ความรักระหว่างชายหญิงจะแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมก็ต่อเมื่อเรารู้สึก "เขินอาย" ในบางสิ่งบางอย่างที่ผูกเกี่ยวกับฝ่ายตรงข้าม เป็นต้นว่า ครั้งแรกที่เราตระหนักว่าหญิงหรือชายใดที่มีรูปหรือนามบางอย่างถูกใจเรา เรามักจะบันทึกเขาไว้ว่าเป็นผู้ที่เราพึงพอใจแต่เพียงเท่านั้น ความพอใจระดับนี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เราต้องการเอาธุระกับเขาในเชิงคนรัก แต่เมื่อใดที่เกิดเหตุการณ์บางอย่างทำให้เรารู้สึก "อาย" เรามักจะ "เพลิดเพลิน (นันทิ)" กับอาการ "อาย" นั้นจน "ยึด" เอามาเป็นสัญลักษณ์ในการปรากฎตัวของเขา สิ่งนี้ทำให้เราต้องการพบเขาบ่อยครั้งขึ้นเพราะต้องการสัมผัสอาการ "อาย" อย่างนั้นอีก เมื่อนั้นเราจะบันทึกลงไปในความทรงจำว่าเรา "ชอบ" เขา
เมื่อเราบันทึกว่าเรา "ชอบ" เขาแล้ว เราจะเริ่มดำเนินการตามความ "ยึดมั่นถือมั่น" เรื่องความ "ชอบ" ระหว่างชายหญิงที่มีบรรจุไว้แล้วในสามัญสำนึกของเรา หากเราบันทึกไว้ว่าคนชอบกันต้อง "ไปไหนมาไหนด้วยกัน" เราก็จะพยายามหากิจกรรมทำร่วมกันกับคนที่เราชอบ หากเราบันทึกไว้ว่าคนชอบกันต้อง "ช่วยเหลือเอื้ออาทรกัน" เราก็จะดูแลเอาใจใส่ช่วยเหลือคนที่เราชอบ ฯลฯ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆตามนิยามความ "ชอบ" ที่พวกเราแต่ละคนได้บันทึกเอาไว้ จนเมื่อมาถึงวันหนึ่งที่คนทั้งคู่ได้ดำเนินกิจกรรมร่วมกันจนครบถ้วนเพียงพอที่จะเปลี่ยนจากความ "ชอบ" มาเป็น ความ "รัก" ทั้งคู่ก็จะบันทึกไว้ในความทรงจำของกันและกันว่า "เรารักกัน" หากในอดีตเราสั่งสมประสบการณ์หลายอย่างที่แสดงให้ตนเองยึดมั่นถือมั่นว่า "ความรักเกิดขึ้นเนื่องมาจากความชอบ" เราก็มักจะเกิดความรักขึ้นพร้อมๆกับความชอบ ทำให้เราเป็นผู้ที่รักคนอื่นได้ง่าย หากในอดีตเราสั่งสมประสบการณ์ที่ทำให้ยึดมั่นถือมั่นว่า "ความรักเกิดจากการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนที่เราชอบ" เราก็มักจะเกิดความรักหลังจากได้ร่วมทุกข์รุ่มสุขกับผู้ที่เราชอบแล้ว ฯลฯ
เมื่อมีความรัก พวกเราส่วนใหญ่มักเกิดอาการข้างเคียงหลายๆแบบตามประสบการณ์ที่ตนได้เคยสั่งสมมา
ความ "ห่วงหาอาทร" บุคคลอันเป็นที่รักมักเกิดเนื่องจากเราได้สั่งสมประสบการณ์ "พลัดพราก" จากคนที่ตนรักทำให้เกิดความ "เคลือบแคลงสงสัย" จนกลายเป็นความ "กลัว" ว่าคนที่เรารักจะสูญหายไปอีก
ความ "หึงหวง" เมื่อมีความรัก มักเป็นผลมาจากในอดีตเราได้สั่งสมประสบการณ์ถูกแย่งคนรักในลักษณะต่างๆ จนกลายเป็นความ "กลัว" ว่าคนรักตนจะถูกผู้อื่นแย่งไปอีก สาเหตุที่เรามักแสดงอาการ "โกรธ" เมื่อเกิดความ "หึงหวง" นั้นเป็นผลมาจากการสั่งสมของ "โทสะ" ที่เรามีต่อปรากฎการณ์ถูกแย่งคนรักในอดีต หากท่านผู้อ่านทั้งหลายจะได้วิปัสสนาต่อไปถึงสาเหตุแห่ง "โทสะ" นี้ ท่านย่อมได้พบกับตัวตนอันมืดดำแห่งความ "ริษยา" ของตนเองที่แฝงอยู่ภายใน เมื่อเราพบมันแล้วเราก็จำเป็นต้องยอมรับว่าเรา "ริษยา" ที่หญิงหรือชายอันเป็นที่รักไปมีความสุขกับผู้อื่นนอกเหนือจากตนเอง และหากเรามาวิปัสสนากันต่อไปอีกว่าความ "ริษยา" นี้มีสิ่งใดเป็นปัจจัย ในที่สุดเราจะได้พบกับความ "กลัว" อีกชนิดหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจเรา เรา "กลัว" ว่าความสุขที่เกิดระหว่างตนเองและคนรักจะหายไปเนื่องจากเขาไปมีความสุขร่วมกับคนอื่นด้วย อืม...