[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ห้องสมุด => ข้อความที่เริ่มโดย: Compatable ที่ 03 ธันวาคม 2554 23:30:29



หัวข้อ: ความรู้ประดับสมอง ตำนานอันลือลั่นของ " เสื้อยืด "
เริ่มหัวข้อโดย: Compatable ที่ 03 ธันวาคม 2554 23:30:29
ความรู้ประดับสมอง ตำนานอันลือลั่นของ " เสื้อยืด "

(http://www.5111500509.ob.tc/images/t-shirt/t%20shirt.jpg)

     เสื้อยืดแขนสั้นหรือทีเชิ้ตที่เราเริ่มรู้จักกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้กลายเป็นแฟชั่น
ยอดนิยมไปทั่วเสียแล้ว  เฉพาะในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวก็ขายทีเชิ้ตได้กว่าพันล้านตัวใน
ปี ค.ศ. ๑๙๙๐

     ที่จริงเสื้อทีเชิ้ตเริ่มจากชุดชั้นในซึ่งใช้ใส่ทำงานกลางแจ้งจุดกำเนิดไม่ชัดเจน แต่ค่อนข้าง
แน่ว่ามาจากกะลาสีเรือ  มีเรื่องเล่าว่า  สมัยหนึ่งกะลาสีเรืออังกฤษได้รับคำสั่งให้เย็บเสื้อแขนสั้น ๆ
ติดไว้กับเสื้อกล้าม พระราชวงศ์จะได้ไม่เห็นขนรักแร้อีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า  คนขนถ่ายใบชา
ที่ท่าเรือแอนนาโปลิส  ในแมรีแลนด์  ช่วงคริสต์ศตวรรษที่  ๑๗  ใส่เสื้อยืดแขนสั้นทำงาน
คำว่า Tea ซึ่งแปลว่า ชา จึงกลายมาเป็นตัว  “T”  สำหรับคำว่าทีเชิ้ต ที่แน่ ๆ  ก็คือ
ในปี ค.ศ. ๑๙๑๓ กองทัพเรือสหรัฐฯ  ให้ทหารเรือใส่เสื้อผ้าฝ้ายสีขาวแขนสั้นคอกลม
ไว้ใต้เสื้อจัมเพอร์อันเป็นเสื้อสวมศีรษะคลุมถึงสะโพก ส่วนหนึ่งก็คงเพราะต้องการ
จะปิดขนหน้าอกอันน่าเกลียด

     เสื้อทีเชิ้ตมีประโยชน์มากสำหรับชายหญิงเป็นล้าน ๆ คน ที่รับราชการทหารในทุกแห่งหน
โดยเฉพาะในเขตร้อน มันดูเรียบร้อย ซักก็ง่าย  เอาไว้ขัดหัวเข็มขัดก็ได้ ขัดรองเท้าก็ดี
หรือถ้าจำเป็นก็เอามาม้วนทำหมอนหนุนหรือใช้เป็นผ้าพันแผล  จะว่าไปแล้วเสื้อทีเชิ้ตก็คือเสื้อ
ในของสมัยหลังสงคราม ยิ่งถ้าเป็นแถบอากาศอบอุ่นแล้ว จะใส่ทีเชิ้ตอย่างเดียว ไม่มีเสื้อทับ
มันเป็นเครื่องแต่งกายที่บ่งบอกถึงความมีสิทธิเท่าเทียมกัน  ผู้ชายอาชีพใด ๆ ก็ใส่ได้ทั้งนั้น
ทหารเก่า (รวมทั้งลูกชายของพวกเขา) จะรู้สึกเหมือนแก้ผ้าเลยทีเดียว ถ้าไม่ได้ใส่ทีเชิ้ต

     ส่วนใหญ่เราจะเห็นคนงานชอบสวมทีเชิ้ต เพราะต้องการความสบายในการสวมใส่ เนื่องจาก
ทีเชิ้ตเข้ามาแทนที่เสื้อกล้ามแบบโชว์รักแร้ เลยกลายเป็นสัญลักษณ์ชนชั้นกรรมาชีพมาลอน  แบรนโด 
ช่วยตอกย้ำสถานภาพนี้ในหนังที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๕๑ เรื่อง “A Street Car Named Desire” 
ซึ่งแบรนโดเล่นเป็นชายชาตรีที่ดุดันหยาบกระด้าง  กล้ามเนื้อเป็นมัดของเขามองเห็นได้ชัด
ใต้เสื้อทีเชิ้ตรัดรูป  แบรนโดอีกเช่นกันที่ทำให้ทีเชิ้ตเป็นเสมือนธงรบของวัยรุ่นที่กบฏต่อพ่อแม่ 
ซึ่งภาพพจน์นี้ยืนยาวที่สุด



หัวข้อ: Re: ความรู้ประดับสมอง ตำนานอันลือลั่นของ " เสื้อยืด "
เริ่มหัวข้อโดย: Compatable ที่ 03 ธันวาคม 2554 23:31:06

(http://www.5111500509.ob.tc/images/t-shirt/star_wars_marc_ecko_set_for_stun_t_shirt_500.jpg)

