.ดำดิ่งสู่ชาเลนเจอร์ดีพ จุดที่ลึกที่สุดบนโลก
โดย :ลุงดำ ทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน
หากถามว่า ยอดเขาอะไรสูงที่สุดในโลก คนจำนวนมากก็จะตอบได้ว่า ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ แต่ถ้าถามว่า จุดที่ลึกที่สุดของโลกอยู่ที่ไหน เชื่อว่าจะมีคนที่ตอบได้น้อยกว่าคำถามแรก ดังนั้น ทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนขอนำท่านสู่ห้วงลึกสุดลึก ที่ตราบจนถึงปัจจุบันนี้มีมนุษย์แค่ 3 คนเท่านั้นที่เคยไปถึงจุดที่ลึกที่สุดในโลกเรานั้นอยู่ใต้มหาสมุทร ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก มันมีลักษณะเป็นเหวหรือร่องลึกอันเกิดจากเปลือกโลก 2 แผ่นที่เคลื่อนเข้าปะทะกันจนเกิดเป็นรอยแยกขึ้นมา
ดอน วอลช์ และ ฌาคส์ พิคคาร์ดรอยแยกหรือร่องลึกพวกนี้เรียกว่า
Trench ซึ่งร่องลึกที่สุดบนโลกมีชื่อว่า
มาเรียน่า เทรนช์ (
Mariana Trench) เรียกชื่อตามหมู่เกาะมาเรียน่า ซึ่งอยู่ใกล้จุดนั้น และหมู่เกาะนั้นก็ตั้งชื่อตามพระนามของราชินีมาเรียน่าแห่งออสเตรีย (
Mariana of Austria) ผู้เป็นพระราชินีในกษัตริย์ฟิลิปที่ 4 ของสเปน มาเรียน่า เทรนช์อยู่ห่างจากประเทศฟิลิปปินส์ไปทางทิศตะวันออกราว 200 กิโลเมตร มีรูปร่างคล้ายพระจันทร์เสี้ยว มีความยาวถึง 2,500 กิโลเมตร และกว้าง 69 กิโลเมตร ซึ่งใหญ่กว่าพื้นที่แกรนด์แคนยอนถึง 120 เท่า จุดที่ลึกที่สุดของมาเรียน่า เทรนช์มีชื่อเรียกเฉพาะว่า ชาเลนเจอร์ดีพ (
Challenger Deep) ซึ่งมีความลึกถึงเกือบ 11 กิโลเมตร ซึ่งเมื่อเทียบกับความสูงของยอดเอเวอร์เรสต์แล้ว มันสูงกว่าถึง 1.6 กิโลเมตร
มนุษย์เรารู้จักร่องลึกนี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 หลังจากที่เรือ
H.M.S. Challenger ของสหราชอาณาจักร ได้ออกสำรวจมหาสมุทรต่างๆบนโลก ระหว่างปี ค.ศ.1872-1876 และได้ไปวัดความลึกของมาเรียน่า เทรนช์ เมื่อปี ค.ศ.1875 ครั้งนั้นวัดได้ความลึก 4,475 ฟาธอม หรือราว 8 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งเป็นการวัดโดยใช้เชือกผูกน้ำหนักถ่วงที่ปลายแล้วหย่อนลงไป จากนั้นในปี 1951 เรือ
H.M.S. Challenger II ได้กลับไปวัดใหม่อีกครั้ง โดยใช้อุปกรณ์ที่วัดความลึกจากเสียงสะท้อน (
Echo sounderเป็นโซนาร์ในยุคแรกๆ) ซึ่งครั้งนั้นวัดได้ 11 กิโลเมตร
Deepsea Challenger ที่ใต้ทะเลพื้นที่ส่วนใหญ่ของมาเรียน่า เทรนช์เป็นเขตที่สหรัฐอเมริกาประกาศเป็นพื้นที่อนุรักษ์ทางทะเล (
Marianas Trench Marine National Monument) ทำให้การจะเข้าไปทำการวิจัยทุกชนิดที่นั่นต้องได้รับการอนุมัติจากทางการของสหรัฐฯ แต่ชาเลนเจอร์ดีพนั้นเป็นพื้นที่ของรัฐอิสระที่มีชื่อว่า ไมโครนีเซีย (
Federated States of Micronesia) ซึ่งการจะลงไปสำรวจที่นั่นก็ต้องขออนุญาตจากเขาเช่นกัน
ในอดีตที่ผ่านมา มีมนุษย์เพียงสามคนเท่านั้นที่เคยลงไปที่นั่น สองคนแรกลงไปด้วยกันเมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ.1960 โดยใช้เรือดำน้ำลึกขนาดเล็กที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษชื่อว่า