ฟังดูแล้วไม่สมเหตุสมผลเลย เหตุใดเราจึงต้องสุขน้อยลงเมื่อคนอื่นมีความสุขร่วมกับคนรักของเรา ? สิ่งนี้ผู้เขียนขอฝากไว้ให้ท่านทั้งหลายได้นำไปวิปัสสนาต่อตามแต่ท่านจะเห็นสมควร
ความ "ต้องการทางเพศ" เมื่อมีความรักเป็นผลมาจากในอดีตเราได้สั่งสมประสบการณ์ในการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ตนรัก หากเรามีความต้องการทางเพศปรากฎขึ้นตั้งแต่เมื่อเริ่มชอบใคร นั่นแสดงว่าเราสั่งสมประสบการณ์การมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เราชอบมาแบบนั้นจนเป็นนิสัย หากเราจะวิปัสสนาต่อไปถึงสาเหตุที่เราจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอันเป็นที่รักแล้วพวกเราแต่ละคนย่อมมีคำตอบที่แตกต่างกันออกไป คนที่ตอบว่าเพราะต้องการ "สนองความใคร่" ต้องถามต่อว่าหากมีนาง/นายบำเรอที่สามารถสนองความต้องการทางเพศของเราได้ต่างหากแล้ว เรายังต้องการมีเพศสัมพันธ์กับหญิงหรือชายอันเป็นที่รักอีกหรือไม่ ? ทำไมเรายังต้องการร่วมเพศกับคนรักอีก ? อันที่จริงการ "ร่วมเพศด้วยความรัก" นั้นเป็นบท "สนทนา" ระหว่างคู่รักโดยใช้ร่างกายอย่างเป็นรูปธรรม เป็นเรื่องปกติที่จะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ตามเหตุปัจจัย การที่เรายึดมั่นถือมั่นว่าตนจำเป็นต้อง "สนทนา" กับคนรักโดยใช้ร่างกายนั้นแสดงว่าเรา "กลัว" ว่าการใช้ใจอย่างเดียวจะไม่พอ เรา "กลัว" ว่าความรักที่ตนและคนรักมีให้แก่กันและกันจะพร่องหายไปหากปราศจากการสัมผัสส่วนลึกของร่างกายอย่างเป็นรูปธรรม
ความห่วงหาอาทร ความหึงหวง และความต้องการทางเพศ ที่เกิดเมื่อเรามีความรักมักแปรเปลี่ยนไปตามเวลาและคู่กรณีซึ่งตั้งอยู่บนฐานของกฎแห่งกรรม ในบางเวลาเราสามารถรักผู้อื่นได้โดยไม่ต้องหึงหวง แต่บางเวลาเราก็สามารถหึงหวงผู้อื่นได้โดยไม่ต้องรัก ในบางเวลาสำหรับคนบางคนเราสามารถรักเขาได้โดยไม่ต้องมีความสัมพันธ์ทางเพศด้วยกัน แต่สำหรับคนบางคนเราก็สามารถมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเขาได้โดยไม่ต้องรัก ดังนั้นสำหรับบางกรณี ความชอบ ความรัก ความหึงหวง ความต้องการทางเพศ อาจเป็นเรื่องๆเดียวกัน แต่บางกรณีก็เป็นคนละเรื่อง และคนที่สร้างเรื่องก็คือ "ตัวเราเอง" ผู้อื่นเป็นเพียงตัวละครที่เรานำมาผูกกับตนไว้ตามกฎแห่งกรรมเท่านั้น
หากเรายังสร้างเรื่องรักที่มีแต่ความ "ห่วงหาอาทร" ต่อไป เราก็จะสั่งสม "ความกลัว" ในอันตรายจากการพลัดพรากนี้ต่อไปเรื่อยๆไม่รู้จบ ความกลัวการ "พลัดพราก" นี้ย่อมมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป ว่าไปแล้วก็คล้ายๆกับการ "เพ่งกสิณ" ชนิดหนึ่ง เราเพ่งหาน้ำเราก็ได้น้ำ เราเพ่งหาดินเราก็ได้ดิน เราเพ่งหาความพลัดพรากเราก็ย่อมได้ความพลัดพรากเป็นธรรมดาเมื่อถึงเวลาอันสมควร
