[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน => ข้อความที่เริ่มโดย: sometime ที่ 03 เมษายน 2553 11:55:09



หัวข้อ: dharma at the hand episode 1
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 03 เมษายน 2553 11:55:09
(http://img130.imageshack.us/img130/7715/img00331.jpg)

http://www.fungdham.com/download/song/allhits/18.wma

ถาม..........................คนที่ทำสมาธิไม่เป็น


จะถือว่าขาดสัมมาสมาธิในการภาวนาหรือเปล่าครับสัมมาสมาธิ ทำหน้าที่อะไร
เบื้องต้นที่หลวงพ่อบอก ต้องมีสัมมาสมาธิ มีใจตั้งมั่นอันนี้เรียกสัมมาสมาธิแบบอนุโลมเอาหรอกนะ ยังไม่ใช่ของจริงหรอก
ใจตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู นี้เรียกสัมมาสมาธิปลอมๆไปก่อนเพื่อให้แยกให้ออก ระหว่างจิตใจที่ตั้งมั่น กับจิตใจที่ไหลไปแช่ในอารมณ์เท่านั้น


...........................ส่วนสัมมาสมาธิแท้ ๆ จะเกิดในขณะที่จะเกิดอริยมรรค......................


จิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิเลย สัมมาสมาธิจะทำหน้าที่เป็นที่ประชุม
หรือเป็นภาชนะที่รองรับองค์มรรคทั้ง 7 ตัวที่เหลือรวมความแล้วก็คือเป็นตัวที่รวมพลังขององค์มรรคที่เหลือทั้งหมด เข้ามาเป็นหนึ่ง
รวมพลังเข้าด้วยกัน คล้ายๆหนังจีนนะ ใครเคยดูเรื่องโป๊ยเซียนบ้างโป๊ยเซียนมี  8 ท่าน องค์เดียว สององค์เนี่ย สู้ปีศาจไม่ไหวใช่ไหม
ถ้ารวม 8 องค์ แล้วถึงจะมีพลังมาก สู้ปีศาจได้ มรรคนี่ก็เหมือนกันนะถ้ามีเป็นตัว ๆนะ ไม่ประชุมเข้าด้วยกัน รวมพลังเป็นอันเดียวกันนะ
ไม่มีพลังที่จะทำลายล้างสังโยชน์ได้พราะฉะนั้น สังโยชน์มันคือปีศาจตัวฉกาจฉกรรจ์นะ สู้ยาก สู้ยาก
พวกเราส่วนใหญ่ยังมองไม่เคยเห็นสังโยชน์ด้วยซ้ำไปนะ
บางคนเริ่มเห็น เห็นเงานิดๆหน่อย ๆเช่น บางทีก็มีความรู้สึกมีตัวเราผุดขึ้นมา เริ่มเห็นนี่เห็นเงาของสังโยชน์แล้วนะ สังโยชน์ตัวแรกเลย สักกายทิฏฐิ เริ่มเห็นเงาของมันพอสัมมาสมาธิเกิดขึ้น มันจะประชุม จะรวมพลังของธรรมะฝ่ายดีทั้งหลายเข้าด้วยกัน
ความจริงไม่เฉพาะมรรค 7 ตัว ที่เหลือหรอก จะรวมพลังของโพธิปักขิยธรรมธรรมะฝ่ายที่เป็นกุศลสามสิบกว่าตัวเข้าด้วยกัน
คราวนี้รวมพลังมาแล้ว ก็จะชนะมารได้แล้วถ้าเดี่ยว ๆ สู้ไม่ได้หรอก ตัว สองตัว สู้ไม่ได้หรอก...........................................


หัวข้อ: Re: dharma at the hand episode 1
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 03 เมษายน 2553 11:59:29
(http://img130.imageshack.us/img130/7715/img00331.jpg)


อย่างใครบอกถือศีลจะสู้มารได้ไหม สู้ไม่ได้มีแต่สมาธิจะสู้มารไหวไหม สู้ไม่ได้มีแต่ปัญญาอย่างเดียวจะสู้มารได้ไหม สู้ไม่ได้ สู้ไม่ได้หรอก


.............................ต้องประชุมลงในขณะจิตเดียว ในที่เดียวกันเลย..........................


...............................คือในที่ใด ในที่จิตนั้นเอง ไม่ได้ไปประชุมที่อื่น.....................................


