วัฒนธรรมร่วมอาเซียนตอน คนเล่นเป็นควาย ในพิธีขอฝน เดือน ๖ คนสวมเครื่องประดับศีรษะ และเครื่องแต่งกายคล้ายอยู่ในพิธีกรรม
จูงวัวหรือควายที่ตกแต่งร่างกายแสดงถึงความสำคัญซึ่งมีบทบาทต่อการทำไร่ไถนา
(ลายเส้นคัดลอกจากภาพเขียนสีที่ภูปลาร้า จ.อุทัยธานี)
เลี้ยงผีบรรพชน เดือน ๕ หน้าแล้ง มีการละเล่นต่อเนื่องยาวนานถึงเดือน ๖ ขอฝน
บวชควาย เป็นการละเล่นในพิธีเลี้ยงผีบรรพชนประจำปีในหน้าแล้งของชาวบ้านเพื่อขอฝนทำนา โดยคนกลุ่มหนึ่งแต่งเป็นควายและแต่งเป็นอื่นๆ เล่นกันทั้งชุมชน แล้วจบลงด้วยกินเลี้ยงกินเหล้า
คนสวมเครื่องประดับศีรษะ และเครื่องแต่งกายคล้ายอยู่ในพิธีกรรม จูงวัวหรือควายที่ตกแต่งร่างกาย แสดงถึงความสำคัญ ซึ่งมีบทบาทต่อการทำไร่ไถนา (ลายเส้นคัดลอกจากภาพเขียนสีที่ภูปลาร้า จ. อุทัยธานี)
คนสวมเครื่องประดับศีรษะ และเครื่องแต่งกายคล้ายอยู่ในพิธีกรรม จูงวัวหรือควายที่ตกแต่งร่างกาย แสดงถึงความสำคัญ ซึ่งมีบทบาทต่อการทำไร่ไถนา (ลายเส้นคัดลอกจากภาพเขียนสีที่ภูปลาร้า จ. อุทัยธานี)
ยุคดึกดำบรรพ์ทำกันทั่วไปทั้งภูมิภาค ดังพบในภาพเขียนสีราว ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว ทั้งบริเวณลุ่มน้ำโขงและลุ่มน้ำเจ้าพระยา แต่ทุกวันนี้เหลือร่องรอยในอีสานและมณฑลกวางสีในจีน
[บวชควาย เป็นชื่อใหม่ แต่โครงสร้างหลักของการละเล่นเป็นพิธีกรรมดั้งเดิมดึกดำบรรพ์]
คำว่า บวช (ในชื่อบวชควาย) ยืมจากศัพท์พุทธศาสนา หมายถึงพิธีกรรมปรับเปลี่ยนสถานะของคนเล่นเป็นควาย จากคนธรรมดาๆ เป็นควายศักดิ์สิทธิ์ ต้องเป็นบุคคลในตระกูลสายแหรกที่ได้รับมอบหมายถ่ายทอดจากชุมชนให้ทำพิธีกรรมนี้ (คนอื่นนอกสายแหรกทำไม่ได้)
[บวชในพุทธศาสนา หมายถึงชายเปลี่ยนสถานะจากคนธรรมดาเป็นนักบวช เช่น ภิกษุ, สามเณร โดยโกนผม แล้วนุ่งห่มด้วยผ้าย้อมสีที่กำหนด]
ควายให้กำเนิดคน
คนสองฝั่งโขงเชื่อว่าควายให้กำเนิดคน โดยคนออกมาจากน้ำเต้าปุงที่งอกจากซากจมูกควายที่ตายแล้ว หลังจากพญาแถนส่งควายลงมาบนโลก อีกทั้งมีนิทานเล่ากันในลุ่มน้ำเจ้าพระยาว่าควายสอนคนให้ปลูกข้าว
นอกจากนี้ คนเมื่อราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้วยังฝังโครงกระดูกควายหรือควายดินเผาร่วมกับศพ เช่น ที่บ้านเชียง และบ้านนาดี จ. อุดรธานี แสดงถึงความสัมพันธ์ของควายต่อพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์
