.เคี้ยวเพื่อลืมดร.ฟิล บีแมน นักวิจัยจากโรงเรียนจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์ทางภาษา มหาวิทยาลัยรีดิง ประเทศอังกฤษ
เปิดเผยวิธีรักษา "เอียร์เวิร์ม" หรือ "เบรนเวิร์ม" ภาวะย้ำคิดย้ำทำชั่วขณะ เช่น การคิดวนเวียนถึงเนื้อเพลง
หรือทำนองของเพลงหนึ่งๆ ที่เพิ่งได้ยิน ซึ่งบางครั้งอาจติดอยู่ในหัวเป็นเวลานานหลายวันจนน่ารำคาญ
จากการทดลองให้ผู้ร่วมวิจัย 98 คนฟังเพลงฮิตติดหู จากนั้นให้กลุ่มที่หนึ่งเคี้ยวหมากฝรั่ง ส่วนกลุ่มที่สอง
ใช้นิ้วเคาะโต๊ะ โดยระบุว่าถ้าระหว่างเคี้ยวหมากฝรั่งหรือเคาะโต๊ะ หากนึกถึงเพลงที่เพิ่งได้ยินให้กดปุ่ม
แจ้งเจ้าหน้าที่ หลังจากผ่านไป 3 นาที ปรากฏว่า กลุ่มเคี้ยวหมากฝรั่งนึกถึงเพลงที่ได้ฟังน้อยลงมาก
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การเคี้ยวหมากฝรั่งทำให้ผู้ร่วมทดลองพุ่งจุดสนใจไปที่ปาก ซึ่งตามระบบร่างกายนั้น
เมื่อมีอาหารหรือสิ่งของในปาก สมองจะสั่งการให้เคี้ยวเพื่อประมวลผล แยกรสชาติ รสสัมผัส ยิ่งผู้เคี้ยวรู้ว่า
เป็นหมากฝรั่งซึ่งไม่ควรกลืนลงคอ ยิ่งกระตุ้นให้ร่างกายมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการเคี้ยว และค่อยๆ ลืมนึกถึงเพลง
ที่ติดอยู่ในหัว ขณะที่การเคาะโต๊ะนั้น เมื่อเคาะไประยะหนึ่ง ร่างกายจะเคยชินกับกิจกรรม และเผลอเคาะโต๊ะไ
ปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว เสียงเพลงที่ได้ยินจึงยังผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว
และทำให้อธิบายได้ว่า ทำไมเวลาเคี้ยวหมากฝรั่งจึงมีความสุข และลืมคิดเรื่องเครียดๆ อย่างง่ายดาย
มลพิษกระทบสมองเดวิด คิว. ริช ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา มหาวิทยาลัยศูนย์แพทยศาสตร์รอเชสเตอร์ สหรัฐอเมริกา
เก็บข้อมูลน้ำหนักตัวของทารก 83,672 คนที่เกิดในเขตเทศบาลกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อปี 2551
ซึ่งปักกิ่งเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2008 เปรียบเทียบกับน้ำหนักของเด็ก
ที่เกิดในปี 2550 พบว่า เด็กที่ปฏิสนธิในปี 2551 ซึ่งรัฐบาลจีนใช้มาตรการควบคุมมลพิษ
ในช่วงจัดการแข่งขันนาน 7 สัปดาห์ ส่งผลให้มลภาวะลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์
ลดลงร้อยละ 60 คาร์บอนมอนอกไซด์ร้อยละ 43 รวมถึงฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน
มีน้ำหนักตัวมากกว่าเด็กที่เกิดในปี 2550 ถึง 2 เท่า
นักวิจัยอธิบายว่า น้ำหนักตัวลดลงไม่เพียงแต่ชี้ชัดให้เห็นถึงผลกระทบของมลพิษในอากาศต่อทารก
แต่ยังชี้ให้เห็นว่า มลภาวะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พัฒนาการของทารกล่าช้า ระบบร่างกาย
การพัฒนาอวัยวะต่างๆ รวมถึงระบบสมองไม่เป็นไปตามเกณฑ์ และส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อทักษะ
การใช้ชีวิตในภายหลัง ทั้งการเรียนรู้ การจดจำ การวิเคราะห์ข้อมูล และการแก้ปัญหา
กลิ่นความสุข"รอยยิ้ม" เป็นการแสดงออกที่บ่งบอกให้รู้ว่า คนๆ นั้นกำลังมีความสุขมากน้อยแค่ไหน แต่ไม่ใช่แค่รอยยิ้ม