หากเรายังสร้างเรื่องรักที่มีแต่ความ "หึงหวง" ต่อไป เราย่อมได้ชื่อว่าสั่งสม "ความกลัว" ในการถูกแย่งคนรักต่อไปเรื่อยๆ กิจกรรมนี้ทำให้เราเพ่งลงไปในการ "ถูกแย่งคนรัก" โดยไม่รู้ตัว เมื่อพลังเพ่งของเรามากพอ เราย่อมถูกแย่งคนรักไปตามเหตุปัจจัยเป็นเรื่องธรรมดา
หากเรายังสร้างเรื่องรักที่มีแต่ความ "ต้องการทางเพศ" ต่อไป "ความกลัว" ในการพร่องหายของความรักเมื่อไม่ได้สัมผัสร่างกายของกันและกันก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราเพ่งลงไปใน "การพร่องหายของความรักเมื่อไม่ได้สัมผัสร่างกาย" ต่อไปเรื่อยๆจนได้ที่ ความรักของเราที่มีต่อภรรยา/สามีก็ย่อมจืดจางลงเมื่อเราไม่ได้สัมผัสร่างกายเขาในที่สุด
ความรักที่ผู้เขียนมีประสบการณ์ครั้งล่าสุดนี้ (เล่าไว้ในบทความก่อนหน้านี้) มีครบทั้ง ความห่วงหาอาทร ความหึงหวง และความต้องการทางเพศ ซึ่งเป็นของเดิม (กิเลส) ในอดีตที่ผู้เขียนสั่งสมร่วมกันมากับคู่กรณี ดีว่าตนได้ใช้วิบากแห่งความหึงหวงมามากแล้วก่อนจะมาพบกับคู่กรณี ความรู้สึกนี้จึงเบาบางลงมากเหลือแค่ไม่เกิน 1 นาทีต่อครั้ง ความจริงที่ผู้เขียนสัมผัสได้แล้วก็คือกิเลสเหล่านี้ไม่ได้แสดงตัวตลอดเวลาและไม่ได้มีพลานุภาพน่าเกรงกลัวอย่างที่คิดเอาไว้ แม้เราจะห่วงหาอาทรในตัวเขาจนน้ำตาไหลและต้องการสัมผัสร่างกายเขาก็ตามที แต่ทั้งหมดนี้ก็แสดงตัวเฉพาะเวลาที่เราไม่ได้เจอหน้าเขาเท่านั้น ในวินาทีที่เราสัมผัสเขาด้วยสายตาและวาจา กิเลสเหล่านี้ก็ได้บรรลุวัตถุประสงค์ของมันเรียบร้อยแล้วจึงกลายเป็นความโล่งโปร่งสบายทุกครั้งเมื่อเราได้เจอกัน หากผู้เขียนมี "นันทิ (ความเพลิดเพลิน)" ในอารมณ์ห่วงหาอาทรและความต้องการทางเพศอยู่ตลอดเวลาทั้งขณะพบหน้าและไม่ได้พบหน้ากัน เวลานี้คงเป็นเวลาที่ผู้เขียนทรมานใจมากจากวิบากอันเป็นผลของกรรมที่ตนได้ก่อซ้ำของเดิมลงไปในปัจจุบัน นับเป็นโชคที่ผู้เขียนไม่ได้ก่อปัจจุบันกรรมขึ้น เมื่อใช้วิบากจากอดีตจนหมดสิ้นโดยไม่มี "นันทิ" ผู้เขียนย่อมเป็นอิสระจากคู่กรณีได้ในที่สุด ต้องขอบคุณน้ำตาและความเจ็บปวดที่ได้เกิดขึ้นแก่ผู้เขียนอย่างเต็มที่และไร้เหตุผลในระยะเวลาอันสั้น การที่พวกเราสามารถใช้วิบากให้หมดไปได้โดยไม่ต้องอยู่กินกันนี้คงเป็นด้วยกรรมที่พวกเรากระทำกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันส่งผลแต่เพียงเท่านี้ และคงเป็นด้วยบุญบารมีที่พวกเราแต่ละคนถือกันมาปฏิบัติภารกิจในชาตินี้แสดงตัวแล้วเช่นนี้ เวลานี้คงเป็นเวลาสำหรับผู้เขียนและคู่กรณีได้ดำเนินชีวิตต่อไปตามวิบากชุดอื่นที่มีผลแรงกว่าและยังไม่ได้ชดใช้ เพื่อยังปณิธานของพวกเราให้สำเร็จลุล่วงทุกประการ
ความรักก็เกิดขึ้น เป็นไป และจบลงได้ด้วยประการฉะนี้
ขออานิสงค์จากธรรมทานนี้จงบังเกิดแก่ตัวละครทุกตัวในชีวิตผู้เขียนและท่านผู้อ่านทุกท่าน