พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา

<< < (2/12) > >>

เงาฝัน:



พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา

"ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา" โดย หลวงปู่โง่น โสรโย


http://gotoknow.org/file/beone_01/view/414157


http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=tofriend&id=349

คัดมาจากหนังสือ .. " ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา " ..
เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย 

ผู้โพส : แดดส่อง
 
Credit by :   http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=2510

เงาฝัน:

พอมาถึงเมืองไทย ได้รับความดลใจ ในคำสั่งของตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัยในทางฝัน จึงได้ออกเดินทางไป ดังที่จะกล่าวไว้ในตอนตามรอยกรรม ในระยะที่ข้าพเจ้าไปอยู่นั้น ก็เกิดเรื่อง ที่พระภิกษุสงฆ์ในประเทศพม่า ซึ่งประกาศไม่พอใจ ในนโยบายของรัฐบาล เกี่ยวเรื่องสมณศักดิ์ คือเขาจะยกฐานะให้พระสงฆ์พม่า มีสมณศักดิ์เหมือนพระสงฆ์ไทย พระสงฆ์ทั่วประเทศไม่พอใจ ในเรื่องลาภยศ จึงก่อเหตุเดินขบวนต่อต้าน รัฐจึงจำเป็นต้องยกธงขาวยอมแพ้ อนุโลมตามความต้องการ ของพระสงฆ์ทุกอย่างเรื่องก็จบ เท่าที่ข้าพเจ้าได้เคยเห็นมา ก็มีพระสงฆ์อยู่สองประเทศ คือ พระสงฆ์พม่า และศรีลังกา

พระคุณท่านมีอำนาจในทางการเมือง เล่นการเมืองได้ สมัครเป็นผู้แทนได้ เข้าไปนั่งประชุมในสภาได้ เพราะพระคุณท่านไม่ยี่หระ ที่จะยอมรับเงินรับสินบน ค่าเงินเดือน เป็นค่าจ้าง เป็นพระลูกจ้าง อันเป็นค่านิยพัต ค่าตาลปัตพัดยศจากรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นลูกจ้างจากทางรัฐ เขาไม่ยี่หระเหมือนพระสงฆ์ไทย อันเรื่องที่พระหม่องเดินขบวน ก็จบลงไปแล้ว แต่ข้าพเจ้าสิ โดนข้อกล่าวหาอย่างหนักว่า ความวุ่นวาย ของพระสงฆ์เมียนม่าที่ผ่านมานั้น มีข้าพเจ้าอยู่เบื้องหลัง เพราะข้าพเจ้าไปเดินกับเขาด้วย และเป็นนายทุนสนับสนุน ในเรื่องค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เราใช้ทรัพย์ส่วนตัวไปราวห้าหมื่น แต่ก็ยังโชคดีที่ระยะนั้น มหาอำนาจตะวันตก ผู้ปกครองเขายังไม่ว่า อันเรื่องพระสงฆ์องค์เจ้า อังกฤษเขาไม่เอามายุ่งด้วย และผู้หลักผู้ใหญ่ของอังกฤษ ก็รู้จักกับเราดี

เงาฝัน:

เขาจึงเพียงกักสถานที่ ให้เราอยู่ในบริเวณ ของกระท่อมของเรานั้นเอง ซึ่งก็มีเพื่อนรักคือ อ้ายเจ้าเก่ง ภาษาพม่าเขาเรียกสุนัขว่า คย คย ข้าพเจ้าก็ได้ถูกเรียกเป็น พ๊งจีคย คำว่าพระภิกษุภาษาพม่าเขาเรียกว่า พ๊งจี จึงเป็นพ๊งจีคยมาตลอด เพราะมีสุนัขเป็นเพื่อน เขากักขังบริเวณ ไว้สอบสวน 15 วัน และอาศัยพระสงฆ์ คือพ๊งจีของพม่าช่วยไว้ ชีวิตหนอชีวิต อันการตกเป็นผู้ต้องหาทางการเมืองนั้น ในชีวิตการบวชของข้าพเจ้า ได้ประสบมาแล้วหลายครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่แล้ว จึงไม่วิตกกังวลอะไรเป็นไรเป็นกัน ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2482 ถูกทหารลาวจับ อยู่เวียงจันทร์เมืองหลวงของลาว

