.'บาตร' หนึ่งในบริขาร ๘ สำหรับดำรงเพศบรรชิต
งานอุปสมบทภิกษุ ณ วัดธาตุหลวงใต้ เวียงจันทน์
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ตามพระใหม่ไปเรียนธรรม (๗)พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)ทีนี้เมื่อบวชเป็นเณรแล้ว ได้บรรพชาแล้ว ท่านทั้งหลายยังไม่พอใจ ยังประสงค์จะบวชให้สมบูรณ์เป็นพระภิกษุ ก็ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน เช่นว่า มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ เป็นต้น เมื่อมีคุณสมบัติพร้อมก็ถือว่ามีสิทธิ์สมัครขอบวชเป็นพระภิกษุได้ การขอบวชเป็นพระภิกษุนี้ เรียกว่าขอ "อุปสมบท" เมื่อสงฆ์ยอมรับก็เป็นอันได้อุปสมบท คือได้บวชเป็นพระภิกษุ
เป็นอันว่า การบวชในปัจจุบันนี้ แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ บวชเป็นสามเณรเรียกว่า "บรรพชา" แล้วบวชเป็นพระภิกษุเรียกว่า "อุปสมบท"
สำหรับท่านที่จะบวชพระ (บวชเป็นพระภิกษุ ด้วยการอุปสมบท) ก็ต้องผ่านการบวชเณร (บวชเป็นสามเณร ด้วยการบรรพชา) ก่อน การบวชเณรคือบรรพชา จึงเป็นขั้นตอนในเบื้องต้น จากนั้นเมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยสมบูรณ์ต่อไป
เมื่อบวชเข้ามาแล้ว ก็อยู่ในวัด มีวิถีชีวิตของพระเณร การเป็นพระเป็นเณร ก็คือการที่จะเจริญงอกงามในการเรียน อย่างที่บอกเรื่อยมาว่าบวชเรียนนั่นแหละ
ทีนี้ก็ต้องรู้ว่า ที่มาบวชแล้วจะเรียนนั้น เรียนอะไร และจะเรียนได้อย่างไร มีระบบการศึกษาเป็นอย่างไร จะได้ใครมานำพาให้เดินหน้าก้าวไปในการเรียน
พระรัตนตรัย เป็นดวงแก้วสูงค่าอย่างไร
ข้อที่ว่าจะเรียนอะไรนั้น รอสักนิด เริ่มแรก ขอให้รู้หลักที่เราจะต้องอาศัยในการที่จะเดินหน้าก้าวไปในการเรียนนั้น ที่สำคัญก็คือตัวหลักการและระบบการศึกษาของเรานั่นเอง เราจะต้องรู้เข้าใจหลักการและมองเห็นระบบของการศึกษา ที่เราจะก้าวเข้าไปใช้หรืออาศัยในการเดินหน้าพัฒนาชีวิตของตัว
ถ้าพูดสั้นๆ ก็บอกว่า การบวชเรียนนั้น เป็นการก้าวไปในการศึกษาเพื่อพัฒนาตนตามวิถีชีวิตแห่งไตรสิกขา ในระบบแห่งไตรสรณะของพระรัตนตรัย
พอพูดว่าหลักการ พูดถึงระบบ ก็ทำให้รู้สึกว่ายาก หรือชักจะงง เพราะเหมือนเป็นคำที่ดิ้นได้ ไม่ว่าไตรสิกขา หรือพระรัตนตรัย หรือไตรสรณะก็เป็นหลักทั้งนั้น และทั้ง ๓ หลักนั้นก็เป็นระบบที่ครบอยู่ในตัว แล้วไตรสิกขาก็เป็นระบบย่อยอยู่ในพระรัตนตรัย ที่เป็นระบบใหญ่ซึ่งครอบคลุม เจอคำว่าหลักตรงนี้ ระบบตรงโน้น ก็เลยจะงง
อย่างไรก็ดี ตอนนี้ไม่ต้องงง ตอนแรกฟังไว้ เดี๋ยวพอได้เรียนรู้เข้าใจความจริง และมองเห็นคุณค่า ซาบซึ้งใจ ซาบซึ้งในปัญญา พอมองเห็นทางใหญ่น้อยที่โยงกันหมดศรัทธาก็มา แล้วเกิดกำลังเรี่ยวแรงที่จะเดินไป ก็จะรู้กับตัวเองว่า พระรัตนตรัยนั้นเป็นสรณะ เป็นเครื่องนำทาง เป็นหลักยึดถือให้แก่เรา ที่จะพาเราให้เดินหน้าไปในพระพุทธศาสนา ให้ก้าวหน้าไปในไตรสิกขา เจริญงอกงามในพระธรรมวินัย เหมือนกับว่าเราจะได้โดยสารพระรัตนตรัยนำพาเราไป
