[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
21 พฤษภาคม 2567 08:51:32 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 113 114 [115] 116 117
2281  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ร้อยภูติ พันวิญญาณ / "เสือสมิง" ตำนานผีไพรที่สิงสถิตอยู่ตามป่าเขา เมื่อ: 05 กันยายน 2556 04:59:43
.

ท่ามกลางป่าลึกในอดีตของเมืองไทยที่ยังอุดมด้วยสิงสาราสัตว์และธรรมชาติ มักมีเรื่องเล่าลึกลับเกี่ยวกับอาถรรพ์ของป่า เชื่อกันว่าทุกป่ามีเจ้าป่าเจ้าเขาคอยคุ้มครอง ชาวบ้าน พรานป่าหรือนักเดินไพรคนไหนไม่เคารพเจ้าที่เจ้าทางก็มักถูกอาถรรพ์ป่าเล่นงาน
      
“เสือสมิง” ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องเล่าแห่งป่าที่หลายๆ คนคงเคยได้ยินได้ฟังผ่านหูกันบ้าง โดยเชื่อว่า เสือสมิงนั้นเป็นผีไพร หรือผีที่สิงสถิตอยู่ตามป่าเขา นับเป็นตำนานผีไทยพื้นบ้านชนิดหนึ่งที่มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมา เพียงแต่ว่ามีความแตกต่างที่ปรากฏมาในร่างของสัตว์เจ้าป่า
      
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ให้ความหมายคำว่า “เสือสมิง” ว่า เสือที่เชื่อว่าเดิมเป็นคนที่มีวิชาอาคมแก่กล้าแล้วต่อมาสามารถจำแลงร่างเป็นเสือได้ หรือเสือที่กินคนมากๆ เข้า เชื่อกันว่าวิญญาณคนตายเข้าสิง ต่อมาสามารถจำแลงร่างเป็นคนได้

นอกจากนั้นยังมีอีกหนึ่งความเชื่อหลักให้ความหมายของเสือสมิงว่า เป็นเสือที่กินคนเข้าไปมากมาย จนมีวิญญาณผีตายโหงสิงสู่อยู่ วันดีคืนดีจะแปลงร่างมาหลอกลวงคนที่เดินทางในป่าเพื่อจับกินเป็นอาหาร โดยมักจะแปลงตัวมาเป็นคนบาดเจ็บ สาวชาวป่า หรือเป็นคนรู้จักมาตามให้กลับบ้านเพื่อหลอกล่อให้เหยื่อหลงกล และอีกนัยหนึ่งคือผู้ที่มีวิชาอาคมแก่กล้าแต่ไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ของเข้าตัว กลายเป็นเสือสมิง เสือสมิงพวกนี้จะเรียกว่า สมิงอาคม
      
เรื่องราวของเสือสมิงนั้นมีหลากหลายจากหลายๆ พื้นที่ ซึ่งปัจจุบันสามารถหาอ่านได้ทางอินเตอร์เน็ตนั้นมีหลากหลาย และนี่ก็คือฯเรื่องราวเด่นๆของเสือสมิง ได้แก่
      
เรื่องแรก เล่าขานกันว่า ชาวบ้านทางภาคเหนือได้รับความเดือดร้อนเพราะมีเสือเข้ามาทำร้ายคนในหมู่บ้าน เป็นที่หวาดกลัวแก่ชาวบ้าน จึงได้ไปขอความคุ้มครองจากทหารหน่วย ตชด. เพื่อเข้ามาดูแลความปลอดภัยภายในหมู่บ้าน ทหารจึงส่งกำลังเข้าไปคุ้มครองและได้ล่าเสือตัวนั้น  ในคืนวันหนึ่ง ตชด. ได้จัดกำลังออกตรวจส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือนอนพักบนศาลาที่จัดไว้ กลางดึกคืนนั้นศาลาที่หน่วย ตชด.พัก ได้สั่นไหวโยกเอนผิดปกติ  เมื่อทหารลุกขึ้นมาดูก็ได้เห็นเสือโคร่งขนาดใหญ่พิงสีตัวอยู่ที่เสาศาลา  ทหารจึงยิงปืนใส่เสือโคร่งใหญ่นั้น ทำให้เสือตัวนั้นบาดเจ็บและหนีหายไปในความมืด พอรุ่งเช้าทหารจึงติดตามแกะรอยเลือดเสือตัวนั้นไป ปรากฏว่ารอยเลือดนั้นไปสิ้นสุดที่หลุมเนินดินแห่งหนึ่ง เมื่อทหารขุดหลุมเปิดเนินดินนั้นก็พบศพผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนในหมู่บ้าน แต่แปลกประหลาดที่ร่างกายท่อนล่างของเขาเป็นเสือลายพาดกลอน จากการสอบถามชาวบ้านบอกว่าสาเหตุที่ตายเพราะผิดผี จึงกลายมาเป็นเสือสมิง



เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร
ผืนป่าที่ยังคงความสมบูรณ์และสามารถพบเห็นเสือโคร่งได้ในปัจจุบัน

อีกเรื่องราวของเสือสมิง เล่ากันว่า พรานป่าคนหนึ่งซึ่งอดีตเป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าตั้งใจว่าจะไปนั่งห้างส่องสัตว์ที่ทุ่งใหญ่นเรศวร ก่อนจะเข้าป่าได้สั่งเมียไว้ว่าจะเข้าป่า 3 วัน ไม่ต้องเข้าไปตาม จากนั้นก็เก็บสัมภาระที่จำเป็นเข้าไปค้างแรมในป่า ในค่ำคืนแรกผ่านไปด้วยดี ได้เห็นสัตว์มากมายออกมาหากินตามโป่งดิน แต่ในคืนที่สองบรรยากาศแปลกไป ฟ้ามืดสนิทและเงียบผิดปกติ พอตกดึกจึงยินเสียงฝีเท้าคนเดินอยู่ด้านล่าง จากนั้นก็ได้ยินเสียงเมียตัวเองเรียก เมื่อมองลงไปจึงเห็นเมียถือตะเกียงเจ้าพายุมาร้องเรียกบอกว่าลูกไม่สบาย ตัวร้อนจัด จึงเข้ามาตามเขากลับบ้านไปดูลูก
      
พรานป่าเมื่อเห็นดังนั้นจึงทำท่าจะลงจากห้างลงไปหา แต่เกิดเอะใจว่าทำไมเมียถึงรู้ว่าเราอยู่ตรงนี้ และทำไมถึงกล้าหาญมาในป่าลึกกลางคืนโดยไม่กลัวสิงสาราสัตว์ นอกจากนั้นเวลาพูดก็จะไม่ยอมสบตาตรงๆ อีกทั้งหากเดินมาจากบ้านน้ำมันตะเกียงน่าจะหมด แต่ทำไมถึงสว่างอยู่ได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจ หันปากกระบอกปืนส่งให้เมีย และพูดว่า “รับปืนที พี่จะลงไปแล้ว” พอเมียยื่นมือจะรับปืนเขาก็ลั่นไกยิงทันที จากนั้นก็ได้ยินเสียงเสือคำรามและวิ่งหายไปในแนวป่าลึก
      
รุ่งเช้าพรานป่าจึงตัดสินใจกลับบ้าน และได้เดินเข้าไปสำรวจแนวป่าลึกที่ได้ยินเสียงเสือวิ่งหนีไปเมื่อคืนนี้ จึงได้เห็นเสือลายพาดกลอนขนาดใหญ่นอนตายอยู่ และเมื่อกลับไปถึงบ้านก็เห็นเมียเลี้ยงลูกอยู่อย่างปกติ นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องเหลือเชื่อของเสือสมิง

ส่วนเรื่องของชาวกะเหรี่ยง เล่ากันว่า เสือสมิงตามความเชื่อของชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่าเป็นเจ้าป่าเจ้าเขาหรือพระภูมิเจ้าที่ที่ดูแลรักษาปกป้องป่า จึงมีความเชื่อและข้อปฏิบัติว่า ห้ามล่าสัตว์หรือตั้งห้างบริเวณที่เป็นโป่ง ซึ่งเป็นแหล่งที่เป็นที่ชุมนุมของสัตว์ป่า และเสือสมิงมักจะแปลงตัวเป็นผู้หญิง โดยเฉพาะเป็นเมียเข้ามาตามถึงในป่าบอกว่าลูกป่วยให้กลับบ้าน เป็นต้น เมื่อคนไม่ยอมหลงกลไม่ลงไปหา ก็จะกลับมาใหม่พร้อมด้วยคนอีกสี่คนหามคานใส่ศพของลูกหรือเมียมาก็มี มีบางคนที่ยิงปืนใส่ เช้ามาเมื่อลงจากห้างพบว่ามีรอยเท้าเสือขนาดใหญ่เพ่นพ่านอยู่บริเวณนั้น และเชื่อว่าคนสี่คนที่เห็นว่าหามคานมานั้นคือขาทั้งสี่ข้างของเสือนั่นเอง
      
ยังมีอีกหลายเรื่องเล่าเกี่ยวกับเสือสมิงที่ฟังได้ไม่รู้เบื่อ แต่ใน พ.ศ. นี้ ที่แม้แต่เสือตัวเป็นๆ ในป่าก็ยังหายากเรื่องราวของเสือสมิงก็ดูจะเลือนหายไป แต่เรื่องที่มักเป็นหัวข้อที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงในหมู่นักอนุรักษ์ก็คือเรื่องสถานการณ์ของเสือในประเทศไทย เพราะเสือโคร่งนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของผืนป่า ดังคำกล่าวที่ว่า “เสือพีเพราะป่าปก ป่ารกเพราะเสือยัง” การมีเสือโคร่งจำนวนมากแสดงให้เห็นถึงป่าอันอุดมสมบูรณ์ โดยในปี 2555 ทางกรมอุทยานแห่งชาติให้ข้อมูลว่า คาดว่ามีจำนวนเสือโคร่งในธรรมชาติของเมืองไทยประมาณ 200-250 ตัว
      
สำหรับผืนป่าที่มีเสือโคร่งอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากนั้นก็คือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้ง ผืนป่ามรดกโลกของไทย ที่ครอบคลุมพื้นที่เขต จ.อุทัยธานี จ.ตาก และ จ.กาญจนบุรี นับเป็นป่าอนุรักษ์ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยจากการสำรวจของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งในช่วงปี 2555 ได้พบเสือโคร่งตัวเต็มวัยกว่า 70 ตัว ในจำนวนนี้เป็นเสือแม่ลูกอ่อนที่มีลูกเล็กๆ 5-6 ตัว และแต่ละตัวจะมีลูก 2-4 ตัว จึงคาดว่าป่าห้วยขาแข้งน่าจะมีเสือโคร่งอยู่ราว 85-90 ตัว เป็นอย่างน้อย
      
และนอกจากนั้นยังเป็นที่น่ายินดีว่า การสำรวจพื้นที่ป่าโดยรอบห้วยขาแข้ง คือบริเวณอุทยานแห่งชาติแม่วงก์และอุทยานแห่งชาติคลองลาน ซึ่งไม่มีรายงานการพบเสือโคร่งมานานแล้วนั้น พบว่าในปีที่ผ่านมาที่อุทยานแห่งชาติทั้งสองแห่งสามารถถ่ายรูปเสือโคร่งตัวเต็มวัยได้มากถึง 10 ตัว
      
แต่เนื่องจากเสือนั้นเป็นสัตว์ที่มีอาณาเขตในการหากินค่อนข้างกว้าง และจะไม่หากินทับพื้นที่ซึ่งกันและกัน ดังนั้นหากพื้นที่ป่าเหลือน้อยและไม่มีสัตว์ซึ่งเป็นเหยื่อให้หากิน ดังที่เป็นประเด็นถกเถียงกันในเรื่องการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ซึ่งนักอนุรักษ์หลายๆ คนเชื่อว่าจะกระทบต่อระบบนิเวศของผืนป่ามรดกโลกและป่าบริเวณใกล้เคียงกัน ยังไม่พูดถึงเสือที่ถูกมนุษย์ลักลอบล่าตามใบสั่ง สาเหตุเหล่านี้ล้วนทำให้เสือในเมืองไทยลดจำนวนลง กลายเป็นสัตว์หายาก และเสือสมิงก็คงจะหายากยิ่งกว่า อาจพบได้เพียงในละครบางช่องเท่านั้นเอง


ที่มา : www.manager.co.th
2282  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / ทำเนียบขาว White House กับ ระบบการรักษาความปลอดภัยให้ผู้นำชาติมหาอำนาจโลก เมื่อ: 03 กันยายน 2556 05:44:37
.

โครงสร้างรถที่หนาพิเศษเพื่อความปลอดภัยของท่านประธานาธิบดี

ทำเนียบขาว และรถสุดเจ๋งของผู้นำสหรัฐฯ

เมื่อพูดถึง “ไวท์ เฮ้าส์ (White House)” หรือเรียกเป็นไทยว่า “ทำเนียบขาว” เป็นที่รู้กันดีว่าหมายถึง ที่ทำงานและที่พักอย่างเป็นทางการของผู้ทรงอำนาจที่สุดของโลกในยุคนี้ ซึ่งก็คือ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นั่นเอง และเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งดุลอำนาจที่ขับเคลื่อนสหรัฐอเมริกา นอกเหนือจากสภาคองเกรสและศาลสูง

ทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน  จะพาไปรู้จักกับสถานที่สำคัญระดับโลกแห่งนี้แบบเจาะลึกกันครับ


ไวท์ เฮ้าส์ ตั้งอยู่เลขที่ 1600 ถนนเพนซิลเวเนีย อเวนิว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ เจมส์ โฮบัน ในรูปแบบนีโอคลาสสิค ใช้เวลาก่อสร้างตั้งแต่ปี 1792-1800 และการสร้างเพิ่มเติมอาคารใหม่ยังเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ในสมัยของประธานาธิบดีหลายคน กว่าที่จะเป็นอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ ซึ่งประกอบไปด้วยหลายอาคาร ได้แก่ อาคารหลัก เรียกว่า Executive Residence ซึ่งเป็นอาคารที่เรามักจะเห็นกันในข่าวหรือภาพยนตร์อยู่เสมอ เป็นอาคารสีขาวตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง มี 4 ชั้นรวมชั้นใต้ดิน ส่วนใหญ่เป็นห้องรับรองต่างๆ และที่พักของครอบครัวประธานาธิบดี, อาคารเวสต์วิง (West Wing) ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของอาคารหลัก, อาคารอีสต์วิง (East Wing) ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของอาคารหลัก

อาคารเวสต์วิง มี 3 ชั้น อาคารนี้ถือเป็น หัวใจของทำเนียบขาวก็ว่าได้ เพราะเป็นที่ตั้ง ของห้องทำงานรูปไข่ สำหรับประธานาธิบดี รู้จักกันดีในชื่อว่า Oval Office, ห้องรูสเวลต์ (Roosevelt Room) ซึ่งเป็นทั้งห้องทำงานและห้องประชุม ประธานาธิบดีจะใช้ห้องนี้ทำงานสลับกับห้องทำงานรูปไข่ และห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ทั้งสามห้องนี้จะอยู่ใกล้ๆกัน ห้องติดตามสถานการณ์ (White House Situation Room) อยู่ชั้นล่างสุด สร้างขึ้นอย่างมั่นคงแข็งแรง ติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นและเครื่องมือสื่อสารทันสมัยทุกชนิด แบ่งเป็นห้องย่อยหลายห้อง เป็นศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานด้านความมั่นคงต่างๆ ประธานาธิบดีสามารถติดต่อกับกองทัพสหรัฐฯ ทุกแห่งบนโลกได้จากห้องนี้

อาคารอีสต์วิง เป็นอาคาร 2 ชั้น ส่วนใหญ่เป็นห้องทำงาน ทั้งห้อง ทำงานของสตรีหมายเลข 1 บนชั้น 2  และเจ้าหน้าที่ต่างๆที่ช่วยงานของท่าน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับงานประชาสัมพันธ์และงานสังคมอื่นๆ อาคารนี้จะเป็นทางเข้าออกสำหรับคนทั่วไปที่ไปเยี่ยมชมไวท์ เฮ้าส์

สิ่งก่อสร้างทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้น ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณประมาณ 130 ไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่ทั้งทางทิศเหนือและทิศใต้ของไวท์ เฮ้าส์ จะเป็นสนามหญ้าและสวนดอกไม้ ซึ่งดูแลโดยกรมอุทยานแห่งชาติ

นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ 9/11 เป็นต้นมา ทางไวท์ เฮ้าส์ได้ปิดไม่ให้ประชาชนเข้าชม แต่จะเปิดให้ในกรณีที่ได้รับการติดต่ออย่างเป็นทางการจากสถานทูตของชาติต่างๆ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. หรือจากสมาชิกสภาคองเกรสซึ่งต้องได้รับการตรวจประวัติแล้วเท่านั้น



ทำเนียบขาวเมื่อมองจากเบื้องบน
การรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ทำเนียบขาวและตัวประธานาธิบดีรวมทั้งคนในครอบครัวนั้น หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบคือ เจ้าหน้าที่จาก USSS (United States Secret Service) ซึ่งไม่มีเครื่องแบบ โดยจะสวมสูทสีเข้มกันเป็นประจำ

นับตั้งแต่ปี 1913 เป็นต้นมา มีคนพยายามบุกเข้าไปในไวท์ เฮ้าส์ หลายสิบครั้ง ซึ่งหลายคนก็ ประสบความสำเร็จ อย่างเช่นเมื่อปี 2009 สองสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามารถเดินเข้าไปในงานเลี้ยงรับรองนายกรัฐมนตรีของอินเดีย ทั้งที่ไม่อยู่ในรายชื่อของแขกรับเชิญ เพียงแต่การแต่งตัวที่ดูดีทำให้น่าเชื่อถือ โชคดีที่ทั้งสองไม่ได้มีเจตนาร้ายเพราะสามารถเข้าไปจนถึงตัวประธานาธิบดีโอบามา แถมยังได้จับมือกับท่านด้วย แต่ก็มี 2 ครั้งที่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะผู้บุกรุกสามารถใช้เครื่องบินบินเข้าไปจอดในพื้นที่ทำเนียบได้สำเร็จ

ปี 1974 ทหารนักบินคนหนึ่งขโมยเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพ แล้วบินลงไปจอดในพื้นที่ของไวท์ เฮ้าส์โดยไม่ได้รับการต่อต้านจากเจ้าหน้าที่ รักษาความปลอดภัยของทำเนียบ เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น แต่ภายหลังนักบินก็ถูกจับตัวไป หลังจากนั้นอีก 20 ปี เวลาประมาณ ตีสอง วันที่ 13 กันยายน 1994 มีชายอีกคนหนึ่งขโมยเครื่องบินเล็กแบบสองที่นั่ง บินไปตกกระแทกพื้น นักบินเสียชีวิตคาที่ในสนามทางทิศใต้ของทำเนียบ ทำให้เห็นถึงระบบการป้องกันเหตุร้ายของไวท์ เฮ้าส์ที่มีช่องโหว่

ปัจจุบันนี้ ระบบรักษาความปลอดภัยของทำเนียบขาวเท่าที่มีการเปิดเผยได้แก่ ห้ามอากาศยานทุกชนิดบินเหนือพื้นที่โดยรอบ มีเซนเซอร์ตรวจจับการบุกรุกจากทางใต้ดิน มีเซนเซอร์แบบอินฟราเรดตรวจพื้นที่โดยรอบ ติดเครื่องตรวจกัมมันตภาพรังสี หน้าต่างเป็นกระจกกันกระสุนทั้งหมด เครื่องกรองอากาศที่ป้องกันการปนเปื้อนของอากาศในอาคาร เรดาร์ติดตั้งบนอาคารเพื่อตรวจเครื่องบินที่บินเข้าไปในพื้นที่ห้ามบิน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพกอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติประจำตัวแทบทุกคน ห้องรักษาพยาบาลฉุกเฉินสำหรับประธานาธิบดีบริเวณชั้นใต้ดินตึกอีสต์วิง เป็นห้องที่สร้างไว้แข็งแรงมาก สามารถทนแรงระเบิดได้ทุกชนิด ยกเว้น ระเบิดนิวเคลียร์ที่ตกลงไปที่นั่นโดยตรง นอกจากนั้นยังเชื่อกันว่ามีจรวดต่อต้านอากาศยานติดตั้งไว้ที่นั่นด้วย



ภาพร่างทำเนียบขาวของเจมส์ โฮบัน

และในกรณีที่เกิดสถานการณ์คับขัน หากประธานาธิบดีต้องออกจากทำเนียบขาวโดยทางรถยนต์ รถลีมูซีนประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันนี้ นอกจากจะสวยสง่าแล้วยังมีไม่ธรรมดาด้วยครับ

“The Beast” หรือ “Cadillac One” คือชื่อเฉพาะที่ใช้เรียกรถประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นรถลีมูซีนสีดำ ผลิตโดยบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส และติดตรา “คาดิลแล็ค” เข้าประจำการตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2009 เป็นรถดัดแปลงที่ใช้คัสซีของรถบรรทุกของ เช็ฟโรเลต รุ่น Kodiak โครงสร้างหลักของรถจึงแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย ภายในมี 7 ที่นั่ง มีกระจกกั้นระหว่างส่วนคนขับและด้านหลัง ที่นั่งตอนกลางซึ่งหันหน้าไปทางท้ายรถสามารถนั่งได้ 3 คน แถวสุดท้ายมี 2 ที่นั่ง

สำหรับประธานาธิบดีและแขกของท่าน ระหว่างที่นั่งทั้งสองมีคอนโซลกั้น ภายในคอนโซลนี้มีเครื่องมือสื่อสารที่เชื่อมต่อไปยังศูนย์ควบคุมการสื่อสารของไวท์ เฮ้าส์




Cadillac One รถประจำตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

สิ่งที่ทำให้รถคันนี้เป็นรถนั่งที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ได้แก่ อุปกรณ์ Night Vision ช่วยให้คนขับสามารถขับรถไปในความมืดได้  ที่เปิดประตู รถแบบพิเศษ ยางขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับยางรถบัส ซึ่งบริษัทกู๊ดเยียร์ผลิตเป็นพิเศษ โดยใช้เส้นใยเคฟล่าที่ยืดหยุ่นแต่ทนทานทอเป็นโครงสร้าง เมื่อทับตะปูหรือตะปูเรือใบ ยังสามารถวิ่งต่อได้อีกหลายสิบกิโลเมตร ภายในรถมีถังอ็อกซิเจนและเลือดกรุ๊ปเดียวกับของประธานาธิบดี ตัวถังรถออกแบบมาให้ป้องกันการรั่วซึมในกรณีที่ถูกโจมตีโดยอาวุธเคมี ถังน้ำมันที่ท้ายรถยังหุ้มด้วยโฟมชนิดพิเศษ เป็นฉนวนป้องกันการระเบิดหรือลุกไหม้ รถคันนี้ใช้เครื่องยนต์ Duramax turbo-diesel V8 ขนาด 6600 cc ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลก็เพราะน้ำมันหาได้ง่ายกว่าและปลอดภัยมากกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่น

ประตูรถแต่ละบานหุ้มเกราะหนาถึง 8 นิ้ว ทำให้แต่ละบานหนักพอๆกับประตูของเครื่องบินโบอิ้ง 757 ใต้ท้องรถก็เสริมแผ่นเหล็กหนา 5 นิ้ว เพื่อกันแรงระเบิดจากผิวถนน หน้าต่างทุกบานเป็นกระจกกันกระสุนหลายชั้น ที่หนารวมกันถึง 5 นิ้ว โดยเฉพาะแผ่นกระจกหน้าคนขับนั้นกันกระสุนเจาะเกราะได้ ทั้งหมดนั้นทำให้รถคันนี้หนักถึง 7.5 ตัน! ซึ่งน้ำหนักน้องๆรถสิบล้อนี่เอง มันจึงทำความเร็วได้เต็มที่ ไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่อัตราการออกตัวใช้ได้ คือ 0-100 ใช้เวลาเพียง 15 วินาที

รถที่น่าจะเป็นรถถังคันนี้ ใช้พนักงานขับรถเป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับการฝึกมาอย่างดี หากเกิดความจำเป็น คนขับสามารถเลี้ยวรถกลับ 180 องศาได้ในเสี้ยววินาที



The Beast ถูกสร้างให้ทนทานกับเหตุร้ายทุกรูปแบบ (ภาพจาก White House Down)

แต่ล่าสุดเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีข่าวว่าทางทำเนียบขาวและหน่วยงานรักษาความปลอดภัยให้ประธานาธิบดี เริ่มมองหารถประจำตำแหน่งรุ่นใหม่ เนื่องจากคันนี้ใช้มาตั้งแต่ปี 2009 แล้ว

อ่านแล้วอยากรู้จัก ไวท์ เฮ้าส์ ให้มากขึ้น หรืออยากเห็นประสิทธิภาพเจ้า The Beast เร็วๆ นี้ก็มีภาพยนตร์แอ็กชั่นสุดมันเรื่อง White House Down กับฉากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นกับชายหนุ่มผู้พลาดหวังจากการเป็นหน่วยอารักขาประธานาธิบดี แต่เขาไม่อยากทำให้ลูกสาวผิดหวังไปด้วย จึงพาลูกไปเที่ยวชมรอบทำเนียบขาว แต่ทว่า ทำเนียบขาวกลับโดนบุกยึดโดยกองกำลังทหารที่หมายจะสังหารประธานาธิบดี! ทำให้เขาต้องเสี่ยงตายปกป้องทั้งประธานาธิบดีและชีวิตลูกสาวตัวเอง นับเป็นภารกิจอันใหญ่หลวงเกินคาดคิด ที่จะทำให้ผู้ชมได้เห็นถึงระบบรักษาความปลอดภัยของชาติมหาอำนาจได้เป็นอย่างดีครับ.


โดย...ลุงดำ
ทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน

2283  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ / Re: ของขลังจากสัตว์และธรรมชาติ มีฤทธิ์ในตัวเองโดยไม่ต้องปลุกเสก เมื่อ: 31 สิงหาคม 2556 05:20:45
.

ตามล่า 'เหล็กไหล' ยอดของขลัง


พิสูจน์ตำนานลี้ลับสุดยอดเครื่องรางของขลังอย่าง “เหล็กไหล”
ณ เขาอึมครึม อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี โดยมีผู้นำทาง
ฝีมือเก๋าระดับวาทสิทธ์ เผ่าพันธุ์แปลก หรือ “ลุงมี”
กลุ่มเจียระไนแร่ธาตุเขาอึมครึม พรานป่าใช้ชีวิตเก็บแร่
ที่เขาแห่งนี้มานานกว่า 40 ปี...



ขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดเครื่องรางของขลัง ว่ากันว่า “เหล็กไหล” เป็นโลหะธาตุ
ที่มีตำนานลี้ลับพิสดาร จัดอยู่ในธาตุกายสิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ
ทรงพลานุภาพในการปกป้องคุ้มภัย แคล้วคลาดคงกะพันหนังเหนียว
เมตตามหาอุตม์ พิธีกร หนุ่ม-คงกะพัน แสงสุริยะ จึงอาสาเดินทาง
ไป ณ เขาอึมครึม  อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี เพื่อออกตามหา
“เหล็กไหล” โดยมีผู้นำทางฝีมือเก๋าระดับ วาทสิทธ์ เผ่าพันธุ์แปลก
หรือ “ลุงมี” กลุ่มเจียระไนแร่ธาตุเขาอึมครึม อดีตสุดยอดพรานป่า
 ใช้ชีวิตเก็บแร่ที่เขาแห่งนี้มานานกว่า 40 ปี


ลุงมี เล่าว่า “แร่ที่ดีที่สุดจะหาได้ที่เขาอึมครึมเท่านั้น
เพราะแถวนี้มีลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขายาว อากาศเย็น
และมีหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี เลยเป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุชั้นยอด
ส่วนใครที่มีเหล็กไหลไว้ครอบครอง เชื่อกันว่าจะรอดพ้น
จากอุบัติภัยอันตรายต่างๆ รวมไปถึงอาวุธร้ายแรงนานาชนิด
ตัวลุงเองก็เคยผ่านเหตุการณ์เกือบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้ว
แต่ก็รอดมาได้อย่างน่าอัศจรรย์”


จาก - .thairath.co.th
2284  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ / ไสยเวทย์ในอดีต เมื่อ: 30 สิงหาคม 2556 14:29:25
.

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/10/23/121091/hr1667/630.jpg

     ซีโนเต้

ในอดีตกาลนั้น แต่ละชาติศาสนาจะมีพิธีกรรมต่างๆแตกต่างกันไป ซึ่งบางครั้งร่องรอยที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน ได้สร้างความพิศวงให้แก่ผู้ที่สนใจในโบราณคดีต้องขบคิด เพราะพิธีกรรมอันน่าจะประกอบด้วยการใช้ ไสยเวทลี้ลับนั้นเป็นไปได้หรือไม่ จึงได้ค้นคว้าเบื้องหลังและนำมารายงานวิจารณ์กัน ดังจะเล่าในหนนี้ครับ

เรื่องแรกได้แก่ หนทางไปสู่ดินแดนใต้พิภพ หลังมรณกรรมของชนชาวมายา (Maya) แห่งทวีปอเมริกากลาง เมืองสำคัญได้แก่ ชิเชน อิทซา (Chichen Itza) ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง

วิหารของชนมายานั้นสูงเสียดฟ้าดุจสื่อสารให้ใกล้ชิดกับสุริยเทพและดวงดาราเบื้องบน แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็มีอีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งสื่อสารกับเทพแห่งความตายผู้สถิตอยู่ใต้พิภพ

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/10/23/121091/o5/420.jpg

     เดินทางตัดป่าไปยังซีโนเต้

นับเป็นโชคดีของผู้สนใจในเรื่องชนชาตินี้ เพราะชาวมายาได้จารึกวิถีชีวิตและเหตุการณ์ต่างๆของพวกเขาไว้ทั้งในรูปแบบอักขระและจิตรกรรมประติมากรรม รวมทั้งเป็นคัมภีร์ที่ทำขึ้นในศตวรรษที่ 16 ในชื่อ "โปปอล วูห์ (Popol Vuh)"คัมภีร์นี้กล่าวถึงอาณาจักรบาดาล "ซิบาลบา (Xibal ba)" ที่ซึ่งวิญญาณทุกดวงปรารถนาที่จะไปอยู่อย่างสุขสำราญ หากเป็นเรื่องไม่ง่ายในการไปถึงยังดินแดนแห่งนี้

วิถีทางเดียวในการลงไปสู่ใต้พิภพก็โดยการผ่านแอ่งน้ำ หรือ "ซีโนเต้ (cenote)" อันเป็นหลุมธรรมชาติ ซึ่งเมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไปนับพันปีก็มีน้ำฝนใสสะอาดขังอยู่เต็ม และเป็นแหล่งน้ำใช้อันสำคัญยิ่งของชาวมายา กระทั่งว่าพวกเขาได้ตัดถนน (sacbe) จากเมืองผ่านป่าดงดิบไปสู่แอ่งน้ำซีโนเต้ เชื่อกันว่าในเทศกาลศาสนาได้มีการบูชายัญถวายเทพเจ้า จากหลักฐานโครงกระดูกทั้งของเด็กและสตรีที่ถูกโยนลง แอ่งน้ำทั้งเป็น


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/10/23/121091/o4/420.jpg

   โปปอล วูห์

คณะนักโบราณคดีได้เคยลงไปสำรวจใต้แอ่งน้ำ ศักดิ์สิทธิ์ และก็พบว่าได้มีการทำช่องทางเดินปูด้วยหินที่ชาวมายาสกัดและขนมาจากภูเขา  เชื่อกันว่า ช่องทางซึ่งยาวนับร้อยเมตรนี้ได้นำไปสู่แท่นบูชาสำหรับสักการะ ชาแอก (Chaac) เทพเจ้าแห่งวสันต์

คัมภีร์โปปอล วูห์ กล่าวถึงห้องโถงอันร้อนรุ่มด้วยเพลิงนรก  ซึ่งก็น่าแปลกที่เมื่อทีมสำรวจสัมผัสได้ ว่าภายใต้แอ่งน้ำลึกและมืดนั้น มีอุณหภูมิสูงถึงกว่า 100 องศาฟาเรนไฮต์


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/10/23/121091/o6/420.jpg

   กางเขนแห่งพระมหากรุณา

นอกจากนี้ คัมภีร์ยังระบุว่า มีห้องโถงแห่งค้างคาว ด้วย ซึ่งนักสำรวจก็พบถ้ำซึ่งมีค้างคาวบินว่อนอยู่นับพันๆ ตัว  และเมื่อทีมสำรวจดำลึกลงไปอีกก็ได้พบห้องหรือโพรงถ้ำอีกหลายแห่ง บางถ้ำมีโพรงอากาศอัดอยู่ ทำให้นักดำน้ำสามารถถอดหน้ากากหายใจออกได้ บางห้องมีการประดับประดาด้วย หินสตาแล็กไตต์ (stalactite)  และ สตาแล็กไมท์ (stalacmite) ซึ่ง หินทั้ง 2 ชนิดนี้จะเกิดมีขึ้นได้ในที่มีอากาศเท่านั้น จึงเป็นหลักฐานว่าแต่เดิมนั้น ช่องทางเดินเหล่านี้ปราศจากน้ำขัง ครั้นกาลต่อมา ระดับน้ำใต้ดิน (water table)  เอ่อสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดก็ท่วมทุกสิ่งทุกอย่างจมมิด

ภายใต้แอ่งน้ำอันมืดมิด เมื่อสิ้นสุดช่องทางแซคเบ ก็จะเป็นถ้ำที่มีแนวไปทางทิศตะวันตกไม่สิ้นสุด เป็นทิศทางที่ชาวมายาเชื่อว่าไปสู่ดินแดนแห่งยมโลกซิบาลบานั่นเอง



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/10/23/121091/o7/420.jpg

นักบวชสื่อสารกับวิญญาณ

ความลี้ลับของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สองได้แก่ ปรากฏการณ์มีชีวิตแห่งรูปสลักจีซัส ไครสท์ บนไม้ กางเขนในโบสถ์แห่งบ็อกซลีย์ (Boxley Abbey) ซึ่งอยู่ห่างกรุงลอนดอนไปทางตะวันออก 30 ไมล์ จนเป็นที่เลื่องลือ และได้รับการขนานนามว่า "the Holy Cross of Grace" หรือ "the Rood of Grace" (กางเขนแห่งพระมหากรุณา)  โดยรูปแกะสลักไม้ขนาดเท่า คนจริงนี้ สามารถขยับเขยื้อน  เลิกคิ้วได้ สรวลได้ ขยับแขนขาได้ ทั้งนี้... นักบวชประจำอาราม แห่งนี้ ได้บอกเล่ายืนยัน และเมื่อผู้คนทั่วสารทิศหลั่งไหลมาชมก็ประจักษ์จริงในคำเล่าขานดังกล่าว

รูปสลักตรึงกางเขนนี้ตั้งอยู่ด้านหน้าฉากกลางโบสถ์ ซึ่งเรียกว่า "ฉากกางเขน (rood screen)" ด้านหลังฉากถือเป็นที่บูชาศักดิ์สิทธิ์ ที่ซึ่งขนมปังและไวน์ จะแปรสภาพเป็นเนื้อหนัง และโลหิตขององค์พระไครสท์  บรรดาศาสนิกชนได้มาสวดอ้อนวอนขอพระเจ้าดลบันดาลให้ทุกข์โศกของพวกเขาได้ บรรเทาลง และเมื่อพระองค์ทรงได้รับทรัพย์สินสักการะบูชาแล้ว ก็จะรับรู้ด้วยการลืมพระเนตรและขยับพระโอษฐ์

อะไรทำให้รูปสลักนี้เคลื่อนไหวได้?  เป็นเพราะอภินิหารจริงๆ หรือมีกลไกอะไรแอบแฝง?

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/10/23/121091/o8/420.jpg

   เฮนรี่ที่ 8

โดยที่เหตุปาฏิหาริย์นี้เกิดขึ้นในยุคศตวรรษที่ 16 ซึ่งผู้คนมีความเคร่งในศาสนาสูงสุด ยอมแม้กระทั่งสละชีวิตเพื่อบูชาแก่ความเลื่อมใสศรัทธา  และก็เป็นช่วงขณะเดียวกันกับที่กษัตริย์อังกฤษผู้อื้อฉาว เฮนรี่ย์ที่ 8 (Henry VIII) ทรงครองราชย์

เฮนรี่ย์ที่ 8 นั้น มีพระประสงค์ที่จะโค่นล้มอำนาจ ขององค์สันตะปาปาแห่งกรุงโรม-ผู้ซึ่งขัดขวางมิให้เฮนรี่ย์ทรงหย่าขาดกับมเหสีองค์แรก-แคทเธอรีน แห่งอารากอน (Catherine of Aragon) ดังนั้น พระองค์จึงต้องหาหนทางลบล้างศรัทธาที่ราษฎรอังกฤษ มีต่อนิกายโรมันคาทอลิก อันมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม ด้วยการทำลายโบสถ์วิหารคาทอลิกทุกแห่งในอังกฤษ

ปี 1538 สายลับของกษัตริย์เฮนรี่ย์ก็ได้นำข่าวสำคัญมาให้พระองค์เผยแพร่ป่าวประกาศ นั่นคือหลังทำลายโบสถ์แห่งบ็อกซลีย์ก็ได้พบเครื่องกลไก ซึ่งทำขึ้นเพื่อหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อในการคืนชีพขององค์พระไครสท์ โดยบุรุษนามว่า เจฟเฟอรีย์ แชมเบอร์ (Jeffery Chamber) กล่าวว่า  "เมื่อทุบโบสถ์แห่งบ็อกซลีย์และรื้อถอนรูปสลักตรึงกางเขน ก็พบเครื่องกลไกและเส้นลวดเก่าๆ รวมทั้งก้านไม้อยู่ทางด้านหลังของรูปสลัก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้รูปสลักสามารถเคลื่อนไหว ลืมตาผงกหัวได้..."