            เขาจับในข้อหาว่า ข้าพเจ้าเป็นพระสงฆ์ไทย เข้าไปสืบความลับทางราชการ เป็นแนวที่ห้ามาจากเมืองไทย มันถามเป็นภาษาไทยว่า ท่านเป็นคนไทยหรือ ตอบมันว่าใช่ อาตมาเป็นพระสงฆ์ไทย เกิดเมืองไทย เป็นคนไทย เพราะระยะนั้น สมัยนั้นสงครามมหาเอเซียบูรพากำลังก่อตัวขึ้น อ้ายลาวไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น มันจับขังใส่คุกขี้ไก่ไว้สิบห้าวัน (มันแท้ๆ) คุกขี้ไก่คือไก่อยู่ข้างบน คนอยู่ข้างล่าง แต่ก็ยังโชคดีที่ระยะนั้น รัฐบาลไทย ได้ประกาศตัวเป็นกลาง ไม่ขึ้นกับฝ่ายใด ไม่เป็นศัตรูกับใคร เขาจึงปล่อยออกมา เมื่อข้ามมาฝั่งไทย ตำรวจไทยเห็นเข้า ถามเป็นภาษาลาวว่า (เจ้าหัวมาแต่ไส) ตอบมันว่า อาตมามาแต่ฝั่งซ้าย สำเนียงลาวแท้ๆ เขาเข้าใจว่าเป็นพระลาว มาสืบความลับจับเข้าอีก ขังไว้โรงพักสองวัน แก้ตัวออกมาได้ เพราะเรามีหลักฐาน ทางหนังสือสุทธิ

เงาฝัน:

          และต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2486 สงครามเอเซียบูรพาสงบ ทหารไทยได้ตีเมืองพระตะบอง เสียมราช ศรีโสภณ กำปงโสม ของเขมร คณะสงฆ์ไทย จะเข้าไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในประเทศเขมร สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ติสโส (อ้วน) ท่านเป็นมหาสังฆนายกองค์แรก ในสมัยนั้น ท่านให้ข้าพเจ้าไปด้วย เพราะเป็นคนที่พูดภาษาเขมร และภาษาฝรั่งเศสได้ เพราะ เขมรเคยเป็นเมืองขึ้น ของฝรั่งเศสมาก่อน เมื่อขบวนท่านเสด็จกลับ ข้าพเจ้ายังไม่กลับ เพราะมีธุระหลายอย่าง คือ ต้องการเรียนภาษาเขมรให้แตกฉาน จึงเดินทาง เข้าไปเมืองพนมเปญ โดนทหารเขมรจับเข้าอีก ตั้งข้อหาว่า ข้าพเจ้าเป็นตัวการ ที่นำทหารไทยไปตีเอาบ้านเอาเมืองของมัน แก้ตัวออกมาได้เพราะ อาศัยบารมีของ เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์

            และหลังจากนั้นมาอีกหกปี คือปี พ.ศ. 2490 โดนอ้ายหม่องพม่าจับเข้าอีก ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่แล้ว จึงไม่วิตกกังวล ไม่สะทกสะท้าน ในเหตุการณ์แม้แต่น้อย เพราะเรื่องอย่างนี้ เคยโดนมาครั้งแล้วครั้งเล่า อันการติดคุกขี้ไก่ในประเทศลาวนั้น เท่าที่สืบดูในจำนวน พระสงฆ์ไทยก็มีอยู่สองท่าน คือตัวข้าพเจ้าเองติดก่อน ติดอยู่ถึง 15 วัน ท่านที่สองคือ พระอาจารย์สมชาย วัดเขาสุกิม แต่ท่านสมชายติดทีหลัง ติดกี่วันไม่ได้ถามท่าน ติดเรื่องเดียวกัน ที่เขาถือว่าเป็นแนวที่ห้า แต่คนละวาระคนละแห่ง

ทุกครั้งที่ถูกจับกุมคุมขังนั้น เราไปช่วยเขา เราไปทำประโยชน์ให้เขา เราขนเอาเงินทองของส่วนตัวทั้งนั้น ไปช่วยเขาไปให้เขา พอเรามีเรื่องขึ้นมาจะหาใครๆ ช่วยเหลือไม่มีเลย นี้แหละหนา สัจจะธรรมกรรมแท้ๆ จึงได้คิดเป็นโคลงกลอนสอนใจตัวเองว่า

(เมื่อมั่งมี ผีผอม ตอมกันแดก เมื่อโลงแตก ผีอ้วนชวนกันหนี
เมื่อมั่งมีมากมาย มิตรหมายมอง เมื่อมัวหมอง มิตรมองเหมือนหมูหมา
เมื่อไม่มี มวลมิตรไม่มองมา เมื่อมอดม้วย แม้หมูหมาไม่มามอง)

