[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด => ข้อความที่เริ่มโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 09 มิถุนายน 2553 13:31:55



หัวข้อ: "สมัยใหม่" อัตวินิบาตกรรมของเผ่าพันธุ์
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 09 มิถุนายน 2553 13:31:55
[ คัดลอกมาจากบอร์ดเก่า โดย อ.มดเอ็กซ์ ]



(http://www.blogtalkradio.com/pics/hostpics/8e44bb5e-6c12-48eb-93ac-0f4b4ca46da9jesus%20buddha.jpg)
 
ก่อนอื่นต้องขอโทษ เดวิด คอร์เต็น นักเศรษฐศาสตร์ที่กล้าปฏิวัติคัดค้านและต่อต้านนักเศรษฐศาสตร์ทั่วไปที่ใช้คำพูด "อัตวินิบาตกรรม" (suicide) โดยไม่ได้ขออนุญาตล่วงหน้าให้กับบทความวันนี้ คำพูดที่ทำให้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเปลี่ยนใจ และรู้ว่าเป้าหมายขององค์ความรู้ของพวกตนเป็นองค์ความรู้ที่ทำร้ายและทำลายระบบธรรมชาติอย่างรุนแรง พร้อมกันนั้นก็ได้กระตุ้นเร้าให้สาธารณชนทั่วไปถูกมอมเมาต่อกิเลสตัณหา ที่หากไม่คิดให้ถ้วนถี่ย่อมอาจกระทำผิดต่อความดีงามของสังคมอย่างไม่รู้ตัว ทั้งต้องขอโทษ ชาร์ลีน สเปรนัก ที่อาจจะพูดได้ว่าเป็นผู้ที่ต่อต้านความเป็น "สมัยใหม่" อย่างที่สุดของสหรัฐอเมริกา ทั้งสองคนรวมทั้งอีกมากนักและกำลังเพิ่มทวีจำนวนอย่างรวดเร็วยิ่งในปัจจุบัน-แม้ว่าจะสายเกิน-แต่กระนั้นคนเหล่านี้ก็จะเป็นเชื้อที่บ่มเพาะจิตวิญญาณ ให้เผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติสามารถที่ยังดำรงอยู่ได้อีกนานเท่านาน จริงๆ แล้วไม่ใช่แต่เพียงองค์ความรู้เศรษฐศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นอารยธรรมความเป็น "สมัยใหม่" ทั้งกระบิ หรือเป็นความเจริญก้าวหน้าที่ไม่ว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศไหน รวมทั้งประเทศไทยต่างก็พากันวิ่งแข่งแย่งกันพาประชาชนส่วนใหญ่กว่าตกเหวตายโหงกันถ้วนหน้า...อนิจจา
 
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผู้เขียนได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากเพื่อนที่เป็นครูใหญ่ที่ภาคใต้คนหนึ่ง ถึงเรื่องที่ได้ยินได้ดูข่าวทางโทรทัศน์-เรื่องโรคระบาดของกาฬโรคที่มณฑลชิงไห่ในจีน-ที่ผู้เขียนไม่ได้ดู ซึ่งปกติผู้เขียนจะดูโทรทัศน์เฉพาะข่าววันละชั่วโมงตอนหัวค่ำเพียงครั้งเดียว ยกเว้นได้ดูภาพยนตร์บ้างในตอนกลางวันเวลาว่างนานๆ ครั้ง วันนั้นเพื่อนที่ว่าได้ดูข่าวในตอนเช้าเลยต้องการความรู้ เพราะแกยังมีลูกอยู่คนหนึ่งที่ยังเล็กอยู่ กาฬโรคที่ระบาดในประเทศจีน-ที่ยังเป็นการระบาดในวงแคบๆ (endemic) แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ ขณะที่โลกกำลังมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่อยู่-เป็นชนิดปอดอักเสบหรือปอดบวมที่ผู้ป่วยมักตาย (50-70%) ภายในหนึ่งหรือสองวัน กาฬโรคเป็นโรคระบาดในยุโรปที่ยิ่งใหญ่มากในช่วงศตวรรษที่ 15 ทำให้มีคนตายไปร่วมหนึ่งในสามของโลกภายในเวลาไม่กี่ปีเพราะยังไม่มีวัคซีน แต่ตอนนั้นเป็นชนิดที่เป็นที่ผิวหนังที่ถูกหมัดของหนูกัด (เป็นสีดำ) เชื้อแบคทีเรียจึงได้ลามไปถึงต่อมน้ำเหลืองอย่างรวดเร็ว (bubonic plaque or black death) แต่ถ้าเริ่มด้วยอาการทางปอด เชื้อแบคทีเรียจะทำให้ผู้ป่วยตายเร็วเพราะรักษาไม่ทันแม้จะรักษาได้ง่าย ประเทศไทยปลอดจากโรคนี้มาร่วม 70 ปีแล้ว แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรคอะไร? หากเกิดขึ้นแล้วจะทำให้มันหายไปจากโลกโดยสิ้นเชิงยากนัก ผู้เขียนเชื่อว่าเทคโนโลยีทำอะไรไม่ได้ในระยะยาว อย่างดีก็เพียงช่วยให้การวินิจฉัยโรคเพิ่มจากร่วม 90% จากสมัยก่อนมาเป็นราวๆ 98% ในปัจจุบัน หรือสามารถยื้อชีวิตผู้ป่วยได้นานกว่าก่อนนี้ได้ ส่วนมากเพียงไม่กี่วันด้วยไอซียู แต่ค่าใช้จ่ายก็สุดแพงที่ทำให้คนจนหรือแม้แต่คนธรรมดาไม่อาจช่วยตัวเองได้ ส่วนการรักษาโรค (จริงๆ) นั้นไม่ต้องพูดถึง เคยรักษาไม่หายเมื่อก่อนนี้อย่างไร? ก็ยังรักษาไม่หายในตอนนี้เหมือนเดิม ได้แต่ประคับประคองกินยาควบคุมอาการมากเป็นกำๆ ไปจนตาย มนุษย์นั้นไม่มีทางเอาชนะธรรมชาติได้หรอก เชื้อโรคต่างๆ คล้ายกับมันมีจังหวะของมัน พอประชากรมากขึ้นพอเมืองใหญ่ขึ้น พอเจริญก้าวหน้าขึ้น มนุษย์อยู่อย่างเบียดเสียดขึ้น โรคก็เลยระบาดใหม่กันเสียที ที่เพื่อนผู้เขียนโทรศัพท์มาถามจึงเป็นธรรมดาของคนที่ยังมีลูกเล็กๆ ในขณะที่โรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ยังระบาดทั่วทั้งโลกอยู่ในขณะนี้ ทำไม? จึงเป็นดั่งชื่อของบทความวันนี้เป็นเรื่องน่าคิด อย่างกับว่าธรรมชาติหรือโลกสามารถแก้แค้นมนุษย์ได้ เพราะเท่าที่รู้ประวัติศาสตร์ทางการแพทย์ที่บอกเรา ทำให้ผู้เขียนคิดว่าเชื้อโรคมันคล้ายกับว่า มันคือสิ่งที่ติดตามมากับความเจริญก้าวหน้าของอารยธรรมของมนุษย์-ที่แน่นอนเป็นเรื่องภายนอกออกไปจากตัวเรา ในขณะที่จิตใจภายในของเราแย่ลงและแย่ลงเป็นสัดส่วน หรือเป็นปฏิภาคตรงกับความเจริญก้าวหน้าทันสมัย-นั้น
 