ปัจจุบันชาวจ้วงทางตอนใต้ของจีนยังมีประเพณีที่ยกย่องวัวควายในฐานะผู้ทำให้การเพาะปลูกเจริญงอกงามคนแต่งเป็นควายและสัตว์อื่นๆ เกี่ยวกับทำนา เช่น กบ ฯลฯ ในการละเล่นบูชากบขอฝน
ที่หมู่บ้านชาวจ้วง (พูดตระกูลภาษาไท-กะได มณฑลกวางสี ในภาคใต้ของจีน
ติดกับมณฑลกวางตุ้งและเวียดนามภาคเหนือ (ภาพเมื่อมีนาคม พ.ศ.๒๕๓๗)
การละเล่นบวชควายเพื่อขอฝน เมื่อ พ.ศ.๒๕๕๘ บ้านหวายหลึม กับบ้านแมด อ.เชียงขวัญ จ.ร้อยเอ็ด
(ซ้าย) ชกมวยวาย “ปู่เผ้า เจ้าโฮงแดง” ซึ่งชาวเชียงขวัญเชื่อว่าเป็นบรรพชน
(ขวา) ขบวนควายหลวงหรือควายจ่า ฟ้อนเซิ้งครึกครื้นไปกับเสียงดนตรีที่มี “พังฮาด”
(ฆ้องไม่มีปุ่ม) เคียงข้างด้วย “นางว่า” ชายแต่งกายเป็นหญิง
กระอั้วแทงควาย
การละเล่นบวชควายในอีสาน เป็นร่องรอยที่หลงเหลือของพิธีฆ่าควาย (แทงควาย)เอาเลือดควายทำพิธีศักดิ์สิทธิ์เซ่นผีบรรพชน ยุคดึกดำบรรพ์หลายพันปีมาแล้ว
พบหลักฐานเก่าสุดในภาพเขียนสีราว ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว บนเพิงผาและผนังถ้ำ มีรูปควายกับคน ทั้งที่ภาคกลางและภาคอีสาน (นักโบราณคดีไม่อธิบายว่าพิธีอะไร?)
ยุคแรกเริ่มดั้งเดิมการละเล่นนี้ไม่ชื่อบวชควาย(อย่างที่ชาวบ้านเรียกปัจจุบัน) แต่ยังไม่พบหลักฐานว่าชื่อดั้งเดิมว่าอะไร?
ชื่อการละเล่นอย่างนี้เก่าสุดเรียกกระอั้วแทงควาย มีร่องรอยสืบเนื่องตั้งแต่สมัยอยุธยา, ธนบุรี, รัตนโกสินทร์ ในพระราชพิธีสมโภชต่างๆ
มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอยู่ในโบสถ์วัดพระแก้ว วังหน้า [(วัดบวรสุทธาวาส) ใกล้โรงละครแห่งชาติ เชิงสะพานปิ่นเกล้า ฝั่งกรุงเทพฯ]กระอั้วแทงควาย จิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์วัดพระแก้ว วังหน้า
[ภาพจากหนังสือศิลปวัฒนธรรมไทย เล่มที่ ๗ นาฏดุริยางคศิลป์ไทย กรุงรัตนโกสินทร์
พิมพ์เป็นที่ระลึกงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี พ.ศ.๒๕๒๕ หน้า ๖๓]
ลายเส้นคัดลอกกระอั้วแทงควายจากจิตรกรรมฝาผนังโบสถ์วัดพระแก้ว วังหน้า
โดย ธัชชัย ยอดพิชัย
แล้วยังบอกมีไว้ในหนังสือโคลงดั้นเรื่องโสกันต์ พระราชนิพนธ์ ร.๕ ดังนี้
นางกระอั้วกั้นร่มเว้า เผอเรอ
แป้งเปรอะห่มแดงนม พลัดกลิ้ง
เคี้ยวหมากผย่ำเผยอ ยาจุก ตุ่ยนา
ทำกระตุกกระติกตุ้งติ้ง ติดผัว
พบควายร้องหวีดว้าย ตะกุย ตาแฮ
ควายไล่กระชั้นตัว หอกจ้อง
กระจายหกกระจุกกระจุย ของหมด
ต่างวิ่งวุ่นว้าร้อง ช่วยที