จะมีก็แต่เจ้าเก่งที่แสนรู้คู่บุญ ที่ติดตามมาเท่านั้นเอง ที่ไม่ยอมห่าง มันนอนขวางทาง ทำท่าตาเขม็งเบ่งใส่ คนที่มันไม่ใว้ใจทุกคน จนพวกพม่ามันเรียกข้าพเจ้าว่า พ๊งจีคย (พระหมา) จึงได้ความคิดติดใจมาตลอดว่าเลี้ยงหมาดีกว่าเลี้ยงคน

เงาฝัน:

          อันสถานที่ที่เขาให้อยู่ และกักบริเวณ เขาก็ให้อยู่ในสถานที่เดิม คือกระท่อมที่เขาจัดสร้างให้เอง แต่ก็อากาศดี มีสถานที่อยู่กว้างขวาง ไม่ได้ถูกผูกมัดพันธนาการอะไร มันให้อยู่ในบริเวณขอบเขต ที่มันกำหนดให้ เราก็สบาย ทุกๆ วันมันก็ให้ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาสอบ สอบแล้วสอบอีก เราทำเป็นไม่ยอมพูดกับมัน เพราะมันจะบีบคั้นเอาแต่เงิน เงินลูกเดียว ถ้าเราไม่ให้มัน มันจะปล่อยให้อดข้าวตาย ก็จะเอาอะไรมาให้ มันยึดเอาไปหมดแล้ว และยังจะมาบีบเอาอะไรอีก บ้าจริงๆ เสร็จแล้วมันก็หายไป วันหลังก็เปลี่ยนคนใหม่มาเฝ้า มาสังเกตุการณ์

ตอนนี้เอง ข้าพเจ้าจึงมาถามตัวเองว่า เอาอย่างไรกันดี เราจะหันหน้าไปพึ่งใครไม่ได้อีกแล้ว (คนหนอคน) ยามอับจนคนเคียดแค้นชิงชัง ยามมั่งคั่ง คนประดังนอบน้อม ชีวิตหนอชีวิตคิดดูเถิด ตั้งแต่เกิดถึงตายกลายเป็นผี จะประสบทั้งซวยโชคโศกโศกี ตามวิถีของบุญกรรมที่ทำมา จึงได้ปรัชญาของชีวิตว่า (อันชีวิตที่ไม่เคยเจอกับความทุกข์ เป็นชีวิตที่โง่) ความโง่คือ ความที่จิตติดอยู่กับสุข ที่ติดยึดอยู่กับสุข ที่เป็นโลกียะ ผู้ฉลาดย่อมนำเอาความทุกข์ ที่ประสบมาเป็นบทเรียน

ในบทปฐมเทศนา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนให้รู้จักทุกข์ ทุกข์มันเป็นผลของสมุทัย คือความสมมุติของคน ความสมมุติสังคมของโลก จึงมาพบกับหลักสัจจะธรรมข้อหนึ่งว่า ในขณะที่ชีวิตประสบ กับภาวะที่วิกฤตอย่างรุนแรงนั้น ชีวิตจะมีความเข้มแข็งขึ้น อีกหลายเท่าตัว ดังนั้นข้าพเจ้า จึงได้สอนตัวเองว่า เราจงสร้างจิตตานุภาพไว้ให้มากๆ เพราะจิตตานุภาพที่เราสร้างไว้นั้น จะช่วยเหลือเราได้ในยามยาก ชีวิตที่ไม่มีการต่อสู้ เป็นชีวิตที่อ่อนแอ บุคคลที่ไม่เคยมีศัตรู จะเป็นคนเข้มแข็งได้ยาก เหล็กที่ผ่านการตี การทุบ ทุบจนแท่งเหล็กเป็นมีดเป็นพร้าขึ้นมา แล้วผ่านน้ำผ่านไฟมาแล้ว จึงกลายเป็นเหล็กแข็ง และเหนียวใช้การได้ดี

ชีวิตเราก็เหมือนกัน ถ้าชีวิตใดที่ผ่านความสมบุก สัมบัน ผ่านความทุกข์ความลำเค็ญ ผ่านเย็นร้อนอ่อนแข็งมาแล้ว เป็นชีวิตที่มีบทเรียนมามาก มีความรู้มาก อันความรู้ มันมีอยู่สองอย่างคือ ความรู้จำ กับความรู้จริง อันความรู้จำนั้น เกิดขึ้นจากการเรียน เรียนจากครู จากตำรา รู้มาเรียนมาไม่ถึงใจ เพราะไม่รู้ว่า รสชาติธาตุแท้ของชีวิตนั้น มันเป็นอย่างไร แต่ความรู้จริงนั้น คือรู้จากประสบการณ์ ที่เกิดจากชีวิตจริงของเราเอง มันมีรสชาติธาตุแท้แห่งความทรงจำ ไปอีกนานเท่า นานเชียวล่ะ และเป็นรากฐาน ในการที่จะได้ปรับปรุงวิถีชีวิตของตนเอง ให้เข้มแข็งขึ้นอีก

