21 กันยายน 2567 06:57:01
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
.:::
การดำเนินของจิตในแนวปฏิบัติ {๑}
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: การดำเนินของจิตในแนวปฏิบัติ {๑} (อ่าน 3525 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 3.6.9
การดำเนินของจิตในแนวปฏิบัติ {๑}
«
เมื่อ:
13 กันยายน 2553 20:23:39 »
Tweet
廣欽老法師開示
http://www.youtube.com/v/UYZyaUhEtZI?fs=1&hl=en_US
วิธีดำเนินจิตที่เราปฏิบัติกันอยู่นั้นเรียกว่า ปฏิปทาของจิต มี 3 นัยที่เป็นหลักใหญ่ควรจดจำการทำความเพียรภาวนาไม่หนีจากทั้ง 3 หลัก ที่จะอธิบายต่อไปนี้ถ้าหากเราจับหลักได้แล้วจิตของเราจะเดินไปในแบบใดเราก็จะได้รู้ว่าอ้อ ! มันเดินอยู่ในแบบนี้ขั้นนี้ เราจะได้รู้เรื่องถ้าหาก
ไม่รู้เรื่องของมันเวลาจิตเดินแบบนี้ ก็อยากให้เป็นแบบโน้น มันเดินแบบโน้นก็อยากให้เดินแบบนั้นอะไรต่าง ๆ แล้วก็เลยจับอะไรไม่ถูก คือไม่รู้จักหลักของความจริงเหตุนั้นจึงอธิบายให้ฟังเมื่อคืนที่แล้วแต่จะขออธิบายซ้ำอีกบางทีผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินก็จะได้เข้าใจและจดจำไว้ในการปฏิบัติต่อไป
การดำเนินของจิตในการปฏิบัติ มีหลักอยู่ 3 อย่าง
อย่างที่ 1 หัดให้จิตสงบอย่างเดียว เรียกว่า เดินสมถะ
อย่างที่ 2 เดินปัญญา - วิปัสสนา
อย่างที่ 3 เดินโพธิปักขิยธรรม คือ เดินองค์ปัญญาโดยเฉพาะ
ถ้าไม่เข้าใจเวลาเดินสมถะอย่างเดียวเมื่อจิตเข้าไปนิ่งแน่ว อยู่ในความสงบก็เข้าใจว่าอันนั้นเป็นของดีแล้วหมดจดบริสุทธิ์ จิตละเอียดเพียงพอแล้วเท่า
นั้นพอแล้ว ถ้าหากว่าผู้ที่เดินปัญญาวิปัสสนา ก็เห็นว่าการหัดสมถะคือหัดทำความสงบของจิตนี้ไม่ใช่ทาง ต้องดำเนินทางวิปัสสนาจึงจะใช่ทางหรือบาง
ทีผู้ที่เดินปัญญา ที่เรียกว่าเดินแถวโพธิปักขิยธรรม ก็เข้าใจว่าจิตของตนฟุ้งและส่งไปเสียไม่ใช่ปัญญามันสับสนกันอยู่อย่างนี้แหละจึงควรเข้าใจหลักใหญ่ในการดำเนินของจิต ซึ่งมีหลักอยู่ 3 หลักทีนี้จะอธิบายเป็นข้อ ๆ ไปสมถะอธิบาย{สมถะ}หัวข้อแรกเสียก่อนวิธีเดินสมถะ ถ้าจะเรียกอีกนัยหนึ่ง
ก็เรียกว่า สมาธิ หรือว่า ฌาน ก็เรียก ผู้เดินสมถะเช่น กำหนดพุทโธพุทโธ ให้จิตกำหนดอยู่กับพุทโธ หรือว่ากำหนดอานาปานสติให้จิตจดจ่ออยู่แต่ในเรื่องลมหายใจนั้นหรือมิฉะนั้นเราเพ่ง อสุภะปฏิกูล เห็นสังขารร่างกายของเราเป็นอสุภะ ของเปื่อยเน่าก็ได้เหมือนกันจิตจะสงบอยู่ในเรื่องนั้น ๆ หรือมิฉะนั้นจิตอาจจะเกิดภาพนิมิตปรากฏเป็นปฏิภาครูปอันใดอันหนึ่งก็ตามอันนั้นก็ยังอยู่ในขั้นสมถะมีสิ่งปลีกย่อยอีกเหมือนกันเรื่อง{สมถะ}อาจจะสงสัยว่าการเดินสมถะจะมีวิปัสสนาเกิดขึ้นได้ไหม ? ตอบว่ามีเรื่องสมถะมันมีวิปัสสนาได้อยู่เหมือนกันไม่ใช่ไม่มีปัญญาสมถะก็ต้องใช้ปัญญาเหมือนกันคือเราเพ่งพิจารณาพุทโธ พุทโธ ก็จะต้องระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าจิตใจที่น้อมนึกถึงพระคุณความดีของพระองค์ จนเห็นความชัด เกิดความซาบซึ้งในพระคุณของพระองค์ มันก็มีปัญญาเหมือนกันเมื่อเห็นชัดเจนอย่างนี้แล้ว จิตมันจะสงบลงไปเบื้องต้นนั้นเรียดว่าบริกรรม ที่ท่านเรียกกันว่า ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ นี่พูดเป็นเรื่องเป็นราวแต่เราพูดกันง่าย ๆ ว่าเรากำหนดอารมณ์อันนั้นไม่ใช่ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ เรากำหนดจิตให้อยู่กับอารมณ์อันนั้นจะบริกรรมอะไรก็ตามเราไม่ต้องพูดให้เป็นเรื่องยืดยาวเช่นนั้นถ้าพูดว่า{ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์} ดูมันเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร เราไม่ต้องพูดว่า
ยกจิต
ละคือ กำหนดเอาอันใดอันหนึ่งมาเป็นอารมณ์อันนี้เรียกว่าบริกรรม แล้วเราก็ตั้งจิตให้แน่วอยู่ในอารมณ์อันนั้น นี่เรียกว่าวิธีเดินสมถะ ยังไม่ถึงตัวสมถะ เป็นการเดินให้เข้าถึงสมถะตราบใดที่จิตสงบจนกระทั่งวางคำบริกรรมหรือวางอุบายที่เราใช้กำหนดนั้นโดยที่มันวางของมันเอง จิตเข้าไปสงบเป็นเอกเทศของมันอยู่อันหนึ่งต่างหากอันนั้นเป็นตัว สมถะแท้เรียกว่า จิตเข้าภวังค์ มันวางอารมณ์หรือคำบริกรรมวางหายไปเลยจิตเข้าไปสงบอยู่อันหนึ่งของมันต่างหาก นั่นเรียกว่าถึงสมถะ แล้วจิตที่เข้าถึง{สมถะ}ตามลักษณะที่พูดมานี้ยังมีผิดแผกอีกนะบางทีมีหลายเรื่องไม่ใช่น้อย ๆ ที่จิตรวมลงไปสนิทอย่างนี้บางครั้งเวลารวมมันวูบลงไปจนสะดุ้งตกอกตกใจ บางทีมีเสียงดังเหมือนกับเสียงฟ้าผ่านี่ก็มีบางทีตกลงไปเหมือนตกหลุมตกเหวให้สะดุ้งฮวบขึ้นมาตื่นตกใจเลยบางทีพอจิตรวมก็อาจจะเกิดภาพขึ้นมาผู้ที่ภาวนา{พุทโธ}บางทีพอจิตรวมก็เกิดภาพพระพุทธเจ้าก็มีหรือพวกที่พิจารณา อสุภะปฏิกูล เป็นของเปื่อยเน่าในสังขารร่างกายมีของสกปรกโสโครกพอจิตรวมลงแล้วภาพที่ปรากฏมันไม่เป็นอย่างที่พิจารณานั่น มันปรากฏพิสดารยิ่งกว่านั้นอีก ตัวของเราเวลาที่พิจารณาว่า ตรงนั้นก็เป็นของปฏิกูลโสโครกตรงนั้นก็ของเน่า น้ำเลือด น้ำหนองเป็นอะไรต่าง ๆ เมื่อจิตรวมเวลามันเกิดภาพนิมิตขึ้นมา มันไม่ใช่อย่างนั้น มันเปื่อยเละไปหมดเลยบางทีเหม็นฉุนขึ้นมาจริง ๆ จัง ๆ ถึงกับอาเจียนออกมาก็มีหลายเรื่องที่มันจะเป็นบางคนสงบนิ่งเฉยลงไปบางคนนั้นเงียบหายไปเหมือนกับนอนหลับตั้งหลายชั่วโมงจึงค่อยรู้สึกตัวขึ้นมาก็มีถ้าหากทำชำนิชำนาญแล้วมันไม่ถึงขนาดนั้น มันจะรวมละเอียดลงไปถึงขนาดไหนก็รู้มันจะรวมหยาบขนาดไหนก็รู้ รู้ว่าจิตมันปล่อยมันวางรวมเข้ามาถ้าชำนาญแล้วจะรู้ได้นี่อยู่ในขั้นสมถะทั้งนั้น แบบนี้โดยมากมักจะไปในทางที่เรียกว่า จิตเข้าภวังค์ หรือไปในทางฌานจิตสงบอีกแบบหนึ่ง คือว่าถ้าหากจิตมันค่อยสงบ ค่อยรวมลงไปรู้ตัวอยู่ตลอดว่า จิตมันอยู่อย่างไรวางอย่างไรรู้เรื่องรู้ตัวอยู่เสมอแน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียวมันปล่อยวางอย่างมี{สติ}รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาอันนี้จิตเป็นพวกสมาธิไม่ได้จัดเป็นพวก ฌานมันหลายเรื่องอย่างนี้ก็เรียกว่าสมถะเหมือนกันบางทีจิตมันรวมที่ท่านเรียกว่า ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิอัปปนาสมาธิ เราไม่ได้แต่งให้มันเป็นไปหรอกแต่เมื่อเราปฏิบัติเป็นไปแล้วเราจึงมาเทียบกันดู ขณะที่จิตดำเนินเป็นไปนั้นเราไม่รู้ขณิกสมาธิจิตของเราวูบ ๆ วาบ ๆ เข้าไปแล้วถอนออกไม่เข้าไปอีกแล้วก็ถอนออกมาหรือมิฉะนั้นจิตของคนปกติไม่ได้ฝึกฝนภาวนาก็ตามมันอาจมีพักหนึ่งได้เหมือนกัน มันรวมประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็พุ่งออกไปอุจารสมาธิ ขณะที่เรากำหนดเพ่งอยู่อย่างนั้นไม่ท้อถอย ทีหลังมันคล้ายกับว่ามันละเอียดแต่มันไม่ละเอียดมันเสียดายอะไรสักอย่างก็ไม่ทราบละมันไม่ทอดธุระลงไปจริง ๆ จัง ๆ อันนั้นเรียกว่า อุปจารสมาธิอัปปนาสมาธิ พอจิตมันทอดธุระ วางหมดพรึบลงไป แน่วลงไปเลยทีเดียวถึงอัปปนาในลักษณะที่มันถึงอัปปนาแล้วนั่นแหละเราจะรู้จักรสชาติของมันว่า ความสงบ สุขสบาย ความเบาความผ่องใสเบิกบานจิตใจอิ่มเอิบพร้อมบริบูรณ์ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในขณะนั้นหมด{อัปปนา}นี้ก็มีหลายอย่าง ละเอียดลงไปกว่านี้ก็มี จิตรวมลงครั้งแรกนั่นมันลงจนกระทั่งจะไม่ปรากฏลมหายใจเลยก็มีเวลาจิตเข้าไปถึงอัปปนานั้นคล้ายกับไม่มีลมหายใจ ถ้าหากเราตั้งสติกำหนดดูลมหายใจว่ามีหรือไม่มีหนอ ? นั่นแหละจึงค่อยรู้สึกว่าลมนั้นค่อยระบายออกมาอันนี้เรียกว่าอัปปนาสมาธิทีนี้ภวังค์ก็มี 3อย่างเหมือนกันเรียกว่า ภวังคุบาท ภวังคจารณะ ภวังคุปัจเฉทะ{ภวังคุบาท}ถ้าพูดตามที่ท่านแสดงเป็นขณะจิตอันหนึ่งถ้าพูดตามแนวปฏิบัติแล้วภวังคุบาทคล้ายกับขณิกสมาธิเราเพ่งพิจารณาอยู่ มันมีอาการคล้าย ๆ กับจะวูบไปนิดหนึ่งแต่มันก็ไม่ลงหรือบางทีลงไปนิดเดียวไม่ถึงอึดใจเป็นสักแต่ว่าภวังคจารณะพิจิตมันรวมลงไปแล้ว คราวนี้เพลิดเพลินชอบอกชอบใจ ยินดีในอารมณ์ของมันตรงนั้นแหละ
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 กันยายน 2553 20:58:19 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 3.6.9
Re: การดำเนินของจิตในแนวปฏิบัติ {๑}
«
ตอบ #1 เมื่อ:
13 กันยายน 2553 20:33:37 »