พอรู้ชัดเจน และใจเอาแล้ว จะพูดคำว่าหลัก ว่าระบบ ไม่ว่าคำไหนมา มองเห็นเชื่อมโยงส่งถึงกันไปหมด ก็ไม่ยุ่งยากอะไรแล้ว
เริ่มแรกก็มารู้จักพระรัตนตรัย ที่เรานับถือเป็นสรณะ อย่างที่ได้รับเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่า "พุทธํ....ธมฺมํ....สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ" ให้พอรู้เข้าใจความหมายของพระรัตนตรัย คือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และมองเห็นเหตุผลว่าทำไมจึงนับถือพระรัตนตรัยนั้นเป็นสรณะ แล้วก็จะได้รู้ด้วยว่าเราจะอาศัยท่านนำทางพาเราไปกับท่านได้อย่างไร
ก็มาดูกันตั้งแต่ความหมายของถ้อยคำ ตอนแรก คำว่า "รัตนตรัย" ก็คือ รัตนะ 3 อย่าง รัตนะ ก็คือสิ่งที่มีค่า หรือของดีมีคุณค่าสูง ที่สุดรักสุดถนอมสุดเชิดชูนับถืออย่างยิ่ง
แก้วในที่นี้ ไม่ใช้แก้วภาชนะอย่างแก้วน้ำ แต่หมายถึงแก้วเพชรนิลจินดานี้ ที่แท้แล้วก็เป็นของมีค่าโดยสมมติ โดยเรายึดถือกัน ตกลงกันว่าสดสวยงดงามอย่างนั้นอย่างนี้ มีราคาเท่านั้นเท่านี้ แต่พอเอาเข้าจริงมันมีค่าไม่แท้ เพราะว่ามันไม่ก่อเกิดผลส่งให้แก่ชีวิตของเราอย่างแท้จริง ไม่ช่วยให้ชีวิตเจริญงอกงามได้จริง ไม่ทำให้ชีวิตประเสริฐเลิศดีขึ้นมาได้ ไม่ทำทุกข์ให้หมดสิ้นไป แม้แต่กินก็ไม่ได้
ลองดูสิ เราลงเรือไปในทะเล แล้วเกิดเรือล่มไปติดเกาะ เรามีเพชรตั้งเต็มกระสอบก็กินไม่ได้เลย สู้ข้าวจานเดียวก็ไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้น พวกเพชรนิลจินดาอะไรต่างๆ ที่ว่ามีค่าโดยสมมตินิยมกันไปเท่านั้นเอง ไม่มีค่าอะไรแท้จริงเลย สิ่งที่มีค่าแท้จริง ก็ต้องทำให้ชีวิตของเราดีงามประเสริฐขึ้นได้ ทีนี้อะไรเล่าจะมีค่าแท้จริงอย่างนั้น ข่าวสด : ๘ มิถุนายน ๒๕๕๘ตามพระใหม่ไปเรียนธรรม (๘)พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)ทีนี้ดวงแก้วทั้งสาม คือพระรัตนตรัยนี้เป็นแหล่งที่รวมของบรรดาคุณค่าความดีงาม ก็แล คุณค่าความดีงามที่สำคัญนั้นมี ๒ อย่าง คือ ปัญญา กับ ปุญญัง
ปัญญา คือความรู้เข้าใจ ปุญญัง ก็คือความดี เรียกสั้นๆ ง่ายๆ ว่าบุญ ความรู้และความดีงามนี้ เป็นสิ่งที่มีค่าแท้จริง
ดูง่ายๆ ทรัพย์สินเงินทอง จนถึงรัตนะภายนอกที่ว่ามีค่านี้เป็นภาระ เราต้องเก็บต้องถือต้องแบกต้องหาม ต้องเก็บต้องรักษา ต้องห่วงต้องกังวล แต่ทรัพย์ภายใน คือ ความรู้ความดีงามนี้ไม่ต้องหิ้วไม่ต้องถือ อยู่ในตัวเรา เราไปไหนมันก็ไปเอง ไม่ต้องห่วงไม่ต้องหวง แล้วทรัพย์สินเงินทองของมีค่าข้างนอกนั้น โจรลักได้ แต่ความรู้ความดีงามนี้ไม่มีใครลักไปได้ ยิ่งกว่านั้น ทรัพย์ภายนอกยิ่งใช้ยิ่งหมดยิ่งใช้ยิ่งเปลือง มีแสนหนึ่งใช้ห้าหมื่นเหลือห้าหมื่น ใช้อีกสองหมื่นห้าเหลือสองหมื่นห้า ใช้ไปใช้มาเหลือศูนย์ คือหมด แต่ทรัพย์ภายใน คือความรู้และความดีงามนี้ใช้เท่าไรก็ไม่หมด แต่ยิ่งใช้ก็ยิ่งเพิ่ม
