รวม 'วาทะ' บุคคลสำคัญพระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา)
พระยามานวราชเสวีภาษีมรดกต้อง “ยุติธรรม"“ร่างพระราชบัญญัติอากรมฤดก นอกจากตัวหนังสือแล้วยังต้องมีวิธีปฏิบัติการในเรื่องค่าใช้จ่ายและรายได้… ถ้าได้ออกกฎหมายแล้ว เราต้องให้ยุตติธรรมและให้สมควร เราต้องเก็บให้เหมือนๆ กัน ต้องรักษาความเที่ยงธรรมว่าอย่างไรควรและไม่ควร ที่จริงร่างพระราชบัญญัติอากรมฤดกนี้บางคนเห็นว่าน่ากลัว คนที่มีเงินตั้งแต่ล้านบาทขึ้นไปควรเก็บให้มาก เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ขอจงไว้ใจให้ทำ แต่ถ้ามีโอกาสก็จะพยายามที่จะทำให้เร็วที่สุด เพราะคนที่มีเงินตั้งล้านที่แก่แล้วมีหลายคน ถ้ารอช้าเราก็จะขาดเงินไป” |
พระยามานวราชเสวี
คำอภิปรายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ ๕๐/๒๔๗๕
วันศุกร์ที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๕*
* เวลานั้นนับปีใหม่ในเดือนเมษายน ในที่นี้หากนับตามปัจจุบันจะเป็นปี ๒๔๗๖ – หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในเดือนมิถุนายน ๒๔๗๕
(จากศิลปวัฒนธรรม ฉบับ กันยายน ๒๕๕๘) หม่อมคัทริน พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์พระโอรส
และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
ประเพณีมี “หลายเมีย” ของชายไทย “…ประเพณีหลายเมียซึ่งเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจมากนั้น เป็นที่ประพฤติปฏิบัติกันอย่างกว้างขวางในสังคมไทย ผู้ชายบางคนมีเมียถึงสิบคน บางคนก็มากกว่านี้ คนหนึ่งเป็นเมียหลวงส่วนที่เหลือก็เป็นเสมือนข้าช่วงใช้ในบ้าน…”
ข้อความตอนหนึ่งในจดหมายที่หม่อมคัทริน นามเดิมว่า เอกาเทรินา อิวาโนวา เดสนิตสกี หรือที่เรียกกันเป็นสามัญว่า แคทยา ชายาชาวรัสเซียในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เขียนถึงพี่ชายคนเดียวที่อยู่ในรัสเซีย |
คัดจากตอนหนึ่งของหนังสือ วาทะเจ้านาย เล่าประวัติศาสตร์ โดย ศันสนี วีระศิลป์ชัย
(จากศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่วันพุธที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๙) ติช นัท ฮันห์ (
Thich Nhat Hanh) พระสงฆ์ชาวเวียดนาม
สันติวิธีแบบ-ติช นัท ฮันห์“ถึงต้องตายก็ไม่ยอมใช้ความรุนแรงโต้ตอบ”ทหารผ่านศึกรายหนึ่งตั้งคำถามต่อ ติช นัท ฮันห์ พระสงฆ์นิกายเซนจากเวียดนามผู้ปฏิเสธการใช้กำลังโดยสิ้นเชิง ว่า “คุณจะทำยังไงหากมีคนต้องการฆ่าชาวพุทธจนหมดโลกและเหลือคุณเป็นคนสุดท้าย คุณจะไม่พยายามฆ่าคนที่ต้องการจะฆ่าคุณ ซึ่งจะเป็นการช่วยรักษาพุทธศาสนาไว้ด้วยหรอกหรือ” ติช นัท ฮันห์ ได้ตอบกลับไปว่า “อาตมาคงยอมให้เขาฆ่าให้ตายดีกว่า หากพุทธะและธรรมะคือสัจจธรรมอันเที่ยงแท้ย่อมไม่มีวันสูญสลายไปจากโลก แต่จะกลับคืนมา เมื่อผู้คนพร้อมที่จะแสวงหาสัจจธรรม ให้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง การฆ่าย่อมเป็นการทรยศและทอดทิ้งต่อทุกคำสอนของอาตมา ซึ่งอาตมาขอเลือกที่จะปกป้องมันเอาไว้ ดังนั้นมันคงดีกว่าที่จะให้เขาฆ่าอาตมาเสีย โดยที่อาตมาจะขอยึดมั่นต่อจิตวิญญาณแห่งธรรมะต่อไป” (จากหนังสือ 50 Ideas You Really Need to Know โดย Peter Stanford) |
(จากศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่วันวันอาทิตย์ที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๙)บรรยากาศตลาดสด และเขียงหมูในเยาวราชเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๐
จอมพล ป. เจ็บใจตรุษจีนทีไร เจ๊กขายหมู และร้านขายกับข้าว พากันปิดร้านหมด“—รู้สึกเจ็บใจที่ถึงตรุษจีนทีไร เจ๊กปิดร้านขายของหมด หมูก็ไม่มีกินกับข้าวก็ไม่มีขาย เป็นเพราะคนไทยชอบแต่สบาย ทำราชการ ไม่รู้จักหัดทำมาค้าขายกับเขาบ้าง—” เป็นคำให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสภาพของสังคมในสมัยนั้น ว่าการค้าขายแทบทั้งหมดอยู่ในมือของชาวจีนเกือบทั้งสิ้น
ดังนั้น เมื่อถึงเทศกาลอันเป็นประเพณีสำคัญของชาวจีน ร้านค้าของชาวจีนทั้งหมดจะหยุดดำเนินกิจการ เป็นเหตุให้เกิดความลำบากโดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน*
และในอีกทางหนึ่งก็เป็นการแสดงความกังวลที่กิจการหลายๆ อย่างในเมืองไทยตกอยู่ในมือของคนจีน ซึ่งขณะนั้นสำนึกความเป็นไทยในหมู่คนจีนอพยพยังไม่มีเหมือนในปัจจุบัน |
(จากศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๑) พล.อ.สุจินดา คราประยูร
“…ผมจำเป็นต้องเสียสัตย์…”“…ผมจำเป็นต้องเสียสัตย์ที่เคยกล่าวไว้ว่า ‘จะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี’ ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุผลเดียวว่า เพราะความเป็นทหารที่เรามีคติประจำใจว่า เรายอมเสียสละได้แม้ชีวิตเพื่อประเทศชาติ เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดความจำเป็น ที่เราจะต้องทำงานเพื่อประเทศชาติ เพราะฉะนั้นการเสียชื่อเสียง เสียสัจจะวาจาก็อาจจะเป็นความจำเป็น…”
พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสาเหตุที่จำเป็นต้องยอมผิดคำพูด นำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่ ก่อนลงเอยด้วยการเสียเลือดเสียเนื้อของประชาชนจนถูกขนานนามเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “พฤษภาทมิฬ” |
(จากศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่วันอังคารที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๙) วัดไชยวัฒนาราม พระนครศรีอยุธยา
ฝรั่งมองไทยการสืบสันตติวงศ์ของกษัตริย์สมัยอยุธยา “แปลกประหลาด”“กฎหมายและธรรมเนียมของประเทศนี้ ได้กำหนดการสืบสันตติวงศ์ไว้อย่างแปลกประหลาด แต่ทว่าก็เป็นการกำหนดตายตัว คือเมื่อพระมหากษัตริย์สิ้นพระชนม์ลง พระอนุชารองลงมาของพระองค์จะได้รับราชสมบัติแต่ถ้าพระองค์ไม่มีพระอนุชา พระราชโอรสพระองค์ใหญ่จึงจะได้ราชสมบัติ เมื่อราชสมบัติตกแก่ราชโอรสเช่นนี้ พระอนุชาองค์ถัดๆไปก็จะได้สืบสันตติวงศ์ จนสิ้นจำนวนพระอนุชานั้น พระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในข่ายที่จะได้ราชสมบัติโดยเด็ดขาด ด้วยการ สืบสันตติวงศ์เช่นนี้ สายของกษัตริย์องค์ปฐมจะสุดสิ้นไปนั้นเป็นการยาก
