[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
17 พฤษภาคม 2567 08:05:31 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 112 113 [114] 115 116 117
2261  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / ไวโอลินบรรเลงตอน 'ไททานิก' ล่ม ประมูลแล้วเคาะที่ 45 ล้านบาท เมื่อ: 24 พฤศจิกายน 2556 18:33:53
.



ไวโอลินบรรเลงตอน 'ไททานิก' ล่ม ประมูลแล้ว

ไวโอลินชิ้นที่หัวหน้าวงดนตรีประจำเรือ 'ไททานิก' บรรเลงขณะที่เรือกำลังจม
ลงสู่ก้นมหาสมุทร ถูกประมูลออกไปแล้ว ในราคาทุบสถิติเครื่องดนตรีที่ 45 ล้านบาท...
 
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าไวโอลินชิ้นที่หัวหน้าวงดนตรีประจำเรือ 'ไททานิก' บรรเลง
เพื่อให้ลูกเรือสงบสติอารมณ์ ในขณะที่เรือกำลังจมลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติก
ถูกซื้อไปในราคาสูงถึง 900,000 ปอนด์ (ราว 45.17 ล้านบาท) ที่การประมูล
ในมณฑลวิลต์เชอร์ ประเทศอังกฤษ โดยผู้ประมูลได้เป็นชาวอังกฤษ แต่ไม่มีการเปิดเผยชื่อ
 
ไวโอลินตัวนี้ ถูกอ้างว่าเป็นของ วอลเลซ ฮาร์ทลีย์ หัวหน้าวงดนตรีบนเรือไททานิก
ซึ่งเสียชีวิตในเหตุโศกนาฏกรรมเมื่อปี 1912 พร้อมกับผู้โดยสารและลูกเรือคนอื่น
อีก 1,517 คน ฮาร์ทลีย์กลายเป็นส่วนหนึ่งของตำนานเรือไททานิก หลังจากเขานำ
สมาชิกในวงบรรเลงดนตรี ในขณะที่เรือลำนี้กำลังจนลงสู่ก้นทะเล



ทั้งนี้ ยังมีหลายคนสงสัยว่า ไวโอลินตัวนี้เป็นของฮาร์ทลีย์จริงหรือ เนื่องจากมันไม่น่ารอด
จากการจมสู่ก้นทะเลได้ อย่างไรก็ตาม มีการกล่าวอ้างว่า ไวโอลินตัวนี้ ถูกพบอยู่ใน
กระเป๋าหนังซึ่งสะพายอยู่กับศพของนายฮาร์ทลีย์ ที่สวมเสื้อชูชีพอยู่ ขณะที่บันทึกของ
มาเรีย โรบินสัน คู่หมั้นของฮาร์ทลีย์ ระบุด้วยว่า ไวโอลินตัวนี้เหลือรอดและ
ถูกส่งมาถึงมือของเธอ
 
หลังจากโรบินสันเสียชีวิตในปี 1939 ไวโอลินตัวนี้ได้ถูกมอบให้กับ โบสถ์ขององค์กรการ
กุศล 'ซัลเวชัน อาร์มี' และถูกส่งผ่านไปถึงมือของมารดาของเจ้าคนปัจจุบันของไวโอลิน
ตัวนี้ (ก่อนถูกประมูล) ในช่วงทศวรรษที่ 1940 โดยสถาบันประมูลชื่อดังอย่าง 'ดีไวซิซ'
และ 'เฮนรีอัลดริจ แอนด์ ซัน' ใช้เวลาถึง 7 ปี จึงพิสูจน์ได้ว่า เครื่องดนตรีตัวนี้ เป็นของ
ฮาร์ทลีย์จริง


http://www.thairath.co.th
2262  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / สุดสวยด้วยวิธี "พิสดาร" เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2556 19:42:22
.
สุดสวยด้วยวิธี "พิสดาร"

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/11/16/383247/hr1667/630.jpg

ผู้หญิงกับความงามนั้นเป็นของคู่กัน โดยเฉพาะผู้หญิงในเมืองใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางความทันสมัยและแสงสีทั้งหลาย เมื่อมีความต้องการจึงมีผู้หาวิธีหรือสูตรลับในการดูแลผิวพรรณเพื่อขจัดริ้วรอย ทำให้ส่วนที่ไม่ต้องการยุบเล็กลง และทำให้บางส่วนใหญ่ขึ้น หลายคนยอมจ่ายเงินจำนวนมาก ทั้งนี้ก็เพื่อให้สวยที่สุดดูดีที่สุด และคนส่วนใหญ่ก็คงไม่ปฏิเสธว่า ชอบที่จะมองผู้หญิงหน้าตาสวยผิวพรรณดีเช่นกัน ทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนจะพาท่านไปดูวิธีเสริมความงามแบบพิสดารกันครับ

นับแต่ยุคโบราณมาแล้วที่คนเราสรรหาวิธีดูแลความงามให้กับผู้หญิง  ในอดีต พระนางชีบา ราชินีของกษัตริย์โซโลมอนผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิสราเอล ไปที่เดดซี (Dead Sea-ทะเลสาบที่เค็มที่สุดในโลก) เพื่อใช้โคลนพอกดูแลรักษาผิวพรรณเป็นประจำ และในยุคต่อมา พระนางคลีโอพัตราผู้เลอโฉมแห่งอาณาจักรอียิปต์ ก็ยินดีที่จะเดินทางไกลไปที่นั่นเช่นกัน ด้วยหวังว่าธรรมชาติของที่นั่นจะช่วยให้ความงามคงอยู่ไปอย่างยั่งยืน ปัจจุบันนี้ดาราฮอลลีวูดหลายคน อาทิ จูเลี่ยน มัวร์ และ ซูซาน ซาแรนดอน ใช้ผลิตภัณฑ์ซึ่งทำจากโคลนที่นั่นเป็นประจำ และผลิตภัณฑ์จากโคลนของเดดซีก็มีจำหน่ายทั่วไป

สาวอาหรับในอดีตเคยใช้ตะกั่วบดเป็นผงละเอียดทาเปลือกตา คิ้วและขนตา เพื่อเสริมให้รอบดวงตาดูคมเข้ม ส่วนสาวชาวบาบิโลน ขจัดขนบนใบหน้าด้วยการใช้หินภูเขาไฟขัด ขณะที่หญิงสาวชาวอิตาเลียนยุคหนึ่งนิยมสร้างเสน่ห์ให้กับดวงตาด้วยการหยอดยางจากต้นไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง ชื่อ Nightshade เข้าไปที่ดวงตา แม้มันจะได้ผลจริงแต่ก็มีอันตรายในระยะยาว

หญิงอังกฤษในศตวรรษที่ 19 ยังกินสารหนู (Arsenic) เพื่อให้ผิวผุดผ่องเป็นยองใยด้วย โดยไม่ทราบว่านั่นคือยาพิษดีๆ นี่เอง และสตรีผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งศตวรรษที่ 16 คนหนึ่งคือ ควีนเอลิซาเบธที่ 1 ของอังกฤษ ผู้มีริมฝีพระโอษฐ์ที่อวบอิ่มและแดงราวกับทับทิม ใช้สีแดงที่ได้จากการคั้นเอาจากแมลงชนิดหนึ่งมาทาแทนลิปสติก

หญิงสาวชาวเวนิสนิยมไว้ผมยาวสลวย เพื่อให้สีผมโดดเด่นขึ้น ผู้ที่มีผมสีบรอนซ์นิยมที่จะใช้ปัสสาวะสิงโตราดไปบนมวยผม แล้วนั่งตากแดดให้แห้ง คล้ายกับหญิงอาหรับที่ทำให้ผมนุ่มและเงางามด้วยการแช่ผมของพวกเธอในปัสสาวะของอูฐ  ส่วนสาวงามชาวโรมันเพิ่มความเข้มให้ใบหน้าด้วยการใช้สาหร่ายทะเลสีน้ำตาลทาแก้ม และสร้างความผุดผาดด้วยการลูบไล้ใบหน้าด้วยผงตะกั่ว  ขณะที่สาวเกอิชาและนักแสดงคาบูกิของญี่ปุ่นซึ่งพอกหน้าด้วยแป้งหนาเตอะ  ต้องใช้อุจจาระของนกไนติงเกลที่แห้งแล้วทำเป็นผง ทำความสะอาดแป้งเหล่านั้นบนใบหน้า  เช่นเดียวกับสูตรลับของคลีโอพัตราในการบำรุงผิวหน้า ที่ใช้อุจจาระของจระเข้ที่บดให้เหลวเป็นครีมผสมกับน้ำนมลา  แล้วนำมาพอกหน้าเป็นประจำ มันทำให้ผิวหน้าของพระนางดูอ่อนเยาว์ (ปัจจุบันครีมพอกหน้าที่มีส่วนผสมของขี้นกกำลังเป็นที่นิยมในหมู่คนดัง วิคตอเรีย เบ็คแฮม คือหนึ่งในผู้ที่ใช้เป็นประจำ)

ทศวรรษที่ 30-40 ของศตวรรษที่ 20 เป็นยุคที่การเสริมสวยกำลังเริ่มบูม ทำให้เกิดการคิดค้นนวัตกรรมแปลกๆ ใหม่ๆ ออกมาเพื่อเอาใจสาวผู้อยากสวยจำนวนมาก หลายๆ อย่างดูแล้วก็น่าตลก แต่ก็เป็นอะไรที่เกิดขึ้นจริงในยุคหนึ่ง ขอยกตัวอย่างมาให้ดูสักนิดหน่อยนะครับ


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/11/16/383247/o3/420.jpg

หน้ากากน้ำแข็ง
อันดับแรก หน้ากากน้ำแข็งที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยบริษัท Max Factor เป็นหน้ากากที่มีกล่องพลาสติกใสสำหรับบรรจุน้ำไว้ข้างใน เพียงนำหน้ากากนี้ไปแช่ให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง แล้วมาครอบหน้าไว้ ความเย็นจากน้ำแข็งจะช่วยทำให้ผิวหน้าและรูขุมขนกระชับได้อย่างมหัศจรรย์


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/11/16/383247/o4/420.jpg

เครื่องลอกกระบนใบหน้า
แล้วก็ยังมีเครื่องลอกกระบนใบหน้า โดยใช้การพ่นคาร์บอนไดออกไซด์ เย็นจัดไปบนผิวหน้า โปรดสังเกตจะเห็นว่าตาสองข้างของผู้รับบริการจะถูกปิดครอบโดยมีเหล็กยันไว้ จมูกสองรูก็ถูกอุดไว้ ต้องใช้ปากหายใจผ่านท่อยาว เครื่องนี้ดูเหมือนเครื่องทรมานคนมากกว่าเครื่องที่ช่วยให้สวยขึ้น


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/11/16/383247/o5/420.jpg

พอกหน้าด้วยทองคำ
มาถึงยุคปัจจุบันนี้บ้าง การเสริมความงามที่หากินกับคนรวยก็มีหลากหลาย เช่น The beauty Clinic ที่กรุงลอนดอน มีคอร์สนวดหน้าด้วยทองคำบริสุทธิ์ เรียกว่า UMO 24 carat โดยบอกว่าทองคำ 24 กะรัตจะช่วยลดริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้า ขจัดสารพิษที่ตกค้าง และทำให้ผิวหน้าผุดผ่องเป็นยองใย หลังจากนวดเสร็จก็จะพอกหน้าด้วยแผ่นทองคำบางเฉียบแล้วนวดให้อนูของธาตุมหัศจรรย์ซึมซับเข้าไปในผิวหน้า แล้วจึงลอกออก ค่าใช้จ่ายคอร์สนี้เริ่มที่ 350 ปอนด์ (ประมาณ 17,500 บาท) ส่วนที่โรงแรม Ritz Carlton นิวยอร์ก ให้บริการสำหรับลูกค้ากระเป๋าหนักด้วยการใช้พนักงานสองคน คนหนึ่งนวดตัวขัดผิว อีกคนหนึ่งทำเฉพาะใบหน้า ด้วยครีมซึ่งมีส่วนประกอบเป็นแพลตตินั่มบริสุทธิ์ ครีมนี้จะช่วยฟื้นฟูเซลล์ในระดับ DNA ทำให้ผิวหน้าเปล่งปลั่งดูอ่อนวัยไปนานแสนนาน ค่าบริการเริ่มต้นที่ 410 เหรียญสหรัฐฯ (12,300 บาทโดยประมาณ) ไม่รวมทิป


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/11/16/383247/o7/420.jpg

ขัดผิวหน้าด้วยเพชร
สำหรับบุคคลผู้ชอบความสุดยอดในชีวิต ยังมีบริการที่ยิ่งไปกว่านั้นให้เลือกอีก นั่นคือ การดูแลผิวหน้าด้วยเพชรและไข่ปลาคาร์เวียร์ ที่ The Grand Luxe Facial ซานฟรานซิสโก โดยขัดผิวที่เสียแล้วด้วยหัวขัดที่ทำจากเพชร เมื่อขัดเสร็จก็ปล่อยคลื่นระดับไมโครเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง ตามด้วยการพอกหน้าด้วยไข่ปลาคาร์เวียร์และกรดอะมิโน จะทำให้ผิวหน้าดูเอิบอิ่มอ่อนวัยขึ้นราวปาฏิหาริย์ ยัง ยังไม่เสร็จ เพราะเขาปิดท้ายด้วยการบำบัดด้วย แสง LED ระหว่างที่ทำหน้าไปนั้น ก็จะมีอีกคนนวดตัวไปพร้อมกันด้วย เพื่อให้เกิดความสบายเนื้อสบายตัวเมื่อเสร็จกระบวนการที่ใช้เวลารวม 3 ชั่วโมง งานนี้ลูกค้า ต้องจ่าย 750 เหรียญสหรัฐฯ (ราวๆ 22,500 บาท)


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/11/16/383247/o6/420.jpg

เทคโนโลยีหลอด LED ก็ถูกนำมาใช้เรื่องความงาม
ส่วนผู้ที่รักการดูแลผม ถ้ามีเงินจ่ายก็ลองไปที่ห้างแฮร์ร็อต กรุงลอนดอน ที่นั่นให้บริการทำผมด้วยแชมพูและครีมนวดผมสูตรลับ หลังจากสระเสร็จก็ไปนวดหัวด้วยผงเพชรและหินอุกาบาตร้อน พอนวดเสร็จค่อยไปทำผมต่อ โดยผู้เชี่ยวชาญที่สร้างสรรค์ทรงผมให้เหมาะกับบุคลิกของแต่ละคนได้อย่างวิเศษ เมื่อเดินออกจากร้าน คุณจะรู้สึกถึงความเพอร์เฟกต์ที่จับต้องได้ แต่ทั้งหมดนั้นต้องจ่าย 16,000 บาท

ยังมีการทำให้ผิวหน้าเต่งตึงอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในหมู่ไฮโซคนดัง คือการใช้ครีมพอกหน้าที่มีส่วนผสมพิษจากผึ้ง หรือ Bee Venom ซึ่งโดยหลักการแล้วก็คล้ายกับการฉีดโบท็อกซ์นั่นเอง แต่มาในรูปของครีมที่มีส่วนผสมของพิษผึ้ง 1% ที่เหลือเป็นน้ำผึ้ง, Shea Butter และน้ำมันลาเวนเดอร์ จึงเป็นการสวยได้โดยไม่ต้องเจ็บตัว ครีมชนิดนี้ราคาสูงมาก (ของแท้) ขนาด 50 มิลลิลิตร ราคา 73 ปอนด์ (3,650 บาท) ซึ่งผู้ที่ใช้เป็นประจำคือ เคธ มิดเดิลตัน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/11/16/383247/o8/420.jpg

คิม คาดาเชียน กับ Vampire treatment.
อีกวิธีที่สยองสักหน่อย แต่ผู้ที่รับการดูแลวิธีนี้เป็นประจำคือ คิม คาดาเชียน ดาราโทรทัศน์ชื่อดังของสหรัฐฯ วิธีนี้คือการดูดเอาเลือดในตัวของผู้ที่จะรับการบริการออกมาจำนวนหนึ่ง แล้วเข้าเครื่องปั่นเพื่อแยกเอาเกล็ดเลือดออกมา จากนั้นก็นำเกล็ดเลือดที่ได้ฉีดพ่นไปทั่วใบหน้า ทำให้หน้าตาของคนนั้นแดงฉานดูน่ากลัวยิ่งนัก บางคนจึงเรียกว่า Vampire Facial treatment แต่ว่ากันว่าไม่นานหลังจากนั้น ความเอิบอิ่มชุ่มชื่นจะปรากฏให้เห็นอย่างไม่น่าเชื่อ สนนราคาค่าบริการ Vampire Facial treatment นี้ตกครั้งละ 1,500 เหรียญสหรัฐฯ (45,000 บาท)



เซเรนา วิลเลียม กำลังแช่น้ำแร่อย่างมีความสุข.
ท้ายสุด คนสวยคนงามมักจะไปอาบน้ำแร่แช่น้ำนมกัน ซึ่งค่าอาบน้ำแร่โดยทั่วไปถ้าไม่ใช่สถานที่หรูหราก็แค่ 50-100 บาท ส่วนน้ำนมที่ใช้แช่ตัวนั้นก็มีขายเป็นขวดใช้ผสมน้ำแล้วลงไปแช่แต่ที่โรงแรม Hotel Victor ไมอามี มีบริการให้แขกคนพิเศษแช่น้ำแร่ Evian ของฝรั่งเศส จำนวน 1,000 ลิตร จะเทลงไปในอ่างอาบน้ำ ให้แขกกระเป๋าหนักคนสำคัญลงไปแช่เล่นท่ามกลางกลิ่นหอมของกลีบกุหลาบที่ลอยกระจายอยู่ทั่วผิวน้ำ ขณะที่มีความสุขกับการแช่น้ำแร่จากเทือกเขาแอลป์ ก็จิบแชมเปญหรือรับประทานของหวานรสเลิศไปด้วย เมื่อแช่จนพอใจแล้วก็ค่อยไปทำสปาต่อ ใครสนใจคอร์สนี้ก็ต้องเตรียมสตางค์ไว้อย่างน้อย 150,000 บาท ไม่รวมทิป  ลูกค้าที่ไปใช้บริการแบบนี้ประจำคือ นักเทนนิสหญิงเซเรนา วิลเลียม ที่กล้ามใหญ่กว่าผู้ชาย เซิร์ฟหนักตบแรงคนนั้นแหละครับ.