ไม่ได้ไปประชุมที่ศูนย์สิริกิติ์นะ ไม่ได้ประชุมที่โน่นที่นี่ หอประชุมโน้นประชุมนี้แต่ประชุมลงที่จิตนี่แหละ พลังของมรรคก็จะรวมตัวกันขึ้นมาก่อนที่พลังของมรรคจะเกิดเต็มบริบูรณ์ มันจะทบทวน เดินปัญญาขั้นสุดท้ายก่อนมันจะเห็นสภาวธรรมเกิดดับขึ้นมา 2 ขณะบ้าง 3 ขณะบ้างบางคนเห็น 2 ครั้งก็ตัด บางคนต้องเห็น 3 ครั้ง พวกนี้พวกล่าช้าพวกช้าต้องเห็น 3 ขณะพวกรวดเร็วก็เห็น 2 ขณะถามว่ามีนัยยะแตกต่างไหม ไม่มีนะเทียบกับเวลาแล้ว แวบเดียวเหมือน ๆกันนั่นแหละแทบไม่ต่างกันเลย จิตมันไหวขึ้นมา 3 ขณะเท่านั้น


หัวข้อ: Re: dharma at the hand episode 1
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 03 เมษายน 2553 12:05:11
(http://img130.imageshack.us/img130/7715/img00331.jpg)


........พอเห็นนะองค์ธรรมสำคัญในขณะนั้นเรียกว่า ขันติ นี่ตัวนี้สำคัญนะ ต้องฝึกนะ มีขันติ.........


...................................องค์ธรรมในอนุโลมญาณเนี่ยคือขันติ............................


........................................ขันติจะเป็นกลาง มันอดทนต่อสิ่งเร้า.....................................

มีสภาวะบางสิ่งเกิดขึ้น มันไม่รู้ว่าอะไรนะมีสภาวะเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าคืออะไรใช่ไหม
เพราะอะไร เพราะไม่มีสมมติบัญญัติเห็นสภาวะเกิด ใจเป็นกลาง ใจมีขันติ อดทนต่อสิ่งยั่วถ้าเป็นอย่างครูบาป๋องนะ พอไปเห็นปุ๊บ
เอ๊ะ.....................มันคืออะไรนะ? ต้องสงสัยไว้ ก่อนเพราะชอบสงสัยนะ สะสมนิสัยสงสัยต้องเพิ่มขันติ อดทนต่อความสงสัยถ้าทนได้นะใจไม่ดีดดิ้นออกไปอีกมันจะวางสภาวะ แล้วก็ทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้พวกเราเคยเห็นจิตที่วิ่งไปวิ่งมาหรือยัง เคยเห็นแล้วใช่ไหมคนเรียนสักพักหนึ่งก็เห็นหรอก จิตวิ่งไปวิ่งมามันทิ้งสภาวะแล้วมันจะทวนเข้าหาธาตุรู้ พอมันทวนเข้าถึงธาตุรู้เนี่ยตรงนี้แหละอริยมรรคจะรวมพลังกันแล้วตัดสังโยชน์ขาดเลย
ตัดอาสวะลงไปชั่วขณะนะ สังโยชน์ถูกทำลายล้างลงเป็นลำดับ ๆ ไปเสร็จแล้วอริยผลจะเกิดขึ้น 2 ขณะบ้าง 3 ขณะบ้าง ตรงนี้เห็นนิพพาน
จะเห็นนิพพานแจ่มแจ้ง ตรงที่เกิดอริยมรรคนี่ก็เข้าไปเห็นนิพพานแล้วแต่ยังไม่ได้แจ่มแจ้ง เพราะยังมีงานต้องทำอยู่ฉะนั้นในขณะที่อริยมรรคเกิด เรียกว่า โลกุตตรกุศลตรงที่อริยผลเกิด เรียกว่า โลกุตตรวิบาก เป็นวิบากไม่ทำงานแล้ว เลิกทำงานแล้ว หมดงานแล้ว เข้าไปเสวยผล ได้รับผล
แต่รับผลแล้วจะนิ่งนอนใจอยู่นาน ๆไหม ไม่นิ่งนอนใจนะ


หัวข้อ: Re: dharma at the hand episode 1
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 03 เมษายน 2553 12:11:27
(http://img130.imageshack.us/img130/7715/img00331.jpg)