ต่อมาชาวบ้านเลียนแบบไปเล่นสืบถึงทุกวันนี้ เรียกกระตั้วแทงเสือ แล้วมีบทร้องทำนองเพลงกราวตะลุงว่าบ้องตันถือหอกไปแทงเสือกระอั้วแทงควาย การละเล่นมหรสพหลวง
[ภาพจากหนังสือวัฒนธรรม ของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม
กระทรวงวัฒนธรรม ฉบับตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗หน้า ๒๖]
แทงควาย กลายเป็นแทงเสือ
กระตั้วแทงเสือ เป็นการละเล่นของชาวบ้านภาคกลาง ยุคปัจจุบัน [เป็นอย่างเดียวกันกับเพลงทำนองกราวตะลุง ร้องบ้องตันถือหอกไปแทงเสือ]
ลักษณะโครงสร้างเรื่องอย่างนี้ดัดแปลงเลียนแบบการละเล่นของหลวง ชื่อกระอั้วแทงควาย ทุกวันนี้ในอีสานยังมีการละเล่นแบบนี้ เรียกบวชควาย [มีรายงานพิเศษเรื่องบวชควายอยู่ในประชาชื่น มติชน ฉบับวันจันทร์ที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ หน้า ๑๗]
วัฒนธรรมร่วมอาเซียน
ตอน นาตาแฮก แรกนาขวัญ เดือนหก
เดือนหกเริ่มเข้าฤดูการผลิตใหม่ เพราะฝนเริ่มตกแล้ว ถึงเวลาต้องเตรียมเครื่องมือทำไร่ไถนา
ที่สำคัญก็คือต้องทำพิธีแรกนาหรือนาแรก ทางอีสานเรียกนาตาแฮก ในทวาทศมาส (โคลงดั้น) เอกสารยุคต้นกรุงศรีอยุธยา พรรณนาฤดูเดือนหก (ไพศาขย) เริ่มมีฝนตกแล้วว่า “ฤดูไพศาขยสร้อง ฝนสวรรค์” ต่อจากนี้ไปจะมีพิธีแรกนาขวัญ
แรกนาขวัญชุมชนหมู่บ้านทุกแห่งจะมีธงปักและผูกคันไถปลิวไปตามลมทุกหนทุกแห่ง ทวาทศมาส (โคลงดั้น) พรรณนาว่า
๏ เดือนหกเรียมไห้ร่ำ ฤๅวาย
ยามย่อมชนบทถือ ท่องหล้า
ธงธวัชโบกโบยปลาย งอนง่า
คิดว่ากรกวักข้า แล่นตาม ฯ
๏ ทันธงบใช่น้อง เรียมทรุด
หิวคระหนรนกาม พรั่นกว้า
ธวัชงอนโบกโบยสุด ลิ่วลี่
กรใช่กรหน้าหน้า ใช่น้องนาไถ ฯ
จนถึงปลายกรุงศรีอยุธยาก็ยังมีพรรณนาแรกนาขวัญไว้ในนิราศธารโศกของเจ้าฟ้า ธรรมาธิเบศร์ (กุ้ง) ว่า
๏ เดือนหกสรกฝนสวรรค์ จรดนังคัลตามพิธี
แรกนาเข้าธรณี พี่ดูเจ้าเปล่าใจหาย
๏ เดือนหกตกครั่นครื้น ฝนสวรรค์
พิธีจรดนังคัล ก่อเกล้า
แรกนาจอมไอศวรรย์ กรุงเทพ
พี่แลบเห็นเจ้า เปล่าแล้วใจหาย
นาตาแฮก แรกนาขวัญ
แรกนาขวัญ เป็นภาษาของคนในภาคกลางที่ราบลุ่มน้ำเจ้าพระยา ตรงกับภาษาของคนบริเวณลุ่มน้ำโขงว่า นาตาแฮก (แฮก คือ แรก)
หมายถึงการไถนาทำนาปลูกข้าวครั้งแรกในนาจำลองขนาดเล็กๆ ที่สมมุติขึ้น แล้วมีพิธีสู่ขวัญวิงวอนร้องขอต่ออำนาจเหนือธรรมชาติ (บางทีเรียกผีนาหรือพระภูมินา) จงบันดาลให้ทำนาจริงๆ ได้ผลผลิตเป็นข้าวงอกงามอุดมสมบูรณ์เหมือนนาจำลองที่สมมุติขึ้นครั้งแรกนี้ บางแห่งเช่นภาคเหนือจะทำพิธีสังเวยแม่โพสพพร้อมกันไปด้วย