โดย ทีมงานนิตยสารต่วย' ตูน
www.thairath.co.th

2263  สุขใจในธรรม / เสียงธรรมเทศนา / อารักขกรรมฐาน 4 โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2556 16:44:04

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

<a href="http://www.fungdham.com/download/sound/put/08.mp3" target="_blank">http://www.fungdham.com/download/sound/put/08.mp3</a>
เรื่อง อารักขกรรมฐาน 4
2264  สุขใจในธรรม / เสียงธรรมเทศนา / การบริหารจิต โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2556 19:22:50

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

<a href="http://www.fungdham.com/download/sound/put/18.mp3" target="_blank">http://www.fungdham.com/download/sound/put/18.mp3</a>
เรื่อง การบริหารจิต

2265  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ / Re: ไสยเวทย์ในอดีต เมื่อ: 22 ตุลาคม 2556 05:17:05
.
พิธีกรรมไล่ผี มีอยู่ทั่วโลก

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/01/22/143360/hr1667/630.jpg

ไม้กางเขนเป็นสิ่งสำคัญในการไล่ผีของชาวคริสต์

คราวนี้พาท่านผู้อ่านไปที่ประเทศเฮติ ไปดูการ "ไล่ผี" ซึ่งจะว่าไปแล้วระยะหลังๆนี้ เฮติก็เกิดเรื่องราวมาก ไหนจะธรณีพิโรธ ตามมาด้วยโรคระบาด โดยเฉพาะอหิวาตกโรคที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกันมากในหลักหลายพันคน และป่วยอีกหลายหมื่น ก็เลยเกิดเป็นข่าวลือแพร่สะพัดในหมู่ชาวบ้าน ว่า ไอ้โรคร้ายทั้งหลายนี่แหละ เกิดมาจากผี หรือถ้าไม่ใช่ผีจริงๆ ก็ต้องเป็นหมอผีที่ทำพิธีมนตร์ดำแบบวูดู และด้วยความเชื่อนี้ ก็เลยเกิดการล่าผี รวมถึงล่าหมอผีกัน เพื่อหวังจะขจัดโรคร้าย จนเกิดการฆ่ากันตายไปหลายศพ เรียกว่าหากมองหน้าแล้วคิดว่าใครเลี้ยงผี ก็ไม่พูดพรํ่าทำเพลงกัน จัดการไล่ผีซะ ด้วยการฆ่ามันเสียก่อนที่มันจะฆ่าเรา ก็เลยกลายเป็นปัญหาที่รัฐบาลกุมขมับ


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/01/22/143323/o6/420.jpg

พิธีกรรมของผู้บูชาลัทธิวูดู.

จากเรื่องที่เกิดในเฮติ หลายคนอาจจะคิดว่า เป็นประเทศไม่เจริญ ก็เลยเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ กันง่ายๆ แต่ประเทศที่เจริญแล้วก็ไม่ใช่ย่อยหรอก ในสหรัฐอเมริกาเอง ก็มีคนเชื่อเรื่องผี และมีกลุ่มนักไล่ผีที่ทำงานกันเป็นอาชีพทีเดียว

การไล่ผีของพวกฝรั่ง มักจะอาศัยคัมภีร์ไบเบิล ไม้กางเขน และคำสวดมนต์เป็นหลัก หรือบางทีก็อาจมีน้ำมนต์เข้ามาช่วยด้วย เวลาที่ฝรั่งเจอผี บางคนที่เชื่อมั่นในนักบวช ก็จะเรียนเชิญพระสงฆ์มาช่วยทำพิธีให้ แต่คนที่ไม่ค่อยไว้ใจพระ ก็ไปจ้างผู้ประกอบการที่เปิดบริษัทไล่ล่าผีมาจัดการ และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคะว่า หนึ่งในลูกค้าคนสำคัญของบริษัทจัดการผีก็คือ นักร้องชื่อดังแห่งยุค เลดี้ กาก้า ที่เชื่อว่ามีวิญญาณคอยตามรังควานเธอ สาวเจ้าก็เลยจ้างคนมาคอยไล่ผีในทุกๆที่ที่เธอเดินทางไป เรียกว่า ถ้าเป็นซุปเปอร์สตาร์ หรือคนสำคัญคนอื่นๆ ก่อนจะไปไหนต้องส่งหน่วยรักษาความปลอดภัยไปดูสถานที่ล่วงหน้า แต่ถ้าเป็นเลดี้ กาก้า หน่วยที่ต้องไปตั้งหลักก่อนคือหน่วยไล่ผี


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/01/22/143323/o4/420.jpg

เลดี้กากา ซุปเปอร์สตาร์ ที่ต้องพึ่งพาหน่วยไล่ผี.

หน่วยไล่ผีของเลดี้ กาก้า นอกจากจะทำการสวดมนต์ หรือทำอะไรในแบบดั้งเดิมต่างๆแล้ว ยังใช้ วิทยาศาสตร์เข้าช่วยด้วย โดยมีการใช้เครื่องตรวจจับวิญญาณด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเครื่องมือแบบอื่นๆ มาช่วย ก็ไม่รู้ว่างานนี้เลดี้   กาก้า  จะปลอดภัยจากผีที่คอยตามหลอกหลอนเธอได้จริงๆ หรือว่าจะถูกหลอกเพราะคนที่มาช่วยไล่ผีกันแน่ ก็คงต้องติดตามข่าวกันต่อไป

แต่ นอกจากผีที่มาตามหลอกหลอนแล้ว ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ ผีสิง หรือผีเข้า ซึ่งถ้าเป็นในบ้านเรา ก็เห็นกันบ่อยๆ บางคนก็บอกว่าของจริง แต่คนที่ไม่เชื่อก็บอกว่า อุปาทาน ก็ต้องแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคนแล้วล่ะค่ะ เรื่องแบบนี้จะเชื่อหรือไม่ ก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละท่าน ส่วนด้านโลกตะวันตก ก็มีเรื่องแบบนี้เหมือนกัน ฝรั่งเองก็มีเรื่องราวในทำนองคนถูกผีเข้า ผีสิงกันเยอะเหมือนกัน ทำให้บาทหลวงในหลายๆพื้นที่ โดยเฉพาะแถบชนบทจะต้องออกโรงไปช่วยไล่ผีกันบ่อยๆ แต่ก็อย่างที่บอกแหละว่า พิธีไล่ผีของฝรั่งมักจะไม่ค่อยตื่นเต้นมาก เพราะอุปกรณ์ไม่เยอะ

แต่ก็มีบ้างบางครั้งที่การไล่ผีเกิดเป็นเรื่องรุนแรง เช่น มีการกักขังคนที่ถูกผีเข้า การเฆี่ยนตี ซึ่งบางครั้ง บทสรุปก็ไปจบลงที่โรงพยาบาลโรคจิต กลายเป็นเรื่องน่าสงสารไป รวมไปถึงบางกรณีที่รุนแรงถึงตาย และบาทหลวงหลายท่านถูกดำเนินคดีในฐานฆาตกรรม ซึ่งบางท่านก็แก้ต่างไม่หลุด แต่ก็มีบางท่าน ที่แม้สำนักสงฆ์ระดับสูงยังออกมารับรองว่าไม่ใช่ฆาตกง...ฆาตกรรมอะไรกันหรอก แต่เหยื่อที่เสียชีวิตเป็นเพราะถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง และบาทหลวงท่านเอาไม่อยู่ต่างหาก

สำหรับกรณีการไล่ผีที่ขึ้นชื่อว่า เป็นเรื่องโด่งดังที่สุดในโลก เห็นทีจะเป็นชีวิตจริงของอันเนลีส มิเชล (Anneliese Michel) สาวน้อยชาวเยอรมันผู้เคร่งในศาสนา แต่ต่อมาเธอก็มีอาการเหมือนถูกผีสิง จนต้องอัญเชิญบาทหลวง 2 ท่านมาช่วยทำพิธีให้ แต่ระหว่างการไล่ผีที่เกิดขึ้นหลายสิบครั้ง เธอก็ทนไม่ไหว ตายจากไปเสียก่อนในตอนที่อายุเพียง 23 ปี และได้เปลี่ยนจากเด็กสาวหน้าตาสะสวย เป็นหน้าตาสยดสยอง กลายเป็นเรื่องครึกโครม และถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Exorcism of Emily Rose ซึ่งในภาพยนตร์ ได้เปลี่ยนชื่อตัวเอกของเรื่องเสียใหม่ ทำให้หลายๆ คนเข้าใจผิดไปเหมือนกันว่า Emily Rose เป็นชื่อจริงของเธอ


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/01/22/143323/o8/420.jpg

สาวน้อยอันเนลีส มิเชล ก่อนจะถูกผีเข้า.

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/01/22/143323/o7/420.jpg

สภาพที่เปลี่ยนไปของอันเนลีส หลังถูกผีเข้า.

หมุนโลกไปอีกด้าน ทางฟากกาฬทวีป มีรายงานจากองค์การสหประชาชาติว่า ในแอฟริกันนั้น มีคนเชื่อเรื่องผีสางอยู่มากทีเดียว และแม้โลกจะพัฒนาขึ้น แต่ความเชื่อเรื่องผีของคนแอฟริกันก็ไม่ลดลง แถมยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และคนที่ถูกอ้างว่าผีเข้ามักจะเป็นเด็กที่มีปัญหา เช่น เด็กพิการ เด็กเร่ร่อน ซึ่งพอถูกจับได้ ก็จะมีการนำหมอผีมาไล่ผีด้วยวิธีการน่าตกใจทีเดียว เช่น กรอกน้ำมันปลุกเสกเข้าไปในลูกตา หรือหูของเด็ก รวมถึงการบังคับให้กินของปลุกเสกแปลกๆเพื่อไล่ผี ไล่ความชั่วในตัวออกไป ซึ่งไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า สามารถไล่ผีได้จริงหรือไม่ แต่ในมุมมองของฝรั่งก็ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ และเป็นการทำร้ายกัน แต่ก็คงต้องยอมรับด้วยว่า ความเชื่อ และวัฒนธรรมของแต่ละสถานที่ก็ย่อมแตกต่างกันไปตามความเชื่อที่สืบเนื่องกัน มานาน อาจจะเป็นศตวรรษ หรือสหัสวรรษ


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/01/22/143323/o5/420.jpg

หมอผีชาวกาฬทวีป.

ที่ว่านานขนาดนั้นก็เพราะมีหลักฐานที่สามารถย้อนไปไกลได้ถึงยุคสุเมเรียนอันเก่าแก่เลยทีเดียว อันว่าชาวสุเมเรียนนี้เก่าขนาดที่ว่า เป็นพวกแรกๆ ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่แถวๆเมโสโปเตเมีย เมื่อ 4,000 ปีก่อน คริสตกาลชนกลุ่มนี้มีอารยธรรมสูง สามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ได้มากมาย ทั้งวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฯลฯ จนบางคนบอกว่า พวกเขาได้ความรู้ต่างๆ มาจากผู้ส่งสารผ่านดาวอันไกลโพ้นนู่น...

เก่งแค่ไหน ชาวสุเมเรียนก็ "ตาขาว" เหมือนเราๆ นี่แหละ คือกลัวผี ดังนั้น ในขณะที่เหล่านักคิดนักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาเทคโนโลยีและถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ในอีกด้านหนึ่ง ก็มีนักบวชที่ต้องศึกษาเรื่องการไล่ผีอย่างจริงจัง และมีชาวบ้านจำนวนมากทีเดียว ที่มาขอร้องเหล่านักบวชให้ช่วยไปปราบผีให้หน่อย โดยเฉพาะผีที่ชอบมาสิงสู่ผู้คน ซึ่งชาวสุเมเรียนเชื่อว่า คนที่อ่อนแอนั้น ผีจะเข้าสิงได้ง่าย เวลาใครเจ็บป่วย หรือมีอาการผิดประหลาดไป ก็เลยต้องตามนักบวชมาจัดการ ซึ่งนักบวชสุเมเรียนก็ใช้วิธีง่ายๆ คือสวดมนต์ไล่ผี และมีหลักฐานสืบต่อมาจนปัจจุบันว่า มีคาถาไล่ผีอยู่ หลายบทที่นักบวชสุเมเรียนต้องท่องให้ได้ เพื่อช่วยขจัดผีร้ายให้ประชาชน

เรื่องแบบนี้มีมานานหลายพันปีแล้ว และน่าจะมีอยู่ต่อไปอีกหลายพันปี หากคนเราไม่ขนเอาอาวุธนิวเคลียร์มาล้างโลกกันเสียก่อน "คาถาไล่ผี" ก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น และถ่ายทอดกันรุ่นสู่รุ่น วัฒนธรรมสู่อารยธรรมกันต่อไป แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยก็เถอะ

ด้าน วาติกัน แม้ว่าบาทหลวงในคริสต์ศาสนา ส่วนใหญ่จะใช้บทสวดจากไบเบิล แต่ก็มีบทสวดมากมาย จนเมื่อ ค.ศ.1998 ก็ได้มีการสังคายนาคาถาไล่ผีอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะกับตำราปราบผีชื่อดังเล่มหนึ่งคือ De  Exorcismis et Supplicationibus Quibusdam หรือการสวดเพื่อไล่ผี บทสวดยาว 84 หน้า ที่บาทหลวงจำนวนมากใช้เป็น "อาวุธ" หนักในการปราบผี และยังมีการแต่งตั้งบาทหลวงผู้มีหน้าที่ไล่ผีอย่างเป็นทางการ ซึ่งได้ออกสืบสวนกรณีผีสิงต่างๆ และประกาศว่า หลายเรื่องเป็นเรื่องจริง


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/01/22/143323/o3/420.jpg

คัมภีร์ปราบผี De Exorcismis et Sup-plicationibus Quibus-dam.

คนสำคัญที่สุดของวาติกัน คือ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 เอง ก็มีรายงานว่า พระองค์ให้ความสำคัญกับกิจกรรมไล่ผีของบาทหลวงต่างๆ มาก ส่วนพระสันตะปาปาพระองค์ก่อน คือ จอห์น ปอลที่ 2 นั้น ก็มีรายงานว่า พระองค์เคยช่วยทำพิธีไล่ผีให้ผู้ที่มาร้องขอด้วย แต่เป็นการกระทำแบบลับๆ

ส่วนที่เปิดเผยอย่างชัดแจ้งเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ สำนักข่าวในสหรัฐอเมริกาว่า รายงานหลวงพ่อโธมัส ปาปรอกคิ (Thomas  Paprocki) บาทหลวงระดับบิชอปแห่งบัลติมอร์ได้รวบรวมพระในนิกายคาทอลิกมาร่วมกันศึกษา และสอนวิธีไล่ผีกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะในระยะหลังนี้ แม้วิทยาการจะมากขึ้น แต่ความต้องการของอเมริกันชนในการอัญเชิญบาทหลวงไปช่วยไล่ผีก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

ส่วนท่านผู้อ่านที่อยากรู้ว่า ฝรั่งเขาไล่ผีกันอย่างไร เหมือนหมอผีของไทยหรือเปล่า หรือว่าจะโหดกว่านั้น มีหนังดีวีดีสยองขวัญเรื่อง The Last Exorcism หรือ "นรกเฮี้ยน" ซึ่งในเนื้อเรื่องมีทั้งการถูกผีเข้า และพิธีกรรมการไล่ผี ให้ผู้ชมได้เห็นว่าผีฝรั่งเขาปราบกันอย่างนี้นี่เอง.