Trieste ซึ่งจุดเด่นของเรือประเภทนี้คือ มีถังบรรจุน้ำมันเบนซินขนาดใหญ่อยู่ด้านบนห้องโดยสารที่ออกแบบไว้อย่างนั้น ก็เนื่องจาก น้ำมันเบนซินนั้นเบากว่าน้ำ ช่วยให้เรือสามารถลอยกลับขึ้นมาสู่ผิวน้ำได้ง่าย ขณะเดียวกันน้ำมันเบนซินก็สามารถรับแรงกดได้สูงกว่าน้ำ
การเตรียมเรือดำน้ำออกสู่ทะเลครั้งนั้นผู้ที่ลงไปพร้อมกับเรือดำน้ำ
Trieste คือ ดอน วอลช์ (
Don Walsh) ทหารเรืออเมริกัน และฌาคส์ พิคคาร์ด (
Jacques Piccard) ชาวสวิส ซึ่งเดิมทั้งสองวัดระยะความลึกได้ถึง 11,521 เมตร แต่ภายหลังเมื่อคำนวณใหม่ก็ลดลงเหลือ 10,916 เมตร ซึ่งใกล้เคียงกับค่าที่วัดได้ในปัจจุบันที่ราว 11,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล
การลงไปสำรวจใต้มหาสมุทรครั้งนั้น ใช้เวลาลงไปเกือบห้าชั่วโมงกว่าจะถึงจุดที่ลึกที่สุด ซึ่งเมื่อไปถึงแล้วทั้งสองบรรยายสภาพภายนอกที่มองออกไปจากกระจกหนาของหน้าต่างห้องโดยสารว่า พื้นมีลักษณะเป็นหินที่บดละเอียดและไม่ฟุ้งกระจาย มีปลาและกุ้งรูปร่างแปลกๆ ให้เห็นจำนวนหนึ่ง แต่ทั้งสองใช้เวลาที่นั่นได้เพียง 20 นาที ก่อนที่จะต้องปลดน้ำหนักถ่วงกว่าเก้าตันและระบายน้ำจากถังเก็บออกเพื่อให้เรือลอยกลับขึ้นสู่ผิวน้ำ เนื่องจากกระจกหน้าต่างเกิดรอยร้าวเวลากลับสู่ผิวน้ำนั้นใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงกับสิบห้านาทีเท่านั้น
เจมส์ คาเมรอน ในเรือดำน้ำหลังจากความสำเร็จของดอน วอลช์ และฌาคส์ พิคคาร์ด ก็ไม่มีใครลงไปสำรวจที่นั่นอีก จนกระทั่งเมื่อปี 2012 ผู้กำกับหนังชื่อดัง เจมส์ คาเมรอน (ผู้กำกับเรื่อง
Terminator, The Abyss, Titanic, Avatar) ได้ร่วมมือกับเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ลุยเดี่ยวลงไปที่ชาเลนเจอร์ดีพอีกครั้ง เขาใช้เรือดำน้ำทันสมัยชื่อ
Deepsea Challenger เป็นพาหนะดำลงไป ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ก็เพื่อประโยชน์ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งได้ถ่ายภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวจำนวนมากกลับไปด้วย เรือซึ่งยาว 7.3 เมตร สามารถจุคนได้เพียงคนเดียว ลำนี้ใช้เวลาสร้างในออสเตรเลียนานเกือบแปดปี ตัวเรือติดตั้งไฟส่องสว่างขนาดใหญ่ กล้องถ่ายภาพใต้น้ำหลายกล้องและแขนกลแบบหุ่นยนต์หนึ่งแขน สำหรับตักตัวอย่างดินและสัตว์ตัวเล็กๆ ที่อยู่ตามพื้น
Deepsea Challenger สามารถทนแรงกดได้ถึง 16,000 ปอนด์/ตร.นิ้ว มันยังต่างจากเรือดำน้ำลึกอื่นๆ ทั้งหมดที่ดำลงไปในแนวตั้งตลอด เช่นเดียวกับเวลาที่กลับขึ้นสู่ผิวน้ำ การออกแบบและสร้างที่ผิดพลาดไม่ได้เลย เพราะมันหมายถึงชีวิตของเขาเองที่อาจต้องทิ้งไว้ใต้บาดาลนั่น
คาเมรอนใช้เวลาในการดำดิ่งลงไปประมาณสองชั่วโมง เขาเล่าถึงความรู้สึกขณะอยู่ในเรือที่ต้องงอขาตลอดเวลาและยื่นแขนออกไม่ได้ว่า เวลาที่ยังอยู่บนผิวน้ำรู้สึกร้อนจัดเหมือนกับอยู่ในห้องเซาน่า แต่เมื่อดำลึกลงไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกเย็นมากขึ้นๆ ราวกับอยู่ในตู้แช่ เช่นเดียวกับแสงสว่างที่ค่อยๆ ลดลงตามความลึกที่ดำลงไป จนมืดสนิทเมื่อผ่านความลึกที่ 3,300 ฟุตลงไป
เรือเดินสมุทรลำเลียงเรือดำน้ำสู่พื้นที่เป้าหมายนอกเหนือจากประโยชน์ในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ร่วมมือกับเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก สิ่งที่หลายคนคาดหวังจากการเสี่ยงชีวิตดำดิ่งลงไปของ เจมส์ คาเมรอน ในครั้งนี้ คือ หวังว่าเขาอาจได้แรงบันดาลใจบางอย่าง ที่อาจนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ให้ชาวบ้านได้รับชมกันต่อไปในอนาคต เช่นเดียวกับการสร้างภาพยนตร์เรื่องไททานิค ที่เขาต้องดำลงไปใต้มหาสมุทร แอตแลนติกถึง 33 ครั้ง เพื่อเก็บข้อมูล
เจมส์ คาเมรอน สัมภาษณ์ถึงความสำเร็จว่า เขาไม่ได้ลงไปเพื่อการสร้างสถิติแต่อย่างใด แต่เป็นความฝันและความอยากรู้แบบที่เกิดกับนักวิทยาศาสตร์ที่ต้องการรู้ต้องการเห็นบางสิ่งบางอย่าง และเขาหวังว่าสิ่งที่เขาได้จากการลงไปสำรวจของเขาจะเป็นประโยชน์ต่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ก่อนที่มนุษย์จะทำลายมันไป
Deepsea Challenger ลงสู่มหาสมุทรณ จุดที่ลึกที่สุดใต้สมุทรของโลกนั้นแสงแดดส่องลงไปไม่ถึง น้ำจึงมีความเย็นจัด คือราว 1-4 ํc เท่านั้น ขณะที่แรงกดของน้ำสูงก็ถึง 1,000 เท่าของแรงกดที่ระดับน้ำทะเล จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เรือดำน้ำรวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้งไปด้วยจะต้องมีความแข็ง แรงทนทานขนาดไหน และทำไมเรือ
Deepsea Challenger จึงต้องใช้เวลาสร้างนานขนาดนั้น
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ใต้มหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลจำนวนมากที่ยังไม่รู้จัก ไม่นับสัตว์เล็กๆ จำพวก
Microbe (จุลินทรีย์) ประมาณกันว่าอีกกว่า 750,000 ชนิดของสัตว์น้ำใต้ทะเลที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่มีข้อมูล ซึ่งจากภาพถ่ายของเรือดำน้ำแบบไม่มีคนลงไปด้วย และจากการบอกเล่าของเจมส์ คาเมรอน ทำให้ทราบว่า ที่จุดลึกที่สุดของโลกนั้นพบว่ามีแต่สัตว์ขนาดเล็กจำพวกกุ้งและหนอนที่มีความยาวไม่เกินหนึ่งนิ้วอาศัยอยู่ แต่พบสัตว์พวก
Microbe จำนวนมาก
แผนที่แสดงบริเวณลึกที่สุดบนโลกปี 1989 เจมส์ คาเมรอน ได้เป็นผู้เขียน บทและกำกับภาพยนตร์เรื่อง
The Abyss เนื้อเรื่องเกี่ยวกับการลงไปกู้ซากเรือดำน้ำของสหรัฐฯที่จมลงใต้มหาสมุทรแอตแลนติกในจุดที่ลึกมาก ซึ่งครั้งนั้นเขาสร้างจากจินตนาการล้วนๆ และฉากใต้น้ำส่วนใหญ่ก็ทำในแท็งก์น้ำขนาดยักษ์ที่สร้างขึ้นเพื่อถ่ายทำโดยเฉพาะ แต่การลงไปสำรวจยังจุดที่ลึกที่สุดในโลกครั้งนี้เป็นของจริงทั้งหมด ซึ่งคาเมรอนได้ถ่ายเหตุการณ์ต่างๆ เก็บไว้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสร้างเรือ การทดสอบ จนถึงการนำไปใช้งานจริง รวมทั้งภาพจากกล้องหลายตัวที่ติดตั้งไปกับเรือดำน้ำ จนกระทั่งเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจที่ใช้งบมหาศาลและต้องเอาชีวิตของตนเองไปเสี่ยง เขาจึงนำมาตัดต่อให้เป็นภาพยนตร์สารคดีเรื่อง
Deepsea Challenger ในรูปแบบของ 3
D ที่จะช่วยให้เราได้เห็นถึงการผจญภัยอันยิ่งใหญ่ และการท้าทายขีดจำกัดของมนุษย์ ณ จุดที่ลึกที่สุดบนโลกของเขาในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์บนจอภาพยนตร์ที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การสำรวจของโลก