เข้าไปสัมผัสนิพพาน 2 ขณะบ้าง 3 ขณะบ้างก็เลิกแล้ว พอแล้วถอยออกมานะ จิตจะถอนจากอัปปนาสมาธิหมดกระบวนการของอริยมรรคตรงนี้แหละพอถอนออกมา กลับมาสู่กามาวจรภูมินี่ จิตจะทวนกลับเข้าไปเลย
ทวนกลับเข้าไปพิจารณาใหม่ว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นบางคนก็ทวนเข้าไป เอ....................อะไรหว่า ?
รู้สึกแต่ว่ากิเลสหายไปแล้ว ดูไม่ทัน ดูแต่ละขณะ ๆไม่ทันคนไหนที่เล่นฌานจนชำนิชำนาญนะ จะเห็นสภาวะได้ประณีต
จะเห็นเป็น ช็อต ช็อต ช็อต ช็อต เนี่ย 7 ขณะ เนี่ยเห็นอย่างนี้ถ้าคนไหนศึกษามาในทางวิปัสสนายานิก ไม่ได้ทรงฌานเลยนะ
ดู ๆ ๆ ๆเอาอย่างนี้ ส่วนมากขาดไปปุ๊บ ถอยออกมา รู้แต่ว่ากิเลสมันหายไปแล้วนะแต่ไม่เห็นกระบวนหรอก ไม่เห็นกระบวนท่า มี 7 กระบวนท่านะ
ท่าที่ 1 นี่ พึ่บ ท่าที่ 2 อย่างนี้นะ 1 2 3 นะ
ท่าที่ 2 อย่างนี้นะ ท่าที่ 3 เนี่ยต้องแหวกออกนะถ้าจิตไม่ได้ทรงฌานนะ ไม่ชำนาญจะไม่เห็นสภาวะละเอียด
คล้าย ๆ คนตกต้นไม้ พอหลุดจากยอดไม้ก็ถึงพื้นตุ้บเลยดูไม่ออก แต่กิเลสเนี่ยหายไปแล้วเพราะฉะนั้น ถ้าคนไหนภาวนาแล้ววูบ ๆวาบ ๆไปแล้วก็คิดว่าใช่นะ อย่าเพิ่งเชื่อให้มาทดสอบตัวเองด้วยกิเลสก่อน ค่อยๆสังเกตไปกิเลสอะไรยังเหลืออยู่ กิเลสอะไรหมดไปแล้ว ค่อยดูไปเรื่อย ๆ นะ
ถ้าไม่เข้าข้างตัวเอง มีสติ มีปัญญา ช่างสังเกตไปเรื่อย วันหนึ่งก็ต้องจับได้อย่างหลวงพ่อนะ ฆาตกรรมพระโสดาบันไปเยอะแยะนะ แต่ละปีๆนี่เยอะแยะมากเลยพระโซดานั่นแหละ ไม่ใช่โสดา ฯ โสดาบันจริงหรอกนะ ยังมึนๆเมาๆอยู่วิธีจัดการก็คือ ใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งไปบอกเขาว่าไม่ใช่
คนไหนเขาคิดว่าเขาใช่ เราอย่าไปบอกเขาว่าไม่ใช่นะ เดี๋ยวเขาโมโหอีกพวกหนึ่งไม่โมโหนะ เสียใจ เสียใจล้มพังพาบเลย
ภาวนาไม่ไหวอีก ต้องใจเย็น ๆ เวลาเจอเพราะฉะนั้น ใครมาถามหลวงพ่อว่า ผมเป็นพระโสดาฯ (โสดาบัน)
หรือยังอะไรอย่างนี้ ยังไม่ตอบง่ายหรอกนะพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อย่าเพิ่งอนุโมทนา แล้วก็อย่าเพิ่งคัดค้านค่อย ๆ สังเกตไปมันมีกิเลสอะไรอีกค่อยพาเจ้าตัวเขาดูนั่นแหละบางคนบอกเป็นพระโสดาฯ (โสดาบัน)แล้ว เราก็ชวนคุยโน่นคุยนี่สักพักเห็นไหม มันมีความเป็นเราขึ้นมาอีกแล้ว ถ้าเจ้าตัวเห็นนะ ก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวไม่ใช่ถ้าอย่างนี้เขาไปต่อได้ ถ้าอยู่ ๆ เราไปตราหน้าเลย ไม่ใช่หรอกเดี๋ยวมันโมโหเอา หรือว่าเสียใจไปเลยไม่รู้ว่าจะไปต่ออย่างไร
เพราะฉะนั้น.........ภาวนานะวันหนึ่งเราจะได้ธรรมะเอาแค่โสดาฯ (โสดาบัน)ก่อนนะสูงกว่านั้นแล้วค่อยว่ากันใหม่ แค่นี้ก็ปางตายแล้ว...................