ทีมงาน ต่วย'ตูน
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
2266  สุขใจในธรรม / เสียงธรรมเทศนา / ปฏิปทาครูบาอาจารย์ โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา เมื่อ: 20 ตุลาคม 2556 04:48:51

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

<a href="http://www.fungdham.com/download/sound/put/18.mp3" target="_blank">http://www.fungdham.com/download/sound/put/18.mp3</a>
เรื่อง ปฏิปทาครูบาอาจารย์
2267  สุขใจในธรรม / ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน / ประวัติและปฏิปทา หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา เมื่อ: 17 ตุลาคม 2556 07:38:00
.

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

ประวัติ พระราชสังวรญาณ
(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา


พระราชสังวรญาณ มีนามเดิมว่า พุธ อินทรหา เป็นบุตรคนเดียวของ บิดา-มารดา เกิดที่หมู่บ้านชนบท ตำบลหนองหญ้าเซ้ง อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี เมื่อเดือน ๓ ปีระกา ตรงกับวันพุธที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๔

บิดา-มารดาของท่าน มีอาชีพทำไร่ทำนา และค้าขาย เมื่อท่านอายุได้ ๔ ขวบ บิดา-มารดาได้ถึงแก่กรรม ญาติที่อยู่ ณ หมู่บ้านโคกพุทรา ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร จึงมารับท่านไป อุปการะ

ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ อายุท่านได้ ๘ ขวบ จึงเข้าเรียนในโรงเรียน ประชาบาลวัดไทรทอง ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน ท่านได้เรียน จนจบชั้นประถมปีที่ ๖ เมื่อมีอายุได้ ๑๔ ปี ในสมัยนั้น ถ้าย้อนหลังไป ๖๐-๗๐ ปี การได้เรียนจนจบชั้นประถมปีที่ ๖ ได้ ต้องถือว่าเป็นการเรียนที่สูงพอสมควรแล้ว เมื่อเรียนจบแล้วครูบาอาจารย์ได้ชักชวนท่านให้เป็นครูสอนนักเรียนในโรงเรียนที่ท่านเรียนนั้นต่อ หากทว่าจิตของท่านมุ่งมั่นสนใจที่จะบวชมากกว่า

ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๙ อายุได้ ๑๕ ปี ท่านจึงได้ขอร้องให้ญาติซึ่งเป็นผู้ปกครองของท่าน พาไปบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดอินทร์สุวรรณ บ้านโคกพุทรา ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร โดยมีท่านพระครูวิบูลย์ธรรมขันธ์ เจ้าคณะอำเภอสว่างแดนดินเป็นพระอุปัชฌาย์ และท่านพระครูโพธิภูมิไพโรจน์เป็นพระบรรพชาจารย์ และสามเณรพุธได้อาศัยอยู่จำพรรษากับท่านพระครูโพธิภูมิไพโรจน์นั่นเอง ท่านได้รับเมตตาจากพระอาจารย์ให้ได้ศึกษาทางด้านปริยัติธรรมด้วย และในพรรษาแรกนี้เองสามเณรพุธสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี

ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หลังจากออกพรรษา เป็นเหตุบังเอิญให้ในขณะนั้นที่ท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร (ปุสโส เส็ง) ได้เดินธุดงค์มายังจังหวัดสกลนคร ในฐานะเจ้าคณะตรวจการผู้ช่วยภาค ๔ แทนพระอาจารย์ของสามเณรพุธ อันได้แก่ ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) ท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร ได้เกิดความเมตตาต่อสามเณรพุธเป็นอย่างมาก สามเณรพุธจึงมีโอกาสได้ติดตามท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร ธุดงค์ออกจากอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ไปยังจังหวัดอุบลราชธานี ในสมัยนั้น ทางคมนาคมยังไม่สะดวก ต้องเดินด้วยเท้าไปตามทางเกวียน ผ่านป่าเขาต่างๆ ท่านเล่าว่าต้องใช้เวลาถึง ๓๑ วัน จึงเดินเท้ามาถึง จังหวัดอุบลราชธานี ในระหว่างทาง บางทีเหนื่อยนักเมื่อยนักก็พักค้าง แห่งละ ๒-๓ วัน บางช่วงในขณะที่เดินรอนแรมในป่า ก็หลงดงหลงป่าบ้าง บางวันไม่ได้ฉันข้าว เพราะหมู่บ้านห่างกันมาก เดินทางออกจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตั้งแต่เช้าจนค่ำก็ยังไม่เจอหมู่บ้านอีกหนึ่งเลย ป่าดงในสมัยนั้นก็ยังมีสัตว์ป่าชุกชุม บางครั้งได้ยินเสียงเสือเสียงสัตว์ต่างๆร้อง บางครั้งเสือมันก็กระโดดข้ามทางที่จะเดินไปก็มี

เมื่อเดินทางไปถึงจังหวัดอุบลราชธานี ได้เข้าพักที่วัดบูรพา และฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์พร (พี่ชายของพระอาจารย์บุญ ชินะวังโส) ท่านพระอาจารย์พรเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ ซึ่งในขณะนั้นท่านพระอาจารย์เสาร์ได้มาจำพรรษาอยู่ ณ วัดบูรพาด้วย สามเณรพุธจึงได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์เสาร์ และเริ่มรับการอบรมทางด้านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นครั้งแรก แต่เดิมทีในสมัยแรก ที่ท่านบรรพชาเป็นสามเณรนั้น ท่านได้บรรพชาในสังกัดมหานิกายคณะ  ที่วัดบูรพา อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี แห่งนี้ นอกจากจะได้รับการ อบรมทางด้านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ท่านยังได้ศึกษาทางด้านพระ ปริยัติธรรมอีกด้วย และสามารถสอบได้นักธรรมเอก เมื่อมีอายุเพียง ๑๘ ปี

ต่อมา ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ท่านพระอาจารย์เสาร์ได้พาสามเณรพุธ เดินธุดงค์จากจังหวัดอุบลราชธานีเข้ามายังกรุงเทพฯ และพาไปฝากตัวกับท่านเจ้าคุณ ปัญญาพิศาลเถระ (หนู) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม ให้ช่วยอบรมสั่งสอน สามเณรพุธจึงได้ศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี และสามารถสอบได้เปรียญ ๔ ประโยค ตั้งแต่ยังเป็นสามเณรนั่นเอง

สามเณรพุธได้จำพรรษาเรื่อยมา ณ วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร แห่งนี้ จนอายุได้ครบบวช ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ท่านจึงได้รับการอุปสมบทโดยมีท่านเจ้าคุณพระปัญญาพิศาลเถระ (หนู) พระอาจารย์ของท่านเป็น พระอุปัชฌาย์ และได้รับฉายาว่า "ฐานิโย"

ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ เป็นสมัยสงครามเอเซียบูรพา ท่านได้อพยพ กลับไปจำพรรษาที่วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานี และท่านได้อยู่จำพรรษา ที่วัดนี้ จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ในระหว่างนั้นท่านได้เกิดอาพาธหนัก เป็น วัณโรคอย่างแรง จนหมอไม่รับรักษา ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ท่านพระ อาจารย์ฝั้น อาจาโร ได้เดินทางมาจำพรรษาที่วัดบูรพา ตามคำสั่งของ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) เช่นกัน ท่านพระอาจารย์ฝั้นสอนให้ ท่านตั้งใจเพ่งอาการ ๓๒ โดยให้พิจารณาถึงความตายให้มากที่สุด ทั้งยัง คอยให้กำลังใจกับท่านตลอดเวลา

หลวงพ่อพุธ ท่านเล่าว่า ขณะที่ท่านป่วยเป็นวัณโรคนั้น ท่านต้องรักษาพยาบาลตัวเอง ตั้งหน้าตั้งตามุ่งมั่นปฏิบัติธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา โดยมุ่งที่จะพิจารณาดูความตายเท่านั้น โดยคิดว่า "ก่อนที่เราจะตายนั้น ควรจะได้รู้ว่า ความตายคืออะไร" จึงได้ตั้งอกตั้งใจพิจารณาดูความตาย อยู่เป็นเวลาหลายวัน ในวันสุดท้ายได้ค้นคว้าพิจารณาดูความตายอยู่ถึง ๗ ชั่วโมง ในตอนแรกที่พิจารณา เพราะความอยากรู้อยากเห็นว่าความตายคืออะไร ซึ่งความอยากรู้อยากเห็นนี้เป็นอาการของกิเลส กิเลสจึงปิดบังดวงใจ ทำให้ความสงบใจที่เป็นสมาธิก็ไม่มี ความรู้แจ้งเห็นจริงก็ไม่มี ท่านเริ่มนั่งสมาธิตั้งแต่ ๓ ทุ่ม จนกระทั่งเวลาตี ๓ จนเกิดความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแทบจะทนไม่ไหว ในขณะนั้นความรู้สึกทางจิตมันผุดขึ้นมาว่า "ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายเขานอนตายกันทั้งนั้น ท่านจะมานั่งตาย มันจะตายได้อย่างไร" ท่านจึงเอนกายลงพร้อมกับกำหนดจิตตามไปด้วย เมื่อเกิดความหลับขึ้น จิตกลายเป็นสมาธิแล้ว จิตก็แสดงอาการตาย คือวิญญาณออกจากร่างกายไปลอยอยู่เบื้องบนเหนือร่างกายประมาณ ๒ เมตร แล้วส่งกระแสออกมา รู้กายที่นอนเหยียดยาวอยู่ แสดงว่าได้รู้เห็นความตาย ลักษณะแห่งความตาย ในเมื่อตายแล้ว ร่างกายก็ขึ้นอืดเน่าเปื่อยผุพังไปตามขั้นตอน ในเมื่อร่างกายที่มองเห็นอยู่นั้นสลายตัวไปหมดแล้ว ก็ยังเหลือแต่จิตว่าง จิตว่างแล้วก็ยังมองเห็นโลก คือแผ่นดิน ในอันดับต่อมาโลกคือแผ่นดินก็หายไป คงเหลือแต่จิตดวงเดียวที่สว่างไสวอยู่ มองหาอะไรก็ไม่พบ พอจิตมีอาการไหวเกิดความรู้สึกขึ้นมา ก็เกิดความนึกคิดขึ้นมาว่า "นี่หรือคือความตาย" อีกจิตหนึ่งก็ผุดขึ้นมารับว่า "ใช่แล้ว" ก็เป็นอันว่าได้รู้จริงเห็นจริงในเรื่องของความตายด้วยประการฉะนี้

ในเรื่องของจิตที่เป็นสมาธินั้น ท่านมักจะกล่าวเสมอว่า สมาธินั้นมีอยู่ในตัวของเราอยู่แล้ว แต่เรามักไม่ได้นำเอาออกมาใช้ฝึกฝนให้เป็นประโยชน์ สำหรับเรื่องจิตเป็นสมาธิของหลวงพ่อพุธ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ในตอนเด็กๆ มีเกิดขึ้นโดยท่านไม่ทราบ ไม่รู้จักมาก่อนเช่นกัน กล่าวคือสมัยที่ท่านเป็นสามเณร ในวันหนึ่งท่านพระอาจารย์ของท่านไม่อยู่ และสั่งให้ท่านคอยเฝ้ากุฏิไว้ ท่านจึงลงนั่งอยู่ที่หน้าประตูกุฏิ ในระหว่างที่คอยอยู่นั้น จิตของท่านก็เข้าภวังค์ลงสู่สมาธิ นิ่งสงบอยู่นานมาก นานจนพระอาจารย์ของท่านกลับมา พระอาจารย์และชาวบ้านที่ติดตามมาด้วยเรียกท่านอยู่นาน เรียกอย่างไร...อย่างไร ท่านก็ไม่ไหวติง จนชาวบ้านผู้นั้นมาผลักท่านกระเด็นออกไป นั่นแหละท่านจึงรู้สึกตัวออกจากสมาธิ ชาวบ้านผู้นั้นว่ากล่าวท่าน...ว่าหลับไม่รู้เรื่อง เรียกอย่างไรเรียกเท่าใดก็ไม่ตื่น ท่านปฏิเสธว่าไม่ได้หลับ ชาวบ้านผู้นั้นก็ไม่ยอมเชื่อ หลวงพ่อพุธท่านเล่าว่า ในขณะที่คอยนั้น ท่านรู้สึกตัวตลอดเวลาและไม่ได้หลับ หลังจากปฏิเสธหลายครั้งและไม่มีใครเชื่อ ท่านจึงตัดความรำคาญด้วยการรับ สมอ้างว่าหลับ ซึ่งต่อมาภายหลังเมื่อท่านย้อนกลับไปพิจารณาอีกครั้ง จึงได้ทราบแน่ชัดว่า เหตุการณ์ในครั้งเป็นสมาเณรนั้นก็คือจิตเป็นสมาธินั่นเอง

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ หลวงพ่อพุธ ได้มาจำพรรษาที่วัดเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น อาการป่วยด้วยโรควัณโรคยังไม่หายขาด ท่านเจ้าคุณอริยคุณาธาร จึงได้เร่งเตือนท่านว่า "คุณอย่าประมาท รีบเร่งปฏิบัติเข้าให้มันได้ภูมิจิตภูมิใจ อนาคตคุณจะไปนั่งเทศน์ในพระบรมมหาราชวัง"

อาการป่วยของท่านเป็นๆ หายๆ เรื่อยมาจนถึง ๑๐ ปี จึงได้หายอย่างเด็ดขาด ในปีถัดมา คือ พ.ศ. ๒๔๙๑ ท่านได้กลับมาจำพรรษาที่วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานี อีกจนถึง พ.ศ. ๒๔๙๕ และในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ นี้เอง ท่านได้รับการแต่งตั้งให้ช่วยงานเกี่ยวกับคณะสงฆ์ กล่าวคือได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเจ้าคณะอำเภอวารินชำราบ ซึ่งภายหลังได้เป็นเจ้าคณะอำเภอวารินชำราบ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐

ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ท่านจำพรรษาที่วัดแห่งนี้ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๐

ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ นี้เอง ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น พระครูสัญญาบัตร ชั้นตรี ที่พระครูพุทธิสารสุนทร และต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นโท ในนามเดิม และในปีถัดมา พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอกในนามเดิม

ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ท่านจึงมาจำพรรษาที่วัดหลวง อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ท่านดำรงตำแหน่ เป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่เป็นเวลา ๒ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ นี้เอง ท่านยังได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษในนามเดิมอีกด้วย ท่านจำพรรษา ณ วัดหลวงแห่งนี้เป็นเวลา ๒ ปี และในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์อีกครั้ง เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่พระชินวงศาจารย์

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ได้มีการตั้งโรงเรียนพระสังฆาธิการขึ้นที่วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ทางเจ้าคณะภาคฯ ได้ขอให้ท่านมาเป็นกรรมการบริหารโรงเรียนพระสังฆาธิการในส่วนภูมิภาค ท่านจึงย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านได้ทำประโยชน์ทั้งต่อพระบวรพุทธศาสนาและต่อสังคมเป็นอเนกอนันต์ โดยสม่ำเสมอเรื่อยมา ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ท่านรับเป็นองค์อุปถัมภ์มูลนิธิหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ของโรงพยาบาลศรีนครินทร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ท่านรับเป็นประธานและวิทยากรในการอบรมสมาธิครูและนักเรียนของเขตการศึกษาที่ ๑๑ อันได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิ จังหวัด บุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นภารกิจที่หนักและน่าเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง และในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ นี้เอง ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระภาวนา พิศาลเถร ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ท่านรับเป็นผู้อำนวยการศูนย์อบรมสมาธิภาวนาวัดป่าสาลวันอีกประการหนึ่ง ในปีถัดมา พ.ศ. ๒๕๓๐ ท่านรับเป็นองค์อุปถัมภ์ทุนมูลนิธิคณะสงฆ์ธรรมยุตจังหวัดนครราชสีมา และในปีต่อมา พ.ศ. ๒๕๓๑ ท่านรับเป็นองค์อุปถัมภ์กองทุนพระภาวนาพิศาลเถร เพื่อการพัฒนาคุณธรรมในเขตการศึกษาที่ ๑๑ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นกองทุนสายธารธรรมในความอุปถัมภ์ของพระราชสังวรญาณ กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการจดทะเบียนเป็นมูลนิธิ) แม้ว่าหลวงพ่อพุธท่านจะมีภารกิจทางศาสนาและการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมมากมายแล้วก็ตาม เมื่อมีผู้ขอให้ท่านช่วยในกิจกรรมต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อสังคมอีกท่านก็เมตตารับเป็นธุระให้ ทำให้ภารกิจของท่านมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

และในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ นี้เอง ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชสังวรญาณ

ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ เรื่อยมา หลวงพ่อพุธท่านจะจำพรรษาที่วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมาบ้าง หรือที่วัดวะภูแก้ว อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมาบ้าง หรือที่วัดป่าชินรังสี อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา บ้าง สลับกันไป-มา

