'แอมเนสตี้' ชี้ ไล่รื้อ-ขับไล่ ประชาชน ในเขตนครวัด ละเมิดกฎหมาย ระหว่างประเทศ
<span class="submitted-by">Submitted on Fri, 2023-11-17 16:09</span><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผย การไล่รื้อประชาชนหลายพันครอบครัวในเขตนครวั<wbr></wbr>ด กั<wbr></wbr>มพูชา แหล่งมรดกโลกของยูเนสโกเป็<wbr></wbr>นการละเมิดกฎหมายสิทธิมนุ<wbr></wbr>ษยชนระหว่างประเทศ บังคับให้ประชาชนต้องมีชีวิตอย่<wbr></wbr>างแร้นแค้นในพื้นที่ตั้งถิ่<wbr></wbr>นฐานใหม่ที่ไม่มีการเตรี<wbr></wbr>ยมความพร้อมที่ดีพอ</p>
<p> </p>
<p>17 พ.ย. 2566 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า การไล่รื้อที่ส่งผลกระทบต่อผู้<wbr></wbr>คนหลายพันครอบครัวในเขตนครวั<wbr></wbr>ดแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกเป็<wbr></wbr>นการละเมิดกฎหมายสิทธิมนุ<wbr></wbr>ษยชนระหว่างประเทศ โดยได้เผยแพร่งานวิจัยฉบับใหม่<wbr></wbr>ซึ่งเผยให้เห็นวิธีที่ทางการกั<wbr></wbr>มพูชาบังคับให้ผู้คนย้ายถิ่<wbr></wbr>นฐานโดยอ้างการอนุรักษ์ และเรียกร้องให้ยู<wbr></wbr>เนสโกประณามการบังคับขับไล่รื้<wbr></wbr>อที่ดำเนินการในนามของตนต่<wbr></wbr>อสาธารณะ </p>
<p>ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ทางการกัมพูชาเริ่มการขับไล่ผู้<wbr></wbr>คนที่ตามรายงานมีจำนวน 10,000 ครอบครัวออกจากพื้นที่<wbr></wbr>ศาสนาสถานที่กว้างใหญ่ในเมื<wbr></wbr>องเสียมราฐ โดยอ้างถึงความจำเป็นในการปกป้<wbr></wbr>องสถานที่อายุประมาณพันปี<wbr></wbr>จากความเสียหายที่อาจส่<wbr></wbr>งผลกระทบต่อสถานะมรดกโลกของยู<wbr></wbr>เนสโกของนครวัด </p>
<p>งานวิจัยของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งได้มาจากจากการสัมภาษณ์ผู้<wbr></wbr>คนมากกว่า 100 คน การลงพื้นที่ด้วยตนเอง 9 ครั้งสำหรับพื้นที่บริเวณนครวัด และพื้นที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ 2 แห่ง แสดงให้เห็นว่าทางการกัมพูชาล้<wbr></wbr>มเหลวในการแจ้งให้ประชาชนได้รั<wbr></wbr>บรู้อย่างเพียงพอหรือมีส่วนร่<wbr></wbr>วมในการปรึกษาหารืออย่างจริ<wbr></wbr>งใจก่อนที่จะมีการไล่รื้อ นอกจากนี้ยังข่มขู่หลายคนไม่ให้<wbr></wbr>ตั้งคำถามเกี่ยวกับการไล่รื้<wbr></wbr>อครั้งนี้ และให้ย้ายไปยังพื้นที่ซึ่งยั<wbr></wbr>งไม่มีทั้งที่พักอาศัย น้ำที่เพียงพอ สิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขอนามั<wbr></wbr>ย และการเข้าถึงการดำรงชีพอื่นๆ </p>
<p><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53337229296_940945fbac_b.jpg" /></p>
<p><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53337462763_0a99ae1f4e_b.jpg" /></p>
<p><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53337569494_46e36a4a95_b.jpg" /></p>
<p><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53337569474_ccb5345157_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e74c3c;">แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล</span></p>