ความรู้นั้น เราใช้มัน เอาไปสอนเอาไปบอกคนอื่น เราก็ยิ่งรู้ชัด ยิ่งชำนาญยิ่งแจ่มแจ้งมากขึ้น ความดีงามก็เหมือนกัน เราทำอีกเมื่อไรความดีงามนั้นก็ยิ่งมากขึ้น ชีวิตของเราก็ยิ่งดีขึ้น เป็นอันว่าสิ่งมีค่าแท้จริงคือทรัพย์ภายในนี้ใช้ไม่หมดยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม
แล้วข้อสำคัญที่สุดก็คือ ทรัพย์ภายนอกทำชีวิตของเราให้ดีงามประเสริฐไม่ได้ และทำให้เรามีความสุขแท้จริงก็ไม่ได้ ส่วนปัญญาคือความรู้และปุญญังคือความดีงาม บุญกุศล ทำให้เรามีชีวิตดีงามประเสริฐแท้จริง จนในที่สุดพ้นจากทุกข์ได้จริงด้วย
เพราะฉะนั้น คนที่ฉลาดจริงอยู่ที่ทรัพย์ภายในซึ่งเป็นเนื้อเป็นตัวแท้ๆ ของชีวิตอย่างที่ว่าแล้วคือจะต้องสร้างเสริมสะสมทรัพย์ภายใน ต้องเอาจริงเอาจังตรงนี้
บอกแล้วว่า ถึงจะมีทรัพย์ภายนอกมากมายเท่าไรก็ไม่มั่นคงและไม่ใช่ของแท้ ถ้าไม่มีทรัพย์ภายใน ไม่มีความรู้ ไม่มีความดี ทรัพย์ภายนอกนั้นยิ่งใช้ยิ่งหมดไป ที่มีอยู่ก็ใช้หมดหายหมด ที่ไม่มีก็หาเพิ่มไม่ได้ เพราะไม่มีความดี ไม่มีปัญญาที่จะสร้างจะหาทรัพย์นั้น
ตรงข้ามกับคนที่มีทรัพย์ภายใน มีปัญญามีความรู้และมีความดี เช่นมีความขยันหมั่นเพียร ทรัพย์ภายนอกที่มีอยู่แล้วก็รักษาไว้ได้ และทำให้เพิ่มขึ้นด้วย ทรัพย์ภายนอกที่ยังไม่มี ก็ทำให้มีขึ้นได้ ทรัพย์ภายนอกหมดหรือหายไป ก็สร้างขึ้นใหม่ได้อีก
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ปัญญาประเสริฐกว่าทรัพย์" คนมีปัญญาถึงไม่มีทรัพย์ก็หาทรัพย์ได้ ทรัพย์ที่มีอยู่ก็ทำให้เพิ่มขึ้นได้ และรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่คนมีทรัพย์ ไม่มีปัญญา แม้แต่ทรัพย์ที่มีอยู่แล้ว ก็รักษาไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทรัพย์ภายในจึงสำคัญที่สุด
ทรัพย์ที่มีค่าที่สุด เรียกว่ารัตนะ และทรัพย์ภายในที่มีค่าที่สูงสุด ก็คือรัตนะ ๓ ที่เรียกว่าพระรัตนตรัยนี่แหละ เพราะเป็นทั้งทรัพย์ภายในที่มีค่า และเป็นแหล่งที่รวมไว้เป็นที่อำนวยให้ซึ่งปวงทรัพย์ภายใน ทั้งปุญญัง และปัญญา
พระรัตนตรัยเป็นแหล่งรวมไว้และอำนวยให้ ทั้งปุญญังและปัญญาอย่างไรก็ค่อยๆ ดู ค่อยๆ ว่ากันต่อไป
ทรัพย์ที่มีค่าที่สุด เรียกว่ารัตนะ และทรัพย์ภายในที่มีค่าที่สูงสุด ก็คือรัตนะ ๓ ที่เรียกว่าพระรัตนตรัยนี่แหละ เพราะเป็นทั้งทรัพย์ภายในที่มีค่าและเป็นแหล่งที่รวมไว้เป็นที่อำนวยให้ซึ่งปวงทรัพย์ภายใน ทั้งปุญญังและปัญญา
พระรัตนตรัยเป็นแหล่งรวมไว้ และอำนวยให้ทั้งปุญญังและปัญญาอย่างไรก็ค่อยๆ ดู ค่อยๆ ว่ากันต่อไป
พระรัตนตรัย เป็นสรณะให้แก่เราอย่างไร
ดังที่ว่าแล้ว ที่มาบวชนี้พอเริ่มต้นก็ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เรียกว่า ไตรสรณคมน์ หรือ ไตรสรณาคมน์ คือนับถือพระรัตนตรัย เป็นไตรสรณะ เราแปลเป็นไทยว่า ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก (จะเรียกสั้นๆ ว่า สรณคมน์ หรือ สรณาคมน์ ก็ได้)
ก็เลยขอบอกความหมายของถ้อยคำสำคัญแทรกไว้พอเป็นความรู้แบบผ่านๆ