และตลอดมา หลวงพ่อพุธมิได้เคยหยุดที่จะทำประโยชน์ต่อพระบวรพุทธศาสนาและต่อสังคมไทย ท่านยังคงรับเป็นองค์บรรยายธรรมและอบรมสมาธิภาวนาให้กับพุทธบริษัทในสถานที่ต่างๆ มาตลอด อาทิเช่น
- อบรมธรรมปฏิบัติแก่ข้าราชการทหารบก กองทัพภาคที่ ๒
- เป็นองค์บรรยายในการอบรมแก่ข้าราชการทหารอากาศกองบินที่ ๑
- ให้การอบรมแก่ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ
- ให้การอบรมแก่ผู้ที่เข้าปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐
- บรรยายธรรมในงานวันวิสาขบูชาในสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาที่ท้องสนามหลวง เป็นต้น

และในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ นี้เอง ท่านได้รับพระราชทานรางวัลเสมาธรรมจักรทองคำ ในด้านส่งเสริมการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศ จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ นี้เช่นกัน ท่านได้ดำริที่จะก่อตั้งมูลนิธิคณะสงฆ์จังหวัดนครราชสีมา มหานิกายและธรรมยุตขึ้น

นอกจากท่านจะเอาใจใส่ในเรื่องอบรมธรรมปฏิบัติแล้ว ท่านยังสร้างประโยชน์ต่างๆให้กับสังคมไทยมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กนักเรียน โรงเรียน และโรงพยาบาล อาทิเช่น
- จัดสร้างโรงเรียนชินวงศ์อุปถัมภ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนในระดับประถมศึกษา ที่บ้านวะภูแก้ว อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา
- มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ทั้งในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาและอุดมศึกษา
- มอบทุนสนับสนุนการก่อสร้างอาคารโรงเรียนต่างๆ ทั้งในเขต จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดต่างๆ
- มอบทุนสนับสนุนการก่อตั้งมูลนิธิของโรงเรียน ตลอดจนหน่วยงานราชการต่างๆ
- นอกจากนี้ท่านยังช่วยจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ให้กับโรงพยาบาลเสมอๆ
- อีกทั้งยังมอบทุนสนับสนุนการก่อสร้างตึกสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาลมหาราช จังหวัดนครราชสีมา
- รวมทั้งมอบทุนสนับสนุนการก่อตั้งมูลนิธิของโรงพยาบาลต่างๆ อีกด้วย

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านมุ่งมั่นในเรื่องการอบรมธรรมปฏิบัติให้กับพระภิกษุ สามเณร ศรัทธาญาติโยม และพุทธบริษัททั้งหลายเสมอมา ท่านหวังให้ทุกผู้ทุกคนได้เข้าใจถ่องแท้ถึงแก่นแห่งพระพุทธศาสนา สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกทางและถูกต้อง จะเห็นได้ว่าท่านได้ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา เอาใจใส่ในอันที่จะชี้นำทางแห่งความสงบสว่างและหลุดพ้นจากอาสวกิเลสทั้งปวงในทุกๆวิถีทาง และในทุกๆโอกาสโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย..เหนื่อยยาก แม้ว่าวัยของท่านจะสูงขึ้น สุขภาพของท่านเริ่มถดถอย แต่ภารกิจของท่านก็ยังคงมีมากมาย แล ดูเหมือนจะทยอยมีมาเพิ่มขึ้นเสมอๆ การดั่งนี้จึงเป็นที่เคารพบูชายกย่องสรรเสริญจากพระภิกษุสามเณร และบรรดาศิษยานุศิษย์ทุกถ้วนหน้า สมดังพระหัตถเลขาของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาปริณายก ในธรรมโมทนาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ จากหนังสือ ฐานิยปูชา ฉบับครบ ๖ รอบ ของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ที่ว่า....

"ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ เป็นพระเถราจารย์ผู้ทำประโยชน์แก่พระศาสนาและประชาชนมามาก เป็นผู้ยินดีเอาใจใส่ในการอบรมสั่งสอนธรรมะแก่พระภิกษุสามเณร ตลอดถึงสาธุชนผู้มาสู่สำนักด้วยเมตตา เป็นผู้ชี้นำในธรรมปฏิบัติ ทั้งเป็นผู้ปฏิบัติสำรวมตนในพระธรรมวินัย เป็นแบบอย่างอันดีแก่ศิษยานุศิษย์มาโดยตลอด กล่าวได้ว่าเป็นผู้ทรงเถรธรรมตามนัยแห่งพระพุทธภาษิต ที่ว่า...ยมฺหิ สจฺจญฺจ ธมฺโม จ อหึสา สญฺญฺโม ทโม ส เว วนฺตมโล ธีโร โส เถโรติ ปวุจฺจติ...สัจจะ (ความจริง) ๑ ธรรม ๑ ความไม่เบียดเบียน ๑ ความสำรวม ๑ ความข่มใจ ๑ มีในผู้ใดผู้นั้นแล ท่านเรียกว่าผู้มีปัญญา มีมลทินอัน คลายแล้วเป็นเถระ ดังนี้"

จากหนังสือพระธรรมเทศนา หลวงพ่อพุธ ฐานิโย โดย "ธรรมสภา"
แหล่งที่มา :: Fungdham.com
 
2268  สุขใจในธรรม / เสียงธรรมเทศนา / ศีลเป็นคุณธรรมของมนุษย์ โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา เมื่อ: 11 ตุลาคม 2556 04:58:08

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

<a href="http://www.fungdham.com/download/sound/put/13.mp3" target="_blank">http://www.fungdham.com/download/sound/put/13.mp3</a>
เรื่อง ศีลเป็นคุณธรรมของมนุษย์
2269  สุขใจในธรรม / เสียงธรรมเทศนา / ทุกข์และมหาสติ-จิตแท้จิตดั่งเดิม โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา เมื่อ: 08 ตุลาคม 2556 06:47:20

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

<a href="http://www.fungdham.com/download/sound/put/20.mp3" target="_blank">http://www.fungdham.com/download/sound/put/20.mp3</a>
เรื่อง ทุกข์และมหาสติ-จิตแท้จิตดั่งเดิม
2270  สุขใจในธรรม / เสียงธรรมเทศนา / ตายแล้วเกิด โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา เมื่อ: 01 ตุลาคม 2556 07:41:30

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

<a href="http://www.fungdham.com/download/sound/put/21.mp3" target="_blank">http://www.fungdham.com/download/sound/put/21.mp3</a>
เรื่อง ตายแล้วเกิด
2271  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / 10 ข้อแนะนำ ก่อนซื้อเฟอร์นิเจอร์หวาย เมื่อ: 30 กันยายน 2556 19:51:40
.

แม้จะมีเฟอร์นิเจอร์หุ้มผ้า บุหนัง หรืออื่น ๆ ให้เลือกใช้มากมาย แต่เฟอร์นิเจอร์หวายที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ มีความยืดหยุ่น และระบายอากาศได้ดี กลับสามารถตอบโจทย์การใช้งาน เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นอย่างบ้านเรา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ใครหลายคนยังคงมองหาเก้าอี้หวายมาไว้ใช้งานในบ้าน นอกจากรูปทรงที่ถูกใจแล้ว วันนี้เรามี 10 ข้อแนะนำเชิงเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับใช้เป็นคู่มือก่อนเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์หวายมาฝากกัน

1.เช็กเส้นตั้งและเส้นนอนว่ามีความเป็นระเบียบหรือไม่ โดยเฉพาะเส้นตั้งที่เป็นเหมือนเสาหลัก ต้องเรียงเป็นเส้นตรง ไม่โย้ไปมา มิเช่นนั้นเฟอร์นิเจอร์หวายจะย้วย หย่อน และใช้งานได้ไม่นาน

2.สัมผัสพื้นผิวใช้มือลูบสัมผัสดูว่ามีเสี้ยนหวายหรือเสี้ยนไม้โผล่มาให้ระคายมือหรือไม่ เพื่อตรวจดูว่าหวายสานได้เรียบร้อย ไม่มีรอยตะปุ่มตะป่ำ

3.ความตึงเฟอร์นิเจอร์หวายที่ดี เส้นหวายจะต้องตึงแน่น และไม่หย่อน โดยสังเกตได้จากจุดเชื่อมหรือข้อต่อต่างๆ ว่ารอยมัดหวายมีความแน่นเสมอกันหรือไม่ และควรมัด 2-3 รอบ เพื่อความแข็งแรงทนทาน

4.ลองนั่งหวายมีความยืดหยุ่น ดังนั้นเมื่อลองนั่งแล้วจะรู้สึกได้เลยว่า หวายคลายตัวออกเล็กน้อยเพื่อรองรับน้ำหนักของเรา จึงทำให้นั่งสบาย ส่วนหวายที่สานตึงหรือหย่อนเกินไป เมื่อนั่งแล้วจะไม่มีการยืดหยุ่นหรือเด้งกลับ ไม่เหมาะซื้อมาใช้งาน
 
5.นำไปใช้ภายในหรือภายนอก หวายไม่ใช่วัสดุทนแดดทนฝน การนำไปใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์สนามไม่ว่าจะโดนแดดโดยตรงหรือกึ่งในร่มอาจทำให้อายุการใช้งานสั้นลง แต่ถ้าอยากมีไว้ใช้งานภายนอกจริง ๆ แนะนำให้เลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์หวายเทียม เพราะมีความสวยงามไม่ต่างกัน แถมยังใช้งานกลางแจ้งได้ทนกว่า

6.สีสันผู้ผลิตต้องใช้น้ำยาเคลือบหวายโดยเฉพาะ สังเกตได้จากเมื่อทาเคลือบแล้ว หวายจะไม่ขึ้นเงาเสียทีเดียว แต่จะเหมือนมีเยื่อบาง ๆ เคลือบไว้มากกว่า

7.ผสมผสานกับวัสดุประเภทอื่นเช่น บริเวณที่นั่งของเก้าอี้เป็นหวาย แต่โครงขาเป็นไม้หรือสเตนเลส ต้องดูจุดเชื่อมต่อว่าเก็บงานเรียบร้อยหรือไม่ ช่างที่พิถีพิพันจะใช้กาวชนิดพิเศษ ผสมผานกับการใช้เส้นหวายรัดระหว่างข้อต่อเพื่อความแข็งแรงทนทาน

8.หวายมักเก็บฝุ่น เพราะใช้การขัดสานจึงทำให้เกิดร่องและรอยต่อ กลายเป็นจุดเก็บกักฝุ่นไปโดยปริยาย แนะนำว่าควรเลือกซื้อเตียงหรือโซฟาที่มีโครงโปร่งๆ ก็จะช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น

9.สำเร็จรูปหรือสั่งทำ ส่วนใหญ่เฟอร์นิเจอร์หวายมักเป็นงานสั่งทำ มีราคาสูง เนื่องจากเป็นงานทำมือ ซึ่งมีข้อดีคือสามารถสั่งทำได้ตามขนาดพื้นที่ที่จะนำไปจัดวาง อย่าลืมเช็กว่าราคาของชิ้นงานที่สั่งทำนั้นได้รวมชิ้นส่วนอื่นๆ ด้วยหรือไม่ เช่น เบาะรองนั่ง และพนักพิง เพื่อให้คุณได้งานฝีมือคุณภาพ ราคาสมเหตุสมผล และได้ชิ้นงานที่สวยงาม

10.บริการหลังการขายหวายที่ดีมีอายุการใช้งานได้นานสูงสุดถึง 10-20 ปี บริการหลังการขายมักเป็นการลงน้ำยาเคลือบทุก ๆ 6 เดือน รวมถึงการซ่อมแซมเส้นหวายที่หย่อน ขาด หรือชำรุดจากการใช้งาน มีระยะเวลารับประกันอยู่ที่ 6 เดือน–1 ปี

จาก : ข่าวไทยรัฐออนไลน์
2272  สุขใจในธรรม / เสียงธรรมเทศนา / นักบวชกาฝาก โดย หลวงปู่แบน ธนากโร เมื่อ: 28 กันยายน 2556 17:58:59
http://www.sookjaipic.com/images/7702138928_1.jpg

หลวงปู่แบน  ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ ตำบลตองโขบ กิ่งอ.โคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร

<a href="http://www.fungdham.com/download/sound/ban/02/24.mp3" target="_blank">http://www.fungdham.com/download/sound/ban/02/24.mp3</a>
นักบวชกาฝาก
2273  สุขใจในธรรม / ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน / ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร เมื่อ: 25 กันยายน 2556 19:38:50
.
http://www.sookjaipic.com/images/7702138928_1.jpg

หลวงปู่แบน  ธนากโร

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ ต.ตองโขบ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร

หลวงพ่อแบน ธนากโร นามเดิมท่านชื่อ สุวรรณ นามสกุล กองจินดา เกิดเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะโรง ณ บ้านหนองบัว ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี

บิดาท่านชื่อ นายเล็ก กองจินดา มารดาท่านชื่อ นางหลิม กองจินดา ครั้นพอถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียนแล้ว บิดามารดาได้ส่งให้ท่านเข้าศึกษา ในโรงเรียนประจำหมู่บ้าน จนจบประถมศึกษาปีที่ ๔ ครั้นจบการศึกษาแล้วท่านก็ได้ช่วยบิดมามารดาทำสวนทำไร่ เพราะในเขตจังหวัดจันทบุรีนั้น อาชีหลักคือทำสวนเงาะ สวนทุเรียน

๏ การอุปสมบท
เมื่ออายุ ๒๑ ปี หลวงพ่อแบน ธนากโร ท่านได้เข้าไปศึกษาข้อวัตรปฏิบัติกับหลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ ณ วัดทรายงาม อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้านของท่าน พอทราบถึงข้อวัตรปฏิบัติแล้ว หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ จึงได้นำท่านเข้ารับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุในทางพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ณ วัดเกาะตะเคียน ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี โดยมีพระอมรโมลี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพิพัฒน์พิหารการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระเม้า เป็นพระอนุสาวนาจารย์



๏ อยู่ศึกษาธรรมกับหลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ
ภายหลังจากที่ท่านบวชบวชแล้วก็มาอยู่ปฏิบติธรรมกับหลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ ที่วัดทรายงาม จังหวัดจันทบุรี และก็ได้ติดตามหลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ มาอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร จนกระทั่งหลวงปู่กงมา มรณภาพ ครั้นทำการถวายเพลิงศพของหลวงปู่กงมาแล้ว หลวงพ่อแบน ธนากโร ท่านก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสวัดดอยธรรมเจดีย์ต่อจากหลวงปู่กงมาผู้เป็นอาจารย์ รักษาข้อวัตรปฏิบัติอย่างเด็ดเดี่ยว รวมทั้งทำหน้าที่อบรมพระภิกษุสามเณร ญาติโยมที่มาขออยู่ปฏิบัติธรรม ให้มีศีลธรรมประจำใจ

๏ เป็นพระที่องค์พระมหากษัตริย์ให้ความเคารพ
เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ จะเสด็จแปรพระราชฐานมาพักอยู่ที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร เพื่อออกเยี่ยมเยียนราษฎรในเขตภาคอีสาน ทั้งสองพระองค์ และพระบรมวงศ์ จะเสด็จขึ้นไปกราบนมัสการหลวงพ่อแบน ธนากโร ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ และเยี่ยมเยียนประชาชนในแถบนั้นทุกครั้ง


๏ เป็นเสาหลักพระกรรมฐานในเขตภาคอีสาน และภาคอื่นๆ
พอถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา เป็นต้น คณะลูกศิษย์ทั้งพระและฆราวาสนั้นจะมาจากที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเขตจังหวัดสกลนคร, นครพนม, มุกดาหาร, อุดรธานี, เลย, บุรีรัมย์, ศรีสะเกษ, สุรินทร์ ฯลฯ จะพากันมาลงอุโบสถสามัคคีกันที่วัดดอยธรรมเจดีย์ และรับฟังธรรมโอวาท คติเตือนใจ รวมทั้งข้อธรรมอื่นๆ ในด้านการปฏิบัติจิตตภาวนาจากหลวงพ่อแบน ธนากโร และท่านก็จะให้กำลังจิตกำลังใจ ไม่ให้ท้อถอย ให้ต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย คือกิเลส ให้ยึดมั่นในหลักพระธรรมวินัย รวมทั้งให้พากันตั้งอกตั้งใจรักษาข้อวัตรปฏิบัติ และปฏิปทาที่ครูบาอาจารย์พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านพาดำเนินมา