{ภวังคุปัจเฉทะ}มันทิ้งอารมณ์ต่าง ๆ หมดเลยไม่เอาอะไรทั้งนั้นไม่เยื่อใยในของที่พิจารณาอยู่ไม่เอาอะไรทั้งหมดโน่นแน่ไปชอบใย
ใจอารมณ์ความสุข ขั้นละเอียดของมันนั่น แน่วแน่อยู่จนกระทั่งสติไม่มีจนกระทั่งเหมือนกับหลับก็มี ภวังคุปัจเฉทะเหมือน ๆ กันกับหลับทีแรก ๆ นั่นเหมือนกับหลับจริง ๆ ถ้านาน ๆ ไปบ่อยเข้ามีความชำนาญ ก็จะไม่เหมือนหลับมันพลิกไปอยู่ของมันอีกหนึ่งต่างหากเหล่านี้ล้วนแต่เรียกว่าเดินสมถะ
การเดินสมถะเป็นอย่างนี้ในระหว่างวิธีเดินสมถะนี้ มันอาจเกิดปัญญาขึ้นมาก็ได้ในขณะใดขณะหนึ่งโดยมากเกิดจากสมาธิเมื่อจิตสงบเข้าไปแน่วแน่อยู่ในเรื่องอารมณ์ที่เราพิจารณานั้นเดี๋ยวมันก็สว่างขึ้นมา คำว่า{สว่าง}ในที่นี้ไม่ใช่แสงสว่างถ้ามันเป็นแสงสว่างนั่นเป็นเรื่องของณานเสียแล้วถ้าสว่างด้วยอุบายปัญญา มันมีความปลอดโปร่งขึ้นมาในที่นั้นคิดค้นพิจารณาอะไรทั้งปวงหมดมันชัดเจนแจ่มแจ้งในเวลานั้นการที่มันชัดเจนแจ่มแจ้ง
นั้น มันเลยเป็นปัญญาขึ้นมาอีกหรือบางทีมันอาจจะหยิบยกเอาธรรมะอะไรขึ้นมาพิจารณา เช่นเรื่องสติปัฏฐาน 4 อะไรเป็น{สติปัฏฐาน}กาย เวทนา จิต หรืออะไรเป็น ? คำว่า{สติ}นั้นคืออะไร ? คำว่า{สติปัฏฐาน}ทำไมจึงต้องเป็นกายานุปัสสนา - เป็นเวทนานุปัสสนา - เป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ทำไมมันจึงต้องเป็นอย่างนี้ทีนี้มาวิพากษ์วิจารณ์ลำดับเรื่อง สติปัฏฐาน 4 จะต้องคิดค้นถึงเรื่องกายพิจารณาถึงเรื่องกาย เป็นอสุภะปฏิกูล เห็นเป็นธาตุ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม พิจารณาเรื่องเดียวอยู่ในที่เดียวนั่น บางทีมันเข้าไปถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา บางทีมันเข้าไปเป็นสัจจธรรมเป็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มันเลยกลายเป็นปัญญาไปอันนี้เป็น ปัญญา เกิดขึ้นมาจาก สมถะ สมถะ กลายเป็นปัญญาถ้าพิจารณานานหนักเข้าแล้ว คราวนี้มันหมดเรื่องหมดราวคือว่า มันรู้เห็นชัดเจนหมดทุกสิ่งทุกอย่างเช่น เห็นกายเป็นธาตุชัดเจนมันก็มารวมเป็นอันเดียวอยู่ในที่เดียวอีกเหมือนกัน เรื่องที่พิจารณาอยู่นั้น มันทิ้งหมดไม่เอาแล้วคราวนี้ เลยมารวมเข้าเป็นอันเดียวมาเป็นสมถะอีกคล้าย ๆ กับว่าทำงานเสร็จสรรพแล้ว เก็บเครื่องไม้เครื่องมือเสียแล้วพักผ่อนเป็นทำนองนั้นนอกจากนั้นอีก มันยังมีอีกเมื่อพิจารณาถึงเรื่อง{กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน}นี่ละเดินแบบสมาธิพิจารณาคิดค้นอะไรต่าง ๆ จะเป็นธาตุ ขันธ์หรืออายตนะหรืออะไรก็ตามในเรื่องหนึ่งเรื่องใด พิจารณาไป ๆ สติมันอ่อนลงไปมันชอบสงบสุข ยินดีกับความวิเวกสงัด ยินดีกับความชัดความจริงในการพิจารณานั้นเลยนิ่งแน่วเข้าไปหาความสงบจิตน้อมไปตามเลยเข้าไปเป็น
ฌาน
จิตเป็นภวังค์หายเงียบไป นี่มันสลับซับซ้อนทีเดียวในผลที่สุด จะเป็นวิธีใดก็ช่างมันเถิด เราแต่งมันไม่ได้หรอก เพียงแต่ให้เราจับหลักที่ได้อธิบายนี้ไว้ก็แล้วกันว่าวิธีเดินสมถะเป็นแบบนี้ ๆ อย่างนี้ ๆ
มันจะเป็นอะไรก็ช่างปล่อยให้มันเป็นไปแล้วจึงค่อยมาพิจารณาทีหลังว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ?ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น ? ขณะใดถ้า{สติ} สมาธิ มีกำลังเพียงพอจิตมันจะไม่รวมเข้าเป็นภวังค์สมาธินั้นก็เลยเป็น
มรรค
จนเกิดปัญญาขึ้นมาดังที่อธิบายเมื่อครู่นี้ เหตุผลชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่ในที่เดียวจนทอดธุระหมดทุกสิ่งทุกอย่างทั้งปวดหมดมาอยู่ในที่เดียว ธรรมเกิดมาจากที่เดียวความรู้เกิดจากในที่เดียว แจ่มแจ้งในที่เดียวนั้นเลยเป็นวิธีเดิน
มรรค
มันต้องเป็นแบบนั้น มันเป็นเองของมันถ้าบางทีอาจจะเกิดพลั้งเผลอ หรืออาจจะเกิดจากสุขภาพไม่ดี หรือมิฉะนั้น{สมถ}เกิดจากมึนเมาอาหารก็ได้เหตุมีหลายเรื่องเหตุเหล่านี้จิตรวมดีเหลือเกินตรงนั้นสงบง่ายเข้าภวังค์ง่ายที่สุดที่เรียกกันว่า{โมหะสมาธิ}เป็นภาษาสำนวนของนักปฏิบัติแต่แท้ที่จริงก็คือภวังค์นั่นเองเหตุนั้นนักปริยัติ หรือปัญญาจารย์ทั้งหลายจึงโทษนักหนาเมื่อจิตเข้าถึงภวังค์ ก็ว่า อวิชชา โมหะ หลง อย่างที่เขาพูดกันพูดในการปาฐกถาทุกวันนี้ พ.ศ. 2517ทางวิทยุกระจายเสียงเขาโจมตีกันเหลือเกินว่า นั่งหลับตาภาวนาเป็นโมหะอวิชชา พวกนี้ตายแล้วเกิด นับภพนับชาติไม่ถ้วนไปไหนไม่รอดหรอกพวกนี้จมอยู่นี่แหละพวกโมหะอวิชชา ภาวนาหาอวิชชาหรือหาปัญญา ? เขาถือกันเป็นอย่างนั้นจริงบางอย่าง แต่ว่าไม่ถูกทั้งหมด เดี๋ยวนี้เรากำลังคิดค้นหาความโง่ คือโมหะอวิชชา มันจะโง่แบบไหนก็ให้มันเห็นเสียให้หมดเรื่องหมดราว แล้วเราจึงจะฉลาด ถ้ามัวแต่กลัวโง่ก็เลยไม่เห็นโง่ไม่รู้จักความโง่นั้นสักทีว่ามันเป็นอย่างไร ? ไม่เห็นโง่ก็เลยไม่ฉลาดเท่านั้นซีเรื่องมันอยู่ตรงนั้นแหละอันที่ว่าไม่ถูกทั้งหมดมันอยู่ตรงนี้เราจะไปฉลาดรู้ก่อนเกิดอย่างที่พูดกันว่า ตายก่อนเกิด มันก็แย่เหมือนกัน คำโบราณท่านว่าไว้น่าฟังมาก คนตายก่อนเกิดดูเอาเถิดหลานเกิดก่อนยายมันก็แปลกเหมือนกันนะ หลานเกิดก่อนยาย มันก็เข้าทำนองเดียวกันนั่น ยังไม่ทันเกิดก็ตายแล้ว ก็เหมือนกันกับหลานเกิดก่อนยาย มันก็พอกันนั่นซีจึงว่า ให้มันรู้จักความโง่ ให้มันรู้จักความหลง มันจะหลงโดยวิธีไหน แบบไหนก็ตาม ที่อธิบายมาวิธีทั้งหมดนั่นแหละคือ ทำให้รู้จักความโง่ความหลงค้นคว้าหาความโง่ความหลงนั่น จึงว่าทำลงไปมันก็ไปหาความโง่ความหลงนั่นแหละแต่เราจะไปหาไปรู้ความหลงอย่างที่ว่านั่นรู้ว่ามันคือเป็นเรื่องสมถะเรียกว่า