สำหรับคำว่าพระรัตนตรัยนั้น ทราบกันแล้วว่าคือ รัตนะ ๓ หรือดวงแก้ว ๓ ประการ(รัตน-แก้ว-ตรัย-สาม; เขียนอีกอย่างก็เป็น ไตรรัตน์= ไตร-สาม+รัตน์-แก้ว) และก็ได้อธิบายเรื่องแก้วในฐานะสิ่งมีค่าสูง ผ่านไปแล้ว ข่าวสด : ๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ตามพระใหม่ไปเรียนธรรม (๙)พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)ส่วน "สรณะ" ตามปกติและโดยทั่วไปก็แปลกันว่า "ที่พึ่ง" และเพราะมี ๓ อย่าง ก็เป็น ไตรสรณะ จะแปลง่ายๆ ว่า ที่ระลึก หรือที่คิดถึง ก็ได้
อย่างไรก็ตาม ในที่นี้บอกให้ทราบเพิ่มเติมไว้พอประดับความรู้ว่า คำว่า "สรณะ" นี้ในคัมภีร์ชั้นอธิบายความหมาย (อรรถกถา เป็นต้น) นิยมแปล ๒ แบบ
แบบแรก โดยวิเคราะห์ศัพท์ แปลว่า กำจัด คือกำจัดภัย ขจัดความกลัว กำจัดทุกข์ บำราศทุคติ เช่น โดยพาไปในประโยชน์ และกันออกไปจากสิ่งเสียหายไม่เป็นประโยชน์
อีกแบบหนึ่ง โดยแสดงไวพจน์ว่า เป็นที่พึ่ง ที่พำนัก เป็นหลักที่ตั้งตัว เป็นที่คุ้มกันให้พ้นภัย เป็นคติ เป็นที่หมาย เป็นที่ให้ลุจุดหมายหรือสำเร็จความมุ่งหมายโดยกันออกไปซึ่งสิ่งเสียหายไร้ประโยชน์ กันจากบาปจากทุกข์ และให้สัมฤทธิ์ประโยชน์หรือความมุ่งหมาย
บอกแล้วว่า อันนี้ฟังไว้แค่ประกอบหรือประดับความรู้ ยังไม่ต้องคิดพิจารณามากมาย และไม่ต้องลงลึกอย่างนักภาษา
ในที่นี้ มาดูอย่างพื้นๆ ว่าพระรัตนตรัยเป็นสรณะให้แก่เราอย่างไร จะมองในแง่เป็นหลักยึดถือ เป็นที่พึ่ง เป็นที่ระลึก เป็นที่ช่วยแก้ปัญหา เป็นที่บำราศทุกข์ เป็นเครื่องช่วยให้พ้นภัย ก็ได้ทั้งนั้น คลุมได้ทั้งหมด ถ้าพูดง่ายๆ แบบชาวบ้านก็บอกว่าท่านมาช่วยเรา ก็มาดูกันว่าท่านมาช่วยเราอย่างไร
พระรัตนตรัยมิใช่มาช่วยแบบดลบันดาลให้ พระพุทธศาสนาไม่ส่งเสริมการดลบันดาล ท่านไม่ให้หวังผลจากการดลบันดาล แต่ท่านให้ใช้เรี่ยวแรงทำการให้ตรงกับเหตุปัจจัย ท่านช่วยให้เรามีปัญญารู้เหตุปัจจัย แล้วเราก็จะได้จัดการทำการให้ตรงเหตุปัจจัย
ทีนี้ก็มาดูความหมายของพระรัตนตรัย ว่าเป็นสรณะของเราอย่างไร
๑.พระพุทธเจ้า เป็นหลักอัครบุคคล หลักนี้บอกว่า ก่อนนั้น แต่เดิมพระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์อย่างเรา แต่เพราะฝึกฝนพระองค์เอง อย่างที่เรียกว่าบำเพ็ญบารมี พระองค์เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว เสียสละ มีความตั้งใจมั่นคงแน่วแน่ในการฝึกตนที่จะทำความดีงาม สร้างเสริมเพิ่มพูนคุณสมบัติที่เป็นปุญญังทุกอย่าง ทุกประการ จนกระทั่งมีปัญญาตรัสรู้ ได้เป็นพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าจึงเป็นหลักที่ระลึกซึ่งเตือนใจเราว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ มนุษย์นี้จะดีจะประเสริฐจะเลิศได้ด้วยการฝึก แม้แต่จะฝึกจนเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ เรานี้ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง จะต้องฝึกตัวให้ดีมีชีวิตดีงามสูงสุดให้ได้
มนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องฝึก จึงจะมีชีวิตอยู่ได้ ไม่เหมือนสัตว์ชนิดอื่น ที่อยู่ไดด้วยสัญชาตญาณ มันเกิดมาแล้วแทบไม่ต้องฝึก ไม่ต้องเรียนรู้อะไร เดี๋ยวมันก็เดินได้ กินได้ หาอาหารให้ตัวมันเองได้ แล้วมันก็อยู่ไปตามเรื่องของมัน
แต่คนเรานี่ทุกอย่าง จะกิน จะนอน จะนั่ง จะดื่ม จะขับถ่าย จะพูด จะเดิน แม้แต่จะนอน แค่เรื่องง่ายๆ นี้ ต้องฝึกต้องเรียนทั้งนั้น ถ้าไม่ฝึกไม่เรียนแล้ว ไม่เป็นเลย อยู่ไม่รอด เพราะฉะนั้น จึงเป็นสัตว์ที่พระพุทธศาสนาสอนไว้ว่า เป็นสัตว์ที่ต้องฝึก
อย่างไรก็ดี ที่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องฝึกจึงอยู่ได้ แต่สัตว์ชนิดอื่นไม่ต้องฝึกก็อยู่ได้ด้วยสัญชาตญาณนั้น ยังไม่จบ ต้องพูดต่อไปอีกว่า มนุษย์ไม่ใช่แค่เป็นสัตว์ที่ต้องฝึก แต่เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ด้วย จึงมิใช่แค่ว่าต้องฝึกจึงอยู่ได้ แต่มนุษย์นั้นฝึกได้ จนกระทั่งไม่ว่าต้องการจะเป็นอะไร จะทำอะไรก็ฝึกให้ทำให้เป็นอย่างนั้นต่างจากมนุษย์ที่อยู่ไม่ได้ด้วยสัญชาตญาณ แต่ฝึกให้เก่งให้ดีเลิศประเสริฐแค่ไหนก็ได้ จนมีชีวิตที่อยู่ดีด้วยปัญญา
จริงอยู่ มีสัตว์บางชนิดที่ฝึกได้บ้าง อย่างช้าง ลิง สุนัข เป็นต้น แต่สัตว์เหล่านั้นไม่ใช่ฝึกตัวเอง ต้องอาศัยมนุษย์ฝึกให้ และฝึกได้ในขอบเขตหนึ่งที่จำกัด เช่น ลิงฝึกให้ขึ้นเก็บมะพร้าวได้ เล่นละครลิงได้ ช้างฝึกให้ลากซุง ให้ทำอะไรได้หลายอย่าง รวมทั้งละครสัตว์ สุนัขฝึกได้แสนเก่ง ทำอะไรได้มากมาย แต่ก็อย่างที่ว่า ต้องคนฝึกให้ และฝึกได้ในวิสัยที่จำกัด ต่างจากคนที่ฝึกตนเองได้ และฝึกอย่างไรได้อย่างนั้น จนเลิศล้ำเหนือเทพเทวา
คนที่ฝึกดีแล้วนั้น เป็นนักปราชญ์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นนักเทคโนโลยี เป็นนักประดิษฐ์ เป็นนักคิดนักทำต่างๆ สร้างวัฒนธรรม สร้างอารยธรรม จนกระทั่งเป็นมหาบุรุษก็มี ดังที่ว่า แม้ถึงเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ ความดีพิเศษของมนุษย์นี้สำเร็จได้ด้วยการฝึก ข่าวสด : ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ตามพระใหม่ไปเรียนธรรม (๑๐)พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)เป็นอันว่า คนเป็นสัตว์ที่ต้องฝึก และฝึกได้ จะให้เก่งให้ดีเลิศประเสริฐสูงเยี่ยมอย่างไร ก็ฝึกได้ฝึกเอา อยู่ที่ฝึก คือ เรียน เรียนรู้ ศึกษา ฝึก หัด พัฒนา ถ้าไม่ฝึก ไม่ศึกษาแล้ว คนที่แย่ที่สุดยิ่งกว่าสัตว์ชนิดใดอื่น เพราะว่าไม่ฝึกไม่เรียนรู้แล้ว แม้แต่แค่มีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้ ต้องตาย ไม่รอด ส่วนสัตว์พวกอื่นอยู่ได้ด้วยสัญชาตญาณ นับว่าเก่ง แต่แล้วตลอดทั้งชีวิตก็อยู่แค่สัญชาตญาณนั่นแหละ เอาดีอะไรอีกไม่ได้
ท่านจึงสอนกันมาโดยย้ำนักย้ำหนาว่า การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ แสนยาก เป็นโอกาสที่ต้องไม่ให้พลาดไปเสีย เกิดมาแล้วต้องมีชีวิตที่ประเสริฐ ดีงามล้ำเลิศให้ได้