ซึ่งในช่วงเทศกาลต่างๆ นั้น พระภิกษุที่มารวมกันลงอุโบสถนั้น มีประมาณ ๔๐๐ – ๕๐๐ รูป ส่วนฆราวาสก็ประมาณ ๙๐๐ – ๑,๕๐๐ คน ในวันปวารณาเข้าพรรษานั้น หลวงพ่อแบน ธนากโร องค์ท่านก็จะแจกวัตถุสิ่งของต่างๆ หลายอย่างให้แก่วัดที่มาร่วมลงอุโบสถสามัคคี อาทิเช่น น้ำตาล โกโก้ กาแฟ ร่ม ฯลฯ เพื่อมอบให้แก่ทางวัดได้ใช้สอยร่วมกัน และก็จะแจกถุงยังชีพให้แก่พระภิกษุสามเณร มีสบู่ ยาสีฟัน ยารักษาโรค ยากันยุง น้ำยาซักผ้า ฯลฯ เป็นต้น

เรื่องการสงเคราะห์หมู่คณะพระเณร ญาติโยมนี้ หลวงพ่อแบน ท่านจะทำอยู่เป็นประจำ ไม่ใช่แต่เฉพาะวันสำคัญเท่านั้น ท่านจะพาลูกศิษย์ไปแจกผ้าห่ม เสื้อผ้า ข้าวปลา อาหารแห้ง ยารักษาโรค เครื่องอุปโภค บริโภคต่างๆ ให้แก่ประชาชน ในเขตอำเภอภูพาน อำเภอเต่างอย อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร อำเภอดงหลวง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม และทั่วทั้งภาคอีสาน รวมไปถึงภาคเหนือ และภาคอื่นๆ เป็นต้น

ส่วนการสงเคราะห์ตามวัดนั้น ท่านจะออกไปตรวจตรา เยี่ยมเยียนตามวัดต่างๆ เพื่อให้กำลังจิตกำลังใจในการเจริญจิตตภาวนา นำเครื่องอุปโภค บริโภค มีน้ำตาล น้ำปลา มาม่า ปลากระป๋อง ฯลฯ ไปถวายให้วัดนั้นๆ หากเป็นฤดูกาลหน้าผลไม้ เช่น เงาะ ทุเรียน มังคุด ออก ท่านก็จะจำนำไปแจกจ่ายให้ตามวัดครูบาอาจารย์กรรมฐานต่างๆ รวมทั้งวัดอื่นๆ ด้วย

๏ สร้างโรงพยาบาล
หลวงพ่อแบน ธนากโร ท่านได้เมตตาสงเคราะห์คนหมู่มาก ทั้งพระและฆราวาส อย่างหาประมาณมิได้ องค์ท่านได้เมตตาสร้างตึกร่มฟ้า ให้แก่โรงพยาบาลจังหวัดสกลนคร พร้อมทั้งถวายพระราชกุศลแด่สมเด็นพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และสร้างตึกร่มฉัตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตึกทั้งสองหลังนี้ เป็นตึกห้องพิเศษ วีไอพี มีอุปกรณ์ทันสมัยครบครันสมบูรณ์แบบ

เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๘ องค์ท่านได้สร้างโรงพยาบาลพระอาจารย์แบน ธนากโร ที่อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เนื่องในวาระที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา


๏ สร้างสำนักปฏิบัติธรรม
หลวงพ่อแบน ธนากโร นอกจากองค์ท่านจะเมตตาสงเคราะห์แก่ประชาชนทั่วไปแล้ว ท่านยังได้เมตตาสร้างวัด เพื่อเป็นสำนักปฏิบัติธรรมกรรมฐาน เจริญรอยตามบูรพาจารย์ มีหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ เป็นอาทิ ให้พระภิกษุสามเณรได้มีที่อยู่ศึกษาข้อวัตร ปฏิบัติธรรม เพื่อรักษาป่าไม้ ต้นน้ำลำธาร รักษาสัตว์ป่า รักษาธรรมชาติเอาไว้ ซึ่งนับวันจะถูกบุคคลต่างๆ ทำลายลงไป

วัดที่องค์ท่านได้เมตตาสร้างนั้นมีอยู่หลายแห่งด้วยกัน ดังนี้

๑. วัดป่าภูผาผึ้ง ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร

๒. วัดป่าค้อน้อย บ้านค้อน้อย ตำบลค้อใหญ่ อำเภอกุดบาก จังหวัดมุกดาหาร

๓. วัดป่าวังเพิ่ม – พระภาวนา อำเภอปากชอง จังหวัดนครราชสีมา

๔. วัด อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี

ปัจจุบันนี้ หลวงพ่อแบน ธนากโร ท่านได้พำนักอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ตำบลตองโขบ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร หรือในบางครั้ง ท่านก็จะไปพักสั่งสอนศีลธรรม อยู่ที่วัดป่าวังเพิ่ม – พระภาวนา อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และวัดที่ท่านสร้างขึ้นใหม่ในจังหวัดจันทบุรี


๏ ธรรมะสงค์เคราะห์โลก
นอกจากที่หลวงพ่อแบน ธนากโร ท่านได้เมตตาสงเคราะห์บุคคลทั้งหลายด้วยวัตถุสิ่งของแล้ว ท่านจะให้ความสำคัญกับลูกศิษย์ทุกคนเสมอกันที่มากราบไหว้นมัสการท่าน สิ่งหนึ่งซึ่งหลวงพ่อท่านจะเมตตาสงเคราะห์กับบุคคลต่างๆ นั้นก็คือ “ธรรมะ” โดยท่านจะอบรมผู้ที่มากราบนมัสการท่าน และพระเณรที่อยู่ภายในวัดเป็นประจำ ส่วนวันพระนั้นท่านจะเมตตาอบรมเป็นพิเศษ ทางด้านจิตตภาวนา

ดังนั้น จึงขอนำหัวข้อธรรมของหลวงพ่อแบน ธนากโร ที่ท่านเทศน์ ในวาระโอกาสสำคัญต่างๆ มาลงไว้ให้เป็นคติเครื่องระลึก เครื่องเตือนใจ แก่เหล่าพระสงฆ์ ฆราวาส ได้อ่านศึกษา เพื่อจะได้นำไปฝึกฝนอบรมตนเอง ให้เป็นไปตามหลักธรรมะคำสอนที่องค์ท่านได้เมตตาแสดงไว้

http://www.sookjaipic.com/images/2267368249__111_175_1_.jpg

หลวงปู่แบน  ธนากโร

๏ บุญคืออะไร
บุญ คือ การทำใจของเราให้สบาย ให้มีความสุข ให้สงบ ให้ใส ให้เย็น ให้สว่าง บุญ คือ การทำใจของเราให้สมบูรณ์ขึ้นมาด้วยศีลธรรม สิ่งใดเป็นประโยชน์แก่โลก แก่สังคมโลก อันนั้นเรียกว่าบุญได้ทั้งนั้น เพราะบุญ คือสิ่งที่สร้างสรรค์ การทำสิ่งที่สร้างสรรค์นั้นจึงเป็นการทำบุญ


๏ สำเร็จเป็นการบุญ
เรื่องการบริจาคทาน บุญที่จะเกิดขึ้นมากน้อย ขึ้นอยู่กับจิตใจของบุคคลผู้ทำ ไม่ต้องสมมุติว่ากองกฐิน ไม่ต้องสมมุติว่ากองผ้าป่า ก็สำเร็จเป็นการบุญ


๏ บุญกุศลมหาศาล
การทานมุ่งในการเสียสละด้วยความบริสุทธิ์ใจ ๑ คือไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่ทานเพื่อมุ่งของตอบแทน ไม่ใช่ทานเพื่อมุ่งให้หน้าตาใหญ่โตอะไร ทานเพื่อเป็นการบูชา สิ่งที่เรานำไปบริจาคนั้น เป็นของที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรง คือได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ๑ แล้วก็บุคคลที่รับไทยทานของเราก็เป็นบุคคลที่มีความบริสุทธิ์ ๑ ถ้าหากว่าความบริสุทธิ์สามส่วนนี้มารวมกัน ไม่ต้องเรียกว่าผ้าป่า ไม่ต้องเรียกว่ากฐิน เป็นบุญกุศลมหาศาลทั้งนั้น


๏ ธรรมโอสถ
คนที่จะเห็นคุณค่าของข้าวปลาอาหาร คนนั้นต้องรับประทาอาหารอิ่ม คนที่จะเห็นคุณค่าของยา โรคของเจ้าของต้องหายไป ตามปรกติเราๆ เป็นโรคด้วยกันทุกคน โรครัก โรคชัง โรคอะไรต่ออะไร เป็นโรคทั้งนั้น ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมแก้โรค


๏ ได้ประโยชน์ทั้งนั้น
ศีลธรรมของพระพุทธเจ้า เอาไปประพฤติปฏิบัติ ได้รับประโยชน์ทั้งนั้น เหมือนกับยา จะสีวรรณะใด ฝรั่งดำ ฝรั่งขาว เขมร ไทย จะสีใดๆ ก็ช่าง ยาเป็นประโยชน์เวลาป่วยไข้ได้ทั้งนั้นไม่เลือกสีสัน ไม่เลือกวรรณะ


๏ ความดีต้องรีบทำ
ความดี คือการบำเพ็ญทาน ความดี คือการรักษาศีล ความดี คือการบำเพ็ญจิตตภาวนา ให้รีบทำในขณะนี้ทีเดียว พระพุทธเจ้าทรงอุปมาไว้ เหมือนกับไฟไหม้ผมบนศีรษะให้รีบดับ ไม่ใช่ไหม้บ้านไหม้ช่องนะ ไหม้ผมบนศีรษะนี่ ต้องดับทันที การทำความดีก็ต้องรีบทำทันทีเหมือนกัน ทันทีทุกขณะ


๏ ดูใจ
ให้ดูใจ ถ้าหากว่าเราดูใจของเราแล้ว ทำดีได้ดีจริง ใจมีความสบาย ใจมีความสุขจริง ทำไม่ดี ได้ความไม่ดีจริง ใจไม่สบายจริง ใจเป็นทุกข์จริง ถ้าเราดูใจของเราแล้ว มันชัดเหลือเกิน พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ดูใจของเรามากๆ แล้วคำว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อันนี้เราจะยอมรับอย่างสนิทใจ อย่าใจร้อน ค่อยเป็นค่อยไป อย่าใจร้อน ใจร้อนจะร้อนใจ ร้อนใจเพราะไม่ได้ดั่งใจ ทำใจเย็นๆ แต่ว่าต้องมีความพยายามให้มาก พอใจในการทำให้มาก อันนี้เป็นข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง


๏ ติเราเอง
ไปหาติคนอื่น บางทีมีปัญหา ติเรา ติเรา การติเรานั่นล่ะคือการแก้ปัญหา เป็นการแก้ปัญหาที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าถูกต้อง ต้นไม้ในโลก มีทั้งมีแก่นและไม่มีแก่น คนในโลกก็เช่นเดียวกัน มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ มีทั้งมีคุณภาพและไม่มีคุณภาพ ธรรมดาธรรมชาติของเขาเป็นอย่างนั้น จึงไม่ต้องไปติ ไม่ต้องไปชมอะไรกัน ถ้าหากว่าจะติจะชม พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญการติเราชมเรา

การที่ใจมุ่งตำหนิคนอื่นนั้น ใจไม่สบาย ใจเป็นอกุศล ใจมุ่งในการตำหนิเรา มุ่งในการแก้ไขเรา ใจมีลักษณะนี้ ใจเป็นข้อปฏิบัติ ใจมีอรรถ ใจมีธรรม มีธรรมจึงให้มุ่งที่จะแก้ไข ปรับปรุงเราเองอยู่เสมอ


๏ ศีลบริสุทธิ์
เป็นฆราวาสก็สามารถที่จะเข้าถึงอริยบุคคลได้ อย่างนางวิสาขาก็เป็นผู้หนึ่งที่ยังครองเรือน แต่จิตของนางวิสาขานั้นสมบูรณ์ด้วยศีลห้า สมบูรณ์บริสุทธิ์ทีเดียว แม้แต่จะคิดไปในทางที่ละเมิดก็ไม่มี จิตอย่างนี้เป็นจิตประเสริฐ ศีลห้าจึงเป็นศีลที่ยังจิตยังใจให้ประเสริฐ เป็นอริยบุคคลขึ้นมาได้


๏ ศีลสมบูรณ์
การรักษาศีล ก็คือการสำรวมในจิตในใจ สำรวมในจิตในใจสมบูรณ์ จิตนั้นพร้อมที่จะก้าวเป็นสมาธิธรรม การสำรวมในจิตในใจหย่อนยาน ศีลของเราก็หย่อนยาน การสำรวมในจิตในใจของเราเข้มงวดยิ่งขึ้นไป ศีลของเราจะสมบูรณ์ประณีตยิ่งขึ้นไป จิตพร้อมที่จะเป็นสมาธิ ในขณะที่จิตเป็นศีลสมบูรณ์นั้น จึงว่าศีลเป็นพื้นฐานที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง


๏ ภาวนาดี
วันนี้มีโยมมาขอพร ขอพรอะไร ขอพรอะไรก็ได้ทั้งนั้นล่ะ ว่างั้น ถ้าอย่างนั้นก็จะให้พรที่ดีที่สุด คือให้ภาวนาดีๆ พระพุทธเจ้า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการภาวนา พระอรหันตสาวกเจ้า เป็นพระอรหันต์ด้วยการภาวนา พิจารณาดูแล้ว ไม่มีอะไรดีเท่าการบำเพ็ญภาวนา พ้นจากทุกข์ได้เพราะการภาวนา


๏ เรือนธรรมเรือนใจ
นกเขาก็ยังมีรัง หนูเขาก็ยังมีรู กระจ้อนกระแตเขาก็ยังมีบ้านมีช่อง ผู้ปฏิบัติธรรม ก็ต้องมีเรือนธรรมเป็นเครื่องอยู่ของใจเช่นเดียวกัน เรือนธรรมก็คือความสงบ คือสมาธิธรรม


๏ ถ่อมตน
ความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นเครื่องประดับคนให้งาม การแข็งกระด้าง การยกแต่เจ้าของ พยายามกดคนอื่น อันนี้ไม่สวยงามเลย ไม่ว่าสังคมระดับไหน

หลวงพ่อแบน ธนากโร ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดีชอบ กรอปด้วยศีลและธรรม มีศีลาจาริยวัตรที่งดงาม และยังคงรักษาข้อวัตรปฏิบัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์พระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต โดยมีหลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ ผู้เป็นบูรพาจารย์ พาประพฤติปฏิบัติสืบทอดมา
 


ที่มา : www.watkoh.com
2274  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / แกะรอยปริศนา ตุ๊กตา "โดกุ" โบราณวัตถุแห่งแดนอาทิตย์อุทัย เมื่อ: 25 กันยายน 2556 18:53:57
.