อยากเตือนคนไทยทั่วๆ ไปว่าจงอย่าคิดว่าโรคระบาดเป็นเรื่องเล็กกว่าปัญหาความแตกแยกทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือปัญหาสามจังหวัดภาคใต้ หรือแม้แต่สงครามนิวเคลียร์ ซึ่งจริงๆ แล้วปัญหาทั้งหมดเกิดจากมนุษย์และความก้าวหน้าทั้งสิ้น รวมทั้งเศรษฐกิจทุนนิยมและเทคโนโลยีส่วนใหญ่มากๆ ซึ่งมนุษย์คิดขึ้นเพื่อทำร้ายและทำลายธรรมชาติอย่างชนิดที่ไม่มีการบันยะบันยัง ตามที่นักวิชาการ เช่น โธมัส ฮอบส์, จอห์น ล็อก, ฟรานซิส เบคอน ฯลฯ กับความคิดที่ให้มนุษย์เป็นผู้ยิ่งใหญ่แต่ผู้เดียว โดยพยายามบอกให้เรารู้เช่นนั้นทำมาตั้งแต่ 400 ปีก่อน ทำให้พวกฝรั่งตะวันตกพากันเชื่อ จนต่อมาได้ขยายแพร่กระจายไปทั่วทั้งโลกด้วยลัทธิล่าเมืองขึ้น ซึ่งไม่มีฝรั่งประเทศใดในยุโรปและอเมริกาที่ไม่มีพฤติกรรมเช่นนั้นเลยแม้แต่ประเทศเดียว ธรรมชาติโลกจึงได้ถูกทำร้ายและทำลายอย่างหนักหน่วงตั้งแต่โลกยังมีประชากรน้อยไม่ถึงหนึ่งพันล้านคน เป็นช่วงเวลานั้นที่รากฐานของความก้าวหน้าศิวิไลซ์ของอารยธรรม "สมัยใหม่" ทุกชนิดประเภทได้หยั่งรากฝังลึกมาสู่เผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจ ทุนนิยม ประชาธิปไตยตัวแทน และสิทธิมนุษยชนที่เฉพาะคนที่ฉลาดแกมโกงมากกว่า และมีเงินกับอำนาจมากกว่า มีสิทธิ์มีเสียงเหนือกว่าธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง รวมทั้งชีวิตทั้งหลาย แม้แต่ชาวบ้านและประชาชนทั่วไปอยู่วันยังค่ำ
 
และตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ ประชากรโลกที่มีน้อยกว่าทรัพยากรธรรมชาติอย่างที่เราไม่เคยเอามาคิด แต่ปัจจุบันวันนี้เราต้องคิด และต้องคิดหนักเสียด้วยว่าประชากรโลกได้เพิ่มทวีอย่างไม่น่าเชื่อ จนเดี๋ยวนี้ที่เรามีประชากรโลกร่วม 7,000 ล้านคน ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมล้วนบอกว่า โลกเราสามารถรองรับโดยสามารถฟื้นฟูได้ทันเมื่อประชากรอยู่ที่ประมาณ 2,500 ล้านคน (Lester Brown: Earth Policy Institute>www.earth-policy.org (http://"http://www.earth-policy.org")) และขณะนี้ทรัพยากรธรรมชาติของโลกเราได้ติดลบไปแล้ว หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างร่อยหรอจนเกือบหมดสิ้นไปแล้ว เช่น ป่าไม้ น้ำมัน ดีบุก ทองแดง ฯลฯ เมื่อเร็วๆ มานี้ นั่นคือดุลแห่งธรรมชาติกำลังเดือดร้อน และเนื่องจากจักรวาลและโลกเรามีชีวิตและมีจิตดังที่ได้กล่าวมาแล้ว มันจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั้งโลกและจักรวาลจะต้องตอบสนองคืนกลับมา จากความบ้าบิ่นจากอวิชชาและตัณหาของมนุษย์เราเอง ที่คิดว่าโลกและจักรวาลไม่มีชีวิตและจิต ด้วยการคิดแบบง่ายๆ ที่มนุษย์จะทำอะไรกับธรรมชาติก็ได้
 