เพราะฉะนั้น ผู้บวช และทุกคนใช้หลักสรณะที่ ๑ นี้ โดยนับถือพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง เราตั้งพระพุทธเจ้าเป็นต้นแบบว่า พระพุทธเจ้าในกาลก่อนตอนเริ่มแรกทรงเป็นมนุษย์ที่ฝึกศึกษาพัฒนาพระองค์เองอย่างต่อเนื่องจริงจัง ถึงขั้นที่เรียกว่าเป็นพระโพธิสัตว์โดยทรงเพียรพัฒนาคุณสมบัติสำคัญๆ ที่เรียกว่าบำเพ็ญบารมี ได้ทรงฝึกพระองค์จนบรรลุโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้า เรานี้ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ชีวิตของเราจะดีงามเลิศประเสริฐอย่างที่ควรจะเป็นได้เต็มศักยภาพ ก็ด้วยการฝึก เราต้องฝึกเอา ถ้าเราไม่ถอยไม่ยอมหยุดในการฝึกแล้ว ก็จะสัมฤทธิผลที่มุ่งหมาย แล้วเราก็ฝึกศึกษาเรื่อยไป
การถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะเครื่องระลึกเตือนใจดังกล่าวมานี้ ทำให้เรามีความมั่นใจในความเป็นมนุษย์ว่า เรานี้เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ มีศักยภาพที่จะเป็นอย่างพระองค์ได้แล้วก็มีกำลังใจที่จะฝึกตนอย่างจริงจัง โดยถือพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง ที่จะฝึกตนให้มีคุณสมบัติความดีงามอย่างที่ได้ทรงสอน พร้อมกันนั้นก็เกิดมีจิตสำนึกต่อหน้าที่ของมนุษย์ในการที่จะต้องฝึกตนนั้น ซึ่งจะทำให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนฝึกฝนอย่างเต็มที่ โดยไม่ปล่อยตัวให้ตกไปในความประมาท
นอกจากนี้ ถ้าพูดอย่างภาษาชาวบ้าน ในการฝึกนี้ เราได้เปรียบมาก ได้เปรียบอะไร? พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้เริ่มต้น ต้องทรงค้นพบเอง พระองค์ต้องลองผิดลองถูก เพียรพยายามลำบากหนักหนากว่าจะสำเร็จจบการฝึก พอสำเร็จแล้ว พระองค์ก็ประมวลประสบการณ์ของพระองค์ที่ได้บรรลุธรรมนั้น นำมาเล่าไว้และวางเป็นหลักให้เรา เราก็ได้บทเรียนสำเร็จรูป นี่คือง่ายกว่าพระพุทธเจ้าเยอะแยะ เมื่อได้เปรียบถึงอย่างนี้ บทเรียนก็มีการฝึกก็ง่ายขึ้นมามากมายอย่างนี้แล้ว เราก็ต้องรีบใช้ให้เป็นประโยชน์ และทำให้สำเร็จเมื่อเราถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกอย่างนี้แล้ว เราก็พร้อมใจที่จะเริ่มต้นและมั่นใจมีกำลังใจที่จะก้าวไปในการฝึกฝน
แต่การที่เราจะฝึกฝนพัฒนาตนได้สำเร็จก้าวหน้าไปด้วยดีนี้ ในขั้นตอนของการปฏิบัติ เราจะต้องทำอะไรบ้าง และจะทำอย่างไร ตอนนี้แหละก็มาถึงพระรัตนตรัยข้อที่สอง นี่คือ สรณะที่ 1 คือพระพุทธเจ้า นำเราต่อไปยังสรณะที่ 2 คือพระธรรม
๒.พระธรรม เป็นหลักคำสอน หลักนี้ชี้ถึงความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงเปิดเผย แสดง ประกาศ หรือทรงเทศนาแก่เรา ดังที่ว่า เมื่อเรามาถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงนำเราต่อไปถึงข้อที่สอง คือพระธรรมนี้
