มีคนไปถามผมในเว็บเว็บหนึ่งว่า
จิตคือสมอง หรือสมองคือจิต ใช่หรือเปล่า?
ตอบตอนที่เราเป็นมนุษย์ จิตคือสมอง และระบบประสาททั้งหมด เพราะเราจดจำได้(สัญญาขันธ์) รู้สึกได้(เวทนาขันธ์) คิดเรื่องราวสารพัดได้(สังขารขันธ์) เราต้องใช้สมองและระบบประสาททั้งหมด
- ดังนั้น เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ ซึ่งเป็นจิต ก็คือ สมอง และระบบประสาททั้งหมด
แล้วรูปขันธ์ วิญญาณขันธ์ล่ะ มันก็เป็นจิตด้วยนะ....ใช่
รูปขันธ์ วิญญาณขันธ์ = กาย พระพุทธเจ้าตรัสว่า
"ตถาคตเรียก ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง"จึงไม่ต้องเลยว่า รูปขันธ์ ก็เป็นจิตด้วย วิญญาณขันธ์ก็เป็นจิตด้วยเหมือนกัน วิญญาณขันธ์เป็นเหมือนแหล่งหลังงานให้กาย(รูปชันธฺ์) กายเปรียบเหมือนหุ่นยนต์ วิญญาณขันธ์เปรียบเหมือนแบตเตอรี่ หรือถ่านที่ใส่ในหุ่นยนต์ให้มันทำงาน
มหาวรรคที่ ๗
๑. อัสสุตวตาสูตรที่ ๑.....แต่ตถาคตเรียก ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง สรุปในระดับมนุษย์ ขันธ์ 5 หรือกาย ไม่เพียงเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ ที่เป็นจิตมนุษย์ ทำหน้าที่เป็น สมอง และระบบประสาททั้งหมด แม้แต่รูปขันธ์ วิญญาณขันธ์ มันก็เป็นจิตมนุษย์ด้วย รูปขันธ์(กาย)เปรียบเหมือนหุ่นยนต์ วิญญาณขันธ์เปรียบเหมือนแบตเตอรี่ หรือถ่านที่ใส่ในหุ่นยนต์ให้มันทำงาน
พูดอีกนัยหนึ่ง จิตมนุษย์ = ขันธ์ 5 (รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์)
อย่างไรก็ตาม เมื่อขันธ์ 5 ที่เป็นจิตมนุษย์ ตายหรือแตกสลาย สมองของเรามันได้คิดปรุงแต่ง จดจำ และบันทึกเรื่องราวต่างๆเอาไว้ในจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)แล้ว
ผมก็เคยบอกแล้วว่า จิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)มันมีโลกของมันอยู่ เรียกว่า โลกทิพย์ หรือโลกของจิตธาตุ หรือโลกของวิญญาณธาตุ พลังงานสมองได้สร้างตัวของเรา ที่เรียกว่า กายทิพย์หรืออทิสมานกายตัวใหม่เสร็จสมบูรณ์เมื่อเราdeadแล้ว เข้าไปอยู่ในโลกแห่งจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)
ผมเป็นคนหนึ่งที่ถอดจิตได้ จึงรู้ว่า กายทิพย์หรือกายฝันของเราในจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)...มันมีอยู่ และมันก็มีที่อยู่ของกายทิพย์(กายฝัน)ด้วย คือ นรก/สวรรค์/พรหมโลก พระพุทธเจ้าและฤาษีต่างๆ เป็นผู้ที่เข้าฌาน 4 ได้ และถอดจิตได้ พวกท่านจึงถอดจิตไปดูนรก/สวรรค์/พรหมโลก แล้วนำมาบอกมนุษย์ธรรมดา
จิตของพระพุทธเจ้าสงบที่สุดแล้ว และด้วยบุญบารมีที่สะสมมามากมาย (ผมจำไม่ได้ว่ากี่กัปกี่กัลป์) ทำให้พระพุทธองค์สามารถเปิดห้องจิตในจิตใต้สำนึกได้ทุกบาน ทำให้เข้าไปดูอดีตชาติได้ไม่สิ้นสุด แล้วยังท่องเที่ยวดูโลกและจักรวาลอื่นๆในทุกมิติได้ด้วย เพราะแม่กุญแจลับเปิดเข้าไปในโลกและจักรวาลต่างๆทุกมิติ มันอยู่ในจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต) ส่วนลูกกุญแจมันก็คือบุญบารมีของเรานั่นเอง
ในระดับกายทิพย์ จิตคือสมองของกายทิพย์หรือเปล่า กายทิพย์เป็นพลังงานอย่างหนึ่งที่ออกจากสมองตอนเป็นมนุษย์อยู่ พลังงานกายทิพย์นี้ ถ้ามันมีพลังงานด้านลบมาก คือทำบาปมาก กายทิพย์มันก็หนักตอนอยู่ในโลกของจิตใต้สำนึก พลังงานกายทิพย์นี้ ถ้ามันมีพลังงานด้านบวกมาก คือทำบุญมามาก กายทิพย์มันก็เบา
การแสดงออกมาภายนอกโลกแห่งจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต) คือ แสดงเป็นโลกและจักรวาล คนที่มีพลังงานด้านบวกมาก คือทำบุญมามาก กายทิพย์มันก็เบา มันก็ต้องลอยขึ้นไป ยิ่งบุญมาก ก็ยิ่งลอยสูงมาก สวรรค์มันจึงอยู่บนท้องฟ้าและในอวกาศนั่นเอง สวรรค์ชั้นจาตุ จึงอยู่ต่ำกว่าดาวดึงส์ ชั้นปรมินก็จะอยู่สูงไปไกลกว่าโลกมากๆๆๆ
ส่วนนรกมันก็เป็นดาวอีกดวงในอวกาศนั่นเอง ไม่ได้อยู่ใต้พื้นดินแต่อย่างใด แต่ในจิตมันจะดูเหมือนถูกดูดเข้าไปในอุโมงค์ สวรรค์ก็เหมือนลอยขึ้นไปด้านบน หรือขึ้นลิฟต์
การแสดงออกภายในโลกแห่งจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต) ทั้งสวรรค์นรกพรหมโลก เป็นเพียงการเปลี่ยนภาพหรือมิติของจิตใต้สำนึกเท่านั้นเอง คนทำบาปมากก็เปลี่ยนภาพหรือมิติไม่ได้ ต้องอยู่ในภาพที่แย่และเลวร้ายตลอด
คราวนี้มาดูหลักฐานพุทธพจน์บ้างว่า ในระดับกายทิพย์ หรือนามกาย(อทิสมานกาย) จิตคือสมองของกายทิพย์หรือเปล่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่ในมหานิทานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ ว่า:
"ดูกรอานนท์เพราะนามรูปเป็นปัจจัยดังนี้แล จึงเกิดวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป..."
และในสูตรที่ ๕ มหาวรรค อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๖/๒๕๐. ตรัสแก่ภิกษุ ท. ที่เชตวัน.
ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้
...เพราะ วิญญาณ นั่นแล มีอยู่ นามรูป จึงได้มี : เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนาม
รูป" ดังนี้.
ภิกษุ ท.! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เมื่ออะไรมีอยู่หนอ วิญญาณ จึงได้มี : เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.
ภิกษุ ท.! ความรู้สึกอย่างยิ่งด้วยปัญญา เพราะการทำในใจโดยแยบคายได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เพราะ นามรูป นั่นแล มีอยู่ วิญญาณ จึงได้มี : เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.
ภิกษุ ท.! ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "วิญญาณนี้ ย่อมเวียนกลับจากนามรูป : ย่อมไม่เลยไปอื่น; ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกนี้ พึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุบัติบ้าง : ข้อนี้ได้แก่การที่ เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป วิญญาณ(ธาตุ)เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป หรือ ขันธ์ 5 ที่เป็นจิตมนุษย์ - อธิบายไปแล้วว่าขันธ์ 5 ของมนุษย์ทั้งหมดนั่นแหละคือจิต
นามรูป(ขันธ์ 5) เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ(ธาตุ) = กายมนุษย์ที่มีสมองเป็นหลักใหญ่ที่สุดในการคิดปรุงแต่ง ก็เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ(ธาตุ)ดวงใหม่ขึ้นมานั่นเอง
แล้วไอ้ตัววิญญาณ(ธาตุ) หรืออทิสมานกาย หรือกายทิพย์ หรือนามกายในโลกวิญญาณ มันก็มีสมองเหมือนกันนี่ มันก็ต้องเป็นจิตเหมือนกันดิ จะว่าใช่ก็ได้ ไม่ใช่ก็ได้ เพราะคราวนี้นามกายในโลกวิญญาณ มันเกิดจากพลังงานความคิดของมนุษย์ ซึ่งเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แล้วเอาสมองเป็นตัวคิด มันเลยมีหัวมีสมองของวิญญาณธาตุ
ผีหัวขาด....มันไม่มีสมองแล้ว มันคิดปรุงแต่งได้ยังไงหว่า จิตซึ่งเป็นพลังงานต่างหาก เป็นตัวคิดปรุงแต่ง พระพุทธเจ้าจึงเรียกพลังงานจิตตัวนี้ว่า นามกาย คือทุกจุตในร่างมายา - กายทิพย์ หรือนามกาย(อทิสมานกาย นี่แหละ คือจิต
สรุป จิตของมนุษย์ คือ ขันธ์ 5 โดยมีส่วนสมองทำหน้าที่สำคัญในการคิดปรุงแต่ง(สังขารขันธ์) จดจำ(สัญญาขันธ์) รู้สึก(เวทนาขันธ์)
จิตของอทิสมานกาย คือ ทุกส่วนของนามกายหรือกายทิพย์ = จิต
.....ยังมีจิตของธรรมกาย และจิตของนิพพานอีก แต่เรื่องพวกนี้ต้องไว้คราวหน้า.....