ฌาน
นั่นเองการที่มันติดมันหลงในฌานนี่แหละสำคัญนัก ทีนี้เรารู้เรื่องของมันแล้ว ทีหลังเราก็จะได้ไม่หลงไม่ติด{ฌาน}นั่นแหละ ปัญญาเกิดจากความไม่รู้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงหมดถ้าผิดเสียก่อนถึงจะทำถูกกฎหมายของบ้านเมืองทั้งหลาย ถ้าไม่มีคนทำผิด เขาก็ไม่ตราเป็นกฎหมายขึ้นมาพระวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกันถ้าไม่มีผู้ทำผิดพระองค์ก็ไม่ทรงบัญญัติสิกขาบท{สิกขาบท 227} ข้อล้วนแต่ผิดแล้วจึงทรงบัญญัติ ไม่ใช่พระองค์ทรงบัญญัติก่อนผิด คณาจารย์ปัญญาจารย์ทั้งหลายสมัยเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องให้ผิดละ บัญญัติหมด บัญญัติผิดก่อนเลย มันไม่ใช่วิสัยของผู้มีปัญญาญาณผู้ฉลาดนั่นเป็นเรื่องความเห็นของคนบางคนจึงว่าพวกเราพากันเรียนให้รู้ถึงเรื่องความโง่เรื่องความหลงเสียที่อธิบายในวันนี้ เป็นการอธิบายถึงเรื่องในการภาวนาการดำเนินจิตของเรามันมี 3 แนวเดินทางสมถะเดินทางปัญญาวิปัสสนาเดินทางปัญญา{โพธิปักขิยธรรม}วันนี้พูดเฉพาะเรื่อง
สมถะ
หลวงปู่เทสก์ ท่านเชี่ยวชาญชำนาญเดินฌานท่านนึงจำได้จากที่ครูบาอาจารย์เล่า เพราะท่านติดฌาน มุ่งทำความสงบ ติดอยู่เป็น 10 ปี กว่าจะแก้ได้เมื่อเดินทางไปกราบ หลวงปู่มั่นภายหลังองค์หลวงปู่ท่านไม่ติดฌานแล้ว ท่านจึงนำอาการภายในฌานมาแจงได้แจ่มแจ้งกว่าใครอื่นพร้อมทั้งสอนเทคนิคเจริญปัญญามามาย
พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี แสดง ณ.วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขนกรุงเทพมหานคร
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 กันยายน 2553 09:11:37 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 2097
【ツ】ต้นไม้แห่งแสง
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 6.0.472.55
Re: การดำเนินของจิตในแนวปฏิบัติ {๑}
«
ตอบ #2 เมื่อ:
13 กันยายน 2553 21:29:24 »
สาธุ อนุโมทนามิ
บันทึกการเข้า
เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
อยากจะได้...
หรืออยากจะเติม
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: การดำเนินของจิตในแนวปฏิบัติ {๑}
«
ตอบ #3 เมื่อ:
13 กันยายน 2553 23:48:31 »
บันทึกการเข้า
คำค้น:
地藏菩萨
นรก
จิต
บาป
ปฏิบัติ
จีน
บางครั้ง
ธรรม
วังวน
ใน
ภาย
มรดก
สุข
กรรม
ชั่ว
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ
เริ่มโดย
ตอบ
อ่าน
กระทู้ล่าสุด
การดำเนินของจิตในแนวปฏิบัติ {ตอนจบ}
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
時々๛कभी कभी๛
4
4532
14 กันยายน 2553 08:53:03
โดย
時々๛कभी कभी๛
กำลังโหลด...