แต่กฎการสืบสันตติวงศ์นี้ มีการปฏิบัติให้เป็นไปอย่างเฉียบขาดไม่บ่อยครั้งนัก เจ้านายซึ่งได้ราชสมบัติมักจะเป็นเจ้านายที่มี อำนาจมากที่สุด หรือมิฉะนั้นก็เป็นเจ้านายที่กษัตริย์องค์ก่อนทรงโปรดปราน ตัวอย่างจะเห็นได้จากพระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบัน (พระเจ้าปราสาททอง) พระองค์ได้ทรงประหารรัชทายาทที่ชอบธรรมและเจ้านายอื่นๆ รวมทั้งข้าราชบริพารเป็นอันมาก ทั้งนี้ เพื่อจะไม่ให้มีเจ้านายคนใดขัดขวางการขึ้นครองประเทศของพระองค์ และเพื่อที่พระองค์จะได้ทรงมอบราชบัลลังก์ให้แด่ พระอนุชาหรือพระโอรสต่อไปโดยปราศจากการคัดค้าน” |
(จากศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่ วันพุธที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๙)ฝรั่งยกย่อง “พระเจ้าตาก”ทรงพระปรีชา ไม่กลัวเสื่อมพระราชอำนาจเพียงเพราะการออกพบราษฎร“…บรรดาคนทั้งหลายเรียกพระเจ้าตากว่าพระเจ้าแผ่นดินแต่พระเจ้าตากเองว่าเป็นแต่เพียงผู้รักษากรุงเท่านั้น พระเจ้าตาก หาได้ทรงประพฤติเหมือนอย่างพระเจ้าแผ่นดินก่อนๆ ไม่ และในธรรมเนียมของเจ้าแผ่นดินฝ่ายทิศตะวันออกที่ไม่เสด็จออก ให้ราษฎรเห็นพระองค์ ด้วยกลัวจะเสื่อมเสียพระเกียรติยศนั้น พระเจ้าตากไม่ทรงเห็นชอบด้วยเลย
พระเจ้าตากทรงพระปรีชาสามารถยิ่งกว่าคนธรรมดา เพราะฉะนั้นจึงไม่ทรงเกรงว่าถ้าเสด็จออกให้ราษฎรพลเมืองเห็นพระองค์ และถ้าจะทรงมีรับสั่งด้วยแล้ว จะทำให้เสียพระราชอำนาจลงแต่อย่างใด พระองค์มีพระประสงค์จะทอดพระเนตรการทั้งปวงด้วย พระเนตรของพระองค์เองทั้งสิ้น พระองค์ทรงทนทานแก่ความเหน็ดเหนื่อย ทั้งทรงกล้าหาญและพระปัญญาก็เฉียบแหลม มีพระนิสัยกล้าได้กล้าเสียและพระทัยเร็ว ถ้าจะว่าก็เป็นทหารอันกล้าหาญคน ๑ ตั้งแต่ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ได้เสด็จ ยกทัพไปปราบเมืองนครศรีธรรมราช และเมือไทรบุรีก็มายอมอ่อนน้อมสวามิภักดิ์ต่อพระองค์แล้ว เมื่อเร็วๆนี้พระเจ้าตากได้เสด็จ ไปตีเมืองคันเคาและเมืองป่าสักมาได้ และทางฝ่ายเขมรนั้นไม่มีใครคิดสู้พระองค์เลย…”
คัดมาจาก จดหมายเหตุมองเซนเยอร์เลอบอง ถึงผู้อำนวยการคณะการต่างประเทศ ลงวันที่ ๑ เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๗๗๒ (พ.ศ.๒๓๑๕) ในประชุมพงศาวดาร เล่มที่ ๒๓ จดหมายเหตุคณะบาทหลวงฝรั่งเศสในแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศ กรุงธนบุรี และ กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น |
(จากศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่วันพฤหัสบดีที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๙) ลายเส้นรูปพระสงฆ์สมัยอยุธยา จากบันทึกของนิโกลาส์ แชร์เวส นิโกลาส์ แชร์เวส
ชาวฝรั่งเศสผู้อยู่ในคณะทูตของเชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์