เงาฝัน:

          อันการที่ข้าพเจ้า ถูกอ้ายหม่องเล่นงานคราวนั้น มันเป็นผลดีที่ทำให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึงและเข้าใจ ในชีวิตของตัวเองอย่างถ่องแท้ วิธีแก้ของเราก็คือ สอนและเตือนตัวเองว่า ผู้ฉลาด มีปัญญา ย่อมไม่สร้างความทุกข์ให้แก่ใจ ในสิ่งที่สุดทางแก้ จึงตั้งอธิษฐานจิต ทำความเพียรทางจิต แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตายเป็นตาย จิตวิญญาณหลังตาย สบายกว่ามีชีวิตอยู่ จะอยู่ไปทำไม ตายดีกว่าจะได้สบาย จึงค้นคิดว่าความตายคืออะไร แล้วตอบเองว่าความตายคือ การหมดความรู้สึกนึกคิด ชีวิตอินทรีย์ขาดจากกัน หัวใจหยุดเต้น มันสมองหยุดสั่งงาน จิตวิญญาณออกจากร่าง อยู่ที่ความว่างเปล่า สักครู่จิตวิญญาณก็ลอยละล่องไปสู่ภพใหม่ นั่นแหละคือความตายที่รู้กันทั่วไป

จึงสนใจขึ้นมาว่า อันภาวะเช่นนั้น มันเป็นอย่างไรกันแน่ จึงอยากตั้งหน้าฝึกจิต ฝึกใจให้รู้จักวิธีตายก่อนตาย อันภาวะของความตายนั้น ตามหลักของกายวิภาควิทยาว่า หัวใจหยุดเต้น ลมหายใจไม่มีคือตาย แต่เราจะยังไม่ตายอย่างนั้น เราไม่ต้องไปยุ่งกับมัน มันจะเต้นหรือไม่เต้น ก็เป็นเรื่องของมัน เรามาจับจดอยู่ที่ลมหายใจดีกว่า เที่ยวทัวร์ทางลม เอาลมเป็นไกด์ ลมหายใจเข้า หายใจออกนี้เอง เป็นเครื่องจูงจิต เอาความวิกฤตของชีวิต ที่กำลังประสบอยู่ มาเป็นผู้สอน สอนว่า ตาย ตาย ตาย ลมหายใจเข้าก็ว่าตาย ลมออกก็ว่าตาย เป็นอุบายสกดจิตตัวเอง ให้เข้าสู่สภาวะแห่งความหลับ (หลับทางจิต) จับเอาตัวนิมิต คือตัวฝันนั่นเอง มาสร้างเป็นตัวแฝง พลังแฝงขึ้นตามคำแนะนำ ของพระผู้เฒ่าหลวงปู่โลกอุดร สอนให้สมัยที่ถูกฝังตัวอยู่ในหิมะ เพราะมันถล่มมาทับ ที่ภูเขาหิมาลัยโน้น

ท่านสอนเตือนว่า ตัวเรามันมีอยู่ 3 ตัวคือ ตัวจริง ตัวเป็น และ ตัวแฝง ทั้งสองตัวแรกนั้น อย่ายึดมั่นในมัน รีบสละละทิ้งให้หมด กำหนดเอาตัวแฝง คือตัวพลังภายในจิตใจเท่านั้น เพราะตัวจริงยิ่งใช้ยิ่งโทรม ส่วนตัวเป็นยิ่งใช้ยิ่งยุ่งยิ่งทุกข์ แต่ตัวแฝง พลังแฝงนั้นยิ่งใช้ยิ่งดี มีพลังจะกำบังความทุกข์ ให้เกิดความปิติสุขที่ใจ เราจำคำสอนของท่านคำนี้ไว้แล้ว เอาสติเป็นนายเวร คอยจ้องดูลมเข้าลมออก อย่างไม่ลดละ ทีแรกจะรู้สึกว่า อันเจ้าลมที่เข้าๆ ออกๆ นั้นมันหยาบ แล้วมันจะค่อยละเอียดลงๆ แผ่วเบาลง ละเอียดลงๆ จนเกิดความรู้สึกว่าไม่มีอะไร ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ดวงจิตมันจะผ่องแผ้วสงบเย็น ในดวงจิตมันจะเข้าสู่มิติหนึ่ง อีกโลกหนี่งเป็นสภาวะที่มีความสงบที่สุด ที่เรียกว่าปิติ