     ช่วงปลายทศวรรษที่ ๖๐ เสื้อทีเชิ้ตถูกนำมาย้อมสี  โดยเอาเชือกมัดก่อนย้อมให้เป็นลวดลาย
หรือระบายสี หรือพิมพ์ซิลค์สกรีนเป็นรูปเครื่องหมายสันติภาพและสัญลักษณ์ของการประท้วง
เสื้อทีเชิ้ตกลายเป็นเวทีแสดงความรู้สึกส่วนตัว หลักปรัชญา  โฆษณาผู้สมัครรับเลือกตั้ง
และสินค้าต่าง  ๆ  ก็ตอนช่วงทศวรรษที่ ๗๐  สงครามเวียดนามผลักดันทีเชิ้ตเข้าสู่โลกของตัวอักษร
และการแสดงความเห็นโต้แย้ง เด็กหนุ่มสาวสวมทีเชิ้ตพิมพ์ข้อความต่อต้านสงครามเวียดนาม
ให้คนทั่วไปรู้ถึงความรู้สึกของพวกเขา

     เราไม่ต้องแบกป้ายประท้วงให้เมื่อยมือ ในเมื่อสามารถเขียนข้อความร้องทุกข์ไว้บนหน้าอกเสื้อได้ 
ไม่ว่าจะไปฟังการหาเสียงทางการเมือง  หรือแค่ไปกินเบอร์เกอร์ก็สวมทีเชิ้ตออกไปได้ ขณะที่อเมริกา
กำลังเริ่มให้ความสำคัญกับความคิดเห็นมากกว่าความรู้ ทีเชิ้ตดูจะเป็นเวทีวาทะที่เหมาะเจาะ
เราไม่ต้องพูดอะไรสักคำทุกคนก็รู้ว่าจุดยืนของเราเป็นอย่างไร  ไม่ว่าจะเรื่องสงคราม  ความขัดแย้ง
ทางเพศ หรือต่อต้านผู้อยู่ในอำนาจ  ไม่นานนักทีเชิ้ตก็ถูกใช้แสดงความคิดเห็นในเรื่องทุกเรื่องที่คิดได้
หรือสื่อคำสารภาพส่วนตัว เช่น “เสรีภาพในการสูบกัญชา” หรือ “ปลดนิกสัน” หรือ
“ฉันยังเป็นสาวบริสุทธิ์  (แต่นี่เสื้อตัวเก่านะ)”  ประโยคหลังนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่า ไม่มีอะไรที่แน่นอน

     ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของทีเชิ้ตที่ได้มาจากทีเชิ้ตคอปิด คือทำให้ไม่ต้องผูกเนกไท บุรุษทั้งหลาย
ต่างสำนึกบุญคุณเสื้อทีเชิ้ตคอปิดกันอยู่ชั่วกาลนาน  ผู้หญิงเองก็ได้ใส่เสื้อที่ดูแลรักษาง่ายนี้แทนเสื้อ
แบบที่เคยใส่ไปด้วย  สำนักงานหลายแห่งยินยอมให้พนักงานใส่เสื้อทีเชิ้ตผ้าฝ้ายแบบเรียบ ๆ สีเดียว
แล้วใส่เสื้อสูททับมาทำงานได้

     นักวิชาการผู้ศึกษาวัฒนธรรมในตอนนี้ต่างก็เสียใจว่าพวกเขาไม่เคยคาดเลยว่า  ทีเชิ้ตจะกลายเป็น
ประดิษฐกรรมของมนุษย์ที่เป็นที่นิยมมากที่สุด และสำคัญที่สุดของแฟชั่นในคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐
เมื่อไม่นานมานี้  สถาบันเทคโนโลยีแฟชั่นในนิวยอร์กก็ยังจัดนิทรรศการทีเชิ้ตเพื่อแสดงให้เห็น
เหตุการณ์ต่าง ๆ  ในปี ค.ศ.  ๑๙๙๑ ตามที่มีบันทึกไว้บนทีเชิ้ต ตั้งแต่ปฏิบัติการพายุทะเลทราย 
ไปจนถึงคดีของ  วิลเลียม  เคนเนดียิ่งไปกว่านั้น  สามแผนกของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อเมริกันแห่งชาติ 
ได้แก่  แผนกเครื่องแต่งกาย  ชีวิตตามชุมชน และประวัติศาสตร์การเมือง ก็สะสมทีเชิ้ตไว้สำหรับ
แสดงนิทรรศการด้วย

     ประดิษฐกรรมใหม่ล่าสุดตอนนี้คือ ทีเชิ้ตที่มีสีแบบใหม่เรียกว่า“ สีนูน”  ที่ใช้วิธีบีบเอาจากหลอด
โดยตรงออกมาเป็นหยดใหญ่ ทำให้เสื้อทีเชิ้ตของเด็ก ๆ กลายเป็นเสื้อในฝัน  เพราะมีลายนูนต่ำ
เสื้อทีเชิ้ตที่ไวต่อความร้อนจะเปลี่ยนสีได้เมื่อสวมใส่ลงบนร่างกายก็กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน

     ไม่มีใครทราบว่า  เรื่องราวของเสื้อทีเชิ้ตจะจบสิ้นลงเมื่อใดแต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ตราบใดที่คนอเมริกัน
ยังคิดว่าต้องระบายความในใจให้โลกรู้อยู่ละก็ ตราบนั้นเจ้าเสื้อทีเชิ้ตก็คงจะต้องอยู่ต่อไป




ข้อมูลนี้ได้มาจากบทความเรื่อง “ทีเชิ้ต เสื้อยืดยอดฮิตของชาวอเมริกัน” 
โดย เจ.ดี. รีด  ในนิตยสารเสรีภาพ  ฉบับที่ ๑/๒๕๓๖

“ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี”