินต่างพระองค์ นักเรียนในโรงเรียนย่อมมายืนแถวคอยเฝ้าฯ และครูใหญ่แต่งโคลงถวายพระพรทูลเกล้าฯ ถวายทุกแห่ง ปรากฏสำนวนโคลงของหลวงธรรมาภิมณฑ์แต่ยังเรียกกันว่า “ครูถึก” แต่งดี อีกอย่างหนี่งนั้นหอพระสมุดวชิรญาณออกหนังสือพิมพ์วชิรญาณวิเศษ รับหนังสือซึ่งแต่งใหม่ หลวงธรรมาภิมณฑ์แต่งโคลงฉันท์ส่งมาลงพิมพ์ ได้รับชมว่าสำนวนดี ข้าพเจ้าจึงได้แนะนำให้หลวงธรรมาภิมณฑ์พากเพียรในการแต่งบทกลอนหนังสือไทยให้เป็นเรื่องเป็นราว หลวงธรรมาภิมณฑ์ได้แต่งฉันท์ชาดกเรื่องหนึ่ง (จะเป็นเรื่องอะไรจำชื่อไม่ได้ และหาฉะบับไม่ได้เสียแล้วในเวลานี้) มาให้ข้าพเจ้าเรื่องหนึ่ง เห็นว่าสำนวนดี แต่เรื่องยังจืดนัก แต่ยังมิทันที่จะขอให้เปลี่ยนแปลงประการใด ข้าพเจ้าย้ายจากกระทรวงธรรมการไปเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายหลวงธรรมาภิมณฑ์ก็เผอิญเกิดมีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง จึงลาออกจากตำแหน่งไปรักษาตัวอยู่ที่บ้านเดิมในแขวงจังหวัดจันทบุรี  ครั้นหายป่วยเข้ารับตำแหน่งเป็นครูโรงเรียนของกรมทหารเรืออยู่ที่อำเภอขลุง จนสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ฯ เมื่อ(ยังเป็นที่พระสุคุณคณาภรณ์) เป็นตำแหน่งเจ้าคณะสงฆ์มณฑลจันทบุรีไปพบเข้า ชวนไปเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนวัดจันทน์ในเมืองจันทบุรี ครั้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๒ ทางกรุงเทพฯ ข้าพเจ้ากลับเข้ามีตำแหน่งเป็นกรรมการหอพระสมุดวชิรญาณ คิดปรับปรุงหนังสือวชิรญาณ นึกขึ้นถึง “ครูถึก” สืบได้ความว่าออกไปเป็นครูอยู่เมืองจันทบุรี จึงได้ชวนให้กระทรวงธรรมการเรียกกลับเข้ามาไว้ในกองแต่งตำราเรียน แต่นั้นหลวงธรรมาภิมณฑ์ก็มามีตำแหน่งราชการอยู่ในกระทรวงธรรมการ และได้มาช่วยแต่งหนังสือในหอพระสมุดวชิรญาณสืบมา เพราะความชอบในการแต่งหนังสือเรื่องต่างๆ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรให้เป็นที่หลวงธรรมาภิมณฑ์ มีตำแหน่งในกรมราชบัณฑิตย์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๖ ต่อมาถึงรัชชกาลที่ ๖ ได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เบ็ญจมาภรณ์ช้างเผือก กับเหรียญรัตนาภรณ์ ชั้นที่ ๔ ถึง พ.ศ.๒๔๕๙ ย้ายตำแหน่งมาเป็นพนักงานฝ่ายหนังสือไทยในหอพระสมุดวชิรญาณ สำหรับพระนคร ได้เลื่อนยศเป็นรองอำมาตย์เอก และได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จตุรถาภรณ์ มงกุฎสยาม กับเหรียญจักรพรรดิมาลา รับราชการมาจน พ.ศ.๒๔๗๐ มีอาการเจ็บป่วยด้วยความชราทุพพลภาพ จึงต้องออกจากราชการ ได้รับพระราชทานเบี้ยบำนาญต่อมา แต่อาการป่วยไม่หายเป็นปกติได้ ครั้นถึงวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๗๑ หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก) ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา อายุได้ ๗๑ ปี

หนังสือเรื่องต่าง ๆ ซึ่งหลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก) ได้แต่งไว้ ค้นฉะบับพบเมื่อเรียบเรียงเรื่องประวัตินี้ คือ

            ๑. โคลงนิราสวัดรวก แต่งเมื่อ พ.ศ.๒๔๒๘ พิมพ์แล้ว

            ๒. วินิสวานิชคำฉันท์ เรื่องนี้แต่งเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๓ เวลารับราชการอยู่ด้วยกันกับข้าพเจ้าในกรมศึกษาธิการเดิม หลวงธรรมาภิมณฑ์แต่งฉันท์เรื่องชาดกมาให้ข้าพเจ้าดังกล่าวแล้ว ข้าพเจ้าติว่าเรื่องจืดนัก ให้หาเรื่องให้ดีกว่านั้น หลวงธรรมาภิมณฑ์บอกว่าไม่รู้ว่าจะไปหาเรื่องที่ไหน เมื่อกลับมาทำงานด้วยกันอีก ข้าพเจ้าจึงเขียนโครงนิทานเรื่อง เมอชันต์, ออฟ - เวนิศ บทละครของเชกสเปียให้หลวงธรรมาภิมณฑ์ไปแต่งขึ้นเป็นฉันท์ ให้ชื่อว่า วินิศ - วานิช ฉันท์เรื่องนี้ได้นำขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดและได้พิมพ์แล้วหลายครั้ง

            ๓. เบริคคลิสคำฉันท์ ข้าพเจ้าเขียนโครงนิทานบทละครเรื่องเบริคคลิสชองเชกสเปีย ให้แต่งอีกเรื่องหนึ่ง แต่แต่งไม่ตลอด (จะเป็นเพราะข้าพเจ้าเขียนโครงเรื่องให้ไม่หมด หรือหลวงธรรมาภิมณฑ์แต่งไม่ตลอดเอง ลืมเสียแล้ว) มีอยู่แต่ฉบับเขียนยังไม่ได้พิมพ์

            ๔. สิทธิศิลปคำฉันท์ ของหลวงธรรมาภิมณฑ์ คิดเรื่องขึ้นเอง แต่งเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๕

            ๕. เพ็ชรมงกุฎคำฉันท์ เอาเรื่องจากลิลิตมาแต่ง เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๕

            ๖. รัชมังคลาภิเษกคำฉันท์ เรื่องนี้ข้าพเจ้าคิดรูปเรื่องให้หลวงธรรมาภิมณฑ์แต่ง เฉลิมพระเกียรติยศพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จสวรรคตแล้ว แต่แต่งดีไม่ได้ถึงดังใจข้าพเจ้า จึงยังไม่ได้พิมพ์

            ๗. ฉันท์ดุษฎีสังเวย สำหรับงานพระราชพิธีฉัตรมงคลรัชชกาลที่ ๖ หลวงธรรมาภิมณฑ์แต่งลา ๑ (กรมหมื่นกวีพจนสุปรีชา แต่งลา ๒ พระยาพจนปรีชา ม.ร.ว.สำเริง อิศรศักดิ์ฯ แต่งลา ๓ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ แต่งลา ๔)

            ๘. ฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างเผือก พระเศวตวชิรพาหะ แต่งเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๔ ได้พระราชทานรางวัล

            ๙. กฎาหกคำฉันท์ เอาเรื่องนิบาตชาดกมาแต่งเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๖ 

            ๑๐. ธาดามณีศรีสุพิน กลอนสุภาพ ๒ เล่มสมุดไทย จะแต่งเมื่อใดหาทราบไม่

            ๑๑. เรื่องสามก๊ก ตอนนางเตียวเสี้ยนกับตั๋งโต๊ะ แต่งเป็นกลอนสุภาพ แต่งเมื่อใดหาทราบไม่

            ๑๒. ประชุมลำนำ เรื่องนี้แต่งเมื่อหลวงธรรมาภิมณฑ์ชราและเริ่มป่วยเสียแล้ว

นอกจากนี้ยังมีคำฉันท์และคำกลอนเบ็ดเตล็ดซึ่งหลวงธรรมาภิมณฑ์ ได้แต่งอีกมาก แต่มิได้เป็นเรื่องต่างหาก จึงมิได้ลงในบัญชีนี้



ที่มา : "ประวัติหลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก)" พระนิพนธ์ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
         บริษัท แพร่พิทยา บริษัท โอเดียนสโตร์ กรุงเทพฯ พิมพ์เผยแพร่ พ.ศ.๒๔๙๖
         (การสะกดคำ - คัดตามต้นฉบับ)