นับแต่วันนี้ต่อๆ ไปจึงเป็นช่วงเวลาที่เรารอคอย เวลาของการแก้แค้นหรือล้างแค้นของโลกและจักรวาลตามกฎแห่งกรรมร่วมโดยรวม (collective karma) ที่ไม่มีทางหลบหนีได้พ้น ที่พูดมานี้เป็นการพูดตามกฎแห่งกรรมตรงไปตรงมา ไม่ได้พูดเพื่อเข้าข้างเผ่าพันธุ์ของตนเอง และเรื่องกรรมและผลของกรรมนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนตายตัว ที่ในพุทธศาสนาผู้เขียนเชื่อว่าไม่มีใครหนีได้ ใครทำกรรมอย่างใดไว้จะต้องได้รับผลกรรมตอบสนอง ไม่ว่าใครจะทำบุญบริจาคเงินทองสักแค่ไหน ต่อให้ทำบุญทุกๆ วันจนตาย-หากทำอกุศลกรรมหนักๆ ไว้-ก็ลบล้างกันไม่ได้ นั่นเป็นเรื่องของสาธารณชนคนธรรมดาที่ใครทำอะไรไว้ หากว่าเจตนาผลย่อมคืนสนองแทบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์-ยกเว้นผู้ที่สามารถทำวิปัสสนากรรมฐานถึงขั้นสูงสุดเป็นเวลายาวนานที่อุเบกขาธรรมเพียงไม่กี่คน-ที่อาจจะเป็นแต่เพียงแบ่งเบาหรือรอเวลาได้ และรอรับผลกรรมที่ดีที่ทำบุญทุกวัน หรือรอรับผลที่เป็นกุศลเจตนานั้นๆ
 
อย่างไรก็ตาม มีเรื่องหนึ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้เขียน ซึ่งอาจจะขัดแย้งกับสาธารณชนคนส่วนใหญ่และนักวิชาการส่วนมาก คือ ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น นับว่ามีความหมายที่สูงภพภูมิหนึ่ง ซึ่งในบาร์โดโธดอล หรือคัมภีร์มรณศาสตร์ของทิเบต บอกว่าผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ยากยิ่งที่จะเกิดเป็นอย่างอื่นในภพภูมิของสัตว์ โดยอธิบายว่าในพุทธศาสนานั้นการเกิดใหม่มีสองคำแปลที่ต่างกัน คือคำแปลที่หนึ่ง ซึ่งมีผู้เชื่อและใช้กันทั้งผู้นับถือพุทธศาสนาฝ่ายใต้กับฝ่ายเหนือ โดยการแปลพระสูตรแบบตรงไปตรงมา (exoteric interpretation) พระสงฆ์จำนวนมากที่ไม่ได้ปฏิบัติโยคะสมาธิถึงขั้นสูงพอจะเชื่อและใช้คำแปลนี้ ส่วนอีกคำแปลหนึ่งเป็นคำแปลที่สอนกันเฉพาะอาจารย์และศิษย์ (esoteric interpretation) ที่ทำโยคะสมาธิจะแปลไม่เหมือนกัน คือแปลว่า วิวัฒนาการและสถานที่ (สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม) กับเวลามีความสำคัญยิ่ง เพราะชีววิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตจนกว่าจะเป็นมนุษย์ ใช้เวลาเพื่อที่จะเอื้ออำนวยให้จิตสามารถจะไหลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสัตว์และพืชทุกๆ เผ่าพันธุ์มีสมองและประสาทต่างกับมนุษย์ นอกจากนั้น กระบวนการวิวัฒนาการหมุนกลับหรือเสื่อมถอย (degeneration) นั้นใช้เวลามาก จนการเกิดใหม่ไม่มีเวลาให้พอที่วิวัฒนาการหมุนกลับได้ แปลก-ที่การแปลแบบอาจารย์กับศิษย์ปากต่อปากนี้ กลับไปตรงกันเป๊ะกับฤคเวทย์ กรีกและอียิปต์สมัยราชวงศ์โบราณ ตามที่ เฮโรโดตัส นักประวัติศาสตร์คนแรกของโลกกล่าวไว้กว่า 2,400 ปีมาแล้ว (W.Y.Evan-Wentz: Tibetan Book of the Dead, 1960 (1927))
 
