และมิได้ตรัสประการใดจึงมีผู้ทูลอาราธนาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเหตุไฉนวันนี้ พระองค์จึงมิได้ตรัสเทศนาโปรดเวไนยสัตว์เลย
ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ทรง ชูดอกไม้ขึ้นดอกหนึ่งแล้วตรัสว่า "ตถาคตมีธรรมจักษุอันละเอียดอ่อนสุขุมคัมภีรภาพปราศจากรูปลักษณ์ใด ๆ อยู่ในครรโภทรlที่ประชุมสงฆ์สาวกทั้งนั้นมีแต่พระมหากัสสปะซึ่งเป็นผู้ สูงอายุหน้าตายับยู่ยี่ด้วยเร่งบำเพ็ญเพียรจนไม่เคยยิ้มเลยตลอดเวลาที่ ปฏิบัติธรรมอยู่
เมื่อเห็นพระพุทธองค์ทรงแสดงรหัสตรัสเช่นนี้จึงรู้ได้ ด้วยไวปัญญาพระมหากัสสปะจึงยิ้มครั้งแรกในชีวิตและแสดงกริยาก้มหน้าเป็น การตอบรับ
พระพุทธองค์ทรงกล่าวต่อไปว่า ตถาคตได้ส่งมอบธรรมะนี้แก่ พระมหากัสสปะแล้ว
พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญพระมหากัสสปะว่าเป็นผู้มีปัญญา อันเลิศจึงทรงแลกบาตรและจีวรกับพระมหากัสสปะ ปัญหาที่น่าพิจารณาคือบรรดาพระอรหันต์ทั้งรูป นั้นมิได้รู้อนุตตรธรรมเหตุ ไฉนจึงสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์พ้นเวียนว่ายตายเกิดได้เล่าคำตอบอยู่ ที่บรรดาสงฆ์สาวกทั้งปวงล้วนปฏิบัติตรงตามทางสายกลางที่พระพุทธองค์ทรง สั่งสอนและประคองจิตของตนเองมิได้พ้นไปจากเส้นทางสายนี้
เช่นเดียวกับพระ มหากัสสปะจึงเป็นผู้ได้หนทาง แต่มิได้รู้ถึง ประตูวิเศษ แต่พระพุทธองค์ทรงรู้ถึง ทวารวิเศษ
บรรดาสงฆ์สาวกซึ่งรักษาจิตของตนเอง ในหนทางสายกลางย่อมเดินไปจนถึงทวารวิเศษนี้ ในวันสุดท้ายของการทิ้งกายสังขาร
เมื่อพระมหากัสสปะได้รับการถ่ายทอด ทวารวิเศษและประคองจิตของตนเองอยู่ในหนทางสายกลาง จึงย่อมเสมอเหมือนพระพุทธองค์
เพราะฉะนั้นบาตรและจีวรของพระพุทธองค์ จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการถ่ายทอด ทวารวิเศษของอนุตตรธรรมสืบต่อกันมาจนถึงพระธรรมาจารย์ หงเหยิ่น องค์ที่ห้าในครั้งนั้นพระมหากัสสปะจึงเป็นพระธรรมาจารย์องค์ที่หนึ่งซึ่งได้รับรู้ประตูของ ธรรมญาณ อันเป็นหนทางแห่งอนุตตรธรรม นั่นเอง กิเลสกับความทุกข์ไม่แยกจากกัน มีกิเลสเมื่อใด ก็มีความทุกข์เมื่อนั้นมี ความทุกข์ที่ไหนมีกิเลสเป็นต้นเหตุ เป็นสมุฏฐานอยู่ที่นั่น มีกิเลสอยู่ที่ไหน มันต้องมีรากฐาน
คือ รูป เสียง อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นรากฐานอยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นคำว่าโลก หมายถึง เสียง กลิ่น รส ธัมมารมณ์ และสัมผัสได้ หมายถึง กิเลสก็ได้ หมายถึงความทุกข์ก็ได้ฉะนั้นคนที่อยู่ในโลกนี้ คือ กิเลส หรือ ในอารมณ์ หรือใน กิเลส ในความทุกข์ นี้เรียกว่าเป็นคนบ้าได้ทั้งนั้น
พระพุทธเจ้า หรือ พระอริยะเจ้า ท่านไม่อยู่ในอารมณ์ หรือว่าใน กิเลสฉะนั้นเขาจึง จัดพระอริยเจ้าไว้ว่าอยู่เหนือโลก คือ เป็น โลกุตตระ ฉะนั้นจึงไม่บ้า
จึง พ้นจากการเป็นคนบ้าส่วนคนที่จมอยู่ใน รูป กลิ่น รส สัมผัส เดี๋ยวยินดี เดี๋ยวยินร้าย นั่นแหละ คือคนที่ทนทุกข์อยู่ แล้วนั่นแหละคือ คนบ้า
...............................................จบ..........................................
...........................................UFO..........................................