หัวข้อ: Re: dharma at the hand episode 1
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 03 เมษายน 2553 12:16:00
(http://img130.imageshack.us/img130/7715/img00331.jpg)


มันยากตรงไหนล่ะ มันยากตรงที่มันฝืน มันฝืนความรู้สึกนะเราตั้งแต่เกิดมา เนี่ย เราคุ้นเคยที่จะส่งจิตออกนอก
คุ้นเคยที่จะไปดูคนอื่น ไม่คุ้นเคยที่จะดูตัวเองคุ้นเคยที่จะหลงอยู่ในโลกของความคิด ไม่เคยคุ้นเคยที่จะรู้สึกตัว
คุ้นเคยที่จะออกนอกตลอดเวลาแล้วพอลงมือปฏิบัติก็คุ้นเคยที่จะบังคับ เพ่งกายเพ่งใจเรียกว่าคุ้นกับ อัตตกิลมถานุ โยค
ไม่คุ้นกับการรู้ ไม่คุ้นกับการรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงพอไปรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง มันก็ฝืนใจอีกนะฝืนใจอีกเพราะว่า มันเสียดาย มันเคยมีตัวเรา ตัวเราหายไปนี่ไป ๆ มา ๆ ไม่ได้สู้กับคนอื่นเลย สู้กับตัวเองทั้งสิ้นเลยเพราะฉะนั้น การภาวนาไม่ต้องแข่งกับคนอื่น
มีเพื่อนภาวนาแล้วทำให้คึกคักนะ แต่อย่าแข่งกับเพื่อนเลยคนไหนคิดจะแข่งกับคนอื่น ไปไม่รอดหรอก เพราะว่ามันกิเลสทั้งนั้นเลย
ภาวนาเราก็สู้กับความหลงผิดของตัวเอง มันหลงผิดนะมันต้องค่อย ๆ ศึกษาไป จนจิตมันทวนกระแสทวนกระแสของโลกนะ โลกมันมีแต่ไหลออกไปข้างนอกเราทวนกระแส เราย้อนกลับเข้ามารู้กายรู้ใจตัวเองโลกมันชอบพาไปดูอย่างอื่น เราก็จะมาดูกายดูใจตัวเองโลกมันชอบลากไปอดีต ลากไปอนาคต เราจะอยู่กับปัจจุบัน รู้ปัจจุบันนี่มันฝืนทั้งสิ้นเลย ถ้าฝืนใจ จงใจฝืน ก็ไม่ใช่อีกแล้ว ใช่ไหม ไม่ใช่การรู้มันคล้าย ๆเป็นช่องทางเล็ก ๆ ที่เราต้องค่อย ๆ คลำหลวงพ่อเทียนท่านบอก เหมือนอยู่ในห้องมืดค่อยคลำไปนะคลำ ๆ ถ้าอยู่ในห้องมืดแล้วอยากพ้นจากห้องแล้วก็นั่งเข้าสมาธิ วันหนึ่งคงหลุดออกจากห้องหลุดนั่นแหละ นั่งนานๆ ตาย เขาก็มาหามเอาไปเผานะแต่ถ้าเราไม่นิ่งนอนใจ ใจมันจะสำรวจไปเรื่อย จะลองผิดลองถูก
ลองผิดลองถูก วิธีลองผิดลองถูก ก็ต้องลองให้ถูกหลักไม่ใช่ไปลองมั่วซั่วนะลองผิดลองถูกก็คือหัดเจริญสติไปเรื่อยเลย
เดี๋ยวมันก็มากไป เดี๋ยวมันก็น้อยไป เดี๋ยวก็หนักไป เดี๋ยวก็เบาไปเดี๋ยวก็ขยันเกินไป เดี๋ยวก็ขี้เกียจเกินไป เนี่ยคอยสังเกตใจเราไปเรื่อยจนมันพอดี ๆ มันพอดีตรงไหน เหมือนเราคลำ ๆ ไปเจอลูกบิดหรือเจอกลอนประตูเข้าแล้วไขแกร๊กเดียวเอง ก็เปิดออกมาสู่ความสว่างได้แล้ว


หัวข้อ: Re: dharma at the hand episode 1
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 03 เมษายน 2553 12:24:45
(http://img130.imageshack.us/img130/7715/img00331.jpg)