พระภิกษุทำตัว “ประดุจโคกระบือ”จึงต้องตรากฎหมายควบคุมสงฆ์“…พระภิกษุทุกวันนี้บวชเข้ามามิได้กระทำตามพระวินัย ปรนนิบัติเห็นแต่จะเลี้ยงชีวิตผิดธรรม ให้มีแต่เนื้อหนังบริบรรณ ประดุจโคกระบือ มีแต่จะบริโภคอาหารให้จำเริญเนื้อหนัง จะได้จำเริญสติปัญญานั้นหามิได้…”
พระราชปรารภในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ตำนานคณะสงฆ์ ในประชุมพระนิพนธ์เกี่ยวกับตำนานพระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ : รุ่งเรืองธรรม, ๒๕๑๔) |
(จากศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่วันพฤหัสบดีที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๙)พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าไชเชษฐาธิราช หน้าพระธาตุหลวง นครเวียงจันทน์
เจ้าอนุวงศ์ตีกรุงเทพฯ หวังได้อังกฤษกวนสยาม“… เรา(เจ้าอนุวงศ์) ได้ยินข่าวทัพเรืออังกฤษก็มารบกวนปากน้ำ…น่าที่เราจะยกกองทัพใหญ่ไปตีกรุงเทพฯ ก็เห็น ได้โดยง่ายเพราะเราจะเป็นทัพกระหนาบ ทัพอังกฤษเป็นทัพหน้าอยู่ปากน้ำ ไทยก็จะพว้าพวังทั้งข้างหน้าข้างหลัง คงจะเสียทีเราเป็นมั่นคงไม่สงสัย…”
คัดจากบทความ ทำไมเจ้าอนุวงศ์จึงต้องปราชัย โดย สุวิทย์ ธีรศาศวัต ภาควิชาประวัติศาสตร์และโบราณคดี คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ กันยายน ๒๕๔๙ ในส่วนที่อ้างถึง จดหมายเหตุ ร.๓ จ.ศ.๑๑๘๗ เลขที่ ๕/ข |
(จากศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่วันพฤหัสบดีที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๙) ภาพวาดของเชวาลิเอร์ เดอะ ฟอร์บังในเครื่องแต่งกายแบบขุนนางสยาม มาจากหนังสือ
บันทึกความทรงจำของฟอร์บังตีพิมพ์ในอัมส์เตอร์ดัมเมื่อปี ค.ศ.๑๗๒๙ (พ.ศ.๒๒๗๒)
ขุนนางฝรั่งเศสชี้“คนไทยปัญญาทึบ เชื่อฟังแต่บิดา” เลยไม่รับคริสต์ศาสนา“…ผู้หญิงไทยเป็นหญิงบริสุทธิ์ ผู้ชายไม่ดุร้าย และเด็กก็เชื่อฟังบิดาเพราะเหตุฉะนั้น ไม่มีหวังเลยที่จะเปลี่ยนใจคนไทย ให้มาเลื่อมใสคริสต์ศาสนาได้ นอกจากคนไทยมีปัญญาทึบเกินที่จะสอนให้เข้าใจความลึกลับของคริสต์ศาสนาแล้ว เขายังมีความเห็นว่า ธรรมจรรยาของเขาเลิศกว่าของเรามาก เขาหานับถือผู้สั่งสอนศาสนาของเราไม่ เพราะว่า ผู้สั่งสอนศาสนาไม่เคร่งครัดเท่าพระภิกษุสงฆ์…”
คัดจากบางส่วนของ “จดหมายเหตุฟอร์บัง” แปลโดย หม่อมเจ้าดำรัสดำรง เทวกุล จดหมายเหตุฉบับนี้เป็นบันทึกประวัติและเรื่องราวของเชวาลิเอร์ เดอะ ฟอร์บัง นายเรือโท ชาวฝรั่งเศสซึ่งเข้ามา ยังกรุงศรีอยุธยาพร้อมคณะทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เมื่อคณะทูตเดินทางกลับ พระนารายณ์ได้ตรัสขอฟอร์บัง ไว้ช่วยราชการ ภายหลังจึงได้เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่มีบรรดาศักดิ์เป็นออกพระศักดิสงคราม |
(จากศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่วันอังคารที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๙)