อย่างเดียวเท่านั้นที่บอกได้ เพราะแม้แต่ "เหงื่อ" ก็มีสารเคมีที่ถ่ายทอดกลิ่นของความสุขออกมาเหมือนกัน
ทีมผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยยูเทรกต์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ติดแผ่นรวบรวมเหงื่อไว้ใต้รักแร้จาก
ผู้ร่วมทดลองระหว่างดูคลิปวิดีโอที่ให้ความรู้สึกแตกต่างกันไป ทั้งมีความสุข รู้สึกกลัว และเฉยๆ จากนั้น
นำไปตัดแบ่ง และให้ผู้ร่วมทดสอบซึ่งติดเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อ (อีเอ็มจี) เพื่อจับความ
เคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าที่เปลี่ยนไปเมื่อได้รับกลิ่น หรือ ที่เรียกว่า "คีโมซิกนอลลิง"
ปรากฏว่า เมื่อผู้ร่วมทดสอบดมกลิ่นเหงื่อที่ได้ขณะมีความสุข กล้ามเนื้อใบหน้าบริเวณปาก และดวงตา
มีการเคลื่อนไหว ต่างจากเวลาดมกลิ่นเหงื่อที่มาจากช่วงอารมณ์เฉยๆ ซึ่งไม่มีการเคลื่อนไหว
ของกล้ามเนื้อใบหน้าที่ชัดเจน
นักวิจัยอธิบายว่า ก่อนหน้านี้เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า มนุษย์รับรู้ความกลัว ความเครียด และอาการประหม่า
ของผู้อื่นผ่านทางกลิ่นเหงื่อที่ส่งออกมาได้ แต่ไม่น่าเชื่อว่ากลิ่น ของความสุขจะมีผลในทิศทางเดียวกัน
ยีนขี้เกียจศาสตราจารย์สตีเฟ่น เพทริล ผู้เชี่ยวชาญ จากมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ค้นพบว่า
"ความขี้เกียจ" มีผลสืบเนื่องส่วนหนึ่งมาจาก "พันธุกรรม" จากการศึกษาพฤติกรรม
เด็กชายหญิงฝาแฝดอายุระหว่าง 3-16 ปี จำนวน 13,000 คน จาก 6 ประเทศ คืออังกฤษ
แคนาดา เยอรมนี รัสเซีย สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ปรากฏว่าฝาแฝดที่แม้จะเรียนโรงเรียนต่างกัน
สภาพแวดล้อมไม่เหมือนกัน แต่นิสัยเฉื่อยชา ไม่มีสมาธิ และขี้เกียจเรียน กลับอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
ถือเป็นการยืนยันให้เห็นว่า นอกจากอัจฉริยภาพจะสามารถถ่ายทอดผ่านพันธุกรรมได้แล้ว
ลักษณะนิสัยของพ่อแม่ยังส่งต่อมาสู่ลูกได้อย่างไม่น่าเชื่อ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพันธุกรรม จะมีผลต่อพฤติกรรมของเด็กมากแค่ไหน แต่การปลูกฝังให้รักการเรียน
ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็สามารถปรับเปลี่ยนและแก้ไขนิสัยที่บกพร่องได้
เกมกับชีวิตดร.แอนดี้ พริซีบีลสกี จากสถาบันอินเตอร์เน็ตมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ
ศึกษาพฤติกรรมการเล่นเกมของวัยเรียน วัยโจ๋จนพบว่า การเล่นเกมที่เน้นความรุนแรง
ไม่มีผลต่อพฤติกรรมก้าวร้าวเท่ากับระยะเวลาที่เด็กๆ ใช้เล่นเกมต่อวัน จากการเก็บข้อมูล
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น อายุระหว่าง 12-13 ปี จำนวน 200 คน
โดยสอบถามถึงประเภทเกมที่เล่น และระยะเวลาในการเล่นแต่ละวัน ก่อนนำไปเปรียบเทียบ
กับผลรายงานความแปรปรวนทางอารมณ์จากครูประจำชั้น
ปรากฏว่าเด็กที่เล่นเกมมากกว่าวันละ 3 ชั่วโมง และมากกว่าสัปดาห์ละ 3 วัน มีแนวโน้มว่า
จะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความรุนแรงในชีวิตจริง โดยเฉพาะการทะเลาะชกต่อย ขโมยของ
และทำผิดกฎหมาย มากกว่าเพื่อนที่เลือกเล่นเกมประเภทต่อสู้ อาชญากรรม และใช้ความรุนแรง
แต่เล่นไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมง และไม่เกิน 3 วันต่อสัปดาห์ นั่นเป็นเพราะการเล่นเกมบ่อยๆ นานๆ
จะทำให้เด็กเสพติดเกม หลงคิดว่าเรื่องราวในเกมคือส่วนหนึ่งของชีวิตจริง แม้จะไม่ได้เล่นเกม
ต่อสู้รุนแรง แต่ก็ยึดติดกับเกมเกินไป
เมื่อเล่นไม่ได้ตามความคาดหวังก็หงุด หงิด และกลายเป็นอารมณ์แปรปรวนในที่สุด
เพาเวอร์แน็พศาสตราจารย์เอเซล เมคลินเกอร์ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยซาร์แลนด์ ประเทศเยอรมนี
ทดลองโดยให้นักเรียนท่องจำคำศัพท์เดี่ยวๆ 90 คำ และคำผสมที่ไม่ได้มีความหมายใหม่อีก
120 คำ จากนั้นแบ่งเด็กๆ ออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ดูโทรทัศน์คลายเครียด อีกกลุ่ม
ให้นอนหลับ โดยทั้งสองกลุ่มใช้เวลาเท่ากันที่ 45 นาที เมื่อทดสอบความทรงจำว่าคำศัพท์
ที่เรียนรู้ไปก่อนหน้านี้มีอะไรบ้าง ปรากฏว่านักเรียนในกลุ่มที่นอนหลับสามารถตอบถูกเกือบทั้งหมด
ต่างจากเพื่อนร่วมระดับชั้นในกลุ่มพักผ่อนด้วยการดูทีวี ซึ่งส่วนใหญ่จำไม่ได้ว่ามีคำอะไรบ้าง
ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า การนอนหลับแบบมีประสิทธิภาพ หรือ "เพาเวอร์แน็พ" คือ หลับสนิทและหลับลึก
ในช่วงสั้นๆ แม้จะไม่เกิน 1 ชั่วโมง แต่ก็มากพอที่จะกระตุ้นการทำงานของระบบสมองให้ดีขึ้น โดยเฉพาะ
การจดจำที่แม่นยำมากกว่าสมองซึ่งไม่ได้รับการพักผ่อนถึง 5 เท่าเลยทีเดียว สรุปได้ว่าการเรียน
หรือทำงานต่อเนื่องที่หักโหมเกินไปย่อมไม่ส่งผลดีต่อสมอง การหยุดพักเพื่อให้ร่างกายได้ชาร์จพลังงาน
และให้เวลาสมองได้จัดการเรียบเรียงความคิดเป็นระบบระเบียบ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ รวมถึงการคิดวิเคราะห์
ของย่อมมีประสิทธิภาพสูงสุด
ภัยแก๊ดเจ็ต ทีมวิจัยมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก พบว่าการใช้ สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์
ระหว่างดูโทรทัศน์ นอกจากจะเป็นการสิ้นเปลืองไฟฟ้าและเสียสมาธิแล้ว ยังมีผลลัพธ์ร้ายแรงต่อระบบสมอง
ถึงขั้นลดระดับความสามารถทางเชาวน์ปัญญา (ไอคิว) ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจากการทำงานแบบ
"มัลติ-ทาส์กกิง" หรือการทำงานหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน ทำให้สมองต้องแบ่งส่วนทำงาน
ซ้ำร้ายยังกระทบต่อสมองในส่วน "ฮิปโปแคมปัส" ซึ่งมีหน้าที่เก็บข้อมูลเข้าสู่หน่วยความทรงจำ ส่งผลให้
การจดจำมีความบกพร่อง เนื่องจากการใช้แก๊ดเจ็ตไฮเทคหลายๆ เครื่องในเวลาเดียวกัน จะทำให้
"สารแอล-โดพา" สารตั้งต้นของฮอร์โมนโดพามีน ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทไปกระตุ้นโดพามีน รีเซพเตอร์
อัตราการเต้นของหัวใจ รวมถึงความดันโลหิตจึงเพิ่มขึ้น ทำให้มีอารมณ์พึงพอใจคล้ายอาการเคลิ้มจากยาเสพติด
หากถูกกระตุ้นด้วยพฤติกรรมซ้ำๆ ก็จะหลั่งโดพามีนออกมาตามปกติ แต่หากไม่ถูกกระตุ้นหรือทำกิจกรรมอื่น
สารโดพามีนจะหยุดทำงาน ทำให้รู้สึกหงุดหงิดโมโหแทน
มนุษย์ยุคหินกินเห็ดแม้ "เห็ด" จะเป็นอาหารที่คนในปัจจุบันคุ้นเคยอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเห็ดฟางแบบไทย เห็ดหอมของจีน
หรือเห็ดแชมปิญองของชาวตะวันตก แต่เชื่อหรือไม่ว่ากว่า 18,700 ปีก่อน มนุษย์ก็บริโภคเห็ดแล้วเหมือนกัน
โรเบิร์ต เพาเวอร์ นักวิจัยจากสถาบันมักซ์พลังก์ ประเทศเยอรมนี เปิดเผยว่า ศพของ "เรดเลดี้แห่งเอลมิรอน"
ที่ขุดพบในถ้ำแห่งหนึ่งของแคว้นกันตาเบรีย ประเทศสเปน มีสปอร์ของเห็ดตับเต่า และเห็ดในตระกูลแอการิก
ปนเปื้อนอยู่ตามซอกฟันของเรดเลดี้ จึงเชื่อได้ว่ามนุษย์ก่อนยุคประวัติศาสตร์กินเห็ดหรือใช้เห็ดในพิธีกรรม
ทางความเชื่อ เนื่องจากเห็ดในตระกูลแอการิกเป็นเห็ดมีพิษ อาทิ เห็ดหมวกแดงจุดขาวเห็ดพิษขึ้นชื่อ
มีหลักฐานด้วยว่า มนุษย์ในยุคหินใหม่ราว 10,200-4,500 ปีก่อนคริสตกาล และยุคสัมฤทธิ์ประมาณ
1,206-1,150 ปีก่อนคริสตกาล ใช้เห็ดพิษซึ่งมีผลต่อระบบประสาทในพิธีกรรม
นอกจากนี้การตรวจสอบกระดูกฟันและช่องปากของเรดเลดี้ยังพบสตาร์ซ หรือพอลิแซ็กคาไรด์ที่พบ
ในเมล็ดธัญพืช พืชหัว และถั่วเมล็ดแห้ง ส่วนเนื้อสัตว์พบปนเปื้อนในปริมาณน้อย จึงสรุปได้ว่ามนุษย์
ยุคโบราณมีพฤติกรรมการกินเชื่อมโยงกับพืชผักมากกว่าเนื้อสัตว์ รวมถึงยังไม่มีอาหารที่ทำจากแป้ง
ซึ่งทีมนักโบราณคดีจะตรวจสอบต่อไปว่าสาเหตุการตายของเรดเลดี้ที่มีอายุเพียง 35-40 ปีเกิดจากอะไร
ตัวเมียใช้เครื่องมือดร.จิล พรูตซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวานรวิทยจากมหาวิทยาลัยรัฐไอโอวา สหรัฐอเมริกา
ศึกษาพฤติกรรมของฝูงชิมแปนซีซาวันนา-ดเวลลิงในประเทศเซเนกัล พบว่าแม้ลิงตัวผู้
จะเป็นกำลังหลักในการล่าสัตว์หาอาหารของฝูง แต่ชิมป์เพศเมียกลับนิยมใช้เครื่องมือ
ที่ทำขึ้นจากของรอบตัว เป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกช่วยให้การหาอาหารง่ายขึ้น
โดยเฉพาะการใช้กิ่งไม้ต่างหอกสำหรับล่าลิงบุชเบบี้ ลิงขนาดเล็กที่เป็นแหล่งโปรตีนสำคัญ
ของชิมแปนซี ซึ่งผลลัพธ์ในการใช้หอกกิ่งไม้นี้ก็เป็นที่น่าพอใจ เรียกได้ว่าล่าสำเร็จเกือบทุกครั้ง
จึงไม่แปลกที่ชิมแปนซีเพศเมียจะเลือกใช้เครื่องมือมากถึงร้อยละ 61 ในการล่าสัตว์
นอกจากจะบุกเดี่ยวล่าเองแล้ว ชิมแปนซีตัวเมียยังใช้เครื่องมือร่วมล่าสัตว์กับตัวผู้ด้วย
โดยชิมป์เพศเมียจะใช้หอกกิ่งไม้ไล่ลิงบุชเบบี้ที่ซ่อนตัวในพุ่มไม้หรือขอนไม้ ให้วิ่งเตลิดหนีไปอีกทาง
แต่แทนที่จะหนีรอดชิมแปนซีตัวผู้จะดักรออยู่อีกทาง และใช้ทักษะความว่องไวจับบุชเบบี้ด้วยมือเปล่า
ผู้เชี่ยวชาญยังอธิบายว่าการใช้เครื่องมือของชิมป์สาว อาจเกิดขึ้นจากความเสียเปรียบเมื่อเทียบกับ
พละกำลังและความแข็งแกร่งทางร่างกายของชิมแปนซีหนุ่ม ดังนั้นเพื่อความอยู่รอด รวมถึงการรักษา
สถานะในฝูงชิมป์ จ๋อสาวเหล่านี้เลยพัฒนาทักษะการล่าแบบใช้เครื่องมือนั่นเอง