ตอนนี้เราอยู่ในที่มืดนะ ยังมืดอยู่แต่ว่าบางคนก็เข้าใกล้ประตูแล้วนะจะบอกให้ เหลืออีกไม่กี่ก้าวหรอกแต่บางคนก็ยังคลำโน่น แทนที่จะคลำหาประตูนะมันคลำหาห้องใต้ดินอยู่ มีนะพวกคลำหาห้องใต้ดินเวลาภาวนารู้สึกไหม ส่งจิตไปข้างล่างลึกลงไป ไหนนะบางคนมันคลำเพดาน ส่งจิตขึ้นไป มันไม่ได้อยู่กับปัจจุบันนะอยู่กลาง ๆ ประตูมันอยู่ตรงกลาง ๆ นี่แหละแล้วมันอยู่ตรงไหน อยู่ต่อหน้าไม่ใช่อยู่ข้างซ้าย อยู่ข้างขวาหรอก อยู่ต่อหน้า
เซ่อไปหาข้างซ้ายข้างขวาเองนะ อยู่ต่อหน้าข้างซ้ายคือหลงไปทาง ตามโลกไปอยู่ข้างขวาคือ อัตตกิลมถานุโยค ข้างซ้ายเป็น กามสุขัลลิกานุโยค
ถ้าใครชอบฝ่ายขวา เราก็บอกพวกฝ่ายซ้ายนั่นเป็นกามสุขัลลิกานุโยคอะไรไม่ดีก็โทษคนอื่นไว้ก่อน
ในความเป็นจริงก็คือ อย่าหลงไปสู่ความสุดโต่ง 2 ด้านรู้อยู่กับปัจจุบัน ประตูอยู่ต่อหน้านะ
ไม่เพียงประตูหรอก ประตูนี้เป็นภาพลวงตา จะบอกให้ในความเป็นจริงนะ นิพพานอยู่ต่อหน้าไม่ใช่ว่าต้องเปิดประตูเข้าไปเห็นหรอก แต่ว่าเซ่อเอง ไม่เห็นเองนะนิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตานี่เอง แต่อะไรปิดบังไว้อาสวกิเลส หรืออวิชชานั่นแหละ ปิดบังไว้ ความไม่รู้ของเราเองเพราะฉะนั้น เราต้องพัฒนาความรู้ขึ้นมารู้อะไร รู้อริยสัจ อริยสัจข้อแรกเรียกว่าทุกข์ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือกายกับใจเพราะฉะนั้น ให้เราคอยรู้กายคอยรู้ใจตัวเองเนือง ๆ รู้ไปอย่างที่เขาเป็นรู้ซื่อ ๆ นะไม่ใช่บังคับกายบังคับใจ นี่สุดโต่งข้างบังคับไม่ใช่ลืมกายลืมใจ นี่สุดโต่งข้างตามใจกิเลส
รู้กายรู้ใจ รู้ซื่อ ๆ กายเป็นอย่างไร รู้ว่าเป็นอย่างนั้นในที่สุด เรารู้ทุกสิ่งด้วยจิตที่เป็นกลางเมื่อใดรู้ทุกสิ่งด้วยจิตที่เป็นกลาง รู้แล้วไม่ปรุงต่ออีกนิดเดียวเองนะอีกนิดเดียวเองก็จะพบมรรคผลแล้ว ไม่ยากเท่าที่คิดหรอกง่ายกว่าที่คิดนะ เพราะคิดแล้วยาก ไม่ต้องคิดมาก
มีสติรู้กายรู้ใจลงปัจจุบันไปด้วยจิตที่เป็นกลางถ้าจิตไม่เป็นกลาง รู้ทันไปฝึกอยู่อย่างนี้นะ 7 วัน 7 เดือน 7 ปี ต้องได้ผลบ้างแหละ
อาจจะไม่ถึงขั้นพระอรหันต์ พระอนาคามี เหมือนคนพุทธกาลรุ่นเราฝึกไป 7 วัน 7 เดือน 7 ปีได้พระโสดาบัน ก็บุญแล้วแหละอินทรีย์เราอ่อนนะจิตเป็นอย่างไร รู้ว่าเป็นอย่างนั้น รู้ไปอย่างนี้นะ.................................................


....................................THE END.....................................


วันที่ 8 พฤศจิกายน 2551 ตอน2


..........................................พระอาจารยปราโมทย์...................................



หัวข้อ: Re: dharma at the hand episode 1
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 03 เมษายน 2553 19:22:06

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ
(http://c.universalscraps.com/files/en/good.night/good_night_022.gif)

ตาข่ายดักฝันค่ะ