นาตาแฮก มีต้นข้าวปักดำเป็นแถว มีวัวหรือควาย กับมีคนถืออาวุธทำท่าล่าวัวควายและมีมือประทับทำแนวโค้ง
พร้อมด้วยลายขีดข่วน [ลายเส้นจำลองจากภาพเขียนสีราว๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว ที่ผาหมอนน้อย อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี]
พิธีอย่างนี้มีมาแต่ดั้งเดิมในชุมชนคนดึกดำบรรพ์ราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว สมัยก่อนๆ ทุกคนที่มีอาชีพทำนาต้องทำกันทั่วไปก่อนจะทำนาจริง
ต่อมาเมื่อราชสำนักรับศาสนาพราหมณ์จากอินเดีย จึงปรุงแต่งให้สอดคล้องกับพิธีพราหมณ์เพื่อความศักดิ์สิทธิ์สูงขึ้น เช่น มีพระโคเสี่ยงทาย มีเชิญเทวดามาเสกเป่าข้าวเปลือกที่ใช้หว่านในพิธี
เมื่อเสร็จงานก็ให้ชาวบ้านเก็บเม็ดข้าวเปลือกไปบูชา และโปรยลงในนาของตนเพื่อให้ได้ผลผลิตเป็นเมล็ดข้าวมากขึ้น และรอดพ้นจากภัยธรรมชาติ
ภาษาทางราชการเรียกจรดพระนังคัล เป็นคำเขมร (นังคัล คือ ผาลไถนา) แปลว่าไถนาครั้งแรก มีหลักฐานในกฎมณเฑียรบาลว่าพระเจ้าแผ่นดินยุคต้นอยุธยาหรือก่อนนั้นมอบให้เจ้านายและขุนนางทำพิธีนี้เพื่อความมั่งคั่งในพืชพันธุ์ธัญญาหารของราชอาณาจักร จะละเว้นมิได้ ต้องทำทุกปี จึงมีสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ขวัญ มีอยู่ในคน สัตว์ สิ่งของ และธรรมชาติ
คนทุกคนในชุมชน (ยุคก่อนรับศาสนาจากอินเดีย) นานมาแล้วเชื่อว่ามีส่วนประกอบสำคัญอยู่ ๒ ส่วน คือ
ส่วนที่เป็นตัวตนได้แก่ร่างกาย กับส่วนที่ไม่เป็นตัวตนคือขวัญ
แม้สัตว์ สิ่งของ และธรรมชาติก็มีขวัญทั้งนั้น เช่น ขวัญควาย ขวัญยุ้งข้าว ขวัญนา จึงมีพิธีแรกนาขวัญ
ขวัญต่างจากวิญญาณ (ในคำสอนทางศาสนา) เพราะเมื่อคนตายไปวิญญาณก็ดับหายไป แต่ขวัญไม่หายไปพร้อมเจ้าของที่ตาย ในทางตรงข้าม ขวัญของผู้ตายยังมีอยู่ แล้วพยายามหาหนทางกลับเหย้าเรือนเดิมของตน ไม่ว่าเหย้าเรือนเดิมจะอยู่ส่วนไหนของโลก
ขวัญมีหน่วยเดียว แต่ฝังกระจายอยู่ทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่แรกเกิดมาเป็นตัวตน และมีความสำคัญเท่าๆ กันหมด รวมถึงสำคัญเท่ากับร่างกายด้วย เพราะร่างกายต้องมีขวัญ ถ้าไม่มีขวัญก็ไม่มีชีวิต ฉะนั้นร่างกายที่มีชีวิตต้องมีขวัญ เช่น ขวัญหัว ขวัญตา ขวัญมือ ขวัญแขน ขวัญขา ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้คนสมัยก่อนจึงเชื่อว่าถ้ามีขวัญอยู่กับร่างกาย เจ้าของขวัญจะมีความสุข แต่ถ้าขวัญออกจากร่างกายไปเจ้าของขวัญก็ไม่มีความสุข ไม่เป็นปกติ อาจเจ็บไข้ได้ป่วยจนถึงตายได้ ฉะนั้นเมื่อคนเราเจ้าของขวัญเจ็บป่วยแสดงว่าขวัญไม่ได้อยู่กับตัว มีความจำเป็นต้องจัดพิธีเรียกขวัญ หรือพิธีสู่ขวัญให้กลับเข้าสู่ตัวตนเหมือนเดิม จะได้อยู่ดีมีสุขตามปกติ
พิธีกรรมเกี่ยวกับขวัญมีชื่อเรียกต่างๆ กันไปตามท้องถิ่น เช่น เรียกขวัญ, สู่ขวัญ, ทำขวัญ ฯลฯ เป็นพิธีกรรมที่แสดงความผูกพันในระบบความสัมพันธ์แบบเครือญาติระหว่างบุคคลกับครอบครัว และบุคคลกับชุมชน ที่เริ่มมีขึ้นในสังคมชาวนาที่ล้าหลังทางเทคโนโลยี ราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว บรรดาเครือญาติจะจัดขึ้นเมื่อเกิดเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งทั้งเหตุดีและเหตุไม่ดี เช่น ฝันร้าย รวมทั้งได้รับอุบัติเหตุเภทภัยจากสถานการณ์ต่างๆ
ผู้ทำพิธีเกี่ยวกับขวัญด้วยการท่องบ่นคำสู่ขวัญเป็นทำนองอย่างหนึ่งด้วยฉันทลักษณ์กลอนร่าย เรียกหมอขวัญ เป็นคนเดียวกับหมอผี-หมอพร เทียบเท่ากับผู้เชี่ยวชาญพิเศษในวิชาความรู้เหมือนนักบวชในศาสนาต่างๆ สมัยหลัง โดยใช้เครื่องมือสื่อสารกับขวัญและอำนาจเหนือธรรมชาติคือดนตรี มีฆ้องกับแคนเป็นหลัก ที่ภายหลังเรียกปี่-กลองพิธีแรกนาขวัญของราชสำนักรัฐสุพรรณภูมิ (ร่วมยุครัฐละโว้-อโยธยา) ราวหลัง พ.ศ.๑๘๐๐
(เศษภาชนะดินเผามีลายประทับรูปบุคคล คันไถ และวัว จากเตาเผาบ้านบางปูน ต.พิหารแดง อ.เมืองฯ จ.สุพรรณบุรี)
(ซ้าย) ชาวบ้านอีสานกำลังสวดขวัญวิงวอนร้องขออำนาจเหนือธรรมชาติในพิธีนาตาแฮก
โดยปลูกต้นข้าว ๗-๘ ต้น เรียกปักกกแฮก (ภาพก่อน พ.ศ.๒๕๔๗)
(ขวา) ชาวบ้านกำลังแรกนาขวัญก่อนทำนาจริง บ้านโพธิ์สามต้น อ.บางปะหัน
จ.พระนครศรีอยุธยา (ถ่ายราว พ.ศ.๒๕๔๗)
พิธีแรกนาขวัญ แถวขบวนของพระยาแรกนาขณะทำพิธีแรกนาที่ท้องสนามหลวง
(ภาพจาก หอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
วัฒนธรรมร่วมอาเซียน
ตอน ขอฝน เดือน ๖ กบ คางคก คันคาก
เดือนหกตามธรรมชาติจะเริ่มมีฝนตกลงมาบ้าง แต่บางปียังไม่มีฝน คนทั้งหลายเดือดร้อน เพราะวิตกว่าจะลงมือทำนาไม่ได้ เลยเกิดประเพณีขอฝน
ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือจุดบั้งไฟขอฝน จากระบบความเชื่อดั้งเดิมดึกดำบรรพ์เกี่ยวกับกบและคันคาก (คางคก) มากกว่า ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ให้น้ำ
