หัวข้อ: สิคาลชาดก • อรรถกถากัณฏกวรรค ที่ ๑๕ พระโพธิสัตว์ปฏิสนธิ์ในกำเนิดหมาจิ้งจอก เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 18 เมษายน 2563 13:42:10 (https://lh3.googleusercontent.com/proxy/CRtpdzaT0KujsN_bjteExvithdyWtedVjCU5sbggs9tLk15Ph2qjSFCDBUdfr7AhNJbvafejAo0CPla_A3K83ALjm_qbzpaI79m3J83sXcjS) • อรรถกถากัณฏกวรรค ที่ ๑๕ ๒.สิคาลชาดก เอตํ หิ เต ทุราชานนฺติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรนฺโต เทวทตฺตสฺส วธาย ปริสกฺกนํ อารพฺภ กเถสิ ฯ พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับ ณ พระวิหารเวฬุวัน ทรงพระปรารภความตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่าพระองค์ของพระเทวทัต ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า เอตํ หิ เต ทุราชานํ ดังนี้ ฯ เรื่องย่อๆ มีว่า พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของพวกภิกษุในธรรมสภา แล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เทวทัตตะเกียกตะกายจะฆ่าเรา แม้ในครั้งก่อนก็เคยตะเกียกตะกายแล้วเหมือนกัน แต่ไม่อาจฆ่าเราได้ แต่ตนเองกลับต้องลำบากแย่ทีเดียว ทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้ อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺเต รชฺชํ กาเรนฺเต ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ปฏิสนธิ์ในกำเนิดหมาจิ้งจอก ได้เป็นพญาสิงคาล แวดล้อมด้วยหมู่หมาจิ้งจอกอยู่ในป่าช้า ครั้งนั้นในพระนครพาราณสีมีมหรสพ ฝูงคนพากันดื่มสุราโดยมาก ได้ยินว่ามหรสพนั้น ก็คือมหรสพดื่มสุรานั่นเอง ครั้งนั้นพวกนักเลงหลายคนด้วยกันชวนกันหาสุราและเนื้อมาเป็นอันมาก แล้วประดับประดาร่างกาย พากันขับร้องไปพลาง ดื่มสุราและกินเนื้อไปพลาง พอสิ้นยามแรกชิ้นเนื้อของพวกนั้นก็หมด แต่สุรายังมีมากทีเดียว ทีนั้นนักเลงคนหนึ่งเอ่ยว่า ให้เนื้อชิ้นเถอะ เมื่อได้รับคำตอบว่า เนื้อหมดแล้ว ก็พูดว่า เมื่อข้ายังอยู่ ไม่มีละที่จะพูดว่าเนื้อหมด แล้วพูดต่อไปว่า ข้าจักฆ่าหมาจิ้งจอกที่มากินเนื้อคนตายในป่าช้าผีดิบ เอาเนื้อมันมา คว้าไม้พลองออกจากพระนครทางช่องระบายน้ำไปสู่ป่าช้า นอนหงายถือพลอง ทำเป็นคนตาย ขณะนั้นพระโพธิสัตว์แวดล้อมด้วยฝูงจิ้งจอกไปในที่นั้น เห็นเขาแล้ว แม้จะรู้ว่านี่ไม่ใช่คนตาย คิดว่าต้องใคร่ครวญให้ละเอียดละออก จึงไปยืนใต้ลมของเขา สูดกลิ่นตัว ก็ทราบความที่เขายังไม่ตายโดยแน่นอนทีเดียว คิดว่าต้องให้เขาได้อายแล้วไล่ส่งไป จึงเดินไปกัดปลายพลอง ฉุดมา นักเลงไม่ยอมปล่อยพลอง แม้จะไม่มองดูพญาจิ้งจอกผู้เข้ามาใกล้ ก็คงยึดพลองนั้นไว้มั่นคงขึ้น พระโพธิสัตว์ถอยกลับไปแล้ว กล่าวว่า บุรุษผู้เจริญ ถ้าแกพึงเป็นคนตายแล้ว เมื่อเราลากพลองมา ก็ไม่น่าจะยึดไว้มั่นคง ด้วยเหตุนี้แกจะตาย หรือยังไม่ตาย รู้แน่ได้ยาก กล่าวคาถานี้ว่า
มีอรรถาธิบายว่า ไม้พลองของแกถูกข้ากัดปลายดึงมาไม่หลุดจากมือ เหตุที่แกนอนเหมือนคนตายนอนอยู่นั่นรู้แน่ได้ยากยจริง แต่แกจะได้เป็นคนที่เรียกว่าตายแล้วไม่ได้แน่นอน ฯ ครั้นพระโพธิสัตว์พูดอย่างนี้ นักเลงนั้น คิดว่า จิ้งจอกตัวนี้รู้ความที่เราไม่ตาย ก็ลุกขึ้นขว้างไม้พลองไป ไม้พลองผิด นักเลงกล่าวว่าไปเถิดมึง คราวนี้ข้าพลาดไป พระโพธิสัตว์หันกลับพูดว่า บุรุษผู้เจริญ แม้ถึงแกจะพลาดจากข้าแกก็คงไม่พลาดมหานรกแปดขุม อุสสทนรกสิบหกขุมเป็นแน่นอน แล้วหลบไป นักเลงไม่ได้อะไร ออกจากป่าช้าอาบน้ำในคู เข้าสู่พระนครตามเดิม พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า นักเลงในครั้งนั้น ได้มาเป็นเทวทัต ส่วนพญาสิงคาล ได้มาเป็น เราแล ฯ จบ สิคาลชาดก อรรถกถากัณฏวรรคที่ ๑๕ |