ความหมายก็คือ พอเราระลึกถึงพระพุทธเจ้า ก็ระลึกรู้ต่อไปว่า พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมี จนเป็นพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสูงสุดอย่างนี้ สำเร็จได้ก็เพราะตรัสรู้ธรรม พระองค์เมื่อปฏิบัติตามธรรม รู้แจ้งธรรม คือความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดาของมัน เมื่อพระองค์ได้ทรงค้นพบความจริงนี้ด้วยปัญญาของพระองค์แล้ว ก็ทรงนำมาสั่งสอนเปิดเผยแก่พวกเรา
การที่เราจะมีชีวิตดีงาม ตามอย่างพระพุทธเจ้าได้ เราก็ต้องรู้เข้าใจธรรมและนำธรรมมาปฏิบัติให้ถูกต้องตรงตามธรรมนั้น ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประมวลนำมาจัดแสดงบอกแจ้งแก่พวกเราแล้ว พอเรารู้เข้าใจธรรม ปฏิบัติถูกชีวิตของเราก็ดีงาม พัฒนาจนเป็นอย่างพระพุทธเจ้าได้
พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า พระพุทธเจ้าจะเกิดหรือไม่ก็ตาม ธรรม คือความจริงก็มีอยู่ตามธรรมดาของมันอย่างนั้น ธรรมนี้ก็คือความจริงที่เป็นธรรมดาของธรรมชาติ
ถ้าเราไม่รู้ความจริงของสิ่งทั้งหลาย เราก็ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายไม่ถูกต้อง พอเราเจออะไร เราไม่รู้ มืดตื้อติดตัน ก็เกิดปัญหา เป็นความทุกข์ทันที และเมื่อไม่รู้ก็ปฏิบัติไม่ถูก ก็เกิดความขัดข้อง บีบคั้น อึดอัด ติดตัน เป็นปัญหา ทุกข์ก็มา อิสรภาพก็ไม่มี ข่าวสด : ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๘ตามพระใหม่ไปเรียนธรรม (๑๑)พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)แต่พอเรารู้ความจริง คือรู้ธรรม รู้อะไรเป็นอะไร เป็นอย่างไร เพราะอันใด จะทำอย่างไร เราก็โล่งเป็นอิสระไปขั้นหนึ่งตั้งแต่ต้นแล้ว และพอรู้อย่างนั้นแล้ว เราไม่ติดขัดก็ปฏิบัติได้ถูก ทำได้สำเร็จ ทำได้ดี ชีวิตของเราก็ดีงาม เราก็โปร่งโล่ง ปลอดปัญหา ปราศจากทุกข์ เป็นอิสระ
เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงเป็นองค์ธรรมหรือคุณสมบัติที่สำคัญยิ่ง ปัญญาก็คือความรู้ถึงธรรม ถึงความจริงของสิ่งทั้งหลาย ตามที่มันเป็นของมัน
อย่างที่ว่าแล้ว พอรู้ความจริงของสิ่งทั้งหลายก็ปฏิบัติได้ถูกต้อง ทำให้เป็นไปได้ตามนั้น เช่นว่า สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย เราต้องการผลอย่างนี้ จะต้องทำเหตุปัจจัยอะไร เมื่อศึกษาแล้วรู้และทำให้ถูกต้องตรงตามเหตุปัจจัย เรียกว่าทำถูกต้องตามธรรม ผลก็เกิดขึ้นโดยเป็นไปตามนั้น
เป็นอันว่า พอเราระลึกถึงพระพุทธเจ้า ก็เป็นการเตือนใจเราให้ระลึกและมองเห็นต่อไปถึงพระธรรม จึงบอกว่าพระพุทธเจ้านำเราต่อไปสู่พระธรรม เป็นการตรัสสอนบอกว่า เธอจะฝึกตนได้สำเร็จ จะเป็นผู้ประเสริฐมีปุญญังและปัญญา แก้ปัญหา ดับทุกข์ เป็นอิสระได้จริงนั้น ก็ต้องรู้ธรรม ปฏิบัติให้ถูกต้องตามธรรม
นี่คือ เรามาถึงธรรม ธรรมก็มาเป็นหลักยึดเหนี่ยวที่ใส่ใจคำนึงนึกของเรา เป็นข้อที่จะต้องเรียนรู้ ศึกษาให้หยั่งเห็นเข้าใจ ปฏิบัติให้ถูกต้องยิ่งๆ ขึ้นไป ยิ่งรู้ธรรมเท่าไร เราก็ยิ่งทำได้ถูกต้อง ยิ่งสำเร็จ ยิ่งดี ยิ่งมีความสุขความเจริญงอกงาม และยิ่งมีความเป็นอิสระมากขึ้น