กรรมร่วมโดยรวมที่ว่านั้น ทีแรก คาร์ล จี. จุง ซึ่งเชื่อในเรื่องกรรมว่าเป็นไปได้แต่ก็เชื่อว่า มีแต่กรรมชนิดนี้แต่ชนิดเดียวที่เป็นประหนึ่งว่าจิตจักรวาล (universal unconscious continuum) สามารถจะแก้แค้นมนุษย์ได้ (ก่อนตายคาร์ล จุง ถึงจะมาเชื่อว่ามันมีกรรมของปัจเจกบุคคลด้วย) และผู้เขียนเชื่อมั่นอย่างแน่นอนว่า มนุษยชาติกำลังรอคอยผลกรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เราบางคนคิดว่า มนุษย์กำลังรับมันอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าเรื่องของฤดูกาลที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย น้ำท่วม ดินถล่มเพราะโลกร้อน หรือโรคระบาดที่ไม่อันตรายที่แท้จริง เพราะมีอัตราตายต่ำมากๆ แค่ไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ามีอัตราตายสูงๆ เช่น กาฬโรค อหิวาต์ อีโบลา หรือมาร์เลอร์ ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นไปได้คงเป็นคนละเรื่อง หรือว่าเป็นสงครามนิวเคลียร์ที่เป็นสงครามโลกอย่างแท้จริง แต่ไม่ว่าอะไรก็ไม่ร้ายแรงเท่าน้ำท่วมโลกอย่างถาวรที่เกิดแทบว่าจะฉับพลันทันที หรือที่ยิ่งเร็วกว่านั้นเข้าไปอีกมาก เช่น อาจจะเกิดขึ้นภายในหนึ่งหรือสองวันหรือเกิดในทันทีทันใด เป็นต้นว่าการย้ายแผนที่โลกที่เกิดจากการย้ายสนามแม่เหล็กโลกและของดวงอาทิตย์ หรือการย้ายขั้วโลก หรือที่ร้ายยิ่งกว่าคือ การวิ่งมาตกลงชนโลกของดาวหางอุกกาบาต-ไม่ว่าโลกจะมีดวงอาทิตย์สองดวงดังที่นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อ และผู้เขียนเคยนำมาเล่าเมื่อเร็วๆ นี้-หรือไม่ ซึ่งปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เล่ามานี้ล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น และน่าจะยิ่งเป็นไปได้กว่านั้น หากเราเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม
 
สำหรับผู้เขียนเองคิดและเชื่อเช่นนั้นอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น เพราะรู้ว่าโลกและจักรวาลมีชีวิตเพราะมีจิตไปอาศัยอยู่ ที่สำคัญคือ นักวิทยาศาสตร์ระดับนำของโลกหลายคนก็คิดเช่นนั้น เป็นต้นว่าเชื่อในทฤษฎีกายา หรือทฤษฎีมนุษยจักรวาลวิทยา (Gaea theory and cosmological anthropic principle) เพียงแต่เกิดเมื่อไรเท่านั้น โดยเฉพาะก่อนสิ้นศตวรรษที่ 21 นี้ โดยที่เผ่าพันธุ์มนุษยชาติยังคงมีอยู่ เพียงแต่จะเหลือน้อยนิดเต็มที ส่วนหนึ่งของที่เหลือนี้ที่ไม่น้อยนัก จะมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตไปสู่ระดับที่สูงกว่าปัจจุบัน (consciousness transformation) ไปตามสเปกตรัมของจิต ดังที่ผู้เขียนได้เขียนมาตลอดว่า จักรวาลมีหน้าที่หนึ่งเดียวเท่านั้น คือ วิวัฒนาการของกาย-จิตเพื่อค้นหาและเรียนรู้ความจริงแท้ที่มีเพียงหนึ่งเท่านั้น.


 ;D

http://www.thaipost.net/sunday/160809/9307 (http://"http://www.thaipost.net/sunday/160809/9307")