ความสุขทางใจละเอียดที่สุด อันสภาวะอย่างนี้ ไม่สามารถที่จะสรรหาภาษามนุษย์ มาอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้เลย มันเป็นภาษาของจิตวิญญาณ ภาษาของโลกทิพย์ แบบรู้เองเห็นเอง เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตนเท่านั้น อันการที่ถูกเจ้าหม่องเล่นงาน อย่างสาหัสสากรรจ์ แบบข้าวไม่ให้ฉัน น้ำไม่ให้ดื่ม ในครั้งกระนั้นเอง ที่ทำให้ข้าพเจ้า ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ก็จะสมัครเข้าสำมะโนครัว ร่วมเป็นสมาชิกของยมบาล โดยไม่คาดฝัน นึกภาวนาเสมอ ทุกลมหายใจเข้าออกว่า ตาย ตาย อันกลอุบายนี้เอง ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้ไต่เต้า เข้าถึงกระแสวิญญาณ ของพวกโอปาติกะตลอดลอดได้ ลอดเข้าถึงด่านของทวยเทพเทวา คือ พระวิญญาณของพระสุพรรณกัลยา ตลอดได้สัมผัสกับสรรพวิญญาณต่างๆ ดังที่จะพรรณาต่อไป

การทำความเพียรทางใจคราวนี้ เราเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตายเป็นตาย ข้าวไม่กิน น้ำไม่ดื่ม ก็จะฉันจะดื่มได้อย่างไร เพราะไม่มีจะดื่มจะฉัน อันหนทางที่เราจะเข้าสู่โลกวิญญาณนั้น เรากรุยไว้แล้ว รู้แล้วว่าต้องไปทางไหน ที่รู้ทางใจ ดังในระยะที่กล่าวไว้นั่นเอง ก็คือไปกับลม เที่ยวโลกวิญญาณด้วยลม หายใจให้สติคือผู้รู้ รู้ตัว จ้องลมที่เข้าๆ ออกๆ เมื่อมันละเอียดเข้าจริงๆ มันก็หลุดเข้าไปสู่สภาวะอันโล่งแจ้ง เห็นเป็นแสงสว่าง เหมือนแก้วลูกโต โตเอามากๆ แล้วลูกแก้วนั้นก็เล็กลงๆ เล็กลง แล้วโตขึ้นๆ อีก เห็นเป็นแสงสว่างจ้า เหมือนแก้วลูกโตๆ โตเอามากๆ แล้วลูกแก้วนั้นก็เล็กลงๆ เล็กลงแล้วก็โตขึ้นๆ อีก เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง แล้วเจ้าลูกแก้วนั้นก็ลอยเข้ามา ลอยเข้ามา มาอยู่ใกล้ๆ เฉพาะหน้า แล้วก็มาห่อหุ้มเอาตัวเราไว้

อันลูกแก้วนั้นเรามีเอาไว้แล้ว ถือติดตัวไปเพื่อเพ่งกสิณ เพื่อจูงใจไปไหนเอาไปด้วย เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้มันอยู่ ลูกแก้วลูกนี้ เราได้มาแต่ประเทศยูโกสลาเวีย ขอซื้อจากหมอดูทางลูกแก้ว และเราก็ได้เห็นอะไรๆ หลายๆ เรื่องกับลูกแก้วลูกนี้เอง ในขณะที่เข้าไปอยู่ในลูกแก้ว เป็นเกราะหุ้มไว้ ตัวเราอยู่ข้างใน แล้วมองออกไปข้างนอก จะเห็นฉากต่างๆ อะไรสลับซับซ้อน และเห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม บางฉากก็เห็นปราสาทราชมณเฑียรมีวัดเวียงวัง เจดีย์วิหารดูตระการตาน่าชม และบางฉาก ก็เห็นฝูงชนจำนวนมาก เดินไปมาขวักไขว่ ในจำนวนผู้คนเหล่านั้น ทุกคนรู้สึกว่า เขาจะมีแต่ความสุขสันต์กัน เพราะแต่ละคน มีแต่ความยิ้มความแย้ม หรรษาร่าเริงเบิกบาน มีหน้าตาสวยงาม ผิวพรรณผุดผ่องยิ้มย่อง ประดับประดาด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หลากสี สวยสดงดงามมาก ...

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว