ขม..ค่ะึึ
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1014
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554 22:58:58 » |
|
พอรุ่งอรุณก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เทวดาฝ่ายฟ้อนร่อนรำถวายเป็นพุทธบูชา เมื่อพระมหาบุรุษทรงชนะมารแล้วนั้น พระอาทิตย์กำลังจะอัสดง ราตรีเริ่มย่างเข้ามา พระมหาบุรุษยังคงประทับนั่งไม่หวั่นไหวที่โพธิบัลลังก์ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัยด้วยวิธีที่เรียกว่า เข้าฌาน แล้วทรงบรรลุญาณ
ทรงบรรลุญาณทั้งสามของพระมหาบุรุษนั้นเรียกว่า ตรัสรู้ความเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเกิดขึ้นในคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หลังจากนั้น พระนามว่า สิทธัตถะก็ดี พระโพธิสัตว์ก็ดี ที่เกิดใหม่ตอนก่อนตรัสรู้ว่าพระมหาบุรุษก็ดี ได้กลายเป็นพระนามในอดีตหนหลัง เพราะตั้งแต่นี้ต่อไปทรงมีพระนามใหม่ว่า “อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” แปลว่า พระผู้ตรัสรู้ธรรมเครื่องหลุดพ้นจากกิเลสโดยชอบด้วยพระองค์เอง
ทวยเทพต่างบรรเลงดนตรีสวรรค์ ร่ายรำ ขับร้อง แซ่ซ้องถวายเป็นพุทธบูชาและกล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณกันทั่วหน้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"มิตรภาพที่แสนดี..ทำให้ทุกวินาทีมีความหมายเสมอ"
|
|
|
ขม..ค่ะึึ
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1014
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554 22:59:45 » |
|
เสด็จประทับโคนต้นไทร สามธิดามารมาประโลมล่อให้หลง ก็ไม่ทรงยินดี
พระยามารให้ธิดาทั้งสามนางเปลื้องภูษาอาภรณ์ทรงออก ด้วยกลทางกามารมณ์ต่างๆ เข้าไปประเล้าประโลมพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์สิ้นเชิงแล้วไม่ทรงแสดงพระอาการผิดปกติ แม้แต่ลืมพระเนตรแลมอง ด้วยพระพุทธเจ้าอยู่ห่างไกลจากกิเลสดังกล่าวมาโดยสิ้นเชิงนั่นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"มิตรภาพที่แสนดี..ทำให้ทุกวินาทีมีความหมายเสมอ"
|
|
|
ขม..ค่ะึึ
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1014
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
|
|
« ตอบ #22 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554 23:00:57 » |
|
ย้ายไปประทับโคนไม้จิก ฝนตกพรำ พญานาคมาขดขนดปกพระกายกำบังฝน เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับอยู่ที่นี่ ฝนเจือลมหนาวตกพรำตลอดเจ็ดวันไม่ขาดสาย พญานาคชื่อ “มุจลินทร์” ขึ้นจากสระน้ำที่อยู่ในบริเวณแห่งเดียวกันนี้ เข้าไปวงขนด ๗ รอบ แล้วแผ่พังพานปกพระพุทธเจ้าเพื่อป้องกันลมฝนมิให้พัด และสาดกระเซ็นมาต้องพระวรกาย ครั้นฝนหาย ฟ้าสาง พญานาคจึงคลาดขนดออก แล้วจำแลงแปลงเป็นเพศมาณพ ยืนเฝ้าพระพุทธเจ้าทางเบื้องพระพักตร์
(พระพุทธรูปปางนาคปรก สร้างขึ้นตามความเชื่อถือทางเมตตา)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"มิตรภาพที่แสนดี..ทำให้ทุกวินาทีมีความหมายเสมอ"
|
|
|
ขม..ค่ะึึ
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1014
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
|
|
« ตอบ #23 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554 23:01:39 » |
|
ทรงอุปมานิสัยเวไนยสัตว์ เปรียบด้วยดอกบัว ๔ เหล่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม หลังจากทรงพิจารณาดูอัธยาศัยของของคนในโลก แล้วทรงเห็นความแตกต่างแห่งระดับสติปัญญาของคนถึง ๔ ระดับ หรือ ๔ จำพวก
จำพวกที่หนึ่ง เหมือนดอกบัวเปี่ยมน้ำ พอได้รับแสงอาทิตย์ก็บาน จำพวกที่สอง เหมือนดอกบัวใต้น้ำ ที่จะโผล่พ้นน้ำ และที่จะบานในวันรุ่งขึ้น จำพวกที่สาม เหมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำลึกลงไปหน่อย ซึ่งจะแก่กล้าขึ้นมาบานในวันต่อๆ ไป จำพวกที่สี่ เหมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำลึกลงไปมาก ถึงขนาดไม่อาจขึ้นมาบานได้ เพราะตกเป็นภักษาของปลาและเต่าเสียก่อน
ครั้นแล้วพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาถึงบุคคลที่พระองค์จะเสด็จไปโปรด ทรงมองเห็นภาพของดาบสทั้งสองที่พระองค์เคยเสด็จไปทรงศึกษาอยู่ด้วย แต่ทั้งสองนั้นก็สิ้นชีพเสียแล้ว ทรงเห็นเบญจวัคคีย์ว่ายังมีชีวิตอยู่ จึงทรงตั้งพระทัยเสด็จไปโปรดเบญจวัคคีย์เป็นอันดับแรก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"มิตรภาพที่แสนดี..ทำให้ทุกวินาทีมีความหมายเสมอ"
|
|
|
ขม..ค่ะึึ
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1014
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
|
|
« ตอบ #24 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554 23:02:20 » |
|
สำแดงปฐมเทศนาธัมมจักรกัปปวัตนสูตร โปรดเบญจวัคคีย์ ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมครั้งแรกนี้ว่า “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” หรือเรียกโดยย่อว่า ธรรมจักร โดยเปรียบเทียบการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าครั้งนี้ว่า เหมือนพระเจ้าจักรพรรดิทรงขับจักรหรือรถศึกแผ่พระบรมเดชานุภาพ ต่างแต่จักรหรือรถศึกของพระพุทธเจ้าเป็นธรรม หรือธรรมจักร
พอแสดงธรรมกัณฑ์นี้จบลง โกณฑัญญะ ผู้หัวหน้าเบญจวัคคีย์ได้เกิดดวงตาเห็นธรรม คือ ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน พระพุทธเจ้าจึงเปล่งอุทานด้วยความเบิกบานพระทัย เมื่อเห็นโกณฑัญญะได้ฟังธรรมแล้วสำเร็จมรรคผลที่แม้จะเป็นขั้นต่ำ “อัญญาสิ วตโก โกณฑัญโญ ฯลฯ” แปลว่า “โอ ! โกณฑัญญะได้รู้แล้ว ได้สำเร็จแล้ว” ตั้งแต่นั้นมาท่านโกณฑัญญะจึงมีคำหน้าชื่อเพิ่มขึ้นว่า “อัญญาโกณฑัญญะ”
โกณฑัญญะฟังธรรมจบแล้ว ได้ทูลขอบวชเป็นพระภิกษุ พระพุทธเจ้าจึงทรงประทานอนุญาตให้ท่านบวช ด้วยพระดำรัสรับรองเพียงว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด” พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่าน ส่วนอีก ๔ ที่เหลือนอกนั้น ต่อมาได้สำเร็จและได้บวชเช่นเดียวกับพระโกณฑัญญะ
วันที่พระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงธรรม “ปฐมเทศนา” เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เป็นรุ่งขึ้นหลังจากเสด็จมาถึงและพบเบญจวัคคีย์ คือ วันอาสาฬหบูชา นั่นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"มิตรภาพที่แสนดี..ทำให้ทุกวินาทีมีความหมายเสมอ"
|
|
|
ขม..ค่ะึึ
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1014
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554 23:03:22 » |
|
พระพุทธองค์ทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์ แก่พระอรหันต์สงฆ์ในวันเพ็ญมาฆบูชา ภายหลัง พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร บวชแล้วไม่นาน พระพุทธเจ้าได้ทรงประชุมพระสาวกขึ้นใน วันเพ็ญกลางเดือนสาม ที่พระเวฬุวนาราม เมืองราชคฤห์ โดยมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน การประชุมพระสาวกครั้งนี้ ผู้นับถือศาสนาพุทธในสมัยก่อน ต่อมาเห็นเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญมาก จึงกำหนดถือวันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ที่เรียกกันอยู่ทุกวันนี้ว่า “วันมาฆบูชา”
การประชุมพระสาวกของพระพุทธเจ้าครั้งนี้ แปลกกว่าทุกคราวที่มีอยู่ในสมัยพุทธกาล คือ พระสาวกมีจำนวน ๑,๒๕๐ รูป แต่ละรูป แต่ละองค์ล้วนบวชกับพระพุทธเจ้า มีพระอุปัชฌาย์องค์เดียวกัน คือ พระพุทธเจ้า ล้วนเป็นพระอรหันต์ ต่างมาประชุมโดยไม่ได้นัดหมาย และพระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุม การประชุมพระสาวกครั้งนี้จึงเรียกอีกอย่างหนึ่ง ตามลักษณะแปลก ๔ ประการนี้ว่า “จาตุรงคสันนิบาต”
ในเวลานั้น กรุงราชคฤห์เป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นี่ บรรดาพระสาวกแยกย้ายกันออกไปประกาศพระศาสนาต่างได้ทราบว่า เวลานั้นพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จประทับอยู่ที่กรุงราชคฤห์ เมื่อเสร็จกิจประกาศพระศาสนาจึงต่างจาริกมาเฝ้า เมื่อมาพร้อมหน้ามากตั้งพันกว่า พระพุทธเจ้าจึงประชุมพระสาวกแสดงโอวาทปาติโมกข์
“โอวาทปาติโมกข์” คือ หลักการโดยสรุปของศาสนาพุทธ มีทั้งหลักคำสอนและหลักการปกครองคณะสงฆ์ มีทั้งหมด ๑๓ ข้อด้วยกัน เป็นพระวินัยพุทธบัญญัติทั้งหมด ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"มิตรภาพที่แสนดี..ทำให้ทุกวินาทีมีความหมายเสมอ"
|
|
|
ขม..ค่ะึึ
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1014
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
|
|
« ตอบ #26 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554 23:04:12 » |
|
เสด็จไปโปรดพระญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์ พระญาติผู้ใหญ่ถือว่าสูงอายุไม่ถวายบังคม
เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบว่าขณะนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จประทับเพื่อประกาศพระศาสนาอยู่ในแคว้นมคธ ด้วยพระทัยปรารถนาที่จะได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ทรงอยู่ในฐานะหนึ่ง คือ พระราชโอรส พระเจ้าสุทโธทนะจึงส่งคณะฑูตไปทูลอาราธนา ทุกคณะที่ส่งไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมแล้วสำเร็จอรหันต์ ทั้ง ๙ คณะ มีจำนวนถึงพันคน แต่ยังไม่มีท่านใดได้กลับมาทูลรายงานให้พระเจ้าสุทโธทนะได้ทราบ
พระเจ้าสุทโธทนะจึงทรงส่งคณะอำมาตย์ เป็นคณะที่ ๑๐ ไปอีก มี “กาฬุทายี” เป็นหัวหน้า ซึ่งเป็นผู้ที่คุ้นเคยและเป็นสหชาติ คือ เกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า ก่อนออกเดินทางไปทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า กาฬุทายีทูลขอลาบวช เมื่อบวชแล้วจะทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์ให้จงได้ พระเจ้าสุทโธทนะทรงอนุมัติ
ภายหลังเมื่อกาฬุทายี ได้ฟังธรรมจนสำเร็จอรหันต์ ได้ขอบวชเป็นพระสาวกพร้อมทั้งบริวารที่ติดตามไปแล้ว บังคมทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ พระพุทธเจ้าทรงรับคำทูลอาราธนา