๓. พระสงฆ์ เป็นหลักชุมชนประเสริฐ หลักนี้ชี้ถึงชุมชนซึ่งเป็นแหล่งที่ศึกษาสืบทอดธรรมจากพระพุทธเจ้า แผ่ขยายออกไป และนำธรรมส่งต่อให้กันมาจนถึงเรา โดยเป็นชุมชนของบุคคลที่ได้ฝึกตน เป็นอริยชน เป็นนาบุญ เป็นชุมนุมแห่งกัลยาณมิตร ที่เป็นแบบอย่างแก่สังคม ซึ่งอยู่กันด้วยเมตตากรุณา ช่วยแนะนำสั่งสอนผู้รุ่นหลังตามมา เกื้อหนุนในการประพฤติปฏิบัติธรรม ให้เจริญงอกงาม พัฒนาในทางแห่งพระพุทธจริยา และรักษาถ่ายทอดสืบต่อเผยแผ่ธรรมของพระพุทธเจ้าแก่ชาวโลก ผ่านกาลยาวนาน และขยายกว้างออกไป
เสริมความว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว และมีธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้แล้ว ทีนี้คนที่อยู่ห่างไกลออกไป และคนรุ่นหลังอย่างพวกเรา จะมีโอกาสได้รู้เข้าใจได้ปฏิบัติและเจริญงอกงามในธรรมนั้นได้อย่างไร พูดสั้นๆ ว่า ธรรมะจะมาถึงเราได้อย่างไร
ธรรมาถึงเราได้ ขั้นแรกก็เป็นธรรมดาว่าเริ่มต้นจากพระพุทธเจ้า ทีนี้ เมื่อไม่ใช่เป็นที่ที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ก็ต้องมีคนรับสืบทอดธรรมมาจากพระพุทธเจ้า ช่วยนำมาให้เราเวลานี้ พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระธรรมที่พระองค์ทรงสอนนั้นมาถึงเราได้ก็ด้วยอาศัยพระสงฆ์นำต่อๆ กันมา ดังนั้น พระสงฆ์จึงเป็นหมู่ชนที่รักษาสืบทอดธรรมของพระพุทธเจ้า
ในเรื่องนี้ ก็มีความหมายลึกลงไปซ้อนอยู่ด้วยอีกอย่างหนึ่งว่า พระสงฆ์ก็คือพระทั้งหมด ซึ่งบวชต่อๆ กันมาจากพระพุทธเจ้า เมื่อบวชแล้ว ก็เข้ามาอยู่ในชุมชนสงฆ์นี้ อยู่ร่วมกันในวัดวาอาราม อาศัยสิ่งแวดล้อมที่เหมาะ เช่น สงบสงัด มีวินัยอยู่ด้วยกันในระเบียบก็ศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติ โดยมีพระสงฆ์รุ่นเก่ารุ่นก่อน ตั้งแต่อุปัชฌาย์อาจารย์ ตลอดจนเพื่อนสหธรรมิก เป็นกัลยาณมิตร มีเมตตากรุณาช่วยเหลือเอื้อเฟื้อแนะนำสั่งสอนกัน ก็ช่วยเกื้อหนุนกันในการปฏิบัติให้เจริญก้าวหน้า และบรรดาพระสงฆ์ก็ให้ธรรมแก่ประชาชนที่มาวัดบ้าง ออกไปให้ธรรมข้างนอกในสังคมทั่วไปบ้าง
จะเห็นได้ว่าการบวชมาศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติ และแนะนำสั่งสอนให้ธรรมกันในหมู่พุทธบริษัท และแก่ประชาชนมาอย่างนี้ เมื่อตั้งใจทำให้ดีให้แท้ให้ถูกต้อง ก็เป็นการดำรงรักษาสืบทอดธรรมอย่างเป็นไปเองอยู่ในตัว ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ ก็อยู่คู่มากับพระสงฆ์ ยิ่งกว่านั้น พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้แล้วว่า "ดูก่อนอานนท์! ธรรมและวินัยใดที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย โดยกาลที่เราล่วงลับไป"
ตามพุทธพจน์นี้ เมื่อพระสงฆ์ศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติสั่งสอนวินัยกันถูกต้องดีพระสงฆ์ยังมี พระธรรมก็อยู่ด้วย กับทั้งพระศาสดาที่แทนองค์พระพุทธเจ้า ครบทั้งมวล ข่าวสด : ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๘pct.40-40