ความเชื่อว่าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างกบ-คางคก-คันคาก เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มีมาไม่น้อยกว่า ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว พยานหลักฐานมี ๒ อย่าง คือ
•กบสัมฤทธิ์ ประดับอยู่หน้ากลองทอง หรือกลองสัมฤทธิ์ ที่เรียกกันภายหลังว่ามโหระทึก ใช้ตีขอฝน ฯลฯ พบทั่วไปทั้งภูมิภาคอุษาคเนย์ ตั้งแต่ราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว
•คนทำท่ากบ เป็นภาพเขียนสีบนหน้าผาในถ้ำ และสถานที่ประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ วาดรูปคนกางแขน-ขาทำท่าเหมือนกบ พบมากที่ชุมชนชาวจ้วงที่มณฑลกวางสีในจีน แล้วยังพบในไทยด้วย มีอายุราว ๒,๐๐ ปีมาแล้ว
ลายสัก หรือสักหมึก ตามร่างกาย แขนขาของผู้คนชนเผ่าในอุษาคเนย์ ล้วนเกี่ยวข้องกับกบ เพราะยุคแรกเริ่มทำลวดลายเหมือนผิวหนังกบจริงๆ ถือเป็นเครื่องรางปกป้องคุ้มครองให้คลาดแคล้วจากภยันตรายและทำให้มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์
เหตุที่คนแต่ก่อนทำท่ากบ เพราะเชื่อว่ากบเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์สื่อสารกับอำนาจอย่างหนึ่งได้ ทำให้มีน้ำฝนหล่นจากฟ้ามาสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารความอุดมสมบูรณ์
แต่ฝนก็ไม่ได้ตกลงมาทุกคราวตามต้องการ เพราะยังมีฤดูที่ฝนไม่ตก ทำให้แห้งแล้ง คนเลยต้องบูชากบเพื่อวิงวอนร้องขอให้กบช่วยบอกผู้มีอำนาจบนฟ้าปล่อยน้ำลงมาเป็นฝนตก
นี่เองจึงมีพิธีกรรม มีการละเล่นเต้นฟ้อนทำท่ากบบริเวณสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น ลานกว้างตรงหน้าผาที่เขียนรูปไว้บูชาเซ่นวักวิงวอน ดังมีอยู่ทั่วไปตั้งแต่ผาลายในมณฑลกวางสี จนถึงสองฝั่งโขงที่ผาแต้ม (จ.อุบลราชธานี) กับเขาปลาร้า (จ.อุทัยธานี)
คันคาก
แต่การวิงวอนร้องขอต่ออำนาจเหนือธรรมชาติผ่านพิธีบูชากบไม่สำเร็จเสมอไป เพราะมนุษย์ควบคุมธรรมชาติไม่ได้ ฉะนั้นหลายครั้งฝนก็ไม่ตกตามที่คนต้องการ
เลยจินตนาการว่าผู้มีอำนาจบนฟ้ากำลังประพฤติมิชอบ ต้องกำราบปราบปรามให้อยู่ในความควบคุม แล้วปล่อยน้ำฝนหล่นมาตามต้องการเมื่อถึงเวลาฤดูกาลทำไร่ทำนา
ทำให้คนสร้างเรื่องขึ้นจากจินตนาการ แล้วบอกเล่ากันปากต่อปากสืบมาเป็นนิทาน เรื่องพญาคันคาก หรือคางคกยกรบขอฝนจากแถนบนฟ้า ทำให้เกิดประเพณีจุดบั้งไฟบอกแถนฟ้าให้ฝนตก แต่ลงท้ายก็ล้มเหลวหมด คือเอาชนะธรรมชาติอย่างแท้จริงไม่ได้
คันคาก เป็นคำลาว ตรงกับคำไทยว่า คางคก คันคาก หรือคางคก เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำประเภทเดียวกับกบ รวมทั้งเขียดและอึ่งอ่าง ที่คนดั้งเดิมเริ่มแรกยุคดึกดำบรรพ์ (หรือสมัยก่อนประวัติศาสตร์) เคารพยกย่องเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ สัญลักษณ์ของน้ำและฝน เพราะสัตว์พวกนี้มักปรากฏตัวและส่งเสียงดังเมื่อฝนตกลงมาเป็นน้ำนองทั่วไป ให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ผู้คนทุกชนเผ่าที่มีหลักแหล่งอยู่เขตมรสุมที่ทำกสิกรรมโดยอาศัยน้ำฝนจากธรรมชาติเท่านั้น เพราะยังล้าหลังทางเทคโนโลยี
คำบอกเล่าอย่างนี้ ยุคแรกเริ่มเป็นเรื่องสั้นๆ ง่ายๆ ใช้บอกเล่าสาธยายในพิธีกรรมขอฝน นานเข้าก็แต่งเติมเสริมต่อยาวขึ้น เมื่อตกไปอยู่กับกลุ่มชนต่างๆ ก็ยิ่งเพิ่มรายละเอียดเข้าไปอีกให้เป็นไปตามประสบการณ์ของกลุ่มตน
ครั้นบางกลุ่มเมื่อรับศาสนาจากบ้านเมืองและรัฐที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแล้ว ก็ยังบอกเล่าเรื่องเก่าๆ ต่อเนื่องมา แต่เพิ่มความเชื่อใหม่ที่ได้จากศาสนาเข้าไปด้วย ดังมีแทรกในเรื่องพญาคันคาก
ส่วนกลุ่มชนที่อยู่ห่างไกลและล้าหลังทางเทคโนโลยี เพราะไม่ได้รับศาสนาจากที่ไหน ก็สืบทอดแบบแผนดั้งเดิมไว้มากที่สุด ดังพบในกลุ่มชนชาติจ้วงที่มณฑลกวางสี ยังมีพิธีกรรมบูชากบแล้วมีการละเล่นเต้นฟ้อนทำท่ากบเหมือนภาพเขียนสีเมื่อราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้วสืบจนทุกวันนี้
นอกจากนั้นยังมีคำบอกเล่าในรูปของนิทานบันทึกไว้ มีโครงเรื่องใกล้เคียงคล้ายคลึงกับนิทานเรื่องแถนที่แพร่หลายอยู่ในกลุ่มไทยดำทางภาคเหนือของเวียดนาม กับพงศาวดารล้านช้างในลาว
นิทานของชาวจ้วงไม่มีนาค แต่เรื่องพญาคันคากมีนาค เพราะคำนี้ไม่ใช่สมบัติของคนพื้นเมืองในภูมิภาคนี้ หากเป็นคำในตระกูลอินโด-ยุโรป ที่คนจากชมพูทวีป (อินเดีย) ใช้เรียกคนพื้นเมืองที่ล้าหลังทางเทคโนโลยีอย่างรวมๆ และโดยเฉพาะที่มีหลักแหล่งอยู่ทางปากน้ำโขง, เจ้าพระยา, และสาละวิน ต่อมาภายหลังจึงแพร่หลายทั่วไปถึงดินแดนภายใน แล้วมีความหมายเปลี่ยนไปเป็นงู ซึ่งเป็นสัตว์มีพิษ แต่มีอำนาจควบคุมน้ำและมีหลักแหล่งอยู่ใต้ดิน เรียกว่าบาดาล
บริเวณสองฝั่งโขงยุคดึกดำบรรพ์เชื่อว่าหนองน้ำคือถิ่นที่อยู่ของนาค และน้ำผุด น้ำพุ น้ำซึม น้ำซับ รวมทั้งบ่อน้ำ คือรูนาค ที่เป็นเส้นทางไปมาของนาค จอมปลวกก็คือรูนาคอย่างหนึ่ง เพราะมีตาน้ำอยู่ข้างใน
แต่เรื่องพญาคันคากกำหนดให้น้ำอยู่บนฟ้า มีพญาแถนรักษาไว้ น้ำบนฟ้าจะตกลงมาเป็นน้ำฝนให้มนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อนาคจากบาดาลขึ้นไปเล่นน้ำให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ไปกระทบโขดหินขุนเขาบนสวรรค์ คือหมู่เมฆนั่นเอง น้ำบนฟ้าจึงจะแตกกระจายกลายเป็นฝนหล่นลงมาสู่โลก ถ้านาคไม่ขึ้นไปเล่นน้ำก็ไม่มีฝน
โครงเรื่องอย่างนี้สะท้อนให้เห็นระบบความเชื่อของมนุษย์ราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว ที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างดินกับฟ้าว่าต้องอ้างอิงเกี่ยวข้องกัน
วัฒนธรรมฆ้อง
ฆ้อง เป็นวัฒนธรรมร่วมของอุษาคเนย์ มีแหล่งกำเนิดบนผืนแผ่นดินใหญ่ แล้วแพร่กระจายลงไปทางหมู่เกาะทะเลใต้ มีใช้ในทุกกลุ่มชาติพันธุ์สืบเนื่องถึงทุกวันนี้
คำว่าฆ้อง อยู่ในตระกูลภาษาชวา-มลายู คำเดียวกับระฆัง เคยมีใช้ในภาษาไทยคู่กันว่าระฆ้องระฆัง แต่ต่อมากร่อนกลายเหลือเป็นฆ้องคำหนึ่ง และระฆังอีกคำหนึ่ง
คำว่าฆ้องใช้เรียกเครื่องมือทำด้วยโลหะ เช่น ทองสัมฤทธิ์ ฯลฯ แต่มักรู้จักทั่วไปว่า กลองทอง (หรือมโหระทึก) และใช้ประโคมตีขอฝนให้เป็นเสียงสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ คือผี ฯลฯ ในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของบรรดาชนเผ่าชาติพันธุ์ทั่วไปทั้งภูมิภาคอุษาคเนย์ ราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว
กลองทองบางใบมีรูปกบหล่อสัมฤทธิ์ลอยตัว ประดับหน้ากลองเป็นสี่ตำแหน่ง คนบางกลุ่มจึงเรียกฆ้องกบ เพราะกบเป็นสัญลักษณ์ของฝนที่บันดาลน้ำให้ทำนาพิธีกรรมขอฝนมีกลองทองอยู่ด้วยเมื่อ ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว (จากภาพเขียนสีที่ถ้ำตาด้วง จ. กาญจนบุรี)
กบบนหน้ากลองทอง สัญลักษณ์สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ บันดาลให้ฝนตก
ฆ้องและกลองทอง เครื่องประโคมในพิธีแรกนาขวัญ เป็นสัญลักษณ์ขอฝน
(พิธีแรกนาขวัญที่ท้องสนามหลวง พ.ศ.๒๕๔๗)
ที่มา (เรื่อง-ภาพ) : "วัฒนธรรมร่วมอาเซียน" โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ หนังสือมติชนสุดสัปดาห์