จึงเสด็จพร้อมด้วยพระสาวก ๒ หมื่นรูป ขณะนั้นเป็นหน้าแล้ง ย่างเข้าหน้าฝน เสด็จออกเดินทางเป็นเวลาสองเดือน จึงถึงกรุงกบิลพัสดุ์ แล้ว เสด็จเข้าประทับในอารามของเจ้าศากยะผู้หนึ่ง ซึ่งชื่อว่า “นิโครธ” ซึ่งพวกเจ้าศากยะพระญาติจัดถวายให้เป็นที่ประทับ อารามในที่นี้ไม่ใช่วัด แต่เป็นสวน เป็นอุทยานอยู่นอกเมือง พวกพระประยูรญาติรวมทั้งพระเจ้าสุทโธทนะ ได้พากันมารับเสด็จและเฝ้าพระพุทธเจ้าที่อารามแห่งนี้
เจ้าศากยะ พระญาติวงศ์ของพระพุทธเจ้าที่เป็นชั้นผู้ใหญ่ ต่างถือองค์ว่าเป็นพระญาติผู้ใหญ่ มีพระชนม์สูงกว่าพระพุทธเจ้า ซึ่งขณะนั้นเพียง ๓๖ ปีกว่าๆ จึงไม่ถวายอภิวาทบังคม แต่ส่งเจ้าชายเจ้าหญิงศากยะเยาว์วัยกว่าพระพุทธเจ้า ออกไปอยู่แถวหน้า ให้ไหว้พระพุทธเจ้าแทน ส่วนพวกตนอยู่แถวหลังไม่ยอมไหว้
ด้วยเหตุดังกล่าวพระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ในอากาศ แล้วโปรยละอองธุลีพระบาทลงเหนือศีรษะของบรรดาเจ้าศากยะ
พระเจ้าสุทโธทนะซึ่งเสด็จมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงเห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนั้น จึงทรงประนมพระหัตถ์อภิวาทพระพุทธเจ้า ฝ่ายพระประยูรญาติทั้งปวงในที่นั้นก็ต่างสิ้นทิฐิมานะ แล้วถวายอภิวาทพระพุทธเจ้าพร้อมกันทั่วทุกองค์
“ในทันใดนั่นเอง มหาเมฆใหญ่ได้ตั้งเค้าขึ้นมา แล้วหลั่งสายฝนลงมาห่าใหญ่ ฝนนั้นเรียกว่า ‘โบกขรพรรษ’ มีสีแดง ผู้ใดปรารถนาหรือประสงค์ให้เปียก ย่อมเปียก ไม่ปรารถนาให้เปียก ก็ไม่เปียก โดยเม็ดฝนจะกลิ้งหล่นจากกายเหมือนหยาดน้ำกลิ้งจากใบบัว”
หมาบความว่า "พระญาติทุกพระองค์จากกันกับพระพุทธเจ้าเป็นเวลาช้านาน มาได้เห็นกันเข้า ก็ชื่นบาน เหมือนได้รับน้ำฝนชุ่มฉ่ำหฤทัย"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"มิตรภาพที่แสนดี..ทำให้ทุกวินาทีมีความหมายเสมอ"
|
|
|
ขม..ค่ะึึ
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1014
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
|
|
« ตอบ #27 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554 23:05:01 » |
|
พระพิมพาพิลาปรำพันถึงพระพุทธองค์ เสด็จพุทธดำเนินไปโปรดถึงในปราสาท พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระนางพิมพานี้ เป็นวันเดียวกับที่เสด็จไปทรงภัตตาหารในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดา มีพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ สองอัครสาวกตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาในการนี้
พระนางพิมพาทรงเศร้าโศกเสียพระทัย ด้วยเข้าพระทัยว่า พระนางถูกพระพุทธเจ้าทรงทอดทิ้ง ความเสียพระทัยมีมาก พระนางเสด็จดำเนินมาเองไม่ได้ ต้องจูงและประคองมา พอมาถึงที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ พระนางก็ล้มฟุบลง กลิ้งเกลือกพระเศียรลงเหนือพระบาทพระพุทธเจ้า แล้วพิลาปรำพันกันแสงแทบสิ้นสมปฤดี
พระพุทธเจ้าทรงรำลึกถึงความดีของพระนางพิมพาว่า เป็นสตรีที่จงรักภักดี ทรงซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระองค์มาหลายภพหลายชาติ พระนางก็เป็นคู่ทุกข์คู่ยากผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ตลอดมา
แล้วพระพุทธเจ้าตรัสชาดกอีกเป็นอันมากให้พระพุทธบิดา และพระนางพิมพาฟัง พระนางฟังแล้ว ทรงสร่างโศกและคลายความเสียพระทัย ทรงเกิดปีติโสมนัสในพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจบลง พระนางพิมพายโสธรา ก็ได้ทรงบรรลุพระโสดาบัน หรือโสดาปัตติผล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"มิตรภาพที่แสนดี..ทำให้ทุกวินาทีมีความหมายเสมอ"
|
|
|
ขม..ค่ะึึ
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1014
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
|
|
« ตอบ #28 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554 23:06:05 » |
|
ทรงมอบสมบัติพระนิพพานแก่พระราหุล โดยให้บรรพชาเป็นสามเณรองค์แรก เมื่อราหุลติดตามพระพุทธเจ้าไปถึงนิโครธาราม เพื่อทูลขอรัชทายาท และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่าสิ่งที่ราหุลขอนั้นเป็นสมบัติทางโลกไม่ยั่งยืน เต็มไปด้วยความทุกข์ในการปกปักรักษา ไม่เหมือนอริยทรัพย์ คือ ธรรมะที่พระองค์ได้ตรัสรู้มา ทรงพระพุทธดำริว่า “จำเราจะให้ทายาทแห่งโลกุตตระแก่ราหุล”
พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระสารีบุตรมา แล้วรับสั่งให้พระสารีบุตรเป็นอุปัชฌาย์ทำหน้าที่บวชสามเณรให้ราหุล ราหุลจึงเป็นสามเณรองค์แรกในทางพระพุทธศาสนา (เมื่ออายุครบบวช ต่อมาได้บวชเป็นพระภิกษุและได้สำเร็จอรหันต์)
พระเจ้าสุทโธทนะไม่อาจทรงระงับความทุกข์โทมนัสครั้งนี้ได้ จึงเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่นิโครธาราม แล้วทูลขอร้องพระพุทธเจ้าว่า ถ้าพระคุณเจ้ารูปใดจะบวชลูกหลานชาวบ้าน ก็ได้โปรดให้พ่อแม่เขาได้อนุญาตให้ก่อน เพราะถ้าไม่อย่างนั้นจะทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้เป็นพ่อแม่มาก ดุจที่พระองค์ได้รับเมื่อราหุลบวชในคราวนี้
พระพุทธเจ้าทรงรับตามที่พระเจ้าสุทโธทนะทรงขอร้อง จึงทรงบัญญัติพระวินัยไว้เป็นธรรมเนียมสืบมาจนทุกวันนี้ว่า ถ้าใครจะบวช ไม่ว่าจะบวชเป็นพระหรือบวชเป็นสามเณร ต้องได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ผู้ปกครองก่อน ธรรมเนียมกุลบุตรผู้จะบวชที่ถือพานดอกไม้เที่ยวกราบลาพ่อแม่ผู้ปกครอง ตลอดจนญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือทุกวันนี้ จึงเกิดจากกรณีดังกล่าวนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"มิตรภาพที่แสนดี..ทำให้ทุกวินาทีมีความหมายเสมอ"
|
|
|
ขม..ค่ะึึ
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1014
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
|
|
« ตอบ #29 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554 23:06:51 » |
|
ทรงพาพระนันทะไปชมนางฟ้า พระนันทะใคร่จะได้เป็นชายา ทรงรับรองจะให้สมหวัง
ต่อมาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์จำนวนมากได้เสด็จไปยังกรุงสาวัตถีแห่งแคว้นโกศล ซึ่งเป็นเมืองและแคว้นใหญ่พอๆ กับกรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ พระนันทะก็ได้ติดตามเสด็จไปด้วย
แต่ตลอดเวลานับตั้งแต่บวชแล้วเป็นต้นมา พระนันทะไม่เป็นอันปฏิบัติกิจของสมณะ ใจให้รุ่มร้อนคิดจะลาสึกอยู่ท่าเดียว เพราะความคิดถึงนางชนบทกัลยาณี เจ้าสาวคู่หมั้นซึ่งกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับตน
ท่านพระนันทะอึดอัดระอาเกลียดชังด้วยวาทะว่า เป็นลูกจ้าง และด้วยวาทะว่า เป็นผู้อันพระผู้มีพระภาคทรงไถ่มาของพวกภิกษุผู้เป็นสหาย จึงหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว อยู่ไม่นานนักก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดูกรนันทะ เมื่อใดแล จิตของเธอหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น เมื่อนั้นเราพ้นแล้วจากการรับรองนี้ ภิกษุใดข้ามเปือกตมคือกามได้แล้ว ย่ำยีหนามคือกามได้แล้ว ภิกษุนั้นบรรลุถึงความสิ้นโมหะ ย่อมไม่หวั่นไหวในเพราะสุขและทุกข์ พระนันทะพยายามจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์อีกรูปหนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลายเช่นกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"มิตรภาพที่แสนดี..ทำให้ทุกวินาทีมีความหมายเสมอ"
|
|
|
ขม..ค่ะึึ
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1014
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
|
|
« ตอบ #30 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554 23:08:06 » |
|
พระพุทธบิดาประชวร เสด็จโปรด กระทั่งสำเร็จพระอรหันต์แล้วนิพพาน พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งพระอานนท์ให้แจ้งข่าวพระสงฆ์ ถึงเรื่องที่พระองค์จะเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์อีกวาระหนึ่ง
ธรรมเนียมการเสด็จจาริกทางไกลของพระพุทธเจ้ามีอยู่อย่างหนึ่งคือ ก่อนเสด็จจะรับสั่งพระสงฆ์ที่อยู่ใกล้ชิดให้บอกข่าวพระสงฆ์ทั้งมวลว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จทางไกล ที่นั่น ที่นี่ เวลานั้น เวลานี้ พระสงฆ์รูปใดจะตามเสด็จก็จะได้เตรียมข้าวของอัฐบริขารไว้พร้อม
การเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ของพระพุทธเจ้าเพื่อทรงเยี่ยมพุทธบิดาที่กำลังทรงประชวรครั้งนี้ ดูเหมือนจะเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์ ได้เสด็จเข้าเยี่ยมพุทธบิดาซึ่งมีพระอาการเพียบหนักแล้ว ทรงแสดงธรรมโปรดพุทธบิดาด้วยเรื่องความเป็นอนิจจังของสังขาร พระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าครั้งนี้ไว้ตอนหนึ่งว่า “ดูกรบพิตร อันว่าชีวิตแห่งมนุษย์ทั้งหลายนี้น้อยนักดำรงอยู่ โดยพลันบ่มิได้ยั่งยืนอยู่ช้า ครุวนาดุจสายฟ้าแลบอันปรากฏมิได้นาน...”
พระเจ้าสุทโธทนะซึ่งทรงสำเร็จอนาคามิผลอยู่ก่อนแล้ว ได้สดับพระธรรมเทศนาตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ได้สำเร็จอรหันต์ในบั้นปลายแห่งพระชนม์ชีพ หลังจากนั้นอีก ๗ วันก็สิ้นพระชนม์ (ปรินิพพาน)
พระพุทธเจ้าเสด็จสรงน้ำพระศพพุทธบิดา และถวายพระเพลิง พร้อมด้วยพระสงฆ์ พระประยูรญาติ ชาวศากยะทั้งมวลจนเสร็จสิ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"มิตรภาพที่แสนดี..ทำให้ทุกวินาทีมีความหมายเสมอ"
|
|
|
ขม..ค่ะึึ
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1014
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
|
|
« ตอบ #31 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554 23:09:09 » |
|
เสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพระพุทธมารดา พระพุทธเจ้าเสด็จประทับจำพรรษาที่โคนต้นปาริฉัตร หรือต้นทองหลาง ที่พระแท่นแผ่นหิน ปูลาดด้วยผ้ากัมพลสีแดง เรียกว่า “บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์”
พระอินทร์จอมเทพทรงป่าวประกาศหมู่เทพยดาในสรวงสวรรค์ ให้มาร่วมชุมนุมเพื่อฟังธรรมเทศนาขององค์พระพุทธเจ้า เสียงป่าวประกาศก้องไปหมื่นโยชน์ จนตลอดถึงหมื่นจักรวาล
แม้พระนางสิริมหามายา พระพุทธมารดา ซึ่งทรงอยู่ในเพศเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิต ก็ได้เสด็จมาฟังธรรมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงแสดงอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดาตลอดพรรษา พระพุทธมารดาได้สดับแล้วทรงบรรลุโสดาปัตติผลในที่สุด ส่วนเทพนอกนั้นอีกจำนวนมากได้บรรลุมรรคผลตามสมควรอุปนิสัยแห่งตน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"มิตรภาพที่แสนดี..ทำให้ทุกวินาทีมีความหมายเสมอ"
|
|
|
ขม..ค่ะึึ
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1014
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
|
|
« ตอบ #32 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554 23:10:08 » |
|
ถึงวันมหาปวารณา เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โดยบันไดแก้ว บันไดทอง บันไดเงิน พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก หลังเสด็จจำพรรษาบนสวรรค์ เพื่อแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดาแล้ว วันที่เสด็จลงคือ วันออกพรรษา เมืองที่เสด็จลงคือเมืองสังกัสนคร เสด็จลงตรงประตูเมือง พระบาทแรกที่ทรงเหยียบพื้นโลกนั้น ต่อมาได้กลายเป็นสถานที่ระลึกเรียกว่า “อจลเจดีย์” เรียกอย่างไทยเราก็ว่า “รอยพระพุทธบาท” ตามตำนานเป็นที่แห่งหนึ่งซึ่งมีรอยพระพุทธบาทปรากฏอยู่
นับแต่นั้นมาถือกันว่า วันออกพรรษาเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง จึงนิยมทำบุญตักบาตรกันในวันนี้ เพราะถือว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกการตักบาตรนี้ว่า “ตักบาตรเทโว” ย่อมาจาก “เทโวโรหณะ” แปลว่า ตักบาตรเนื่องในวันคล้ายวันพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลกนั่นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"มิตรภาพที่แสนดี..ทำให้ทุกวินาทีมีความหมายเสมอ"
|
|
|
ขม..ค่ะึึ
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1014
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554 23:10:53 » |
|
เช้าวันเพ็ญเดือน ๖ ทรงเสวยมังสะสุกรอ่อน ที่บ้านนายจุนทะ นับเป็นปัจฉิมบิณฑบาต เวลาเช้าวันรุ่งขึ้น นายจุนทะได้ถวายอาหารพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ที่บ้านของตน อาหารอย่างหนึ่งที่นายจุนทะปรุงถวายพระพุทธเจ้าในวันนี้มีชื่อว่า “สูกรมัททวะ” (แปลตามตัว สูกร-สุกร หรือหมู มัททวะ-อ่อน)
พระพุทธเจ้าตรัสบอกนายจุนทะให้จัดถวายสูกรมัททวะนั้น ถวายแต่เฉพาะพระองค์ ส่วนอาหารอย่างอื่นให้จัดถวายพระสงฆ์ และเมื่อพระพุทธเจ้าทรงฉันเสร็จแล้ว รับสั่งให้นายจุนทะ นำเอาสูกรมัททวะที่เหลือจากที่พระองค์ทรงฉันแล้วไปฝังเสียที่บ่อ เพราะคนอื่นนอกจากพระองค์นั้นฉันแล้ว ร่างกายไม่อาจจะทำให้อาหารนั้นย่อยได้
เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้นายจุนทะฟังเป็นที่ชื่นชม รื่นร่มในกุศลบุญจริยาของตน แล้วทรงอำลานายจุนทะเสด็จต่อไปยังเมืองกุสินาราต่อไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"มิตรภาพที่แสนดี..ทำให้ทุกวินาทีมีความหมายเสมอ"
|
|
|
ขม..ค่ะึึ
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1014
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
|
|
« ตอบ #34 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554 23:11:42 » |
|
ทรงยกพระธรรมวินัยไตรปิฎกเป็นศาสดา ประทานปัจฉิมโอวาทแล้วปรินิพพาน
ก่อนเสด็จปรินิพพาน คือภายหลังทรงแสดงธรรมโปรดสุภัททะปริพาชกให้สำเร็จมรรคผลแล้ว ตรัสประทานโอวาทเป็นพระพุทธดำรัสสั่งเป็นครั้งสุดท้าย ทรงตรัสสั่งว่า พระที่มีอายุพรรษามากให้เรียกพระบวชภายหลังตน หรือที่อ่อนอายุพรรษากว่าว่า “อาวุโส” หรือ “คุณ” ส่วนพระภิกษุที่อ่อนอายุพรรษา พึงเรียกพระที่แก่อายุพรรษากว่าตนว่า “ภันเต” หรือ “ท่าน”
ครั้นแล้วทรงเปิดโอกาสให้พระสงฆ์ทั้งปวงทูลถาม ว่า ท่านผู้ใดสงสัยอะไรในเรื่องที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้แล้ว ก็ให้ถามเสีย จะได้ไม่เสียใจเมื่อภายหลังว่าไม่มีโอกาสถาม ในมหาปรินิพพานสูตรว่า ไม่มีพระสงฆ์องค์ใดทูลถามพระพุทธเจ้าในข้อสงสัยที่ตนมีอยู่เลย
เมื่อก่อนพระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพานนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตั้งพระสาวกองค์ใดให้รับตำแหน่งเป็นพระศาสดาปกครองพระสงฆ์สืบต่อจากพระองค์ เหมือนพระศาสดาในศาสนาอื่น เรื่องนี้ก็ไม่มีพระสงฆ์องค์ใดทูลถามพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสสั่งพระสงฆ์ไว้ชัดเจนก่อนจะปรินิพพานว่า พระภิกษุรูปใดอย่าเข้าใจผิดว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว ศาสนาพุทธหรือคำสั่งสอนของพระองค์จักไร้พระศาสดา
ตรัสบอกพระอานนท์ว่า “ดูก่อนอานนท์ ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราได้แสดงไว้ และบัญญัติไว้ด้วยดี นั่นแหละจักเป็นพระศาสดาของพวกท่าน สืบแทนเราตถาคตเมื่อเราล่วงไปแล้ว”
ครั้นแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสเป็นปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายว่า “ภิกษุทั้งหลาย ! บัดนี้เราขอเตือนพวกท่านให้รู้ว่า สิ่งทั้งหลายที่เกิดมาในโลกมีความเสื่อมสลายเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำหน้าที่อันเป็นประโยชน์แก่ตน และคนอื่นให้สำเร็จบริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
หลังจากนั้นไม่ได้ตรัสอะไรอีกเลย จนกระทั่งปรินิพพานในเวลาสุดท้ายของคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หรือวันเพ็ญวิสาขะ ณ ภายใต้ต้นสาละคู่ที่ออกดอกบานสะพรั่งเป็นพุทธบูชานั่นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"มิตรภาพที่แสนดี..ทำให้ทุกวินาทีมีความหมายเสมอ"
|
|
|
ขม..ค่ะึึ
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1014
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
|
|
« ตอบ #35 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554 23:13:20 » |
|
http://www.youtube.com/v/eB0DToaaVwk?autoplay=1&loop=1วันวิสาขบูชา ปวงข้าพเจ้าทั้งหลาย เหล่าพุทธมามกะ รำลึกถึงพระพุทธคุณอันประเสริฐ ของพระพุทธองค์นั้น ปวงข้าพเจ้าทั้งหลายจักตั้งอยู่ในศีลแลธรรมของศาสนา ขอนอบน้อมบูชา แด่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ด้วยพุทธานุภาพแห่งพระองค์ ขอปวงข้าพเจ้าทั้งหลาย ปราศจากทุกข์ พบสุขทั้งกายใจ แลรู้แจ้งในธรรม และศีลเทอญ
ขอบคุณ MV จาก YouTube.
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 กรกฎาคม 2554 00:46:24 โดย ขม..ค่ะึึ »
|
บันทึกการเข้า
|
"มิตรภาพที่แสนดี..ทำให้ทุกวินาทีมีความหมายเสมอ"
|
|
|
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์
เพศ:
United Kingdom
กระทู้: 7861
• Big Bear •
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 12.0.742.122
|
|
« ตอบ #36 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2554 08:54:59 » |
|
เจริญพรโยมอาจารย์ขม
ขออานิสสงส์ผลบุญสำเร็จแด่โยมอาจารย์ขม และครอบครัว
บุญรักษา ธรรมะคุ้มครอง
เจริญพร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
B l a c k B e a r : T h e D i a r y
|
|
|
|
กำลังโหลด...