<p>มอนต์เซ เฟอร์เรอร์ รักษาการรองผู้<wbr></wbr>อำนวยการภูมิภาคฝ่ายวิจัย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า ทางการกัมพูชาได้ไล่รื้อขับไล่<wbr></wbr>ครอบครัวที่อาศัยอยู่ในนครวั<wbr></wbr>ดมาหลายชั่วอายุคนออกไปอย่<wbr></wbr>างโหดร้าย บังคับให้พวกเขาต้องมีชีวิตอย่<wbr></wbr>างแร้นแค้นในพื้นที่ตั้งถิ่<wbr></wbr>นฐานใหม่ที่ไม่มีการเตรี<wbr></wbr>ยมความพร้อมที่ดีพอ ทางการต้องยุติการบังคับไล่รื้<wbr></wbr>อหรือขับไล่ผู้คนและการละเมิ<wbr></wbr>ดกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่<wbr></wbr>างประเทศโดยทันที </p>
<p>“หากยูเนสโกมุ่งมั่นที่จะทำให้<wbr></wbr>สิทธิมนุษยชนเป็นหัวใจสำคั<wbr></wbr>ญในการดำเนินการทั้งหมด ก็ควรประณามการบังคับไล่รื้อที่<wbr></wbr>ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำหรั<wbr></wbr>บการจัดการแหล่งมรดกโลก โดยเรียกร้องให้รัฐบาลกัมพู<wbr></wbr>ชาหยุดการกระทำเหล่านั้น และผลักดันให้มี<wbr></wbr>การสอบสวนสาธารณะที่เป็นอิสระ” มอนต์เซ เฟอร์เรอร์ กล่าว</p>
<p> </p>
<p>แม้ว่าจะทราบดีถึงการไล่รื้<wbr></wbr>อและสภาพพื้นที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ แต่ยูเนสโกก็ยังไม่ได้ประณามสิ่<wbr></wbr>งที่เกิดขึ้นบริเวณนครวัดต่<wbr></wbr>อสาธารณะ นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าไม่ได้<wbr></wbr>ดำเนินการสอบสวนสาธารณะเกี่ยวกั<wbr></wbr>บข้อค้นพบของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล </p>
<p>รัฐกัมพูชาอ้างยูเนสโกเป็นเหตุ<wbr></wbr>ผลซ้ำแล้วซ้ำเล่าสำหรับโครงการ "ย้ายถิ่นฐาน" โดยมีอย่างน้อย 15 กรณีที่ครอบครัวบอกกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลว่า ทางการระบุว่ายูเนสโกคือสาเหตุ<wbr></wbr>ที่ผู้คนต้องย้ายออกจากนครวัด </p>
<p>ผู้นำชุมชนพยายามยื่นคำร้องต่<wbr></wbr>อสำนักงานยูเนสโกในกรุงพนมเปญ โดยเน้นย้ำถึงความไม่พอใจเกี่<wbr></wbr>ยวกับการไล่รื้อ แต่ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่รั<wbr></wbr>กษาความปลอดภัยว่ายูเนสโกไม่ได้<wbr></wbr>ทำงานเกี่ยวกับปัญหาที่ดิน </p>
<p>สืบเนื่องจากสิ่งที่ค้<wbr></wbr>นพบในรายงาน ยูเนสโกแจ้งกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลว่าไม่เคยเรี<wbr></wbr>ยกร้องให้มี “การโยกย้ายถิ่นฐานของประชากร” เมื่อแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวหาว่ามี<wbr></wbr>การไล่รื้อในนามของยูเนสโก ศูนย์มรดกโลกของยูเนสโกตอบกลั<wbr></wbr>บมาว่าการกระทำของรัฐภาคีไม่ใช่<wbr></wbr>ความรับผิดชอบของยูเนสโก “แม้ว่ารัฐสมาชิกจะอ้<wbr></wbr>างความชอบธรรมในการดำเนิ<wbr></wbr>นการในนามขององค์กรก็ตาม” </p>
<p>แต่ความจริงที่ว่าการบังคับไล่<wbr></wbr>รื้อในปัจจุบันกำลังดำเนิ<wbr></wbr>นการโดยอ้างการอนุรักษ์แหล่<wbr></wbr>งมรดกโลกของยูเนสโก ดังนั้นควรต้องมีการตอบสนองที่<wbr></wbr>ชัดเจนและเข้มแข็ง </p>
<p>“หากไม่มีการตอบโต้อย่างจริงจั<wbr></wbr>งจากยูเนสโก ความพยายามในการอนุรักษ์<wbr></wbr>อาจกลายเป็นอาวุธของรัฐต่างๆ เพื่อจุดประสงค์ของตนเองเพิ่<wbr></wbr>มมากขึ้น และเกิดความสูญเสียด้านสิทธิมนุ<wbr></wbr>ษยชนได้” มอนต์เซ กล่าว</p>
<p> </p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2023/11/106849