แกะรอยปริศนา ตุ๊กตา "โดกุ"

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/08/17/364050/hr1667/630.jpg

โดกุที่มีใบหน้ารูปหัวใจ

ประเทศญี่ปุ่น นอกจากจะมีดีในด้านการท่องเที่ยว ทางด้านเทคโนโลยีก็โดดเด่นและถูกจับตามองในฐานะศูนย์กลางแห่งเทคโนโลยีอัจฉริยะล้ำยุค แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังสามารถรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีเก่าแก่ให้ควบคู่ไปกับวิวัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์ได้อย่างดีเยี่ยม

ถึงแม้ในปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์สามารถไขความลับ ค้นหาคำตอบในเรื่องที่ชวนสงสัยได้ก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด อย่างที่ทราบกันว่าประเทศญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมอันยาวนานผ่านกาลเวลามาหลายสมัย หลักฐานและโบราณวัตถุก็มีจำนวนมาก สิ่งของบางชิ้นสามารถบอกเล่าเรื่องราวในอดีตได้โดยไม่ต้องตีความใดๆ แต่อีกหลายชิ้นที่นักโบราณคดี และนักวิชาการต้องปวดหัวในการค้นหาคำตอบ ทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน จะนำท่านไปแกะรอยปริศนาของโบราณวัตถุลึกลับแห่งแดนอาทิตย์อุทัยที่มีชื่อว่า “โดกุ”

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/08/17/364050/o4/420.jpg
  โดกุรูปสัตว์

ตุ๊กตาดินเผาโดกุของประเทศญี่ปุ่น เป็นสิ่งหนึ่งที่ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่ามันคืออะไร ตุ๊กตาดินเผาโดกุเป็นผลงานประติมากรรมโบราณที่มีอายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ถูกจัดอยู่ในยุคสมัยโจมง (หรือโจมอน) อายุราว 1,100-300 ปีก่อนคริสต์กาล และสิ้นสุดวิวัฒนาการลงในสมัยโกกิ เมื่อราว 400-300 ปีก่อนคริสตกาล

เหตุที่กล่าวว่าสิ้นสุดลง เพราะตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และการขุดค้นทางโบราณคดีแล้ว ในสมัยต่อมาคือ สมัยยาโยอิของญี่ปุ่น ไม่ปรากฏหลักฐานการค้นพบแต่อย่างใด สาเหตุของการสิ้นสุดก็ไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ในปัจจุบันตุ๊กตาเหล่านี้ถูกนำไปจัดแสดงยังพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก

สถานที่พบตุ๊กตาดินเผาโดกุคือ แหล่งโบราณคดีอันเป็นสถานที่ฝังศพของคนโบราณ นอกจากนี้ยังถูกพบในสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา รวมถึงพบในสถานที่อยู่อาศัย หรือแหล่งพักพิงของคนสมัยโบราณ โดยถูกพบที่บริเวณแท่นบูชา จะสังเกตได้ว่าตุ๊กตาเหล่านี้ถูกพบในสถานที่ 2 แห่งหลักๆ คือ สุสาน และบ้านพัก


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/08/17/364050/o5/420.jpg
 โดกุที่มีใบหน้าคล้ายนกฮูก


ลักษณะทางศิลปกรรมอันโดดเด่น สามารถแบ่งออกตามยุคสมัย เป็น 2 สมัยคือ สมัยโจมงตอนต้น ซึ่งมีลักษณะเป็นทรงกระบอก มีการตกแต่งรายละเอียดโดยการปั้นแปะลายเครื่องประดับบนร่างกาย และในสมัยที่สองคือ สมัยโจมงตอนปลาย ตุ๊กตาเหล่านี้ เริ่มมีความแปลกประหลาดไปจากเดิมคือ มีลักษณะของใบหน้าที่คล้ายสัตว์จำพวกลิง แมว และนกฮูก บริเวณใบหน้านั้นจะเจาะรูจมูกอย่างเห็นได้ชัดเจน ดวงตามีขนาดใหญ่มาก ดูแล้วคล้ายกับดวงตาของแมลง โดยส่วนใหญ่จะมีขนาดเฉลี่ย 30 เซนติเมตร

ตุ๊กตาโดกุมีใบหน้าหลายรูปทรง แต่ที่พบเป็นจำนวนมากคือ ใบหน้ารูปหัวใจ รูปนกเค้าแมว และใบหน้าที่มีดวงตาโตคล้ายแมลง ส่วนทางกายภาพส่วนมากมักไม่สมสัดส่วน จะมีแขนขาที่สั้น ล่ำ อวบอ้วน หรือในบางครั้งพบในรูปแบบที่ผอมบาง มีความยาวเกินความสมจริง อาทิ บ่ากว้าง ลำตัวลีบแบน ถึงจะดูผิดแผกไม่มีความสมดุลทางกายภาพก็จริง แต่มีความสมมาตรซ้ายขวาที่เท่าๆกัน คือ ถ้าหากแขนมีลักษณะลีบแบน ก็จะลีบแบนทั้งสองข้าง

ตุ๊กตาโดกุที่กลายเป็นสัญลักษณ์ สากลของตุ๊กตาโดกุทั้งหมดคือ ชาโกกิโดกุ (Shakokidogu) มีลักษณะเด่นคือ มีดวงตาขนาดใหญ่มากแลดูคล้ายกับตาแมลง รูปร่างคล้ายกับผู้หญิงที่มีหน้าอกยื่น ต้นแขน ต้นขาอวบอ้วน มีการตกแต่งบริเวณส่วนหัวของตุ๊กตาคล้ายกับการสวมมงกุฎ และนอกจากนี้บริเวณร่างกายมีการปั้นตกแต่งอย่างละเอียด ดูคล้ายกับการสวมเสื้อผ้าปกคลุมทั่วเรือนร่าง


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/08/17/364050/o6/420.jpg
 โดกุที่มีขาอวบอ้วนผิดปกติ

จากลักษณะที่แปลกประหลาดนี้เอง นักวิชาการจึงตั้งสมมติฐานถึงหน้าที่การใช้งาน คุณประโยชน์ในการสร้างสรรค์ว่า สร้างขึ้นเพื่อสิ่งใด และรวมถึงการตีนัยทางสัญลักษณ์ที่แอบแฝงมากับตุ๊กตา ทำให้เกิดมีข้อสันนิษฐานขึ้นเป็นจำนวนมาก

ข้อสันนิษฐานที่เป็นประเด็นหลักที่ถูกกล่าวถึงและมักถูกหยิบยกมาอ้างอิงมากที่สุดคือ ตุ๊กตาโดกุอาจเป็นผลงานที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อใช้ในศาสนา หรือเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบพิธีกรรมของผู้คนในยุคนั้น มากกว่าจะถูกสร้างหรือผลิตมาเพื่อเป็นสินค้าส่งออกต่างแดน หรือเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนบุคคล เพราะจากการค้นพบมีเป็นจำนวนมากก็จริง แต่จำกัดอยู่แค่ในพื้นที่ ไม่ได้กระจายออกไปยังที่อื่น

และอาจเป็นของที่จำเป็นอย่างยิ่งในพิธีศพ ที่ต้องนำมาใช้ร่วมกับการฝังศพ อย่างการใส่ข้าวของเครื่องใช้ของผู้ตายลงหลุมฝังศพ เช่นเดียวกันกับการใส่ภาชนะดินเผายังหลุมฝังศพของแหล่งวัฒนธรรมบ้านเชียงในเมืองไทยเรา

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/08/17/364050/o7/420.jpg
 ชาโคกิโดกุ

นอกจากนี้ตุ๊กตาโดกุอาจเป็นเครื่องรางของขลังในสมัยโบราณ ที่มีหน้าที่สำหรับป้องกันภัยอันตรายจากภูติผีปีศาจ รวมไปถึงอำนาจเร้นลับ โดยมีความเชื่อที่ว่า การที่สร้างตุ๊กตาที่มีลักษณะแปลกประหลาดพิลึกนี้ก็เพื่อเป็นการข่มขวัญปีศาจร้าย รวมถึงขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่อาจเยือนมายังบ้านเรือน

จึงมีการจัดวางบนแท่นบูชาของแต่ละครอบครัว ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า ตุ๊กตาเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์หรือตัวแทนของเทพเจ้าของคนสมัยโบราณ พอผู้คนในอดีตหวาดกลัวต่อสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ จึงจำเป็นต้องสร้างรูปเคารพ เพื่อเป็นตัวแทนหรืออัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาสถิต เพื่อปกปักรักษา

จากการที่พบตุ๊กตาเหล่านี้ในสภาพที่ชำรุดเสียหายแตกหักตามสุสาน ก่อให้เกิดสมมติฐานบางประการขึ้นอีกว่า อาจถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ โดยอาจทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการรับเคราะห์ร้ายแทนบุคคล

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/08/17/364050/o8/420.jpg
 โดกุรูปแบบหนึ่งในสมัยโจมง

อีกสมมติฐานหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงอย่างมากคือ ตุ๊กตาโดกุอาจถูกสร้างขึ้นโดยที่ผู้สร้างได้รับเอาลักษณะและรูปลักษณ์มาจากมนุษย์ต่างดาว หรือผู้มีอารยธรรมสูงส่งอื่นจากนอกโลก ที่ได้มาสั่งสอน และมอบวิทยาการความรู้ทางด้านเกษตรกรรมให้แก่มนุษย์โลก ซึ่งทฤษฎีนี้มักปรากฏแทบในทุกอารยธรรมของโลก

อีกข้อสมมติฐานหนึ่งที่น่าสนใจ อันมีรากฐานมาจากตัวตุ๊กตาชาโกกิโดกุคือ การที่ถูกสร้างขึ้นในลักษณะที่อวบอ้วน และเน้นไปยังรูปลักษณ์ของผู้หญิงอย่างชัดเจนนี้ อาจมีความเชื่อมโยงกับลักษณะของรูปร่างสรีระ การตั้งครรภ์ของสตรี ประกอบกับการประดับประดาเรือนร่างที่หรูหรากว่าบุคคล ธรรมดาสามัญ

นอกเหนือจากเป็นเทพีหรือลัทธิการนับถือพระแม่แล้ว ชาโกกิโดกุอาจเป็นเค้าโครงของชุดเกราะ หรือเครื่องแต่งกายของคนชั้นสูงในสมัยโบราณ เพราะจากลวดลาย และความเทอะทะใหญ่โตนี้เอง จึงเกิดมีทฤษฎีใหม่ขึ้นมาว่า มีการสร้างขึ้นมาจากต้นแบบของชุดเกราะโบราณที่ใช้สำหรับการออกรบ

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/08/17/364050/o9/420.jpg
 โดกุที่มีลวดลายไม่ซับซ้อน

จึงเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า ชาโกกิโดกุถูกนับถือในฐานะของเทพีของความอุดมสมบูรณ์ หรือพระแม่แห่งปฐพี เพราะคนสมัยโบราณมักให้ความสำคัญกับผู้หญิงที่อวบอ้วน สุขภาพแข็งแรง มากกว่าผู้หญิงที่ผอมบาง เพราะความสมบูรณ์นี้สื่อให้เห็นว่า เป็นแม่พันธุ์ที่ดีได้ อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นขวัญกำลังใจให้คุณแม่ที่ใกล้คลอด คลอดบุตรออกมาได้อย่างปลอดภัย

ในปัจจุบัน ความหมายที่แท้จริงของตุ๊กตาโดกุยังมิอาจมีใครทราบคำตอบที่แน่ชัดว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร และทำไมพวกมันถึงมี หน้าตาและรูปร่างที่แปลกประหลาดผิดธรรมชาติ

สาเหตุของการสิ้นสุดการสร้างตุ๊กตาโดกุนั้น อาจมาจากความเชื่อด้านศาสนาในยุคโบราณเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา หรืออาจมีสิ่งอื่นที่มีความสำคัญ และได้รับความนิยมมากกว่าเข้ามาแทนที่ ตุ๊กตาโดกุจึงถูกลดบทบาทไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกละทิ้งไปในที่สุด

ถึงหน้าที่ และความสำคัญจะถูกลืมเลือนไปตามยุคสมัย แต่ความลับ และปริศนาของตุ๊กตาโดกุ ยังคงมีผู้คิดค้นหาคำตอบกันอย่างต่อเนื่อง และหวังว่าสักวันพวกเราจะได้ทราบความหมายที่แท้จริงของมัน.

โดย...GaRaven
ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน
2275  สุขใจในธรรม / เสียงธรรมเทศนา / กินของเก่า โดย หลวงปู่แบน ธนากโร เมื่อ: 22 กันยายน 2556 20:57:33
http://www.sookjaipic.com/images/2267368249__111_175_1_.jpg

หลวงปู่แบน  ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ ตำบลตองโขบ กิ่งอ.โคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร

<a href="http://www.fungdham.com/download/sound/ban/02/46.mp3" target="_blank">http://www.fungdham.com/download/sound/ban/02/46.mp3</a>
กินของเก่า
2276  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / "เมืองบาดาล" ดินแดนอันเป็นปริศนาว่ามีอยู่จริงหรือไม่ เมื่อ: 17 กันยายน 2556 19:41:45
.

เมืองบาดาล
กับตำนานอันเป็นปริศนา


แก่งอาฮง-สะดือแม่น้ำโขง-วังพญานาค

เมืองบาดาล ดินแดนอันเป็นปริศนาที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ มักใช้เรียกสถานที่ลึกลับที่มาพร้อมกับตำนานเล่าขาน  ซึ่งโดยมากก็จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวเร้นลับที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่ เมืองบาดาล บางแห่ง อาจรวมไปถึงสถานที่ที่จมลงไปสู่พื้นสาครโดยเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์หรือเกิดจากภัยธรรมชาติ แต่ไม่ว่าอย่างไร เมืองบาดาล แต่ละแห่งก็มีมนต์เสน่ห์ที่แตกต่างออกไปให้เราได้ไปสัมผัสกัน

เมืองบาดาลที่มีเรื่องเล่าขานกันมากที่สุด คือเมืองบาดาลแห่ง แม่น้ำโขง แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ทอดยาวผ่านหลายประเทศ บางส่วนของแม่น้ำโขงกั้นเป็นพรมแดนระหว่างประเทศไทยและลาว ลำน้ำโขงในส่วนนี้เองที่มีตำนานเรื่องเมืองบาดาล เกี่ยวพันกับเหตุการณ์ความมหัศจรรย์ของปรากฏการณ์ บั้งไฟพญานาค ที่ในคืนวันออกพรรษาจะปรากฏลูกไฟสีแดงพวยพุ่งขึ้นจากลำน้ำโขงขึ้นไปสู่ท้องฟ้าและหายไป เป็นเรื่องเล่าขานถึงพญานาคที่ได้ทำบั้งไฟถวายเป็นพุทธบูชา


วัดอาฮงศิลาวาส

 
ตลอดสายน้ำโขงที่ทอดยาว โดยเฉพาะบริเวณช่วงจังหวัดหนองคาย-บึงกาฬ มีเรื่องเล่ามากมายของผู้คนตลอดสองฟากฝั่งถึงเมืองบาดาลซึ่งถือเป็นเมืองของพญานาคนั่นเอง โดยเฉพาะบริเวณแก่งอาฮง ที่อยู่บริเวณใกล้กับวัดอาฮงศิลาวาส อำเภอเมือง  จังหวัดบึงกาฬ แม่น้ำโขงบริเวณหน้าวัดอาฮงแห่งนี้เชื่อกันว่าเป็นจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง เรียกกันว่าสะดือแม่น้ำโขง ชาวบ้านเชื่อว่า ณ สะดือแม่น้ำโขงนี้เองคือวังบาดาลของพญานาค


ปากทางเข้า “ถ้ำดินเพียง” เส้นทางสู่เมืองพญานาค


ภายใน “ถ้ำดินเพียง”

ถ้ำดินเพียง ในอำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ในเรื่องราวความเร้นลับของเมืองบาดาล ถ้ำแห่งนี้ถูกค้นพบโดยชาวบ้านที่ออกล่าสัตว์ป่าจนไปพบถ้ำนี้โดยบังเอิญ ภายในถ้ำแห่งนี้มีห้อง โพรง ช่อง ซอก ซอย รู อันเกิดจากการกัดเซาะของน้ำใต้ดินที่เต็มด้วยส่วนโค้ง ส่วนเว้า จำนวนมากนับเป็นพันๆ ช่องทาง สามารถใช้สัญจรทะลุเชื่อมถึงกันได้อย่างไม่น่าเชื่อซึ่งเล่ากันว่าคล้ายเส้นทางการเลื้อยของพญานาค ชาวบ้านเชื่อกันว่าถ้ำแห่งนี้เป็นเส้นทางไปสู่เมืองพญานาคที่สามารถเดินทางไปใต้ลำโขง ไปๆ มาๆระหว่างหนองคายกับเวียงจันทน์ได้ โดยมีเรื่องเล่าว่า ในถ้ำแห่งนี้เป็นเส้นทางที่พระธุดงด์จากลาวใช้ข้ามฝั่งลอดใต้แม่น้ำโขงเข้ามายังเมืองไทย เส้นทางเดินนี้ต้องเป็นพระผู้ทรงศีลแก่กล้าเท่านั้นจึงจะมองเห็นเส้นทาง



จุดปลายสุด “ถ้ำน้ำเขาศิวะ”

ส่วนที่ ถ้ำน้ำเขาศิวะ อำเภอคลองหาด จังหวัดสระเเก้ว ที่เพิ่งถูกค้นพบและเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเมื่อไม่นานมานี้ ก็นับได้ว่าเป็นเมืองบาดาลเช่นกัน ตลอดเส้นทางที่ทอดยาวเข้าไปในถ้ำนั้นมืดมิด นักท่องเที่ยวต้องเดินลุยน้ำเข้าไปชมซึ่งบางส่วนมีความลึกมาก ปลายถ้ำนั้นเป็นทางตัน เมื่อชมถึงจุดปลายสุดแล้วจะต้องเดินย้อนกลับมา แต่ที่ปลายสุดแห่งนี้เองวิทยากรผู้นำทางได้เล่าถึงเรื่องราวความเร้นลับว่า ก่อนที่จะเปิดให้เข้ามาท่องเที่ยวได้มีการสำรวจโดยเจ้าหน้าที่ ซึ่งเตรียมอุปกรณ์ดำน้ำมาด้วย เมื่อถึงปลายสุดของถ้ำได้มีการดำน้ำลงไปสำรวจเพราะบริเวณนี้เป็นบริเวณตาน้ำที่ลึกที่สุด และหลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้ดำลงไปสำรวจเเล้ว เมื่อกลับขึ้นมาเล่าว่าข้างล่างนั้นเป็นเหมือนเมืองบาดาล เจ้าหน้าที่คนนั้นเพียงแค่เล่าเรื่องราวแต่ไม่หันกลับไปมองบริเวณนั้นอีกและยังไม่มีใครกล้าที่จะดำลงไปอีก จึงกลายมาเป็นเรื่องราวปริศนาที่เล่าต่อๆ กันมาของถ้ำน้ำเขาศิวะแห่งนี้


เมืองบาดาล “สังขละบุรี” โผล่ให้ชมยามน้ำลด

สำหรับเมืองบาดาลที่ไม่ได้มาพร้อมตำนานเร้นลับ หากเกิดจากน้ำมือมนุษย์ก็คือที่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี โดยเมื่อครั้งอดีตชุมชนดั้งเดิมของชาวมอญได้มีการสร้างหมู่บ้านบริเวณจุดรวมของแม่น้ำ 3 สาย ได้แก่ แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำรันตี และแม่น้ำบีคลี่ ต่อมาในปี 2527 มีการสร้างเขื่อนเขาแหลม หรือเขื่อนวชิราลงกรณ์ ทำให้บ้านเมืองบริเวณนี้ต้องจมลงใต้สายน้ำ ชาวบ้านต้องย้ายที่อยู่และที่ทำกินไปอยู่บนพื้นที่สูงกว่าเดิม ส่วนหมู่บ้านเก่าที่ยังคงมีสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ทิ้งร้างไว้นั้นกลายเป็นก้นเขื่อน เมื่อน้ำลดจึงจะมองเห็นสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ วัดวังก์วิเวการาม (หลังเก่า) ที่ในหน้าแล้งน้ำลดลงจนสามารถลงไปเดินชมซากโบสถ์หลังเก่าได้ ส่วนในหน้าน้ำหากล่องเรือออกไปจะมองเห็นตัววัดรำไรอยู่ใต้สายน้ำ เกิดเมืองบาดาลแห่งสังขละบุรีขึ้น


เวียงหนองหล่ม ที่ตั้งเมืองโยนกนครเมื่อครั้งอดีต

ส่วนเมืองบาดาลที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาตินั้นได้แก่ โยนกนคร มีเรื่องราวการล่มสลายของโยนกนครจนเป็นเมืองบาดาลอยู่มากมาย แต่ทฤษฎีที่เป็นวิทยาศาสตร์และน่าเชื่อถือนั้นก็คือ เมืองโยนกนครแห่งนี้ล่มสลายลงเพราะแผ่นดินไหว เนื่องจากเมืองได้สร้างอยู่บริเวณที่ดอนกลางหนองน้ำในปล่องภูเขาไฟซึ่งดับไปแล้ว โดยเป็นพื้นที่ที่ไม่มั่นคง ประกอบกับเมืองยังตั้งอยู่บนรอยเลื่อนสองแห่ง เมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมืองโยนกนครจึงล่มลงกลายเป็นเมืองบาดาลทิ้งปริศนาความเร้นลับให้แก่คนรุ่นหลังได้ไขกันต่อไป
       
เนื่องจาก เมืองบาดาล แต่ละแห่งล้วนแล้วแต่ลึกลับ มีมนต์เสน่ห์และมาพร้อมตำนานความเชื่อ การเข้าชมสถานที่แต่ละแห่งจึงควรให้ความเคารพในสถานที่และปฏิบัติตามข้อบังคับอย่างเคร่งครัดด้วย


จาก - www.manager.co.th
2277  สุขใจในธรรม / เสียงธรรมเทศนา / จอมแปลงศาสนา โดย หลวงปู่แบน ธนากโร เมื่อ: 16 กันยายน 2556 05:40:27
.

http://www.dhammajak.net/board/files/__111_175.jpg

หลวงปู่แบน  ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ ตำบลตองโขบ กิ่งอ.โคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร

<a href="http://www.fungdham.com/download/sound/ban/80.mp3" target="_blank">http://www.fungdham.com/download/sound/ban/80.mp3</a>
จอมแปลงศาสนา
2278  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ร้อยภูติ พันวิญญาณ / Re: "เสือสมิง" ตำนานผีไพรที่สิงสถิตอยู่ตามป่าเขา เมื่อ: 07 กันยายน 2556 18:52:36
.

“ผี” ในความหมายที่แปลว่า “คนตายที่ยังไม่ตาย สามารถลุกขึ้นจากหลุมได้ แล้วเที่ยวหลอกหลอนทำร้ายผู้คนอย่างมันหยด” นั้น จะเกิดขึ้นในยุคใดสมัยไหน ไม่มีใครยืนยัน
 
แต่ที่ยืนยันได้ ยุคที่ผีมีมากมายที่สุดและถูกกล่าวขวัญถึงมากที่สุดคือ “ยุคกลาง” หรือ “ยุคมืด” ของยุโรป ซึ่งเกิดนครรัฐต่างๆ อย่างยั้วเยี้ย เจ้านครรัฐ ขุนนางและอัศวินทั้งหลายต่างสร้างปราสาทมโหฬารเพื่อแข่งขันบารมีและอวดความมั่งมีอย่างถึงพริกถึงขิง
 
ครั้นเจ้าของปราสาทตายลง มักจะเกิดตำนานกล่าวขานความเฮี้ยนของปราสาทดังกล่าวว่า มีผีที่ยังหวงสมบัติสิงอยู่ โดยมีเคาท์แดร็กคิวล่าเป็นผีที่กระฉ่อนชื่อที่สุด เพราะไม่เพียงแต่หลอกคนในโรมาเนีย ยังข้ามชาติไปดูดเลือดคนอังกฤษจนหวาดผวาทั่วลอนดอน
 
อเมริกาในศตวรรษที่ 18 และ 19 ก็เกิดตำนานผีอย่างสุดฮิต ชนิดคำว่า “Ghost Town” ก็เกิดขึ้นในยุคนี้ โดยรัฐทางภาคตะวันตกกว่า 1,300 เมือง มีเรื่องเล่าเป็น Ghost Town ตั้งแต่ยุคนั้น เฉพาะที่อยู่ในรัฐออเรกอนและรัฐวอชิงตันก็ปาเข้าไปกว่าครึ่ง
 
สำหรับผีไทยไม่ค่อยมีใครจารึกตำนานผีเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้จำ เช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ของชาติไทยที่ถูกหลงลืมไปเยอะแยะ แต่ผีไทยนั้น แม้จะเฮี้ยนแค่ไหน ดุร้ายเพียงไร มักจะอาละวาดแค่อยู่ในเรือนที่ผีอยู่ ในป่าช้าที่ผีถูกฝัง หรืออยู่แค่ในหมู่บ้านและอยู่ในตำบลเท่านั้น ยังไม่ “แรง” ถึงกับหลอกชาวบ้านข้ามจังหวัดหรือข้ามประเทศ
 
อย่างเช่น “แม่นาคพระโขนง” เป็นผีไทยที่ยอดดังอมตะยาวนานที่สุด ชนิดถูกสร้างเป็นหนังไม่รู้กี่ครั้ง ทำเป็นละครทีวี.ไม่รู้กี่รอบ ก็ยังมีแฟนติดตามชมไม่รู้เลิก
 
ผีไทยกับผีฝรั่งมีจุดแตกต่างที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือ “ผีฝรั่งส่วนมากเป็นผีผู้ชาย ผีไทยส่วนใหญ่เป็นผีผู้หญิง”
 
อย่างผีบ้านๆ ที่มีกันทุกถิ่นทั่วประเทศ ได้แก่ ผีนางตานีผีนางตะเคียนและผีนางเสือสมิง ล้วนเป็นผีผู้หญิง ในขณะที่ผีปัจเจกบุคคล ตำนานผีทุกหมู่บ้านล้วนเป็นผีผู้หญิงทั้งสิ้น เช่น ผีอีแดง ผีอีดำและผีอีบุญ เป็นต้น
 
เหตุที่ผีไทยส่วนใหญ่เป็นผีผู้หญิง เพราะผู้หญิงมักถูกทำร้ายจนสิ้นชีวิตอย่างทรมาน วิญญาณแค้นจึงกลายเป็นผีที่จะกลับมาคิดบัญชีกับกลุ่มคนที่ทำร้ายตน มีแต่ผีแม่นาครายเดียวเท่านั้นที่เสียชีวิตเพราะคลอดลูกหามีผู้ใดมาทำร้ายถึงชีวิตไม่ คนไทยจึงให้เกียรติเรียกเป็น “ผีแม่นาค” แตกต่างไปจากจิกหัวเรียกผีอื่นๆ เป็นผีอีแดง ผีอีดำและผีอีบุญ


ที่มา : เว็บไซต์ หนังสือพิมพ์รายวัน แนวหน้า
2279  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ร้อยภูติ พันวิญญาณ / "เสือสมิง" ตำนานผีไพรที่สิงสถิตอยู่ตามป่าเขา เมื่อ: 05 กันยายน 2556 04:59:43
.

ท่ามกลางป่าลึกในอดีตของเมืองไทยที่ยังอุดมด้วยสิงสาราสัตว์และธรรมชาติ มักมีเรื่องเล่าลึกลับเกี่ยวกับอาถรรพ์ของป่า เชื่อกันว่าทุกป่ามีเจ้าป่าเจ้าเขาคอยคุ้มครอง ชาวบ้าน พรานป่าหรือนักเดินไพรคนไหนไม่เคารพเจ้าที่เจ้าทางก็มักถูกอาถรรพ์ป่าเล่นงาน
      
“เสือสมิง” ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องเล่าแห่งป่าที่หลายๆ คนคงเคยได้ยินได้ฟังผ่านหูกันบ้าง โดยเชื่อว่า เสือสมิงนั้นเป็นผีไพร หรือผีที่สิงสถิตอยู่ตามป่าเขา นับเป็นตำนานผีไทยพื้นบ้านชนิดหนึ่งที่มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมา เพียงแต่ว่ามีความแตกต่างที่ปรากฏมาในร่างของสัตว์เจ้าป่า
      
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ให้ความหมายคำว่า “เสือสมิง” ว่า เสือที่เชื่อว่าเดิมเป็นคนที่มีวิชาอาคมแก่กล้าแล้วต่อมาสามารถจำแลงร่างเป็นเสือได้ หรือเสือที่กินคนมากๆ เข้า เชื่อกันว่าวิญญาณคนตายเข้าสิง ต่อมาสามารถจำแลงร่างเป็นคนได้

นอกจากนั้นยังมีอีกหนึ่งความเชื่อหลักให้ความหมายของเสือสมิงว่า เป็นเสือที่กินคนเข้าไปมากมาย จนมีวิญญาณผีตายโหงสิงสู่อยู่ วันดีคืนดีจะแปลงร่างมาหลอกลวงคนที่เดินทางในป่าเพื่อจับกินเป็นอาหาร โดยมักจะแปลงตัวมาเป็นคนบาดเจ็บ สาวชาวป่า หรือเป็นคนรู้จักมาตามให้กลับบ้านเพื่อหลอกล่อให้เหยื่อหลงกล และอีกนัยหนึ่งคือผู้ที่มีวิชาอาคมแก่กล้าแต่ไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ของเข้าตัว กลายเป็นเสือสมิง เสือสมิงพวกนี้จะเรียกว่า สมิงอาคม
      
เรื่องราวของเสือสมิงนั้นมีหลากหลายจากหลายๆ พื้นที่ ซึ่งปัจจุบันสามารถหาอ่านได้ทางอินเตอร์เน็ตนั้นมีหลากหลาย และนี่ก็คือฯเรื่องราวเด่นๆของเสือสมิง ได้แก่
      
เรื่องแรก เล่าขานกันว่า ชาวบ้านทางภาคเหนือได้รับความเดือดร้อนเพราะมีเสือเข้ามาทำร้ายคนในหมู่บ้าน เป็นที่หวาดกลัวแก่ชาวบ้าน จึงได้ไปขอความคุ้มครองจากทหารหน่วย ตชด. เพื่อเข้ามาดูแลความปลอดภัยภายในหมู่บ้าน ทหารจึงส่งกำลังเข้าไปคุ้มครองและได้ล่าเสือตัวนั้น  ในคืนวันหนึ่ง ตชด. ได้จัดกำลังออกตรวจส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือนอนพักบนศาลาที่จัดไว้ กลางดึกคืนนั้นศาลาที่หน่วย ตชด.พัก ได้สั่นไหวโยกเอนผิดปกติ  เมื่อทหารลุกขึ้นมาดูก็ได้เห็นเสือโคร่งขนาดใหญ่พิงสีตัวอยู่ที่เสาศาลา  ทหารจึงยิงปืนใส่เสือโคร่งใหญ่นั้น ทำให้เสือตัวนั้นบาดเจ็บและหนีหายไปในความมืด พอรุ่งเช้าทหารจึงติดตามแกะรอยเลือดเสือตัวนั้นไป ปรากฏว่ารอยเลือดนั้นไปสิ้นสุดที่หลุมเนินดินแห่งหนึ่ง เมื่อทหารขุดหลุมเปิดเนินดินนั้นก็พบศพผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนในหมู่บ้าน แต่แปลกประหลาดที่ร่างกายท่อนล่างของเขาเป็นเสือลายพาดกลอน จากการสอบถามชาวบ้านบอกว่าสาเหตุที่ตายเพราะผิดผี จึงกลายมาเป็นเสือสมิง



เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร
ผืนป่าที่ยังคงความสมบูรณ์และสามารถพบเห็นเสือโคร่งได้ในปัจจุบัน

อีกเรื่องราวของเสือสมิง เล่ากันว่า พรานป่าคนหนึ่งซึ่งอดีตเป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าตั้งใจว่าจะไปนั่งห้างส่องสัตว์ที่ทุ่งใหญ่นเรศวร ก่อนจะเข้าป่าได้สั่งเมียไว้ว่าจะเข้าป่า 3 วัน ไม่ต้องเข้าไปตาม จากนั้นก็เก็บสัมภาระที่จำเป็นเข้าไปค้างแรมในป่า ในค่ำคืนแรกผ่านไปด้วยดี ได้เห็นสัตว์มากมายออกมาหากินตามโป่งดิน แต่ในคืนที่สองบรรยากาศแปลกไป ฟ้ามืดสนิทและเงียบผิดปกติ พอตกดึกจึงยินเสียงฝีเท้าคนเดินอยู่ด้านล่าง จากนั้นก็ได้ยินเสียงเมียตัวเองเรียก เมื่อมองลงไปจึงเห็นเมียถือตะเกียงเจ้าพายุมาร้องเรียกบอกว่าลูกไม่สบาย ตัวร้อนจัด จึงเข้ามาตามเขากลับบ้านไปดูลูก
      
พรานป่าเมื่อเห็นดังนั้นจึงทำท่าจะลงจากห้างลงไปหา แต่เกิดเอะใจว่าทำไมเมียถึงรู้ว่าเราอยู่ตรงนี้ และทำไมถึงกล้าหาญมาในป่าลึกกลางคืนโดยไม่กลัวสิงสาราสัตว์ นอกจากนั้นเวลาพูดก็จะไม่ยอมสบตาตรงๆ อีกทั้งหากเดินมาจากบ้านน้ำมันตะเกียงน่าจะหมด แต่ทำไมถึงสว่างอยู่ได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจ หันปากกระบอกปืนส่งให้เมีย และพูดว่า “รับปืนที พี่จะลงไปแล้ว” พอเมียยื่นมือจะรับปืนเขาก็ลั่นไกยิงทันที จากนั้นก็ได้ยินเสียงเสือคำรามและวิ่งหายไปในแนวป่าลึก
      
รุ่งเช้าพรานป่าจึงตัดสินใจกลับบ้าน และได้เดินเข้าไปสำรวจแนวป่าลึกที่ได้ยินเสียงเสือวิ่งหนีไปเมื่อคืนนี้ จึงได้เห็นเสือลายพาดกลอนขนาดใหญ่นอนตายอยู่ และเมื่อกลับไปถึงบ้านก็เห็นเมียเลี้ยงลูกอยู่อย่างปกติ นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องเหลือเชื่อของเสือสมิง

ส่วนเรื่องของชาวกะเหรี่ยง เล่ากันว่า เสือสมิงตามความเชื่อของชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่าเป็นเจ้าป่าเจ้าเขาหรือพระภูมิเจ้าที่ที่ดูแลรักษาปกป้องป่า จึงมีความเชื่อและข้อปฏิบัติว่า ห้ามล่าสัตว์หรือตั้งห้างบริเวณที่เป็นโป่ง ซึ่งเป็นแหล่งที่เป็นที่ชุมนุมของสัตว์ป่า และเสือสมิงมักจะแปลงตัวเป็นผู้หญิง โดยเฉพาะเป็นเมียเข้ามาตามถึงในป่าบอกว่าลูกป่วยให้กลับบ้าน เป็นต้น เมื่อคนไม่ยอมหลงกลไม่ลงไปหา ก็จะกลับมาใหม่พร้อมด้วยคนอีกสี่คนหามคานใส่ศพของลูกหรือเมียมาก็มี มีบางคนที่ยิงปืนใส่ เช้ามาเมื่อลงจากห้างพบว่ามีรอยเท้าเสือขนาดใหญ่เพ่นพ่านอยู่บริเวณนั้น และเชื่อว่าคนสี่คนที่เห็นว่าหามคานมานั้นคือขาทั้งสี่ข้างของเสือนั่นเอง
      
ยังมีอีกหลายเรื่องเล่าเกี่ยวกับเสือสมิงที่ฟังได้ไม่รู้เบื่อ แต่ใน พ.ศ. นี้ ที่แม้แต่เสือตัวเป็นๆ ในป่าก็ยังหายากเรื่องราวของเสือสมิงก็ดูจะเลือนหายไป แต่เรื่องที่มักเป็นหัวข้อที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงในหมู่นักอนุรักษ์ก็คือเรื่องสถานการณ์ของเสือในประเทศไทย เพราะเสือโคร่งนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของผืนป่า ดังคำกล่าวที่ว่า “เสือพีเพราะป่าปก ป่ารกเพราะเสือยัง” การมีเสือโคร่งจำนวนมากแสดงให้เห็นถึงป่าอันอุดมสมบูรณ์ โดยในปี 2555 ทางกรมอุทยานแห่งชาติให้ข้อมูลว่า คาดว่ามีจำนวนเสือโคร่งในธรรมชาติของเมืองไทยประมาณ 200-250 ตัว
      
สำหรับผืนป่าที่มีเสือโคร่งอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากนั้นก็คือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้ง ผืนป่ามรดกโลกของไทย ที่ครอบคลุมพื้นที่เขต จ.อุทัยธานี จ.ตาก และ จ.กาญจนบุรี นับเป็นป่าอนุรักษ์ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยจากการสำรวจของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งในช่วงปี 2555 ได้พบเสือโคร่งตัวเต็มวัยกว่า 70 ตัว ในจำนวนนี้เป็นเสือแม่ลูกอ่อนที่มีลูกเล็กๆ 5-6 ตัว และแต่ละตัวจะมีลูก 2-4 ตัว จึงคาดว่าป่าห้วยขาแข้งน่าจะมีเสือโคร่งอยู่ราว 85-90 ตัว เป็นอย่างน้อย
      
และนอกจากนั้นยังเป็นที่น่ายินดีว่า การสำรวจพื้นที่ป่าโดยรอบห้วยขาแข้ง คือบริเวณอุทยานแห่งชาติแม่วงก์และอุทยานแห่งชาติคลองลาน ซึ่งไม่มีรายงานการพบเสือโคร่งมานานแล้วนั้น พบว่าในปีที่ผ่านมาที่อุทยานแห่งชาติทั้งสองแห่งสามารถถ่ายรูปเสือโคร่งตัวเต็มวัยได้มากถึง 10 ตัว
      
แต่เนื่องจากเสือนั้นเป็นสัตว์ที่มีอาณาเขตในการหากินค่อนข้างกว้าง และจะไม่หากินทับพื้นที่ซึ่งกันและกัน ดังนั้นหากพื้นที่ป่าเหลือน้อยและไม่มีสัตว์ซึ่งเป็นเหยื่อให้หากิน ดังที่เป็นประเด็นถกเถียงกันในเรื่องการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ซึ่งนักอนุรักษ์หลายๆ คนเชื่อว่าจะกระทบต่อระบบนิเวศของผืนป่ามรดกโลกและป่าบริเวณใกล้เคียงกัน ยังไม่พูดถึงเสือที่ถูกมนุษย์ลักลอบล่าตามใบสั่ง สาเหตุเหล่านี้ล้วนทำให้เสือในเมืองไทยลดจำนวนลง กลายเป็นสัตว์หายาก และเสือสมิงก็คงจะหายากยิ่งกว่า อาจพบได้เพียงในละครบางช่องเท่านั้นเอง


ที่มา : www.manager.co.th
2280  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / ทำเนียบขาว White House กับ ระบบการรักษาความปลอดภัยให้ผู้นำชาติมหาอำนาจโลก เมื่อ: 03 กันยายน 2556 05:44:37
.

โครงสร้างรถที่หนาพิเศษเพื่อความปลอดภัยของท่านประธานาธิบดี

ทำเนียบขาว และรถสุดเจ๋งของผู้นำสหรัฐฯ

เมื่อพูดถึง “ไวท์ เฮ้าส์ (White House)” หรือเรียกเป็นไทยว่า “ทำเนียบขาว” เป็นที่รู้กันดีว่าหมายถึง ที่ทำงานและที่พักอย่างเป็นทางการของผู้ทรงอำนาจที่สุดของโลกในยุคนี้ ซึ่งก็คือ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นั่นเอง และเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งดุลอำนาจที่ขับเคลื่อนสหรัฐอเมริกา นอกเหนือจากสภาคองเกรสและศาลสูง

ทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน  จะพาไปรู้จักกับสถานที่สำคัญระดับโลกแห่งนี้แบบเจาะลึกกันครับ


ไวท์ เฮ้าส์ ตั้งอยู่เลขที่ 1600 ถนนเพนซิลเวเนีย อเวนิว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ เจมส์ โฮบัน ในรูปแบบนีโอคลาสสิค ใช้เวลาก่อสร้างตั้งแต่ปี 1792-1800 และการสร้างเพิ่มเติมอาคารใหม่ยังเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ในสมัยของประธานาธิบดีหลายคน กว่าที่จะเป็นอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ ซึ่งประกอบไปด้วยหลายอาคาร ได้แก่ อาคารหลัก เรียกว่า Executive Residence ซึ่งเป็นอาคารที่เรามักจะเห็นกันในข่าวหรือภาพยนตร์อยู่เสมอ เป็นอาคารสีขาวตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง มี 4 ชั้นรวมชั้นใต้ดิน ส่วนใหญ่เป็นห้องรับรองต่างๆ และที่พักของครอบครัวประธานาธิบดี, อาคารเวสต์วิง (West Wing) ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของอาคารหลัก, อาคารอีสต์วิง (East Wing) ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของอาคารหลัก

อาคารเวสต์วิง มี 3 ชั้น อาคารนี้ถือเป็น หัวใจของทำเนียบขาวก็ว่าได้ เพราะเป็นที่ตั้ง ของห้องทำงานรูปไข่ สำหรับประธานาธิบดี รู้จักกันดีในชื่อว่า Oval Office, ห้องรูสเวลต์ (Roosevelt Room) ซึ่งเป็นทั้งห้องทำงานและห้องประชุม ประธานาธิบดีจะใช้ห้องนี้ทำงานสลับกับห้องทำงานรูปไข่ และห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ทั้งสามห้องนี้จะอยู่ใกล้ๆกัน ห้องติดตามสถานการณ์ (White House Situation Room) อยู่ชั้นล่างสุด สร้างขึ้นอย่างมั่นคงแข็งแรง ติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นและเครื่องมือสื่อสารทันสมัยทุกชนิด แบ่งเป็นห้องย่อยหลายห้อง เป็นศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานด้านความมั่นคงต่างๆ ประธานาธิบดีสามารถติดต่อกับกองทัพสหรัฐฯ ทุกแห่งบนโลกได้จากห้องนี้

อาคารอีสต์วิง เป็นอาคาร 2 ชั้น ส่วนใหญ่เป็นห้องทำงาน ทั้งห้อง ทำงานของสตรีหมายเลข 1 บนชั้น 2  และเจ้าหน้าที่ต่างๆที่ช่วยงานของท่าน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับงานประชาสัมพันธ์และงานสังคมอื่นๆ อาคารนี้จะเป็นทางเข้าออกสำหรับคนทั่วไปที่ไปเยี่ยมชมไวท์ เฮ้าส์

สิ่งก่อสร้างทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้น ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณประมาณ 130 ไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่ทั้งทางทิศเหนือและทิศใต้ของไวท์ เฮ้าส์ จะเป็นสนามหญ้าและสวนดอกไม้ ซึ่งดูแลโดยกรมอุทยานแห่งชาติ

นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ 9/11 เป็นต้นมา ทางไวท์ เฮ้าส์ได้ปิดไม่ให้ประชาชนเข้าชม แต่จะเปิดให้ในกรณีที่ได้รับการติดต่ออย่างเป็นทางการจากสถานทูตของชาติต่างๆ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. หรือจากสมาชิกสภาคองเกรสซึ่งต้องได้รับการตรวจประวัติแล้วเท่านั้น



ทำเนียบขาวเมื่อมองจากเบื้องบน
การรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ทำเนียบขาวและตัวประธานาธิบดีรวมทั้งคนในครอบครัวนั้น หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบคือ เจ้าหน้าที่จาก USSS (United States Secret Service) ซึ่งไม่มีเครื่องแบบ โดยจะสวมสูทสีเข้มกันเป็นประจำ

นับตั้งแต่ปี 1913 เป็นต้นมา มีคนพยายามบุกเข้าไปในไวท์ เฮ้าส์ หลายสิบครั้ง ซึ่งหลายคนก็ ประสบความสำเร็จ อย่างเช่นเมื่อปี 2009 สองสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามารถเดินเข้าไปในงานเลี้ยงรับรองนายกรัฐมนตรีของอินเดีย ทั้งที่ไม่อยู่ในรายชื่อของแขกรับเชิญ เพียงแต่การแต่งตัวที่ดูดีทำให้น่าเชื่อถือ โชคดีที่ทั้งสองไม่ได้มีเจตนาร้ายเพราะสามารถเข้าไปจนถึงตัวประธานาธิบดีโอบามา แถมยังได้จับมือกับท่านด้วย แต่ก็มี 2 ครั้งที่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะผู้บุกรุกสามารถใช้เครื่องบินบินเข้าไปจอดในพื้นที่ทำเนียบได้สำเร็จ

ปี 1974 ทหารนักบินคนหนึ่งขโมยเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพ แล้วบินลงไปจอดในพื้นที่ของไวท์ เฮ้าส์โดยไม่ได้รับการต่อต้านจากเจ้าหน้าที่ รักษาความปลอดภัยของทำเนียบ เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น แต่ภายหลังนักบินก็ถูกจับตัวไป หลังจากนั้นอีก 20 ปี เวลาประมาณ ตีสอง วันที่ 13 กันยายน 1994 มีชายอีกคนหนึ่งขโมยเครื่องบินเล็กแบบสองที่นั่ง บินไปตกกระแทกพื้น นักบินเสียชีวิตคาที่ในสนามทางทิศใต้ของทำเนียบ ทำให้เห็นถึงระบบการป้องกันเหตุร้ายของไวท์ เฮ้าส์ที่มีช่องโหว่

ปัจจุบันนี้ ระบบรักษาความปลอดภัยของทำเนียบขาวเท่าที่มีการเปิดเผยได้แก่ ห้ามอากาศยานทุกชนิดบินเหนือพื้นที่โดยรอบ มีเซนเซอร์ตรวจจับการบุกรุกจากทางใต้ดิน มีเซนเซอร์แบบอินฟราเรดตรวจพื้นที่โดยรอบ ติดเครื่องตรวจกัมมันตภาพรังสี หน้าต่างเป็นกระจกกันกระสุนทั้งหมด เครื่องกรองอากาศที่ป้องกันการปนเปื้อนของอากาศในอาคาร เรดาร์ติดตั้งบนอาคารเพื่อตรวจเครื่องบินที่บินเข้าไปในพื้นที่ห้ามบิน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพกอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติประจำตัวแทบทุกคน ห้องรักษาพยาบาลฉุกเฉินสำหรับประธานาธิบดีบริเวณชั้นใต้ดินตึกอีสต์วิง เป็นห้องที่สร้างไว้แข็งแรงมาก สามารถทนแรงระเบิดได้ทุกชนิด ยกเว้น ระเบิดนิวเคลียร์ที่ตกลงไปที่นั่นโดยตรง นอกจากนั้นยังเชื่อกันว่ามีจรวดต่อต้านอากาศยานติดตั้งไว้ที่นั่นด้วย



ภาพร่างทำเนียบขาวของเจมส์ โฮบัน

และในกรณีที่เกิดสถานการณ์คับขัน หากประธานาธิบดีต้องออกจากทำเนียบขาวโดยทางรถยนต์ รถลีมูซีนประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันนี้ นอกจากจะสวยสง่าแล้วยังมีไม่ธรรมดาด้วยครับ

“The Beast” หรือ “Cadillac One” คือชื่อเฉพาะที่ใช้เรียกรถประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นรถลีมูซีนสีดำ ผลิตโดยบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส และติดตรา “คาดิลแล็ค” เข้าประจำการตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2009 เป็นรถดัดแปลงที่ใช้คัสซีของรถบรรทุกของ เช็ฟโรเลต รุ่น Kodiak โครงสร้างหลักของรถจึงแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย ภายในมี 7 ที่นั่ง มีกระจกกั้นระหว่างส่วนคนขับและด้านหลัง ที่นั่งตอนกลางซึ่งหันหน้าไปทางท้ายรถสามารถนั่งได้ 3 คน แถวสุดท้ายมี 2 ที่นั่ง

สำหรับประธานาธิบดีและแขกของท่าน ระหว่างที่นั่งทั้งสองมีคอนโซลกั้น ภายในคอนโซลนี้มีเครื่องมือสื่อสารที่เชื่อมต่อไปยังศูนย์ควบคุมการสื่อสารของไวท์ เฮ้าส์




Cadillac One รถประจำตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

สิ่งที่ทำให้รถคันนี้เป็นรถนั่งที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ได้แก่ อุปกรณ์ Night Vision ช่วยให้คนขับสามารถขับรถไปในความมืดได้  ที่เปิดประตู รถแบบพิเศษ ยางขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับยางรถบัส ซึ่งบริษัทกู๊ดเยียร์ผลิตเป็นพิเศษ โดยใช้เส้นใยเคฟล่าที่ยืดหยุ่นแต่ทนทานทอเป็นโครงสร้าง เมื่อทับตะปูหรือตะปูเรือใบ ยังสามารถวิ่งต่อได้อีกหลายสิบกิโลเมตร ภายในรถมีถังอ็อกซิเจนและเลือดกรุ๊ปเดียวกับของประธานาธิบดี ตัวถังรถออกแบบมาให้ป้องกันการรั่วซึมในกรณีที่ถูกโจมตีโดยอาวุธเคมี ถังน้ำมันที่ท้ายรถยังหุ้มด้วยโฟมชนิดพิเศษ เป็นฉนวนป้องกันการระเบิดหรือลุกไหม้ รถคันนี้ใช้เครื่องยนต์ Duramax turbo-diesel V8 ขนาด 6600 cc ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลก็เพราะน้ำมันหาได้ง่ายกว่าและปลอดภัยมากกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่น

ประตูรถแต่ละบานหุ้มเกราะหนาถึง 8 นิ้ว ทำให้แต่ละบานหนักพอๆกับประตูของเครื่องบินโบอิ้ง 757 ใต้ท้องรถก็เสริมแผ่นเหล็กหนา 5 นิ้ว เพื่อกันแรงระเบิดจากผิวถนน หน้าต่างทุกบานเป็นกระจกกันกระสุนหลายชั้น ที่หนารวมกันถึง 5 นิ้ว โดยเฉพาะแผ่นกระจกหน้าคนขับนั้นกันกระสุนเจาะเกราะได้ ทั้งหมดนั้นทำให้รถคันนี้หนักถึง 7.5 ตัน! ซึ่งน้ำหนักน้องๆรถสิบล้อนี่เอง มันจึงทำความเร็วได้เต็มที่ ไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่อัตราการออกตัวใช้ได้ คือ 0-100 ใช้เวลาเพียง 15 วินาที

รถที่น่าจะเป็นรถถังคันนี้ ใช้พนักงานขับรถเป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับการฝึกมาอย่างดี หากเกิดความจำเป็น คนขับสามารถเลี้ยวรถกลับ 180 องศาได้ในเสี้ยววินาที



The Beast ถูกสร้างให้ทนทานกับเหตุร้ายทุกรูปแบบ (ภาพจาก White House Down)

แต่ล่าสุดเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีข่าวว่าทางทำเนียบขาวและหน่วยงานรักษาความปลอดภัยให้ประธานาธิบดี เริ่มมองหารถประจำตำแหน่งรุ่นใหม่ เนื่องจากคันนี้ใช้มาตั้งแต่ปี 2009 แล้ว

อ่านแล้วอยากรู้จัก ไวท์ เฮ้าส์ ให้มากขึ้น หรืออยากเห็นประสิทธิภาพเจ้า The Beast เร็วๆ นี้ก็มีภาพยนตร์แอ็กชั่นสุดมันเรื่อง White House Down กับฉากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นกับชายหนุ่มผู้พลาดหวังจากการเป็นหน่วยอารักขาประธานาธิบดี แต่เขาไม่อยากทำให้ลูกสาวผิดหวังไปด้วย จึงพาลูกไปเที่ยวชมรอบทำเนียบขาว แต่ทว่า ทำเนียบขาวกลับโดนบุกยึดโดยกองกำลังทหารที่หมายจะสังหารประธานาธิบดี! ทำให้เขาต้องเสี่ยงตายปกป้องทั้งประธานาธิบดีและชีวิตลูกสาวตัวเอง นับเป็นภารกิจอันใหญ่หลวงเกินคาดคิด ที่จะทำให้ผู้ชมได้เห็นถึงระบบรักษาความปลอดภัยของชาติมหาอำนาจได้เป็นอย่างดีครับ.


โดย...ลุงดำ
ทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน

หน้า:  1 ... 112 113 [114] 115 116 117
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.185 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 14 เมษายน 2567 07:32:02