การพบของแชมเบอร์เป็นการสันนิษฐานว่า ช่างไม้สมัยนั้นได้ประดิษฐ์ อุปกรณ์เหล่านี้ และนักบวชในโบสถ์เป็นผู้ ดำเนินการให้เกิดสิ่งอัศจรรย์แก่ศาสนาขึ้น ดังนั้น เฮนรี่ย์ที่ 8 จึงทรงได้โอกาสนำเอาซากศักดิ์สิทธิ์นี้มาแห่แหนป่าวประกาศทั่วกรุงลอนดอน ถึงการโกหกหลอกลวงของนักบวชคาทอลิกภายใต้บังคับ บัญชาขององค์สันตะปาปาแห่งกรุงโรม และเมื่อชาวอังกฤษเสื่อมศรัทธาลงแล้ว การก่อตั้งนิกายใหม่ "Church of England"  ของพระองค์จึงประสบผลสำเร็จ หากทว่าเบื้องหลังข้อเท็จจริงเหล่านั้นเป็นฉันใดก็ยากที่จะรู้ได้  เพราะหลักฐานสำคัญต่างๆ ก็ไม่เหลือพอที่จะ ศึกษาค้นคว้าแล้ว

เรื่องสุดท้ายคือ เบื้องหลังการสื่อสารกับดวงวิญญาณในวิหารเทพีเพอร์ซีโฟน (Persephone) มเหสีของ เฮเดส (Hades) เทพพญายม ณ ตอนเหนือของประเทศกรีซ

ทั้งนี้ ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ได้มีการขุดค้นพบอุปกรณ์ประหลาด เป็นโลหะลักษณะคล้ายเครื่องยิงกระสุน (catapult) หลายเครื่องใกล้กับวิหารเพอร์ซีโฟน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ชาวกรีกนิยมมากระทำพิธีพบดวงวิญญาณของญาติที่ล่วงลับ ภายใต้ การดำเนินการของนักบวชประจำวิหาร  พวกเขาจะได้พูดคุยและไถ่ถามสิ่งที่อยากรู้กับดวงวิญญาณ เรื่องนี้ มีบันทึกไว้เมื่อ 500 ปีก่อน ค.ศ. โดย ฮีโรโดตุส (Herodotus) นักประวัติศาสตร์กรีกคนสำคัญ เขาเรียกการสนทนากับคนตายว่า "nekromanteion (อังกฤษ ใช้ว่า necromancy)"



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/10/23/121091/o10/420.jpg

   เครื่องยิงหิน

ทั้งนี้ ผู้ประสงค์จะสนทนากับดวงวิญญาณจะต้องผ่านกรรมวิธีอดอาหารราว 29 วัน ทำกายให้บริสุทธิ์ แล้วเดินเข้าสู่วิหารตามเส้นทางแคบๆ และลดเลี้ยวจนถึงสถานที่ประกอบพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ เขาจะได้รับสมุนไพรบางอย่างมากินและเกิดความเคลิบเคลิ้มกระทั่งขั้นสุดท้ายก็ได้แลเห็นร่างของญาติที่ตายไปแล้วลอยมาปรากฏให้เห็น

และนี่เองที่เป็นความลับของอุปกรณ์คล้ายเครื่องยิงกระสุนดังกล่าว นั่นคือเมื่อผู้มีศรัทธาผ่านกระบวนการอันทำให้เคลิบเคลิ้มแล้ว  ทางนักบวชก็จะอาศัยอุปกรณ์นี้ อันประกอบด้วยเฟืองและรอก ชักตัวสมุนผู้ร่วมงานให้ลอยขึ้นลงได้ ท่ามกลางความสลัวและควันธูป...ดั่งวิญญาณมาปรากฏ

ก็นับเป็นการหากินอันแยบยล โดยใช้ศาสนาบังหน้าของเหล่านักบวชในอดีต


......ทีมงานต่วย'ตูน'
2285  สุขใจในธรรม / เสียงธรรมเทศนา / อยากเห็นกายทิพย์ โดย หลวงปู่แบน ธนากโร เมื่อ: 27 สิงหาคม 2556 06:26:34
.


http://www.dhammajak.net/board/files/__111_175.jpg

หลวงปู่แบน  ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ ตำบลตองโขบ กิ่งอ.โคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร

<a href="http://www.fungdham.com/download/sound/ban/13.mp3" target="_blank">http://www.fungdham.com/download/sound/ban/13.mp3</a>
อยากเห็นกายทิพย์
2286  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ร้อยภูติ พันวิญญาณ / เรื่องของ "ซาดะ อาเบะ" ตำนานรักต้องฆ่าอันลือลั่นของญี่ปุ่น เมื่อ: 21 สิงหาคม 2556 19:12:23
.



ซาดะ อาเบะ


เรื่องราวของซาดะ อาเบะ (Sada Abe) และคนรักของเธออิชิดะชื่อคิชิโซ อิชิดะ (Kichizo Ishida) อาจไม่ใช่ความรักชายหญิงที่ทำให้คุณรู้สึกอบอุ่นหัวใจหรือซาบซึ้งโรแมนติก หากแต่มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความหลงใหล มัวเมา จนกลายเป็นความวิกลจริตที่เปลี่ยนความรักให้กลายเป็นความสยดสยองจนกลายเป็นตำนานบันลือลั่นของญี่ปุ่นที่ไม่รู้ลืม

ซาดะ อาเบะ เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 1905 ในเขตคันดะ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นบุตรคนที่เจ็ดในแปดของครอบครัวนายชิเงโยชิ (Shigeyoshi) และนางคัทซึ อาเบะ (Katsu Abe) ซึ่งเป็นชนชั้นกลาง

พ่อของอาเบะ เป็นคนซื่อสัตย์และซื่อตรง ส่วนแม่ของเธอได้ให้อิสระแก่อาเบะในฐานะบุตรคนสุดท้องของครอบครัวเต็มที่ด้วยการให้ลูกเรียนในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งอาเบะได้เรียนร้องเพลงและการเล่นดนตรีชะมิเซ็ง (Shamisen) แม้ว่าสมัยก่อนจะมองว่าผู้หญิงที่เรียนวิชาเหล่านี้เพื่อหวังเป็นเกอิซาและโสเภณีมากกว่าจะมองว่าเป็นศิลปะโบราณก็ตาม

เมื่ออาเบะเติบโตเป็นวัยรุ่นอายุ 15 ปี ครอบครัวของอาเบะเริ่มเกิดปัญหามากมาย เมื่อพี่น้องหลายคนของเธอล้มป่วยจนเหลือสี่คน อีกทั้งพี่น้องที่น้องของเธอบางคนมีพฤติกรรมไม่ดีในด้านความเป็นเจ้าชู้และหลอกลวงเงินพ่อแม่ แม้แต่ตัวอาเบะเองก็ถูกคนรู้จักข่มขืนระหว่างไปเที่ยว จนกลายเป็นผู้หญิงรักสนุกและมีนิสัยดื้อด้านไม่เชื่อฟังพ่อแม่

เมื่อพ่อแม่ไม่สามารถทนได้กับพฤติกรรมที่เหลวแหลกของลูกสาวตัวเอง จึงนำเธอไปขายในซ่องเกอิซาในโยโกฮามาในปี 1922  เพื่อเป็นการลงโทษที่เธอมีพฤติกรรมสำส่อน แต่บางคนเชื่อว่าอาเบะเองอยากเป็นเกอิซาเสียเองมากกว่าเพราะว่าเป็นอาชีพที่ได้เงินดีและเชื่อว่าเป็นเส้นทางที่สดใสที่เหมาะกับเธอ

อาเบะเริ่มต้นด้วยการทำหน้าที่เป็นเด็กฝึกงานเกซิอา แต่ชีวิตไม่ด้วยสวยหรูอย่างที่วาดฝันเอาไว้ เธอต้องผจญกับโลกอันโหดร้ายของเกอิซา ต้องเล่าเรียนและฝึกซ้อมอย่างหนัก แต่ผลออกมากลับไปในทิศทางที่ไม่พอใจ ในไม่ช้าเธอก็จบลงด้วยการกลายเป็นเกอิซาเกรดต่ำ ซึ่งหมายความว่าเธอต้องมีบริการทางเพศกับลูกค้า  เธอทำงานแบบนี้ติดต่อกันถึงห้าปี จนเป็นโรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นเหตุทำให้เธอตัดสินใจหันไปเป็นโสเภณีแทน

ต่อมาอาเบะเริ่มทำงานเป็นโสเภณีที่ซ่องโทบิตะ ในโอซาก้า แต่ชีวิตของเธอก็ยังไม่ดีขึ้น ไม่นานเธอก็มีชื่อเสียงว่าเป็นตัวปัญหา เธอขโมยเงินลูกค้าและพยายามออกจากซ่องหลายครั้ง จนในที่สุดเธอก็กลายเป็นโสเภณีที่ไม่มีใบอนุญาต (ซึ่งเสี่ยงอันตรายกว่าโสเภณีปกติ)

หลังจากนั้นชีวิตของอาเบะก็ตกต่ำเรื่อยมา ไม่ว่าเป็นการเสียชีวิตของพ่อแม่ในเวลาไล่เลี่ยงกัน การถูกตำรวจจับเพราะเป็นโสเภณีไม่มีใบอนุญาต มีหนี้สิน เป็นเมียน้อยคนอื่น ถูกผู้ชายทิ้งอย่างไร้เยื่อใย จนต้องเป็นโสเภณีเพื่อแลกกับเงินเล็กน้อย ทั้งหมดเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอาเบะมีความอาภัพเรื่องความรัก ไม่เคยเจอรักแท้ กับชายใดเลย แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความรู้สึกโหยหาความรัก และพยายามดิ้นรนไขว่คว้าเพื่อให้ได้มันมาสักวัน

จนกระทั่งในปี 1935 ระหว่างที่อาเบะทำงานเป็นแม่บ้านในนาโกย่า เธอก็ได้กลายเป็นนางบำเรอของนายโกโร่ โอมิยะ (Goro Omiya) ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่  ซึ่งเขาพยายามสนับสนุนให้เธอเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหาร ในระหว่างที่ถูกส่งไปเรียนรู้ฝึกงานในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เธอก็พบกับเจ้าของร้านชื่อคิชิโซ อิชิดะ (Kichizo Ishida) ทั้งคู่ต่างลุ่มหลงพึงพอใจในอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว  จนกระทั่งเป็นเหตุนำไปสู่จุดจบอันโด่งดัง

อิชิดะนั้นเป็นชายวัยกลางอายุ 42 ปี เป็นเจ้าของร้านที่อาเบะทำงานอยู่ หลายคนรู้จักเขาว่าเป็นคนเจ้าชู้อย่างร้ายกาจแม้ว่าจะมีภรรยาแล้วก็ตาม ที่ร้านอาหารของเขาก็มีลูกจ้างหญิงที่คบชู้กับเขาหลายคน  ดังนั้น จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่เขาจะเข้าไปหาอาเบะ ในวันแรกๆ ที่เธอเข้าทำงาน

สำหรับอาเบะเองก็รู้สึกชอบอิชิดะครั้งแรกพบ เพราะชีวิตที่ผ่านมาของเธอนั้นไม่เคยพบชายที่เซ็กซี่ น่าดึงดูดและหลงใหลแบบนี้มาก่อน ทำให้ทั้งคู่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกันในเวลาต่อมา

หลังจากนั้นเป็นต้นมา หากมีเวลาว่าง หรือมีโอกาสเมื่อไหร่ ทั้งคู่จะเดินควงกันเปิดห้องในโรงแรมม่านรูด  เพื่อร่วมรักกันแบบมาราธอนข้ามวันข้ามคืน  พร้อมกันนั้นทั้งคู่ยังมีการแต่งบทกวีเกี้ยวพาราสีแลกเปลี่ยนกัน บางครั้งก็เรียกพนักงานมาดีดสี ร้องเพลงเกอิซาระหว่างทั้งสองร่วมรักเพื่อให้ดื่มดำกับบรรยากาศโรแมนติกมากที่สุด

ต่อมา การร่วมเพศของทั้งคู่เริ่มพิสดารขึ้น เมื่ออิชิดะพบว่าเขามีความสุขในช่วงจังหวะที่ขาดอากาศหายใจ  ในขณะร่วมรักใกล้สำเร็จความใคร่ อิชิดะจะให้อาเบะใช้สายสะพายโอบิของกิโมโนรัดคอของเขาให้แน่น ก่อนที่จะคลายออก และรัดอีกครั้ง ผ่อนอีกครั้ง ทำแบบนี้สลับไปสลับมาจนถึงจุดสุดยอด  ทั้งสองสนุกกับมัน ตื่นเต้นกับมัน และทำให้การร่วมรักมีสีสันขึ้น

นานวันอาเบะก็ได้พบว่าตนเองหลงรักอิชิดะ แม้เธอจะผ่านมือชายหลายคน แต่ชายคนนี้พิเศษกว่าใคร  เธอรักเขามาก มากจนความรักของเธอได้พัฒนาจนกลายเป็นความลุ่มหลง และความหึงหวง จนเริ่มมีความรู้สึกไม่ต้องการให้เขากลับไปหาภรรยาของเขา และกลัวเขามีผู้หญิงคนอื่นอีก เพราะมันทำให้เธอเหมือนเป็นผู้หญิงไร้ค่าสำหรับเขา

อาเบะรู้สึกโดดเดี่ยวสิ้นหวังมาก หากอิชิดะออกห่างจากตัวของเธอแม้จะเป็นช่วงเวลาเล็กน้อยก็ตาม เธอเริ่มดื่มเหล้าอย่างหนัก เริ่มมีอารมณ์แปรปรวน ถึงขั้นเธอขู่อิชิดะด้วยมีด และพูดว่าหากเขามีผู้หญิงคนอื่นอีก เธอจะฆ่าเขา แต่อิชิดะไม่สนใจคำเตือนมากนักเพราะมองเป็นเรื่องขบขันล้อเล่นมากกว่า

วันที่ 16 พฤษภาคม 1936 ทั้งคู่ได้เช่าห้องในโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งในโอกุ (Ogu) เพื่อร่วมรักแบบมาราธอน

การร่วมรักของทั้งคู่ดูเหมือนปกติเหมือนครั้งก่อน จนกระทั่งถึงคืนที่สอง ทั้งคู่ก็เริ่มใช้วิธีรัดคอในช่วงสำเร็จความใคร่ จนเวลาผ่านไปสองชั่วโมง อิชิดะก็เริ่มทานยากล่อมประสาทกว่า 30 เม็ด เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด จนเริ่มหลับในและเอ่ยประโยคหนึ่งเชิงล้อเล่นว่า "เธอจะเอาเชือก(โอบิ)รัดคอฉันอีกครั้งตอนที่ฉันกำลังหลับใช่ไหม ถ้าเธอจะรัดคอฉันล่ะก็ อย่าหยุดล่ะ เพราะถ้าเธอหยุดล่ะก็ ฉันก็จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดอีก"

หลังจากนั้นก็ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่รู้คืออาเบะได้ฆ่าอิชิดะในขณะนอนหลับด้วยการรัดคอ เพียงแต่ไม่รู้สาเหตุการฆาตกรรมเป็นเจตนาของเธอเองเพราะได้ยินประโยคเชิงล้อเล่นของอิชิดะ  หรือเป็นเพราะจังหวะใช้เชือกรัดนานเกินไปจนทำให้อิชิดะขาดใจตายแบบไม่ได้ตั้งใจ  ซึ่งอาเบะได้บรรยายความรู้สึกหลังจากสังหารอิชิดะในภายหลังว่า “หลังจากที่ฉันได้ฆ่าอิชิดะ ฉันก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างง่ายดาย ราวกับว่าภาระหนักถูกยกออกจากไหล่ของฉัน และฉันก็รู้สึกปลอดโปร่ง”

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง อาเบะยังอยู่กับศพของอิชิดะ ก่อนที่เธอจะหยิบมีดทำครัวตัดอวัยวะเพศของเขา แล้วห่อมันในปกนิตยสาร จากนั้นเธอก็ใช้เลือดเขียน"อาเบะ คิจิ อยู่ด้วยกัน" ที่ต้นขาซ้ายของเขาและบนผ้าปูที่นอน และเธอยังสลักคำว่าอาเบะ (อักษรญี่ปุ่น) ไว้ที่แขนซ้ายของเขาเพื่อแสดงถึงความรักของเราทั้งสอง

ประมาณ 8 โมง อาเบะได้ออกจากโรงแรม และบอกพนักงานว่าไม่ต้องรบกวนแฟนของเธอ ซึ่งกว่าที่จะพบศพของอิชิดะ ก็อีกหลายชั่วโมงต่อมา ซึ่งถึงตอนนั้นเธอก็หนีจากที่เกิดเหตุไปไกลแล้ว

ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ อาเบะยังคงพกอวัยวะเพศของเขาติดตัวในชุดกิโมโนเกือบตลอดเวลา  อีกทั้งเธอยังคงเดินช้อปปิ้ง ดูภาพยนตร์ และพักอยู่ในชินากาวะในโตเกียวอย่างสบายใจ ที่น่าทึ่งคือเธอยังคงยึดติดกับความรักของอิชิดะ รักจนถึงขั้นได้ร่วมรักกับอวัยวะเพศ เอาอวัยวะใส่เข้าไปในปากหรือแม้แต่พยายามสอดใส่ แม้ว่าอวัยวะเพศดังกล่าวจะแห้งเหี่ยวไม่ทำงานแล้วก็ตาม 

จนกระทั่งวันที่ 21 พฤษภาคม ในช่วงเวลาบ่าย เจ้าหน้าที่ตำรวจนักสืบได้เบาะแสของผู้เช่าห้องคนหนึ่งที่น่าจะเป็นชาดะ บุคคลที่พวกเขาตามหา หลังจากที่พวกเขามาห้อง เธออยู่ที่นั้นพอดี และเมื่อเธอเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนักสืบจึงได้พูดว่า “ไม่ต้องเป็นมีพิธีการมากหรอก คุณกำลังหาซาดะ อาเบะ ใช่เปล่าล่ะ ฉันนี้แหละคือเธอ” เมื่อตำรวจไม่เชื่อ เธอจึงแสดงอวัยวะเพศอิชิดะเป็นหลักฐาน

อาเบะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับในข้อหาฆาตกรรม พร้อมทั้งหลักฐานผูกมัดทุกอย่าง เธอยินยอมรับสารภาพโดยดี พร้อมสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ไร้วี่แววสะทกสะท้านหวาดกลัว  เธอพูดด้วยซ้ำว่าเธอวางแผนที่จะฆ่าตัวตายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากเกิดเหตุฆาตกรรม เธอตัดใจจะไปโอซาก้า ไปยังหน้าผาในภูเขาอิโคมะ (Mount Ikoma) เพื่อหวังกระโดดฆ่าตัวตายพร้อมอวัยวะเพศของอิชิดะ  แต่มาถูกจับได้เสียก่อน

เมื่อตำรวจถามอาเบะว่าทำไมถึงฆ่าอิชิดะที่เป็นคนรักของเธอ ท่าทางของเธอเวลานั้นดูตื่นเต้นและดวงตาเป็นประกาย เธอตอบแค่ว่า “ฉันรักเขามาก ฉันอยากได้ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาทั้งหมด แต่เนื่องจากเราไม่ได้เป็นสามีและภรรยากัน ตราบใดที่เขามีชีวิตอยู่ เขาคงจะมีผู้หญิงคนอื่น ถ้าหากฉันฆ่าเขา เขาก็ไม่มีผู้หญิงคนอื่นอีก และฉันก็ครอบครองเขาไว้คนเดียว ดังนั้นฉันจึงฆ่าเขา....”

ส่วนคำถามที่ว่าทำไมอาเบะถึงต้องเฉือนอวัยวะเพศของคิซิโซติดตัวไปด้วย เธอตอบว่า “เพราะหากฉันเอาหัวหรือร่างกายเขาไปมันคงยาก ฉันต้องการเอาชิ้นส่วนที่เป็นส่วนหนึ่งของเขา ที่ฉันจะสามารถรำลึกความหลังระหว่างเขากับฉันได้ดีที่สุด”

ข่าวการจับกุมอาเบะเป็นที่โด่งดังไปทั่วประเทศ ประชาชนรู้สึกทึ่งพฤติกรรมการก่อคดีสะเทือนของเธอ แม้ว่าเวลานั้นญี่ปุ่นกำลังเครียดจากปัญหาทางการเมืองและทางการทหารอย่างรุนแรงจากสงครามในประเทศจีน แต่เรื่องของอาเบะนั้นเป็นคดีอื้อฉาวทางเพศที่มีสีสันและพิสดารที่น่าสนใจมากในเวลานั้น เป็นเหตุทำให้สื่อมวลชนเริ่มขุดคุ้ยหาประวัติของเธอเพื่อเผยแพร่แก่สาธารณะชนที่ต้องการทราบรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นประวัติครอบครัว หน้าที่การงาน ชีวิตส่วนตัวของอาเบะแทบทุกอย่าง

อาเบะไม่ได้ตกเป็นเป้าของสื่อมวลชนอย่างเดียว นายโกโร่ผู้ที่อาเบะให้ความเคารพในฐานะอดีตคนรักก็ถูกตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมอิชิดะหรือไม่ แม้ว่าต่อมาเขาจะได้รับการปล่อยตัว เขาลาออกจากหน้าที่การงานตำแหน่งทางการเมืองและหายหน้าไปจากสังคม ส่วนภรรยาของอิชิดะต้องอับอายขายหน้าเมื่อทราบข่าวสามีของเธอตาย (เธอแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสามีมีชู้) แต่นั่นก็ทำให้ร้านอาหารของอิชิดะโด่งดังไปทั่ว ด้านโรงแรมที่เกิดเหตุได้กลายเป็นที่ดึงดูดลูกค้าที่ส่วนมากเป็นคู่รักมาใช้บริการ  โดยเฉพาะห้องพักที่นายอิชิดะเสียชีวิตได้รับความนิยมเป็นพิเศษ

วันแรกของการพิจาณาคดีของอาเบะ ตรงกับวันที่วันที่ 25 พฤศจิกายน 1936 เธอปรากฏตัวในชั้นศาลในสภาพสวมหมวกรูปกรวยเพื่อปิดใบหน้าของเธอ (ทางศาลอนุญาตเป็นพิเศษ)  ในวันนั้นฝูงชนได้แห่แหน มายังศาลอย่างคับคั่ง 

ที่ชั้นศาลอาเบะได้พูดถึงความรู้สึกความรักของเธอที่มีต่ออิชิดะไว้ว่า “สิ่งที่ฉันเสียใจที่สุดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นคือฉันถูก (สังคม) เข้าใจผิดว่าเป็นคนประเภทโรคจิตหื่นกาม  ไม่เคยมีผู้ชายในชีวิตของฉันคนไหนที่เหมือนกับอิชิดะ  แน่นอนว่าฉันเคยมีผู้ชายที่ฉันชอบ  และมีบางคนที่ฉันหลับนอนด้วยโดยไม่คิดเงิน  แต่ไม่มีใครเลยที่ทำให้ฉันรู้สึกแบบเดียวกับที่ฉันเป็นกับเขา...”

การพิจารณาคดีในชั้นศาลเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะอาเบะยอมรับทุกข้อกล่าวหา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอหวังว่าศาลจะตัดสินโทษประหารแก่เธอ เพื่อที่เธอจะได้อยู่กับอิชิดะ ส่วนทนายของเธอก็ใช้ข้ออ้างลูกความของตนเป็นบ้าเพื่อให้ศาลลดหย่อนโทษ

วันที่ 21 ธันวาคม 1936 ผลการตัดสินของศาลได้สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนในห้องพิจารณาคดี เมื่อศาลได้ตัดสินโทษซาดะ อาเบะเพียงแค่จำคุก 6 ปี ซึ่งผู้พิพากษาสรุปว่าเธอมีอาการทางจิตและการจำคุกระยะเวลาดังกล่าวน่าจะเพียงพอในการฟื้นฟูสภาพจิตใจของให้กับเธอกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง

อาเบะถูกนำตัวไปคุมขังในสถานกักกันคุกหญิง จังหวัดโทะชิงิ ที่นั้นเธอกลายเป็นนักโทษที่มีพฤติกรรมดี ชอบศึกษาพุทธปรัชญา ต่อมาก็ได้รับการการพระราชทานอภัยโทษ  ได้รับการปล่อยตัววันที่ 17 พฤษภาคม 1941 ซึ่งเป็นวันครบรอบห้าปีที่เธอตัดสินใจฆ่าอิชิดะพอดี

หลังอาเบะพ้นโทษ แม้ว่าเธอจะกลับตัวกลับใจ เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่สังคมญี่ปุ่นไม่ได้ลืมเลือนพฤติกรรมการก่ออาชญากรรมสะเทือนขวัญของเธอที่ทำเอาไว้ ตัวตนของอาเบะที่หลายคนรู้จักคือ “โรคจิตเซ็กต์”  เป็นเหตุทำให้ชีวิตบั้นปลายนอกคุกของอาเบะไม่ราบรื่นมากนัก สังคมไม่ให้เปิดโอกาสให้เธอแก้ตัว ทำงานที่ไหนก็ไปไม่รอดถูกไล่ออกหลังจากที่นายจ้างรู้ตัวจริงของเธอ

อาเบะต้องทนความอัปยศมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการนำบทสัมภาษณ์และประวัติชีวิตของเธอมาเขียนเป็นหนังสือทั้งทีเธอไม่อนุญาตจนคนรู้จักไปทั่ว ไปที่ไหนก็มีแต่คนล้อเลียน ไปจนถึงถูกครอบครัวและคนรู้จักตัดขาดไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเธออีก

ในเดือนสิงหาคม 1970 อาเบะได้หายสาบสูญไปจากสังคม หลังจากนั้นข่าวคราวของเธอก็ค่อย ๆ เลือนหายไป บางกระแสกล่าวว่า อาเบะเปลี่ยนชื่อและแต่งงานใหม่ แต่ก็ต้องลงเอยด้วยการหย่าร้างเพราะสามีทราบความจริงว่าเธอคือใคร บ้างก็ว่าเธอฆ่าตัวตาย ในขณะที่บางคนพบเห็นบวชเป็นชีในวัดแห่งหนึ่งในคันไซ แต่เรื่องทั้งหมดก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก

ส่วนอวัยะเพศอิชิดะนั้นต่อมาก็ถูกย้ายไปเก็บรักษาที่มหาวิทยาลัยกรุงโตเกียว ในพิพิธภัณฑ์โรงเรียนเวชศาสตร์ แต่หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง อวัยวะเพศก็หายไปและไม่มีใครพบเห็นมันอีกเลยจนถึงปัจจุบัน

หลายปีผ่านมา สังคมญี่ปุ่นเปิดกว้างมากขึ้น เรื่องของอาเบะไม่ได้ถูกรุมประณามติเตียนในฐานะฆาตกรอีกต่อไป เธอได้รับการชื่นชมประหนึ่งวีรสตรี  ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ลุกขึ้น "ขบถ" ที่ผู้หญิงญี่ปุ่นจำนวนมากปรารถนาจะเจริญรอยตาม เพราะผู้หญิงตกอยู่ภายใต้การครอบงำกดขี่ของวิถีชีวิตที่ "ผู้ชายเป็นใหญ่" มาเนิ่นนานหลายศตวรรษ

เรื่องราวของอาเบะมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและวรรณกรรมของญี่ปุ่น ถูกถ่ายทอดเป็นผลงานมีค่าหลายชิ้นไม่ว่า ภาพวาด, บทกวี, บทกลอน, ภาพยนตร์มากมายที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก ความเร้าอารมณ์ความรู้สึกของผู้หญิง ที่น่าขนลุก ยกตัวอย่าง ภาพยนตร์คลาสสิกอย่าง “อาณาจักรแห่งความรู้สึก”  (The Realm of the Senses) ที่ฉายในปี 1976 กำกับโดยนางิสะ โอชิมา (Nagisa Oshima) ที่สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก ด้วยเนื้อหาเต็มไปด้วยฉากมีเพศสัมพันธ์ที่วิตถาร พิสดารก่อนที่จะจบด้วยฉากช็อกคนดู ด้วยฉากความตายที่สยดสยอง จนถูกห้ามหรือเซ็นเซอร์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ทุกวันนี้เรื่องราวของซาดะ อาเบะยังคงเล่าขานจนกลายเป็นบุคคลประวัติศาสตร์สำคัญของประเทศญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อย


ที่มา : ต่วย'ตูน พิเศษ

2287  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ / Re: ของขลังเรียกทรัพย์ เมตตา มหานิยม เมื่อ: 20 สิงหาคม 2556 19:11:01
.

กล่าวกันว่าไสยเวทมีด้วยกัน 2 สาย คือ ไสยขาวและไสยดำ เครื่องรางจำพวกสาลิกา ขี้ผึ้ง ตะกรุด ปลัดขิก พระขุนแผน เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องรางของขลังที่ให้ฤทธิ์ธามหาเสน่ห์จัดอยู่ในจำพวกไสยเวทขาว  ไสยขาวทั่วไปที่พบเห็น ผู้บูชาสามารถหาเช่าได้ในตลาดพระเครื่อง ขณะที่เครื่องรางไสยเวทดำ มีน้อยคนที่จะรู้จักและถือบูชา
        
ว่ากันว่าเครื่องรางของขลัง หรือ มนต์คาถา ที่ว่าด้วยเรื่องเสน่ห์ หญิงรักชายหลง นั้น  “หมอเขมร” เป็นหมอไสยเวทที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุด ความเฮี้ยน ความแรง ยังคงเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่สมัยโบราณกาลจวบจนกระทั่งทุกวันนี้ หากเอ่ยถึง “ไสยเขมร”  ทุกคนต่างล้วนหวาดกลัว และยกนิ้วให้เขมรเป็นที่หนึ่งอย่างไม่มีข้อกังขา เรียกได้ว่าหากสงสัยว่าผู้ใด "โดนกระทำ" เป็นต้องทึกทักโทษ “เขมร” ไว้ก่อนแทบทั้งสิ้น
      
เขมรเป็นแหล่งกำเนิดไสยเวทย์อาคมที่แรงที่สุด และในบรรดาของขลังเขมร "พระงั่งเขมร” จัดเป็นของขลังที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด ที่มาของการสร้างพระงั่งเขมร ปรากฏหลักฐานจากคัมภีร์ใบลาน กล่าวถึง ฤาษี ผู้มีอภิญญาญาณ สร้างพระงั่งให้มีชีวิตจิตใจ ช่วยดลบันดาลให้ผู้บูชามีโชคลาภ เงินทองไหลมาเทมา  ให้คุณด้านเมตตามหาเสน่ห์แก่ผู้เป็นเจ้าของ ตั้งแต่สมัยสุวรรณภูมิ จนมาถึงช่วงปลายกรุงศรีอยุธยาตอนปลายซึ่งนับเป็นยุคสุดท้ายที่สร้างโดยฤาษี ต่อมาวิชาสร้างพระงั่งได้ถูกประยุคต์ใช้ในรุ่นต่อมา จากอาจารย์หลากหลายแขนงจนมาถึงยุคปัจจุบัน

มาดูกันที่ของขลัง ที่ให้คุณด้านเสน่ห์มหานิยม ตามหลักใหญ่ใจความคงจะมีไว้เพื่อสำหรับเป็นตัวดึงดูดให้เพศตรงข้ามมารัก มาหลง แม้การกระทำนั้นจะเป็นสิ่งผิดศีลผิดธรรมก็ตามที 

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000010153203.JPEG

1. เป๋อ

หนึ่งในสุดยอดเครื่องรางมหาเสน่ห์ กล่าวกันว่า แม่เป๋อ
ให้ผลทั้งด้านเสน่ห์ และอำนาจในตัว
ผู้บูชาที่เป็นสตรีจะมีฤทธิ์ทำให้ผู้ชายอยู่ในการควบคุม รักเดียวใจเดียว
ถ้าเป็นบุรุษจะทำให้ผู้บูชามีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามเด่นกว่าใครๆ



http://www.pralanna.com/img/id/0dsc06663.jpg

2. พระงั่ง

พ่องั่ง มีทั้งแบบศาสตร์ไทยและเขมร ให้อิทธิฤทธิ์ทางเสน่ห์ลุ่มหลงชนิดหัวโงหัวไม่ขึ้น
หญิงรัก ชายหลง ใครที่บูชาการันตีได้ว่าถ้าหัวกระไดไม่แห้ง
ก็ต้องมีอันต้องเลิกบูชาเพราะเหนื่อยกับการสับรางไม่ให้ชนกัน




3. อิ่น

เครื่องรางสร้างผัวเมียสายล้านนา คนล้านนาเชื่อว่าหากบูชาอิ่นไว้ที่ตัว
จะทำให้มีเสน่ห์ มีคนเมตตารักใคร่
หากมีไว้ที่บ้านทำให้คนในครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวซึ่งกันและกัน




4. น้ำมันพราย

ในบรรดาอาถรรพ์ด้านทำเสน่ห์ด้วยไสยศาสตร์
"น้ำมันพราย" ถือว่าเป็นสุดยอดของมนต์ดำสายล่างที่เข้มขลังและน่ากลัวที่สุด
น้ำมันพรายจะมีสองชนิด หนึ่งคือใช้ทำเสน่ห์ให้คนรัก คนหลง
ชนิดที่สองคือใช้เพื่อทำให้เป็นบ้า เลื่อนลอย เสียสติเพราะฤทธิ์พรายเข้ากระแสเลือด




5. ขี้ผึ้ง
ใช้สำหรับสีปากก่อนเจรจาว่าความต่างๆ ก็จะได้สิ่งนั้นตามประสงค์
สรรพคุณของสีผึ้งให้ผลทางเมตตามหาเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น หนุนดวงชะตาผู้ใช้
และเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สมหวังในความรัก หากนำไปใช้ในทางผิดศีลธรรมว่ากันว่าอานุภาพจะเสื่อม


2288  สุขใจในธรรม / เสียงธรรมเทศนา / หน้าที่ของพุทธบริษัท โดย หลวงปู่แบน ธนากโร เมื่อ: 16 สิงหาคม 2556 18:40:42
.


http://www.dhammajak.net/board/files/__111_175.jpg

หลวงปู่แบน  ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ ตำบลตองโขบ กิ่งอ.โคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร

<a href="http://www.fungdham.com/download/sound/ban/02/71.mp3" target="_blank">http://www.fungdham.com/download/sound/ban/02/71.mp3</a>
หน้าที่ของพุทธบริษัท
2289  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ / "ยาสั่ง" การหลอมรวมวิชาไสยเวทและวิชาปรุงยาสมุนไพร ใช้สังหารผลาญชีวิต เมื่อ: 13 สิงหาคม 2556 18:34:31
.

   ไสยดำ - ยาสั่ง

ไสยดำ – ยาสั่ง

ในบรรดาวิชาอาคมของโบราณนั้น นอกจากจะมีเพื่อป้องกันภัยแล้ว ยังมีอีกหลากหลายวิชาที่บรรพจารย์ท่านคิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้ต่อสู้ศัตรูรวมถึงสังหารผลาญชีวิตกันด้วย ซึ่งหากนำมาใช้ด้วยจิตอธรรมย่อมสร้างความย่อยยับแก่ผู้อื่นได้อย่างมากมาย  ผู้เขียนจะขอเริ่มต้นเล่าถึงวิชาเหล่านี้ ที่เรื่องของ “ยาสั่ง” ซึ่งเป็นการหลอมรวมวิชา ๒ แขนงคือไสยเวทและวิชาปรุงยาสมุนไพรเข้าด้วยกัน

ความหมายโดยทั่วไปของยาสั่งก็คือ ยาพิษที่กินแล้วถึงตาย หรือได้รับความทุกข์ทรมานอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยยาสั่งนั้นมีหลายรูปแบบ มีทั้งแบบที่ออกฤทธิ์รวดเร็วคือกินแล้วส่งผลในเวลาไม่เกินนาทีหรือไม่กี่ชั่วโมง ยาลักษณะนี้ถ้าเป็นตำรายุคปัจจุบันก็คือยาพิษนั่นเอง มักจะปรุงโดยใช้ตัวยาที่เป็นพิษหลายๆ ชนิดมารวมกัน ยาบางตัวอาจไม่ได้เป็นพิษในตัวเองแต่เมื่อผสมกับยาอื่นแล้วกลายเป็นพิษ หรือเป็นตัวเสริมฤทธิ์ เป็นตัวทำละลาย หรือเป็นตัวเร่งการดูดซึม แบบเดียวกับยาพิษที่หมื่นหาญจะใช้ฆ่าขุนแผน ดังบทเสภาที่ว่า

     หมื่นหาญเห็นลูกพร้อมยอมลงจิต
     จึงประกอบยาพิษหาช้าไม่
     เป็นหลายสิ่งประสมกันเข้าทันใด
     ตำรับใหญ่ได้มาจากตาครู 
     ดีนกยูงดีหนูดีงูเห่า 
     บดเข้าคุลีการกับสารหนู 
     น้ำมะนาวบีบระคนปนดีงู 
     ห่อใบพลูส่งให้ลูกสาวพลัน
(คุลีการ แปลว่า คลุกเคล้าให้เข้ากัน หรือคลุกเคล้าเข้าด้วยกันแล้วปั้นก้อน)

ยานี้ออกผลรวดเร็วทันควัน เมื่อขุนแผนเอาอาหารผสมยานั้นปั้นเป็นก้อน แล้วโยนขึ้นหลังคาให้อีกากิน  อีกาก็เกิดอาการ “พอกลืนปับดิ้นปัดในบัดเดี๋ยว”  ซึ่งยาประเภทนี้หากต้องการฆาตกรรมอำพรางก็ถือว่าไม่แนบเนียน เพราะสามารถสืบรู้ได้ง่ายว่าไปกินอะไรกับใครที่ไหนมา ก่อนจะเกิดอาการถูกพิษ

วิชายาสั่งจึงพัฒนามาเป็นการวางยาให้ออกฤทธิ์ภายหลัง บางครั้งอาจนานเป็นปี กว่าผู้ถูกวางยาจะเกิดอาการ  ทั้งนี้ ก็เนื่องจากผู้ปรุงยาจะกำหนดได้ว่าหากผู้ถูกสั่งไปกินหรือดื่มสิ่งใดที่ตนกำหนดไว้ ยาจึงจะออกฤทธิ์ เช่นกำหนดไว้ว่าถ้ากินหมู ยาจึงจะออกฤทธิ์ ตราบใดที่ผู้ถูกยาสั่งไม่กินหมู ยาสั่งในร่างกายก็จะไม่ออกฤทธิ์พิษสงใดๆ

การสั่งยานี้ยังมีวิธีที่ซับซ้อนขึ้นไปอีก เช่น สั่งห้ามกินหมูกับเหล้า ก็หมายความว่าถ้ากินหมูอย่างเดียวก็ไม่ตาย กินเหล้าอย่างเดียวก็ยังไม่เป็นไร แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่กินหมูแกล้มเหล้าขึ้นมาล่ะก็ซี้แหงแก๋แน่นอน
ยาสั่งบางตำราก็มีกำหนดระยะเวลาการหมดฤทธิ์ไว้ด้วย เช่น สามเดือน หกเดือน หนึ่งปี ถ้าพ้นระยะนี้ผู้ถูกยาสั่งยังไม่ได้กินอาหารที่ผิดสำแดงดังว่า ก็เป็นอันว่ายาหมดฤทธิ์ ถึงจะกินอาหารที่สั่งไว้ในภายหลังก็ไม่มีอันตรายจากฤทธิ์ยาสั่ง  ซึ่งเงื่อนไขนี้ในทางหนึ่งนั้นหมายความว่าฤทธิ์ยาย่อมสลายไปตามกาลเวลาตามธรรมชาติ  รวมถึงร่างกายของเราจะค่อยๆ ขับสารพิษออกไปเองทีละน้อย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือครูบาอาจารย์แต่โบราณท่านมีจิตเมตตาจึงเว้นทางรอดไว้ให้ผู้ถูกวิชาของท่านบ้าง ไม่ให้ศิษย์รุ่นหลังมีจิตอำมหิตคิดล้างผลาญกันจนเกินไปนัก ดังความเชื่อที่ว่ายาสั่งนั้นบางตำรับไม่ให้สั่งตายด้วยข้าวและน้ำเพราะเป็นของจำเป็นต่อชีวิตที่ต้องกินทุกวัน (บางตำราก็รวมถึงเหล้าด้วย)

ยาสั่งนั้นมีทั้งเป็นน้ำ เป็นผง เป็นเม็ด เป็นยางเหนียว แล้วแต่ตำราการปรุง การกำหนดว่าอาหารชนิดใดเป็นตัวสั่งตาย ท่านว่ากำหนดกันในตอนปรุงยา คือเอาอาหารใดมาเป็นส่วนประกอบในการปรุงยา อาหารนั้นคือสื่อความตาย หรือต้องการให้เนื้อสัตว์ใดเป็นยาสั่งก็ให้เอายาพิษตามตำรับไปให้สัตว์นั้นกินหรือยัดลงท้อง เอาซากสัตว์ไปย่างไฟจนเป็นผงแล้วจึงนำไปทำเป็นยาสั่ง แต่ก็มีบางตำราว่ากันว่า ตอนวางยานั้นได้ผสมยาสั่งเข้าในอาหารใด อาหารนั้นก็คือสื่อความตายหากรับประทานซ้ำในครั้งต่อไป หรือบางตำราก็มีการกำหนดไว้ว่าเมื่อกินอาหารสั่งตายนั้น ครั้งแรกจะยังไม่เป็นอันตราย แต่จะตายในการกินเข้าไปเป็นครั้งที่สองก็มี
ทีนี้ลองมาดูส่วนผสมและวิธีปรุงยาสั่งกันบ้าง  ผู้เขียนขอหยิบยกเอาข้อความที่มีผู้รู้เขียนเอาไว้มาเล่าต่อ เพราะวิชานี้ผู้เขียนไม่ได้ศึกษาด้วยตนเอง ไม่ได้มีครูบาอาจารย์ทางด้านการปรุงยาสั่ง

ท่าน พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์  เขียนเล่าไว้ในหนังสือแว่นส่องจักรวาล ภาค ๒ พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ มีเรื่องของยาสั่งเล่าไว้อย่างน่าสนใจดังนี้

ก่อนข้าพเจ้าจะเขียนเรื่องนี้ ข้าพเจ้าได้รับฟังข่าวโจษจันกันมาหลายสิบปีแล้วว่า มีมนุษย์บางพวกที่ตั้งตนเป็นอาจารย์ทางไสยศาสตร์ มีอำนาจเอายาไปโรยในอาหารให้ผู้อื่นรับประทาน และเมื่อต้องการจะสั่งให้ผู้นั้นตายด้วยรับประทานอาหารชนิดใดภายหลังผู้นั้นจะตายใน ๓ วัน  ข้าพเจ้าก็รับฟังหูไว้หู และผู้ที่ถูกสั่งจะแก้ด้วยรากรางจืดฝนกับน้ำซาวข้าวรับประทานจะพ้นอันตราย แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยเห็นผู้ถูกยาสั่งสักคนเดียว

ครั้นต่อมาในราวปี พ.ศ. ๒๔๘๒  ข้าพเจ้าได้มีโอกาสสนทนากับบรรดามิตรสหายที่เป็นนายตำรวจ ซึ่งเคยรับราชการในจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดพัทลุงและภาคตะวันออก เฉพาะที่อำเภอกบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ณ ๒ แห่งดังกล่าวเป็นที่นิยมทดลองยาสั่งแก่ผู้แปลกหน้าและรับจ้างฆ่าคนด้วยยาสั่ง โดยเฉพาะบรรดานายตำรวจที่ไปตรวจท้องที่ จะขึ้นไปพักบ้านใดแล้วจะต้องให้เจ้าของบ้านและครอบครัวย้ายไปอยู่ที่อื่นชั่วขณะ โอ่งน้ำ ถ้วยชาม หม้อไห และภาชนะต่างๆ หากจะยืมเจ้าของบ้านใช้ต้องเทล้างทำความสะอาดเสียก่อนจึงจะใช้ได้ ฉะนั้นจะไม่ปลอดภัยจากยาสั่ง และชาวบ้าน ๒ จังหวัดนี้มีรากรางจืดประจำตัวและครอบครัวทุกครอบครัว เพื่อไว้แก้ยาสั่ง

เมื่อข้าพเจ้าได้รับคำบอกเล่าจากผู้ที่เคยพบเหตุการณ์มาแล้ว ข้าพเจ้าเริ่มสนใจว่าเรื่องยาสั่งนี้ต้องเป็นความจริงแน่ แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นอะไรแน่ และมีอิทธิพลแก่ผู้ถูกอย่างไร ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์กับบรรดามิตรสหายของข้าพเจ้า ได้ติดตามและสนใจอยู่แล้ว บังเอิญมีผู้แทนราษฎรคนหนึ่งมีญาติเป็นหมอไสยศาสตร์ทางจังหวัดภาคใต้อยู่คนหนึ่ง และญาติของผู้แทนฯ นี้มีความเชี่ยวชาญทางใช้ยาสั่งที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงได้รู้ส่วนผสมของยาสั่งจากผู้แทนฯ ผู้นี้ และการแก้ผู้ที่ถูกยาสั่งจากปากคำของผู้แทนฯ ผู้นี้ก็คือ ใช้รากรางจืดฝนน้ำซาวข้าวรับประทาน ดังที่ทราบมาก่อน

ส่วนผสมของยาสั่งที่ใช้ในจังหวัดภาคใต้ มีดังนี้
๑. ใช้หนอนชนิดหนึ่งเกิดในป่าทึบในฤดูฝน  หนอนชนิดนี้เรียกชื่อทางภาคใต้ว่า หนอนกล้วยปิ้ง (อธิบายเพิ่ม หนอนกล้วยปิ้ง คือ ทากเปลือย – Slug ชนิดหนึ่ง-เตียวกง)
๒. ใช้รากไม้พวกสมุนไพรชนิดหนึ่งขอปิดนาม เพื่อมิให้เป็นอันตรายแก่ผู้อื่น มิฉะนั้นอาจมีบางท่านนำไปทดลอง ข้าพเจ้าอาจต้องรับบาปในภายหลัง
๓. ใช้ตัวตะกงหรือกิ้งก่าขนาดใหญ่ ซึ่งมีชุกชุมในป่าจังหวัดภาคใต้

วิธีผสม ให้นำหนอนกล้วยปิ้งและรากไม้มาตากแห้งแล้วบดเป็นผงและจับตัวตะกงเป็นๆ มาขังไว้  หากจะให้ผู้ถูกยาสั่งรับประทานเนื้อวัวตายก็ให้นำเนื้อวัวมาคลุกกับผงยาแล้วให้ตะกงกิน โดยยัดปากตะกงจนเต็มท้อง เมื่อตัวตะกงตายแล้ว ให้นำมาปิ้งไฟจนกรอบแล้วบดเป็นผง ไปโรยในอาหารให้คนกิน เมื่อผู้นั้นรับประทานยาสั่งแล้ว ยาสั่งก็กระจายซึมอยู่ในโลหิตของผู้นั้น และยังไม่เกิดปฏิกิริยาแก่ร่างกายอย่างไร แต่หากผู้นั้นรับประทานเนื้อวัวเมื่อใด ยาสั่งนั้นจะเกิดปฏิกิริยาเป็นพิษต่อหัวใจผู้นั้นทันที ผู้นั้นก็ถึงแก่ความตาย หากจะให้รับประทานอะไรตายก็ใช้สิ่งนั้นเป็นสื่อกลางคลุกยาพิษให้ตัวตะกงกิน เช่นจะให้กินข้าวสุกตาย ก็ใช้ข้าวสุกคลุกยาพิษให้ตัวตะกงกิน  ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ท่านจะเห็นได้ว่าคนโบราณเราก็มีความฉลาดรู้จักปรุงยาที่มีปฏิกิริยาทางเคมีไม่แพ้แพทย์แผนปัจจุบันเลย แต่เป็นที่น่าเสียใจที่ใช้ความฉลาดของตนในทางที่ผิดและเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์

และมีเรื่องบทสนทนาจากครูบาเหนือชัย  โฆสิโต วัดถ้ำอาชาทอง  ที่มีผู้นำมาถ่ายทอดไว้ จึงขอตัดตอนส่วนที่เล่าถึงยาสั่งมาเล่าต่ออีกที

“มีเหตุหนักกว่านี้ถึงขนาดมีคนจ้องทำร้ายถึงขั้นยิง วางยาสั่งกันเลย จริงหรือเปล่าครับ ?”

“เรื่องนี้ไม่เคยคุยกับใครเลยนะ รู้มาจากไหน ครูบาเป็นพระป่าอยู่ในพื้นที่นี้ ซึ่งก็ทราบกันดีว่าเป็นพื้นที่ชายแดน และก็ต่อต้านเรื่องยาเสพติดอยู่แล้ว เราก็อาจจะไปขวางทางใครเข้าก็ไม่ทราบเลย โดยครูบาก็มีครูบาอาจารย์ เขาใช้วิธี ฟัน แทง ยิง ไม่ได้ผล ก็เลยโดนยาสั่ง ตอนปลายปี ๒๕๔๓ แทบแย่ ตอนนี้ก็ยังรักษาตัวอยู่เลย ร่างกายก็ฟื้นมาได้ซัก ๘๐ เปอร์เซ็นต์”

“ครูบาโดนยาสั่งได้อย่างไร และมีอาการอย่างไรบ้างครับ ?”

“มีศรัทธามาทำบุญตักบาตร เราก็นำมาฉัน ก็เลยรู้ว่าโดนยาสั่ง เวลาโดนจะอาเจียนออกมา ครั้งนั้น เต็มถังน้ำ อาเจียนจนหมดแรงเลย ก็ต้องใช้วิธีนั่งเข้ากรรมฐานแก้พิษ”

“แล้วยาสั่งนี้เขาทำกันอย่างไรครับ?”

“เขาก็จะใช้ตัวหมูตัวผู้มาทำยาสั่ง เริ่มด้วยเลี้ยงหมูด้วยพิษจากงู เห็ด ว่านต่างๆ หรือคางคก เอาให้กินทีละน้อยๆ พอโตได้ที่ก็ฆ่า แล้วนำไปย่างไฟแดง ๗ วัน ๗ คืน แล้วนำมาตากน้ำค้างอีก ๗ วัน ๗ คืน เสร็จแล้วนำมาบดให้ละเอียด แล้วก็ปลูกฟักแฟงในป่าช้า เอาเมล็ดออกแล้วนำผงที่ได้จากหมูมายัดใส่แทนจนลูกฟักลูกแตงตาย แล้วจึงเอาลูกฟัก ลูกแตง ไปทำพิธีบนกิ่งไม้ใหญ่ เวลาทำพิธีต้องอยู่เหนือลม เวลานำฟัก แตงมากินก็จะเกิดอาการทันที”

ตำราการทำยาสั่งนั้นยังมีเล่ากันไว้อีกหลากหลายวิธี กรรมวิธีและการออกฤทธิ์ก็แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ทั้งยังใช้มนต์คาถากำกับต่างกันไปตามวิถีความเชื่อของแต่ละชาติพันธุ์และภูมิภาค นับตั้งแต่ชาวเขาในประเทศจีน (ท่านที่ชอบอ่านนิยายกำลังภายในของจีนคงเคยผ่านตากับวิชาการเลี้ยงและปล่อยแมลงภู่ทำร้ายคน และวิธีการผลิตพิษร้ายแรงโดยให้สัตว์พิษกินสัตว์พิษด้วยกันเป็นทอดๆ ของพวกชนกลุ่มน้อยในจีน)  ชาวเขมร กะเหรี่ยง มอญ ชาวชองทางภาคตะวันออกของไทย ไปจนถึงชาวเซียมังชาวป่าแถบมลายู-อินโด ฯลฯ

ผู้ที่โดนยาสั่งนั้นเวลายาออกฤทธิ์มักจะมีอาการอาเจียนอย่างหนัก อาเจียนเป็นเลือด หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก มีเลือดออกทางทวารทั้งเก้า เล็บมือเท้าเขียวคล้ำ ร่างกายช้ำบวมเขียวคล้ำหรือเป็นจ้ำ บางรายทุรนทุรายไม่นานก็ตาย บางรายก็ทรมานอยู่นานมากกว่าจะตาย ขึ้นอยู่กับชนิดของยาที่โดนเข้าไป

ในทางวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์กันว่าฤทธิ์ของยาสั่งนั้น อาจไม่ใช่คาถาอาคมไสยเวท แต่เป็นวิชาเคมี หรือการปรุงยาให้เกิดอาการภูมิแพ้ เช่นเดียวกับการแพ้อาหารทะเล การแพ้โปรตีนบางชนิด การที่บางตำราต้องกินซ้ำ ๒ ครั้งจึงแสดงผล ก็คล้ายกับการแพ้บางประเภทที่ร่างกายต้องได้รับสารนั้นเข้าไปก่อนในครั้งแรก เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ขึ้นในการได้รับสารนั้นในครั้งต่อไป ซึ่งอาการทางร่างกายของคนโดนยาสั่งนั้นก็คล้ายกับผู้ที่เกิดอาการภูมิแพ้ขั้นรุนแรง

คนไทยเรานั้นเรื่องการแพ้อาหารหรือสิ่งรอบตัวมักไม่มีอาการรุนแรงจนถึงตาย ส่วนฝรั่งตะวันตก อาการแพ้อาหารถึงตายนั้นเกิดขึ้นบ่อย เคยมีข่าวต่างประเทศรายงานเรื่องคนตายเพราะอาการการแพ้ถั่ว (แพ้โปรตีนในถั่วลิสง) เพียงเพราะไปจูบกับคนที่พึ่งกินถั่วมาเท่านั้น ซึ่งอาการแพ้ถั่วนี้ชาวไทยเราไม่ค่อยมีปรากฏ จากข้อมูลทางการแพทย์ คนที่แพ้ถั่วเมื่อกินเข้าไปจะมีอาการดังนี้คือ มีอาการปวดท้อง อาเจียน ไอ หอบ หายใจไม่สะดวก หากมีอาการรุนแรง อาจทำให้หมดสติคล้ายกับคนโดนยาสั่งหรือไม่ ลองพิจารณาดูครับ

ย้อนมาถึงวิธีป้องกันการถูกยาสั่ง ว่ากันว่ายาสั่งชนิดธรรมดาสามารถตรวจสอบได้ด้วยการใช้วัสดุทำจากงาช้างหรือโลหะเงิน จุ่มลงในอาหาร ถ้างาหรือเงินนั้นเปลี่ยนสีแสดงว่ามียาสั่งหรือมียาพิษ แต่ถ้าเป็นยาสั่งขั้นสูง จะตรวจด้วยวิธีนี้ไม่พบ ต้องเป็นผู้มีวิชาอาคม มีอำนาจจิตสูง จึงจะรู้ได้

การแก้ไขผู้ถูกยาสั่ง ตำราพื้นบ้านให้ใช้ใบรางจืดตำกับน้ำซาวข้าวกรอกปาก หรือให้กินยาต้มปรุงจากสารส้มเขียว โลดทะนงแดง ประยงค์ป่า ว่านพญาขาว หรือใช้สารส้มเขียว เสลดพังพอนตัวผู้ รากรุกัด รากตะขบไทย พระเจ้าห้าพระองค์ นำมาฝนผสมน้ำกระสายรับประทาน ทั้งนี้ ต้องมีคาถากำกับการรักษาด้วยจึงจะเห็นผล มิฉะนั้นต้องได้ยาถอนพิษจากผู้ปรุงยาสั่งเอง หรือให้ผู้มีวิชาอาคมถอนพิษให้อย่างทันท่วงทีจึงจะเยียวยาได้

วิชายาสั่งนี้ถือได้ว่าเป็นวิชาที่น่ากลัว อันตราย และชั่วร้ายมาก เพราะผู้ที่นำยาสั่งไปใช้ไม่จำเป็นต้องมีวิชาใดๆ เลย แค่ได้ยาสั่งมาจากผู้ปรุงยาเท่านั้นก็นำไปใช้ได้แล้ว จึงอาจกระทำไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ขาดความยั้งคิด แต่ก่อบาปร้ายอย่างใหญ่หลวง

คำโบราณท่านว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”   “กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนอง”  สั้นๆ แต่กินความหมายลึกซึ้ง และยังเป็นจริงอยู่ทุกยุคสมัย จึงขอปิดท้ายไว้ด้วยสองคติเตือนใจนี้ครับ


โดย "เตียวกง"  หนังสือต่วย'ตูน
2290  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / "ตลาด" บ่งชี้ถึงวัฒนธรรมของชนชาติต่างๆ ในโลกใบนี้ได้ดีที่สุด เมื่อ: 10 สิงหาคม 2556 07:33:42
.

ผมเป็นมนุษย์ชอบเดินตลาดครับ พิสมัยและปลงใจรักตลาดมาตั้งแต่สมัยเด็ก ค่าที่ในตลาดมักมีของแปลกตาน่าชื่นชอบสำหรับเด็กๆ อย่างแม่ค้าบางเจ้าขายกบเป็นๆ ตาใสๆ บางเจ้าเอารังผึ้งที่มีผึ้งบินยั้วเยี้ยพร้อมตัวอ่อนมาขาย และบางรายมีขนมทอฟฟี่ไว้แจกเด็ก

เวลาแม่พาไปตลาดก็ได้รับอานิสงส์จากลุงป้าน้าอาชาวตลาด ทำให้ผูกสัมพันธ์กับตลาดมาตลอด ผมถือว่า “ตลาด” เป็นตัวบอกวัฒนธรรมของชนชาตินั้น ถ้าเราอยากรู้ความเป็นไปของคนในชาติใดๆ แล้วสถานที่ที่พึงไปไม่ใช่ร้านช็อปปิ้งหรือภัตตาคารที่เขาชอบจัดให้นักท่องเที่ยวไปนะครับ หากแต่เป็น “พิพิธภัณฑ์” กับ “ตลาดสด” ที่จะเป็นสิ่งบอกตัวตนที่แท้จริงของคนชาตินั้นๆได้ บอกได้แม้กระทั่งนิสัย

ในเรื่องของตลาดที่บอกเล่าชีวิตนั้น ในแต่ละสังคมก็ล้วนมีตลาดเป็นของตัวเอง สมัยกรีกก็มีลานกว้างพร้อมตลาดเป็นที่ประชุมชนพบปะพูดคุยกัน  ถัดมาสมัยโรมันก็มีตลาดค้าทาส  และต่อมาในยุคใหม่ ตลาดเป็นที่สร้างความเจริญและความบันเทิงให้แก่ชุมชนเช่น ตลาดเสื้อผ้าหรือตลาดแฟชั่น

“ตลาด” เป็นดุจศูนย์กลางบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์  ยิ่งตลาดใหญ่และเก่าแก่ก็ยิ่งมีเรื่องราวที่ผ่านพบมามาก อย่างเช่นตลาดระดับ โลกดังต่อไปนี้ครับ


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/02/16/327071/hr1667/630.jpg

ตลาดจักรพรรดิทราจัน

ตลาดจักรพรรดิทราจัน (Trajan Market) ตลาดโรมันขนาดมหึมาอยู่ใจกลางกรุงโรม นครหลวงแห่งจักรวรรดิ ถือเป็นช็อปปิ้งอาเขตที่เก่าแก่ที่สุดของโลก คาดว่าสร้างขึ้นหลังพระเยซูประสูติราว 100 ปีโดยสถาปนิกคู่พระทัยจักรพรรดิ เป็นที่ทำการของสำนักพระราชวังครั้งนั้น ในส่วนของร้านค้าจะอยู่ตามชั้นต่างๆที่เป็นโครงสร้างคล้ายตึกห้างสรรพสินค้าสมัยนี้ (ล้ำเว่อร์ซะไม่มี) ต่อมาตลาดนี้ได้ถูกเพิ่ม “หอรบ” ไว้สำหรับป้องกันตัวเองในยุคกลาง มีคอนแวนต์ (อาศรมแม่ชี) เพิ่มเข้ามา แต่ต่อมาถูกรื้อลงเมื่อราวร้อยปีก่อน โดยตลาดนี้มีอายุยืนนานมาจนทุกวันนี้ ถือเป็นภูมิทัศน์สำคัญหนึ่งของโรมครับ



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/02/16/327071/o4/420.jpg

ห้องประมูลทูน่าที่ตลาดปลาสึกิจิ

ตลาดปลาสึกิจิ   (Tsukiji Fish Market) เป็นตลาดรวมของสดจากทะเลทุกสารทิศอยู่ในกรุงโตเกียว เดิมทีเป็นตลาดประมงเล็กๆในสมัยโชกุนอิเอยาสุ แต่ต่อมาได้รวบรวมของสดทะเลซีฟู้ดจากทุกสารทิศทั่วโลก ข้างในมีตลาดย่อยประมูล “ทูน่า” จากทั่วโลก โดยทำการบั้งเนื้อส่วนปลายหางไว้ให้พ่อครัวจากภัตตาคารใหญ่ได้พิสูจน์คุณภาพ แม้ปลาที่จับได้จากฝั่งอเมริกาเหนือก็ยังส่งมาขายที่ตลาดนี้เพราะได้กำไรดีกว่า โดยเคยมีปลาบลูฟินตัวหนึ่งถูกประมูลไปถึงกว่า 22 ล้านบาท! ปัจจุบันผู้ว่านครโตเกียวมีแผนจะย้ายสึกิจิไปยังโตโยสุในปี 2013 นี้ครับ



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/02/16/327071/o5/420.jpg

ตลาดโคเวนท์

ตลาดสวนโคเวนท์ (Covent Garden Market) เป็นตลาดสดขายดอกไม้เมื่อนานมา เป็นหน้าตาของพระนครลอนดอนยามมีผู้มาเที่ยวชม และตลาดแห่งนี้ยังมีตำนานรักของ “บุษบาริมทาง” ในภาพยนตร์คลาสสิกเรื่องมายแฟร์เลดี้ที่นางเอกดังระดับโลกอย่าง ออเดรย์ เฮปเบิร์น มาเดินแสร้งทำเป็นหญิงขายดอกไม้ แม้จะถ่ายในสตูดิโอแต่เนื้อเรื่องก็ใช้ ตลาดโคเวนท์เป็นจุดขาย ปัจจุบันโคเวนท์ไม่เป็นตลาดอีกต่อไป หากแต่เป็นย่านช็อปเก๋ของนักท่องเที่ยวและแหล่งชมละครเวทีเรื่องเจ๋งๆไปแล้ว



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/02/16/327071/o6/420.jpg

ตลาดหนังสือที่ปารีส

ตลาดหนังสือ ณ กรุงปารีส อันนี้ผมชอบมากแต่กระเป๋าไม่ค่อยอำนวยครับ (แหะแหะ) มีลักษณะเป็นแผงคล้ายสนามหลวงอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเซน เป็นแหล่งขุมทรัพย์ของคนรักหนังสือเก่า โปสการ์ดเก่า รวมถึงหนังสือพิมพ์โบราณในยุคต่างๆ พระบรมฉายาลักษณ์ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ในหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสก็มาจากที่แห่งนี้ ปัจจุบันนี้ไม่มีเหลือแล้วและราคาก็ไม่ถูกนัก แต่อาจยังมีหนังสือหายากหลายเล่มอยู่ ใครตาดีอาจเจอแจ็กพอตได้ครับ

ตลาดแดงกลางกรุงมอสโก อยู่ทางตะวันออกของพระราชวังเครมลินในประเทศรัสเซีย ตลาดนี้แค่ฟังชื่อก็น่าจะ “หนาว” เอาเรื่องอยู่แล้วใช่ไหมครับเพราะอยู่ในดินแดนหมีขาวและเป็นตลาดที่อยู่สูงสุดของโลกเท่าที่เรายกมาคุยกันวันนี้ ตลาดนี้มีอายุนับหลายร้อยปีแล้วครับ เป็นที่ที่พ่อค้าแม่ขายจากทุกมุมของจักรวรรดิรัสเซียจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจนถึงวลาดิวอสต็อกเอาของมาขาย จนเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 เมื่อห้าง “กุม (KUM)” อันเป็นสรรพสินค้าใหญ่ยักษ์ของประเทศได้สร้างขึ้นก็ถึงคราวอวสานของ ตลาดแดง ปัจจุบันทางการห้ามการขายของในจัตุรัสแดงนี้อย่างเด็ดขาด

ปอร์โตเบลโล (Portobello) ตลาดที่รวมของเก่าแก่แต่คลาสสิกมีระดับ จับรถใต้ดิน (ทิ้วบ์) ในกรุงลอนดอนไปแป๊บเดียวถึง เป็นตลาดที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์โรแมนติก “น็อตติ้ง ฮิลล์” ที่บ้านของพระเอกมีประตูทาสีฟ้าเปิดออกมาก็เป็นเวิ้งตลาดเก่าปอร์โตเบลโล อารมณ์คล้ายเวิ้งนาครเขษมของเรา ที่เอาของวินเทจอย่างกีตาร์มือสอง, เครื่องประดับ, กรอบรูป, โคมไฟ, เฟอร์-นิเจอร์, เหรียญตราเก่า ประเภทใครมีอะไรก็เอามาเปิดท้ายขาย คนซื้อถ้าตาดีก็มีสิทธิ์ได้ของเก่าแก่หายากไป



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/02/16/327071/o7/420.jpg

ตลาดของโบราณปันเจี้ยหยวน

ตลาดรวมของเก่ากรุงปักกิ่งหรือ “ปันเจี้ยหยวน” (Panjiayuan Market) มีชื่อเสียงก้องโลกในเรื่องโบราณวัตถุ ตลาดนี้ขายเฉพาะของแอนทีค ทั้งภาพวาด, ม้วนคัมภีร์, รูปสลักและงานหัตถศิลป์ทั้งหลายแท้บ้างเทียมบ้าง ตาดีได้ตาร้ายเสีย (โฮ) ตลาดนี้เริ่มเมื่อปี 1992 จากตลาด ข้างถนนธรรมดาจนต่อมาได้รับความนิยมในหมู่ นักสะสมของเก่ามากขึ้น มีเงินสะพัดจำนวนมหาศาลจึงกลายสภาพมาเป็น ตลาดกลางค้าของเก่าที่มี ขนาดมหึมาติดอันดับโลก

ตลาดเลอาลส์ เป็นตลาดเก่าเมืองน้ำหอมตั้งยืนยงมากว่า 800 ปี มี ชื่อโด่งดังขึ้นมาจากนักประพันธ์นามอุโฆษอย่าง เอมิล โซล่า ที่เขียนเกี่ยวกับ ตลาดนี้ เดิมทีขายของกินจำพวกปลาสด, แผงเนื้อ และผักต่างๆเป็นปากท้องของชนชั้นแรงงานในกรุงปารีส จึงมีชื่อเรียกเล่นว่า “ตลาดเพื่อปากท้อง” น่าเสียดายว่าความเจริญของมันกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำลายในภายหลังเพราะการจราจรที่ติดขัดทำให้ตลาดถูกรื้อไปเมื่อปี 1971



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/02/16/327071/o8/420.jpg

ตลาดเครื่องเทศแห่งอิสตันบูล

ตลาดเครื่องเทศแห่งอิสตันบูล ประเทศตุรกี (Istanbul Spice Market) ใครที่ไปมาก็จะได้เห็นภาพตลาดที่เป็นอาเขตกว้างแบ่งเป็นซอยใหญ่โดยมีร้านค้าขายเครื่องเทศสีสันสดใสอยู่รายทาง นักท่องเที่ยวจะรู้สึกราวกับเดินหลงเข้าไปในดินแดนอาละดินเพราะมีทั้งร้านขายเครื่องยา, ผ้า และตะเกียงแบบเปอร์เซีย อีกทั้งขนมแบบตุรกีสีเจ็บๆแถมรสหวานแสบไส้เรียกเตอร์กิชดีไลท์ ถ้าไปเยี่ยมชมอย่าลืมของดีในตลาดนี้อีก 2 อย่างคือ “น้ำหอม” กับ “น้ำกุหลาบ (Rose water)” ที่ขึ้นชื่อมากครับ



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/02/16/327071/o9/420.jpg

ตลาดดอกไม้ที่ฮ่องกง

ตลาดดอกไม้ของฮ่องกง เป็นประหนึ่งปากคลองตลาดเวอร์ชั่น จีนครับ ตั้งอยู่ที่ “หม่งก๊ก” นั่งรถไฟใต้ดินไปขึ้นแล้วเดินอีกหน่อยก็ถึงเลย เหมาะกับผู้รักดอกไม้ ฝรั่งเมืองหนาวหาดอกไม้สดยากอาจชอบ แต่สำหรับพวกเราคนไทยที่ได้เห็นปากคลองตลาดแล้วอาจรู้สึกเฉยๆ เพราะบางท่านก็บอกไม่ใหญ่อย่างที่คิด มีดอกกล้วยไม้แบบแปลกๆและไม้แคระจำพวก “บอนไซ” สำหรับท่านที่ไปฮ่องกงเป็นไฟแล้วอาจลองรสชาติใหม่ไปช็อปสวยๆในตลาดดอกไม้ก็เป็นอีกรสชาติหนึ่ง

ตลาด อตก.และตลาดนัดสวนจตุจักร ตลาดของเราติดอันดับ 1 ใน 7 ตลาดดังของโลกเชียวนะครับทำเป็นเล่นไป ตลาด อตก.นั้นรู้กันว่าเป็นที่รวมวัตถุดิบของดีทั้งอาหาร, ผักสด และผลไม้ อยากได้ของดีที่คัดสรรมาแล้วต้องไป อตก.ครับ ส่วนตลาดนัดจตุจักรนั้นก็เป็นที่รักของนักท่องเที่ยวและวัยรุ่นที่อยากหาของแนวๆในราคาที่ต่อได้คุยได้ตามสบาย มีสินค้าได้ใจคนทุกวัย พาใครมาก็ต้องหาของชอบได้ ให้แฟนซื้อเสื้อผ้า พาลูกดูน้องหมาแมว แล้วพาตัวเองไปดูสาวๆ เอ๊ย...จิบกาแฟดูคนก็สนุกดีครับ ถ้าใครจะมารอซื้อต้นไม้ที่ลงใหม่ๆก่อนใครต้องมายามราตรีในคืนวันอังคารและพุธ และขอให้พา “ไฟฉาย” ไปเป็นเพื่อนด้วยนะครับ

นี่แค่เบาๆขอบบรรดาตลาดเด่นๆในโลกนี้ ดังที่บอกไปว่า “ตลาด” เป็นของคู่กับชุมชน ซึ่งในโลกนี้ยังมีตลาดที่น่าสนใจอีกมากมายเหลือจะนับ และไม่ต้องไปไกลเลยครับ ถ้าท่านที่รักอ่านแล้วคันไม้คันมืออยากไปตลาดขึ้นมา หาดูแถวซอยบ้านเรานี่ละครับ อย่างเวิ้งเล็กๆใกล้บ้านผมก็มีตลาดนัดขนาดย่อมมาขายของกันทุกเสาร์-อาทิตย์ มีลูกชิ้นแสนอร่อยและของกินยั่วน้ำลายเยอะแยะ แค่เดินดูไปซื้อกินไปก็อิ่มหนึ่งมื้อแล้ว (แฮ่)

เป็นพระยาน้อยชมตลาดแล้วอาจต้องลดพุงกันคราวนี้ (โฮ!)

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/02/16/327071/o10/420.jpg

ร้านค้าที่ปอร์โตเบลโล

โดย ‘‘หมอจุฬา’’  ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน


2291  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / อาหารมื้อสุดท้าย ของคนดัง และผู้มีอิทธิพลในประวัติศาสตร์โลก เมื่อ: 08 สิงหาคม 2556 10:35:34
.

การที่จะเป็นที่จดจำและระลึกถึงในยามล่วงลับไปแล้วในมวลหมู่มนุษย์เป็นเรื่องที่ยากเย็น แต่กระนั้นก็ดี มนุษย์บางคนก็มีความสามารถที่จะก้าวขึ้นมามีอิทธิพลและมีชื่อเสียงเป็นที่จดจำในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นในด้านที่ดีหรือด้านที่ชั่วร้ายก็ตาม ด้วยเอกลักษณ์และวิถีชีวิตของคนเหล่านี้ ทำให้แม้พวกเขาลาลับดับสิ้นไปแล้วก็ยังมีคนสนอกสนใจศึกษาวิธีคิด ปรัชญาในการดำเนินชีวิต และแม้แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของชีวิตพวกเขา อย่างเช่น มื้อสุดท้ายพวกเขากินอะไรก่อนสิ้นชีพ?

แอนดรูว์ แคดเวล นักประวัติศาสตร์และพ่อครัว ได้สนใจทำการศึกษารายละเอียดของอาหารมื้อสุดท้ายของเหล่าผู้มีชื่อเสียงและ ผู้ทรงอิทธิพลของโลก โดยเขียนไว้ในหนังสือชื่อ “Their Last Suppers : Legends of History and Their Final Meals” จึงขอนำบางส่วนของเนื้อหาที่น่าสนใจมาเสนอกัน ณ ที่นี้


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/10/15/209531/hr1667/630.jpg

พระกระยาหารมื้อสุดท้าย

มหาบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมื้อสุดท้ายในชีวิตของท่านเรียกได้ว่า เป็นมื้อสุดท้ายที่โด่งดังที่สุดในโลก นั่นคือ จีซัส  ไคร์ส หรือพระเยซูคริสต์นั่นเอง

ตามพระคัมภีร์บทได้บันทึกว่า นอกจากขนมปังและไวน์ซึ่งพระองค์ได้เสวยพร้อมกับเปรียบเทียบมันดุจเนื้อ และเลือดของพระองค์แล้ว ในพระธรรมบทลูกายังได้อธิบายด้วยว่า พระองค์ยังเสวยปลาย่างชิ้นหนึ่งและน้ำผึ้งด้วย

ดร.ดอน โคลเบิร์ต ได้ทำการศึกษาและพบว่า พระเยซูมีวิถีการเสวยที่เรียบง่ายและดีต่อสุขภาพมากกว่าคนยุคปัจจุบัน คือ รับประทานแต่อาหารที่ปรุงง่ายและเป็นธรรมชาติ เช่น ผัก ถั่ว ผลไม้ ขนมปัง ดื่มน้ำจำนวนมาก และมีไวน์องุ่นอีกนิดหน่อย พระองค์ยังไม่นิยมเสวยเนื้อ (ยกเว้นในโอกาสสำคัญทางศาสนา) เนื่องจากมันมีมลทินต่อจิตวิญญาณ



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/10/15/209531/o6/420.jpg

เจ้าหญิงไดอาน่า กับ ไมเคิล แจ๊คสัน

เจ้าหญิงไดอาน่า
อดีตเจ้าหญิงแห่งเวลล์ผู้โด่งดัง พระมารดาของเจ้าชายวิลเลี่ยม  เจ้าหญิงได้เสวยกระยาหารมื้อสุดท้ายที่โรงแรมริทซ์ คาร์ตัน ก่อนที่พระองค์และพระสหายสนิทจะถูกไล่ตามจากพวกปาปาราซซี่ จนกระทั่งพระองค์ประสบอุบัติเหตุ มื้อสุดท้ายของเจ้าหญิงไดอาน่าประกอบด้วย ออมเลตเห็ดและหน่อไม้ฝรั่งเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย โดยมีเมนูหลักเป็นปลาตาเดียวและผักทอดเทมปุระ

ไมเคิล แจ๊คสัน
ไมเคิล แจ๊คสัน เสียชีวิตในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2009 แม้จะยังมีการโต้เถียงต่างๆ นานา ว่าด้วยสาเหตุการตายของไมเคิลว่าเป็นการตายเพราะรับยาเกินขนาด หรือฆาตกรรมกันแน่? แต่อย่างน้อยเราพอจะรู้ว่าราชาเพลงป๊อปเจ้าของวิถีชีวิตสุดแปลกเป็นหนึ่ง ไม่มีสองผู้นี้รับประทานอะไรเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งมื้อสุดท้ายของไมเคิลมีเพียงสลัดผักโขมกับเนื้ออกไก่เท่านั้นเอง



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/10/15/209531/o7/420.jpg

ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคเนดี้

ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคเนดี้
เจ้าของ วลีอมตะอย่าง “จงอย่าถามว่าประเทศชาติจะให้อะไรแก่ท่าน แต่จงถามตัวท่านเองว่าท่านจะทำอะไรให้ประเทศชาติ” ก่อนที่จะถูกลอบสังหาร มื้อสุดท้ายของท่านคือมื้อเช้าในโรงแรมเท็กซัสที่ประกอบไปด้วยไข่ลวก 2 ฟอง เบคอน ขนมปัง แยมมาร์มาเลด น้ำส้ม และกาแฟอีกแก้ว




http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/10/15/209531/o2/420.jpg

ประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น

ประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น
ท่านกินอาหารค่ำมื้อสุดท้ายในทำเนียบขาวก่อนที่จะไปดูละครในโรงละครฟอร์ดและถูกสังหารที่นั่น อาหารมื้อนั้นประกอบด้วย เป็ดย่างยัดไส้ด้วยเชสนัท, มันอบ, ดอกกะหล่ำราดด้วยซอสชีส และซุป Mock Turtle soup หรือซุปเลียนแบบเนื้อเต่า ซึ่งวัตถุดิบตามสูตรต้นตำรับของซุปนี้จะทำจากหัวลูกวัว แต่ส่วนเท้าก็ใช้แทนได้เช่นกัน และยังมีการใช้ปลาทะเลและหอยนางรมเพื่อเลียนแบบรสคาวเค็มของเนื้อเต่าทะเล



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/10/15/209531/o4/420.jpg

มหาตมะ คานธี

มหาตมะ คานธี
มื้อสุดท้ายนั้นมหาตมะ คานธี รับประทานอาหารตามปกติของท่าน ซึ่งประกอบไปด้วย นมแพะ ผักปรุงสุก ส้ม อาหารที่ปรุงด้วยขิง น้ำเลมอน กี (เนยเหลวชนิดหนึ่ง) และน้ำจากว่านหางจระเข้ ก่อนที่จะออกมาที่สนามหญ้าหน้าบ้านพักเพื่อทักทายกับผู้คนและสวดมนต์ ซึ่งหนึ่งในฝูงชนที่ห้อมล้อมท่านในวันนั้นคือ นาถูราม โคทเส ชาวฮินดูผู้คลั่งศาสนา เขายิงปืนใส่คานธีไป 3 นัด จบชีวิตของนักต่อสู้ด้วยสันติวิธีและผู้นำทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกไปตลอดกาล




http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/10/15/209531/o8/420.jpg

หุ่นจำลองมื้อสุดท้ายของรัสปูติน

เกรกอรี เยฟี-โมวิช รัสปูติน
เกรกอรี รัสปูติน นักบวชที่เชื่อกันว่าเขามีพลังอำนาจพิเศษ ทำให้เขาก้าวขึ้นมาสู่อำนาจทางการเมืองในราชวงศ์โรมานอฟอย่างรวดเร็ว จนกลุ่มชนชั้นสูงทั้งราชวงศ์และรัฐสภาหวาดกลัวและตัดสินใจกำจัดเขา

มื้อสุดท้ายของรัสปูตินที่เจ้าชาย เฟลิกซ์ ยูสซูปอฟ และชนชั้นสูงได้ลวงเขามากิน คือ เค้กน้ำผึ้ง ไวน์ Zakuski หรือค็อกเทลแบบรัสเซีย และขนมปังดำ แน่ล่ะ อาหารเหล่านั้นมียาพิษไซยาไนด์ผสมไว้ด้วย แต่ร่างกายของรัสปูตินกลับต้านทานพิษได้ เจ้าชายจึงชักปืนยิงใส่ แล้วนำร่างรัสปูตินไปถ่วงน้ำ หลังจากการตายของเขาเพียง 2 ปี ราชวงศ์โรมานอฟก็ถูกโค่น ล้ม ซึ่งตรงตามคำทำนายของรัสปูตินทุกประการ




http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/10/15/209531/o9/420.jpg

ซัดดัม ฮุสเซน

ซัดดัม ฮุสเซน
อดีตจอมเผด็จการแห่งอิรักที่ถูกอเมริกาใช้กำลังทหารเข้าโค่นล้ม  เขาถูกนำตัวขึ้นศาลพิเศษอิรักที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลชั่วคราวและถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอในวันที่ 30 ธันวาคม ปี พ.ศ.2549 เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่นักโทษจะร้องขอรับประทานอาหารที่ตัวเองชอบก่อนตาย ซัดดัมเองก็เช่นกัน มื้อสุดท้ายของเขา คือ ไก่ต้มกับข้าวและเหล้าร้อนผสมน้ำผึ้ง





อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
จอมโหดผู้เกลียดยิวเข้าไส้อย่างฮิตเลอร์นั้น เป็นมังสวิรัติ และคนปรุงอาหารให้เขานั้นเป็นชาวยิว  ฮิตเลอร์เริ่มเป็นมังสวิรัติในช่วงเดือนกันยายนปี 1931 เนื่องจากการอัตวินิบาตกรรมของหลานสาว เกลี่ เรบัล (Geli  Raubal)  แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบกินเนื้อ อย่างไรก็ดี มื้อสุดท้ายในชีวิตของฮิตเลอร์เป็นอาหารมังสวิรัติ คือซุปผักและมันบด แต่นักประวัติศาสตร์บางคนก็สันนิษฐานว่ามันอาจเป็นสปาเกตตีหรือลาซานญ่า




http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/10/15/209531/o5/420.jpg

เอลวิส เพรสลีย์

เอลวิส เพรสลีย์
เขาตื่นขึ้นมาในช่วงกลางดึก รู้สึกกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ และตัดสินใจไปหาหมอฟัน หลังจากนั้นเขากลับมาที่บ้านที่เกรซแลนด์ และเล่นแร็กเกตบอลกับเพื่อน พร้อมพูดถึงแผนการแต่งงานของเขากับคู่หมั้นสาววัยยี่สิบปี จินเจอร์ อัลเดน เล่นเปียโนกันอีกนิดหน่อย ก่อนที่ตะวันจะขึ้น จินเจอร์ก็ขอตัวไปเข้านอน ขณะที่เอลวิสหาของหวานกินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนไปนอน นั่นคือ ไอศกรีม 4 ลูกพูน และคุกกี้ช็อกโกแลตชิพอีก 6 ชิ้น สองสาม ชั่วโมงต่อมาเขาตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำที่ซึ่งเขาเกิดอาการโรคหัวใจเฉียบพลัน จนเสียชีวิต




http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/10/15/209531/o3/420.jpg

เรือไททานิคอับปาง

ผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาสของเรือไทนานิค
มื้อค่ำมื้อสุดท้ายสุดอลังการที่เสิร์ฟให้กับผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาสของไททานิค คือ ซุปคอนซูเม่ออก้า ส่วนประกอบที่สำคัญของซุปนี้คือไขกระดูกอบแห้งของปลาสเตอเจี้ยน ซึ่งนำไปตุ๋นจนเป็นวุ้น, ปลาแซลมอนตุ๋นกับซอสมูส, เนื้อแกะกับซอสมิ้นต์, เป็ดอบราดซอสแอปเปิ้ล, เนื้อเซอลอยด์ (สัน นอก) กับมันฝรั่ง, ผลน้ำเต้ายัดไส้, แครอท, ถั่ว, ตับห่าน, เอแคลร์ช็อกโกแลตกับวานิลลา, เยลลี่ลูกพีช, ไอศกรีม และวอลดอร์ฟพุดดิ้ง พุดดิ้งจานนี้มีส่วนประกอบสำคัญคือลูกเกด แอปเปิ้ล วอลนัท

ความตายเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดและไม่แน่นอน  ผู้มีชื่อเสียงหรือคนดังในประวัติศาสตร์หลายคนตายกะทันหัน และไม่ได้ตั้งตัว ซึ่งจริงๆ แล้ว คนธรรมดาหลายคนก็เป็นเช่นนั้น  เพียงแต่พวกเขาไม่ได้มีชื่อเสียงจนเราสนใจศึกษาชีวิตระยะสุดท้ายของเขา  เราจึงควรขอบคุณที่ได้มีโอกาสเรียนรู้เสี้ยวชีวิตก่อนตายของบุคคลดังๆ ข้างต้น เพื่อนำไปครุ่นคิดต่อว่าเราควรใช้ชีวิตที่ไม่แน่นอนนี้ต่อไปอย่างไร และอาจคิดเล่นๆว่า มื้อสุดท้ายของเราในโลกนี้ควรจะเป็นอะไรดี?


โดย ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน
2292  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / เงื่อนงำปริศนา ของภาพวาดสีน้ำมันโบราณ เมื่อ: 07 สิงหาคม 2556 07:10:48
.

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/08/03/361199/hr1667/630.jpg

ภาพตรึงกางเขนพระเยซู

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/08/03/361199/o7/420.jpg

ภาพขยายยานบินลึกลับในฉากตรึงกางเขนพระเยซู

คงจะไม่แปลก ถ้าใครสักคนจะกล่าวอ้างว่าครั้งหนึ่งในอดีต โลกของเราเคยมีสิ่งมีชีวิตสุดแสนชาญฉลาดจากนอกโลกมาเยือนแล้วหลายต่อหลายครั้ง เพราะชนเผ่ามนุษย์ถ้ำยุคก่อนประวัติศาสตร์อย่างเช่นชาวอะบอริจิน (Aborigin) ในทวีปออสเตรเลียและชนเผ่าอีกหลายทวีปทั่วโลก ได้บันทึกภาพวาดของสิ่งมีชีวิตศีรษะกลมเกลี้ยงมีดวงตาคู่ใหญ่เอาไว้บนผนังถ้ำเหมือนๆกันโดยมิได้นัดหมาย ว่าแต่นอกจากหลักฐานเหล่านี้แล้ว ยังมีอย่างอื่นอีกไหมที่แสดงให้เห็นถึงความน่าจะเป็นในการติดต่อกันระหว่างมนุษย์เดินดินธรรมดากับสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก

ทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน ขอนำแฟนานุแฟนไปชมภาพวาดศิลปะพรีโมเดิร์น (Pre-Modern) ในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1300 ถึง ค.ศ. 1800 ซึ่งพอจะมีเงื่อนงำบางอย่างให้ติดตาม เพราะเมื่อลองพินิจพิจารณาดูคร่าวๆ แล้ว ก็เหมือนว่าจะมีภาพของจานบินหรือยูเอฟโอ (UFO) ปรากฏอยู่หลายภาพเหมือนกัน

มาดูกันที่ภาพแรก ภาพนี้มีชื่อเรียกยาวเหยียดว่า “มาดอนน่าและทายาทกับทารกจอห์น แบ็พทิสต์” (Madonna and Child with the infant John the Baptist) เป็นภาพวาดสีน้ำมันสมัยช่วงประมาณปี ค.ศ. 1400 ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในประเทศอิตาลี ถ้ามองดูที่มุมขวาบนของภาพก็จะเห็นว่ามีวัตถุลึกลับคล้ายจานลอยตัวอยู่!! ดูแล้วไม่น่าจะใช่ก้อนเมฆธรรมดาๆ อีกทั้งด้านล่างของจานปริศนาก็มีภาพของคนและสุนัขกำลังเพ่งมองขึ้นไปยังวัตถุชิ้นนั้น นั่นหมายความว่ามันถูกวาดขึ้นอย่างจงใจ หรือจะเป็นสิ่งที่ช่างศิลป์มองเห็นบนฟากฟ้าในขณะที่เขากำลังรังสรรค์ผลงานชิ้นนี้!?

มาดูกันที่ภาพแรก ภาพนี้มีชื่อเรียกยาวเหยียดว่า “มาดอนน่าและทายาทกับทารกจอห์น แบ็พทิสต์” (Madonna and Child with the infant John the Baptist) เป็นภาพวาดสีน้ำมันสมัยช่วงประมาณปี ค.ศ. 1400 ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในประเทศอิตาลี ถ้ามองดูที่มุมขวาบนของภาพก็จะเห็นว่ามีวัตถุลึกลับคล้ายจานลอยตัวอยู่!! ดูแล้วไม่น่าจะใช่ก้อนเมฆธรรมดาๆ อีกทั้งด้านล่างของจานปริศนาก็มีภาพของคนและสุนัขกำลังเพ่งมองขึ้นไปยังวัตถุชิ้นนั้น นั่นหมายความว่ามันถูกวาดขึ้นอย่างจงใจ หรือจะเป็นสิ่งที่ช่างศิลป์มองเห็นบนฟากฟ้าในขณะที่เขากำลังรังสรรค์ผลงานชิ้นนี้!?

แท้ที่จริงแล้ว ภาพนี้เกี่ยวข้องกับการประสูติของพระเยซูโดยมีพระนางมารีย์ (Mary) ปรากฏเด่นอยู่ตรงกลางภาพ ส่วนทารกที่ยืนอยู่ก็คือจอห์น แบ็พทิสต์ และถ้าอ้างอิงจากพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาใหม่ (New Testament) ได้กล่าวถึงคนเลี้ยงแกะแห่งเบธเลเฮม (Bethlehem) ที่กำลังเฝ้าดูฝูงแกะของพวกเขาในช่วงเวลาแห่งการประสูติของพระเยซู โดยมีทูตสวรรค์และชาวสวรรค์ (Heavenly host) หมู่หนึ่งร่วมกันสรรเสริญพระเจ้า ดังนั้น บุคคลปริศนาและสุนัขของเขาก็คือกลุ่มของคนเลี้ยงแกะที่กำลังเพ่งมองขึ้นไปยังสิ่งที่ช่างศิลป์ต้องการสื่อถึง “ชาวสวรรค์” เท่านั้นเอง

ภาพต่อมาชื่อว่า “พระเยซูรับศีลจุ่ม” (Baptism of Christ) วาดโดยช่างศิลป์ชาวเนเธอร์แลนด์ ประมาณปี ค.ศ. 1710 ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในประเทศอังกฤษ จะเห็นจานวงกลมบริเวณด้านบนกำลังยิงลำแสงสี่เส้นลงมายังพื้นด้านล่าง ส่องให้เห็นบุคคลสำคัญสองท่าน ซึ่งก็คือพระเยซูและจอห์น แบ็พทิสต์

เราอาจจะตีความภาพนี้ออกเป็นสองทางด้วยกัน ทางแรก เจ้าจานปริศนาที่ปรากฏอยู่นั้นคือยูเอฟโอ หรืออีกทางหนึ่งก็คือเป็นเพียงแค่การแสดงออกทางศิลปะที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเท่านั้น



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/08/03/361199/o5/420.jpg

ภาพมาดอนน่า และ ทายาทกับทารก จอห์น แบ็พทิสต์

เมื่อมองเข้าไปชัดๆที่เกือบกึ่งกลางของวงกลมปริศนาก็จะพบว่ามันมีจุดแต้มสีขาวๆปรากฏอยู่ นั่นคือภาพของ “นกพิราบ” (Dove) สีขาว เรื่องราวที่ปรากฏจึงพาพวกเราย้อน กลับไปหาพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาใหม่กันอีกครั้งในบทจอห์น 1:32 (John 1:32) ที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเหมือนดังนกพิราบเสด็จลงมาจากสวรรค์”

ดังนั้น วงกลมในภาพนี้จึงเป็นการแสดง ออกถึงการปรากฏหรือการดำรงอยู่ของพระเจ้า โดยใช้แสงสี่เส้นในภาพเป็นตัวเน้นความโดดเด่นของบุคคล โดยจงใจใส่นกพิราบเข้าไปในภาพเพื่อสื่อถึงเรื่องราวในพระคัมภีร์ด้วย

ภาพที่สาม ดูแล้วทำให้หวนคิดถึงหนังเรื่อง ID4 สงครามวันดับโลก (Independence Day) ที่เข้าฉายเมื่อปี ค.ศ. 1996 เพราะในภาพปรากฏ ให้เห็นวัตถุทรงแบนขนาดใหญ่คล้ายจานบิน ลอยละล่องเหนือกรุงโรม พร้อมด้วยวัตถุทรงคล้ายจานบินเช่นนี้อีกร่วม 30 ลำด้านหลัง หรือมันจะเป็นวันดับโลกของกรุงโรมเมื่อ ค.ศ. 1428 ปีที่ภาพนี้ถูกวาดขึ้นกันแน่!?



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/08/03/361199/o9/420.jpg

ภาพอัศจรรย์แห่งหิมะ

ภาพนี้ได้ชื่อว่า “อัศจรรย์แห่งหิมะ” (Miracle of the Snow) อยู่ในประเทศอิตาลี สื่อถึงตำนานที่คนกลุ่มหนึ่งได้มีนิมิตเห็นพระแม่มารีย์ มีพระประสงค์ให้สร้างโบสถ์ในกรุงโรม โดยจะทำการระบุตำแหน่งของโบสถ์แห่งนั้นด้วยหิมะที่ตกลงมาจากฟากฟ้า

และแล้วเรื่องอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นกลางฤดูร้อนตอนเช้าของวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 358 หิมะได้ตกลงมาบนเนินเขาเอสควิลีน (Esquiline hill) ทิ้งร่องรอยเป็นแบบร่างของโบสถ์เอาไว้อย่างงดงาม

เมื่อดูภาพโดยรวมก็จะเห็นว่าหิมะกำลังตกอยู่ โดยที่ส่วนหนึ่งได้ปกคลุมที่พื้นเรียบร้อยแล้ว เหนือขึ้นไปด้านบนคือพระเยซูและพระแม่ มารีย์ประทับอยู่บนก้อนเมฆปริศนา ถัดลงมาด้านล่าง ปรากฏภาพพระสันตะปาปา (Pope) และชนชั้นสูงอีกจำนวนหนึ่งกำลังตรวจสอบร่องรอยของหิมะบนพื้น ดูเหมือนว่าหิมะจะมาจากก้อนเมฆปริศนาที่พระเยซูและพระแม่มารีย์ประทับอยู่ ซึ่งก้อนเมฆขนาดเล็กอีก 30 ก้อนคาดกันว่าน่าจะมีขนาดเท่ากับเจ้าก้อนใหญ่สุดทางด้านหน้านี่ล่ะครับ เพียงแต่ว่ามันอาจจะอยู่ไกลออกไปเท่านั้นเอง



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/08/03/361199/o8/420.jpg

ภาพพระเยซูรับศีลจุ่ม

อีกหนึ่งความเป็นไปได้ก็คือภาพของก้อนเมฆนั้น อาจจะแสดงให้เห็นถึงเส้นแบ่งระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ ดังนั้นภาพที่สามนี้ก็น่าจะเป็นเพียงแค่ตำนานเรื่องราวความมหัศจรรย์ของหิมะที่ตกในฤดูร้อนมากกว่าที่จะสื่อถึงจานบิน

ภาพที่สี่ เขยิบเวลามาจากภาพหิมะมาอีก 58 ปี คราวนี้เราได้เห็นภาพของจานบินปริศนาที่ยิงแสงเลเซอร์ลงมาใส่สตรีท่านหนึ่ง ภาพสีน้ำมันนี้มีชื่อว่า “ประกาศแห่งนักบุญอีมิดีอุส” (The Annunciation, with Saint Emidius) ถูกวาดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1486 ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในประเทศอังกฤษ

เรื่องราวในภาพนี้เกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาใหม่ เมื่อทูตสวรรค์ได้มาแจ้งแด่พระนางมารีย์ถึงการตั้งครรภ์และการถือกำเนิดของพระเยซู



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/08/03/361199/o10/420.jpg

ภาพประกาศแห่งนักบุญอีดิมีอุส

เราจะเห็นวัตถุวงกลมปริศนาปรากฏอยู่บนฟากฟ้าทางมุมซ้ายบนของภาพ มันยิงแสงออกมายังสตรีในบ้านทางมุมขวาล่างของภาพ ซึ่งก็คือพระแม่มารีย์นั่นเอง และเมื่อมองตามแสงเลเซอร์ขึ้นไปแล้วก็จะพบว่าเหนือศีรษะของนางไปเพียงเล็กน้อย  มีนกพิราบตัวหนึ่งขวางลำแสงอยู่ เป็นไปได้ว่าช่างศิลป์ต้องการให้ลำแสงคล้ายเลเซอร์และนกพิราบมีความหมายประกอบกันถึงฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (Holy Spirit) ที่ส่งผลให้นางตั้งครรภ์

แล้วเจ้าวัตถุคล้ายจานบินนั้นคืออะไรล่ะ ถ้าได้ลองขยายออกมาดูให้ชัดๆกันแล้วล่ะก็ จะพบว่าเป็นวงแหวนที่เกิดจากเหล่าทูตสวรรค์สองวงซ้อนกัน และมองเห็นรายละเอียดหน้าตาของทูตสวรรค์ในวงกลมปริศนานั้นได้คร่าวๆ อีกด้วย

ภาพพิศวงภาพสุดท้าย ภาพนี้ปรากฏเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1350 เป็นภาพพระเยซูถูกตรึงกางเขน (Crucifixion) เมื่อสังเกตที่มุมซ้ายบนและมุมขวาบนของภาพแล้วก็ต้องฉงนกับยานบินลึกลับที่เสมือนว่าขอมีส่วนเอี่ยวในเหตุการณ์นี้ด้วยยังไงยังงั้น


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/08/03/361199/o6/420.jpg

ภาพยานบินปริศนาที่จริงแล้วคือวงแหวนทูตสวรรค์

ภาพนี้เป็นส่วนหนึ่งของภาพปูนเปียก (Fresco) บนผนังวิหารแห่งหนึ่งทางตะวันตกของโคโซโว (Kosovo) เมื่อลองพิจารณาที่ยานบินลำขวามือในภาพ (ซ้ายมือของพระเยซู) ก็จะพบว่ามันเป็นยานบินสีเงิน ภายในปรากฏร่างของมนุษย์ที่น่าจะเป็นสตรี เนื่องจากมีผมเผ้ายาวสวยกำลังหันหน้ามาด้านหลัง มองข้ามไหล่ตัวเองมายังภาพของพระเยซู ส่วนภาพยานบินลำซ้ายมือมีสีแดง ปรากฏภาพของมนุษย์ผมสั้น ซึ่งคาดว่าเป็นบุรุษในชุดผ้าคลุมยาว กำลังขับยานปริศนามุ่งเข้ามาหาพระเยซู

นั่นหมายความว่ามีใครบางคนจากนอกโลกเข้ามาร่วมสังเกตเหตุการณ์ตรึงกางเขนพระเยซูด้วยเช่นนั้นหรือ แต่ทว่าในมุมมองของนักประวัติศาสตร์แล้ว พวกเขาเสนอว่าโดยปกติแล้ว ในศิลปะไบเซนไทน์ (Byzantine) ที่ปรากฏในโบสถ์ยุคกลางนั้น  มักจะมีแบบแผนการแสดงภาพที่ค่อนข้างเป็นมาตรฐานอยู่ ซึ่งยานอวกาศสีแดงหมายถึงดวงอาทิตย์ ส่วนยานอวกาศสีเงินนั้นก็หมายถึงดวงจันทร์ เนื่องด้วยถ้าต้องมีการแบ่งเพศแล้ว พวกเขามักจะให้ดวงจันทร์เป็นเพศหญิงและพระอาทิตย์เป็นเพศชาย อีกทั้งพวกเขามักจะแสดงภาพของดวงอาทิตย์เอาไว้ทางด้านขวามือของพระเยซูและดวงจันทร์อยู่ทางด้านซ้ายมือของพระเยซู

ถึงอย่างนั้นก็ต้องบอกว่า การตีความที่เสนอไปส่วนใหญ่อ้างอิง “ตรรกะ” ที่ฟังดูแล้วสมเหตุสมผลเท่านั้น ยังไม่มีใครสามารถฟันธงได้อย่างชัดเจน ว่าวงกลมปริศนาที่ปรากฏในภาพศิลปะยุคพรีโมเดิร์นทุกชิ้น  จะไม่ได้มีความหมายอื่นใดนอกเหนือไปจากสิ่งที่เราสามารถอธิบายได้ด้วยตรรกะจริงหรือไม่ เพราะไม่แน่นะครับ ภาพเหล่านี้แท้ที่จริงแล้วอาจจะเป็นหลักฐานชั้นดีที่แสดงให้เห็นว่าโลกของเราเคยมียานบินจากต่างดาวแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยียนหลายต่อหลายครั้งแล้วก็เป็นได้.



โดย  ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน...ณัฐพล เดชขจร
 
2293  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ / Re: ของขลังจากสัตว์ มีฤทธิ์ในตัวเองโดยไม่ต้องปลุกเสก เมื่อ: 05 สิงหาคม 2556 19:20:47
.



เครื่องขลังที่ฝังอยู่ใต้ดิน
"ว่านจักจั่น"  
พืชมหัศจรรย์ที่ปรากฏกายเป็นสัตว์

ความลับที่ซ่อนอยู่ในร่างของวัตถุบูชารูปร่างประหลาดที่เรียกกันว่า ว่านจักจั่น  สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ ที่จะดลบันดาลให้มีโชคลาภร่ำรวยจากการสักการะบูชา

เชื่อกันว่า ว่านจักจั่น คือ พืชมหัศจรรย์ เป็นเครื่องรางของขลังที่ฝังอยู่ใต้ดิน ปรากฏกายเป็นสัตว์คล้ายกับตัวจักจั่น หากใครนำไปบูชา จะร่ำรวย ได้โชคได้ลาภ ทำมาหากินเจริญรุ่งเรือง และมีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนดังเสียงร้องที่ก้องกังวานของจักจั่น

กระแสความเลื่อมใสศรัทธาในตัวว่านจักจั่น ยังได้รับความนิยม และลุกลามไปทั่วประเทศ ว่านจักจั่นร้อยกว่าตัวถูกส่งมาที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก เพื่อทำพิธีกรรมปลุกเสก ร่ายมนต์คาถามหานิยมให้มีความแข็งกล้ามากขึ้น จากพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ทำให้ว่านจักจั่นธรรมดากลับกลายมาเป็นพญาว่านกายสิทธิ์ ทำให้ราคาซื้อขาย พุ่งสูงขึ้น จากหลักสิบ กลายเป็นหลักพันหลักหมื่นในพริบตา

ว่านจักจั่น เกิดจากตัวอ่อนของจักจั่นกำลังลอกคราบเป็นตัวเต็มวัยแต่ติดเชื้อราจนตาย จากนั้นเชื้อราก็จะเข้าไปกินน้ำเลี้ยงในตัวจั๊กจั่น ซากอัปสปอร์บริเวณหัวทำให้จั๊กจั่นมีลักษณะคล้ายกับพืชที่มีเขา เมื่อสภาพอากาศเหมาะสม สปอร์ของเชื้อราก็จะเจริญเติบโต และแพร่กระจายต่อจักจั่นตัวอื่นๆ ต่อไป

ดังนั้น ว่านจักจั่นจึงเป็นเพียงซากจักจั่นที่มาราแมลงอาศัยอยู่เท่านั้นเอง ราแมลงที่พบในว่านจักจั่นส่วนใหญ่คือ ราสายพันธุ์คอร์ไดเซพ โซโบลิเฟอรา (Cordyceps sobolifera) และพบได้ในพื้นที่ป่าดิบชื้อของไทย ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่ราแมลงสามารถเจริญเติบโตได้ดี
2294  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / การลงทัณฑ์หฤโหด ในซีกโลกตะวันตกโบราณ เมื่อ: 04 สิงหาคม 2556 11:28:44
.

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/07/10/95193/hr1667/630.jpg


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/07/10/95193/o4/420.jpg

การโบยด้วยแส้

การลงโทษลงทัณฑ์ให้ต้องทรมานสุดสาหัสนั้นมีมานานนับพันปีในอดีตกาลแล้ว โดยเฉพาะในซีกโลกตะวันตก  ซึ่งจะขอนำมาเล่าในที่นี้
 
อย่างแรก ได้แก่ การฉีกแข้งฉีกขา  (rack torture)  ซึ่งมีขึ้นตั้งแต่กรีกโบราณที่ใช้ในการทรมานทาส  โดยกรีกมองเห็นทาสเป็นเหมือนมิใช่มนุษย์ จะลงโทษลงทัณฑ์ให้โหดสุดๆ แค่ไหนก็ทำได้ จึงนำมาพันธนาการด้วยการเอาเชือกรั้งแขนขาแล้วดึงออกมาทั้งสี่ทิศ ซึ่งอาจใช้รอกดึงหรือใช้ ม้าลากก็ได้ ค่อยๆ ดึงแบบช้าๆ เพื่อเพิ่มความเจ็บปวดให้นักโทษหรือทาสทีละน้อย  กระทั่งแขนขาเริ่มฉีกขาดออกจากตัว  คิดดูละกันว่าผู้ถูกทรมานจะร้องโหยหวนดังและนานเพียงใดกว่าจะสิ้นชีพ
 
เรื่องนี้   ดร.ไมค์   เอ็ดวาร์ด   ศัลยแพทย์กระดูก ให้ความเห็นว่า"เรามักจะคิดว่านักโทษเจ็บปวดจากการที่เอ็นและกล้ามเนื้อฉีกขา แต่ที่จริงแล้วสองอย่างนี้ สามารถยืดตัวได้ยาวและรับแรงดึงได้ดี  กลับเป็นส่วนกระดูกที่เราคิดว่าแข็งแรงแต่มันจะแตกร้าว และเป็นส่วนที่โดนฉีกขาดไปจากลำตัว  ทั้งนี้เพราะในกระดูกนั้นมีส่วนที่เป็นแผ่นเนื้อเยื่อที่เกิดใหม่ และอ่อนแอที่สุด"

ดังนั้น  จึงสรุปได้ว่า  การฉีกแข้งฉีกขาโดยเพิ่มแรงดึงช้าๆทีละน้อยนั้น  เส้นเอ็นจะไม่เสียหายมากนัก  หากแต่กระดูกจะแตกทำลาย  ส่วนในกรณีที่ใช้วิธีกระชากโดยแรงเส้นเอ็นจะขาดกระจุย  โดยกระดูกจะคงอยู่ได้


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/07/10/95193/o5/420.jpg


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/07/10/95193/o6/420.jpg

วลัด นั่งดื่มกินอย่างสบายใจ ท่ามกลางหมู่คนที่โดนเสียบ
 
 
การลงทัณฑ์มหาโหดที่ 2 คือ ห่อหุ้มตัวด้วยเชื้อเพลิงแล้วเผาให้กลายเป็นมนุษย์ติดไฟ (human fireball) โลกโรมันโบราณมีวิธีการหาความบันเทิงโดยเอามนุษย์มาจุดติดไฟวิ่งไปมาภายในสนาม มหรสพ หรือ แอมฟิเธียเตอร์ (Amphitheatre) ที่มีอยู่ทั่วอาณาจักรโรมัน  โดยผู้ที่โปรดปรานการได้ดูได้ชมมากที่สุดก็คือ จักรพรรดิเนโร (Nero) ผู้โด่งดังอื้อฉาวนั่นเอง  มีบันทึกเมื่อศตวรรษที่ 1 โดยกวี  ลูซิลลิอุส   (Lucillius)  ว่าเนโรได้นำเอาวิธีการเผามนุษย์หรือเรียกกันว่า ตูนิกา โมเลสตา (Tunica Molesta)  มาจากตำนานเทพเจ้าตอนที่  เฮอร์คิวลิส  (Hercules)  ผู้ทรงพลัง ต้องม้วยมรณาด้วยยาพิษร้ายแรงชนิดหนึ่ง  เมื่อเฮอร์คิวลิสดื่มยาพิษนี้เข้าไป เนื้อภายในร่างก็ถูกเผาผลาญไปจนถึงกระดูก  ความเจ็บปวดรวดร้าวนั้นเกินทน  จนเฮอร์คิวลิสต้องใช้ไฟเผาร่างตนเอง
 
สำหรับในโรงมหรสพแอมฟิเธียเตอร์ของโรมันนั้นคาดว่านักโทษคงถูกหุ้มร่างด้วยผ้าลินินแล้วชโลมด้วยน้ำมันไวไฟแนพธา  (naptha) จนชุ่ม  เมื่อจุดไฟก็จะลุกพรึบท่วมร่างนักโทษ ความร้อนจะทำให้เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายต้องลุกวิ่งทุรนทุรายร้องโหยหวนไปรอบสนาม  สร้างความตื่นเต้นสุดๆ แก่ทั่นผู้ชม


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/07/10/95193/o7/420.jpg

วลัดจอมเสียบ

เรื่องนี้ สก็อต แม็คอินไทร์ ผู้เชี่ยวชาญการทำดอกไม้ไฟ ให้ความเห็นว่า จักรพรรดิเนโรอาจใช้วัสดุประเภทขี้ผึ้งใส่เพิ่มเติมลงไปในชุดตูนิกา โมเลสตา  เพื่อให้มีเชื้อเพลิงมากขึ้นและสามารถ ยืดระยะเวลาการติดไฟของมนุษย์บอลล์เพลิงได้  เพราะถ้าใช้เพียงแต่แนพธา  ก็จะมอดไหม้ในแค่ 1 นาที แต่ขี้ผึ้งจะยาวนานไปอีก 3 เท่าตัว  ไหม้ลึกลงไปถึงใต้ผิวหนังและสร้างความเจ็บปวดมหาศาล


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/07/10/95193/o8/420.jpg

ลูกแพร์ สุดทรมาน

การลงโทษแบบที่ 3 คือ โบยด้วยแส้  (whipping)  ซึ่งเป็นแบบที่ใช้กันกว้างขวางทั่วโลก  และโรมันโบราณก็มีชื่อลือเลื่องในเรื่องนี้ จากการเฆี่ยนตี จีซัส ไครสท์ หรือ พระเยซู ไปตลอดเส้นทางที่ไปสู่สถานที่ตรึงไม้กางเขน
 
แส้ธรรมดาๆนั้นก็สร้างความเจ็บปวดอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีการออกแบบให้มีตะขอคมๆติ ดไว้เป็นพวงที่ปลายแส้อีกด้วย  ยามที่ตะขอเกี่ยวลึกลงไปในเนื้อแล้วกระชากกลับนั่นก็จะดึงเอาเนื้อหนังกระจุยขาดวิ่นจนเลือดกระฉูด  ดังนั้น  จึงมีกฎข้อหนึ่งซึ่งอาณาจักรโรมันกำหนดไว้ คือ ให้เฆี่ยนได้ไม่เกิน 40 ครั้ง  เพราะถ้าเกินกว่านี้นักโทษจะทนไม่ไหวและตายคาหลักที่มัดไว้
 
แบบที่ 4 ยัดปากด้วยลูกแพร์สุดทรมาน (Pear of anguish)  ลูกแพร์ที่ว่านี้ทำด้วยเหล็ก ประกอบด้วยกลีบ 4 กลีบ โดยมีเกลียวอยู่ตรงกลางภายใน รูปร่างลักษณะและขนาดละม้ายคล้ายผลแพร์ แต่เมื่อบิดก้านที่เป็นด้ามจับ กลีบทั้งสี่ก็จะขยายบานออกช้าๆ กว้างกว่าเดิมถึง 3 เท่า

ลูกแพร์เหล็กมีใช้ตั้งแต่สมัยยุคกลางในยุโรป เมื่อเอาใส่ปากนักโทษแล้วกลีบขยายออกก็ลองนึกภาพดูว่าสยดสยองแค่ไหน นอกจากปากฉีกและฟันแตกหักแล้ว มันยังปิดกั้นช่องทางหายใจด้วย

ดร.แคเธอรีน อดัมส์ ทันตแพทย์หญิง กล่าวว่า สิ่งแรกที่เกิดขึ้นกับนักโทษผู้เคราะห์ร้ายก็คือฟัน แรงดันจากกลีบทั้งสี่นั้นทำให้ฟันบางซี่ แตกร้าว และฟันก็เป็นส่วนที่มีเส้นประสาทเชื่อมต่ออยู่มากมาย  นักโทษจึงเจ็บปวดแสนสาหัส  และเมื่อกลีบยังคงขยายกว้างขึ้นอีกก็จะไปดันเหงือกและกราม กลีบและฟันจะกดกรามด้านใน และดันออกไป...ออกไป  กระทั่งในที่สุดฟันกรามก็หลุดจากเหงือก

ถัดจากนั้นเหงือกก็จะอักเสบและบวมเป่ง เหงือกด้านในจะปิดกั้นช่องอากาศ การหายใจก็ลำบากเข้าทุกที  ทำให้ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เมื่อเลือดขาดการส่งออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง  และหัวใจก็จะเกิดสภาวะหัวใจล้มเหลว...นำไปสู่ความตายอย่างรวดร้าวยิ่ง


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/07/10/95193/o9/420.jpg

เครื่องฉีกแข้งฉีกขา

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/07/10/95193/o10/420.jpg

การเผาทั้งเป็น

แบบที่ 5 การเผาทั้งเป็น (burning at stake) ยาวนานกว่า 700 ปีในช่วงสมัยยุคกลางของยุโรป ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงได้บังเกิดขึ้นจากการลงโทษทัณฑ์ของศาสนจักรโรมันคาทอลิก ที่มีต่อผู้คน ซึ่งขาดศรัทธาในคริสต์ศาสนา เขาเหล่านั้นมีบาปหนักที่ต่อต้านพระเจ้า  หลายหมื่นคนจึงถูกนำตัวไปมัดติดกับเสาเหล็กแล้วโดนเผาทั้งเป็น...อันนับเป็นความปรานียิ่งแล้วของทางโบสถ์  เพราะวิญญาณของเขายังมีโอกาสขึ้นสู่สวรรค์ได้ แทนที่จะต้องไปถูกเผาด้วยไฟนรก!?
 
ปี ค.ศ.1555  สาธุคุณ  จอห์น  ฮูเปอร์  (John Hooper) บิชอปแห่งกลอสเตอร์ ถูกเผาทั้งเป็นด้วยข้อหาอารยะขัดขืน ไม่ยอมเปลี่ยนจากการนับถือนิกายเชิร์ช ออฟอิงแลนด์  ไปเป็นคาทอลิก ท่านบิชอปยังคงมีสติในขณะที่เปลวไฟลุกไหม้รอบตัว  ท่านพร่ำสวดมนต์ไปเรื่อยๆ แม้เปลวไฟจะสูงจนถึงใบหน้าของท่าน กระทั่งใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำ  และลิ้นบวมจุกปาก  ท่านเปลี่ยนมาใช้มือทั้งสองทุบหน้าอกแทน  กว่าท่านจะหมดลมหายใจก็กินเวลานานถึง 45 นาที
 
เรื่องนี้  ดร.ไมค์ เอ็ดวาร์ด  ให้ความเห็นว่า ท่านน่าจะสิ้นใจไปก่อนหน้านี้แล้ว 45 นาทีนั้น  คงเป็นเวลาที่ใช้สำหรับเผาร่างของท่านให้มอดไหม้หมดไป  การที่ปากของท่านขยับอยู่ได้คงเนื่องมาจากกล้ามเนื้อหดตัว  จึงเกิดอาการกระตุก  เช่นกันกับข้อศอกก็มีการหดตัวจึงดูเสมือนว่าท่านทุบตีอกตนเอง
 
ทรมาทรกรรมแบบสุดท้าย สุดโหด ได้แก่ การเสียบทั้งเป็น (Impalement)ผู้ ที่เลื่องชื่อที่สุดในการเสียบทั้งเป็นมนุษย์ ตาดำๆ ด้วยกันก็คือ  วลัด  แดรกคูล่า  (Vlad Dracula)  ผู้ปกครองแคว้นวัลลาเชีย   (Wallachia) อยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศโรมาเนียในปัจจุบัน ซึ่งตำนานความเหี้ยมโหดแห่งเขาผู้นี้ได้ถูกนำมาเป็นเรื่องราวสยองขวัญของจอมผีดิบดูดเลือดเคานท์แดรกคูล่า ซึ่ง แบรม สโตเกอร์ (Bram Stoker)  ประพันธ์ขึ้นนั่นเอง  ฉายาของท่านวลัด ก็คือ "วลัด จอมเสียบ (Vlad the Impaler)"
 
มีหลักฐานชัดเจนว่า หลาวที่วลัดนำมาใช้เสียบผู้คนนั้นทำจากต้นสน โดยวลัดจะมีทีมงานที่เรียกว่า แอมลาส (A mlas) ทำหน้าที่แสวงหาไม้สนที่มีลำตรงจากในป่า  พอตัดมาแล้วก็เหลาปลายให้แหลมเปี๊ยบ ปลายหนึ่งปักแน่นกับพื้นดิน อีกปลายหนึ่งชูตั้งเด่บนดิน  จากนั้นก็นำเหยื่อมาเสียบทะลุจากก้นขึ้นมาโผล่บนอก  หรือไม่ก็ทางปาก  เป็นที่น่าหวาดเสียวสยดสยองยิ่งนัก  นับเป็นความหฤหรรษ์สะใจของท่านวลัดที่จะได้เห็นมนุษย์ถูกเสียบร้องโหยหวนอยู่เป็นชั่วโมงๆ หรืออาจนานถึง 2 วัน...กว่าจะขาดใจตาย

ประวัติศาสตร์บันทึกว่าในปี ค.ศ.1462 ทัพใหญ่ของเติร์กได้ยกมาที่วัลลาเชีย และวลัดตั้งรับต่อสู้ แต่ด้วยไพร่พลน้อยกว่าฝ่ายเติร์ก เมื่อสู้ไม่ได้ ก่อนจะยอมตายวลัดได้สั่งให้เสียบมนุษย์ราว 20,000 คน! มีทั้งเชลยเติร์ก แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นราษฎรวัลลาเชียเอง!
 
ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน
2295  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / เปิดตำนาน "คาวบอย" ปืนคืออำนาจ การไล่ล่า การปล้นฆ่ากลางเมือง ไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อ: 04 สิงหาคม 2556 10:43:26
.

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/hr1667/630.jpg



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o5/420.jpg


หลังจากเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในสหรัฐอเมริกา ระหว่างกองทัพของรัฐบาลฝ่ายเหนือกับกองทัพฝ่ายใต้ระหว่าง ค.ศ.1861-1865 เป็นยุคของการบุกเบิกจากดินแดนทางเหนือและฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตกของประเทศ ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ซึ่งชาวยุโรปไม่กล้าไปอยู่ เพราะมีแต่ความแห้งแล้งและเป็นถิ่นของคนพื้นเมืองที่ไม่คุ้นเคยกับผู้อพยพชาวยุโรป จนกระทั่ง เมริเวเธอร์ ลิวอิส และ วิลเลียม คล๊าก 2 นักสำรวจประสบความสำเร็จในการออกเดินทางจากฝั่งตะวันออกไปจนถึงชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ (การสำรวจครั้งนี้เป็นไปตามความประสงค์ของประธานาธิบดี โธมัส เจฟเฟอร์สัน) ในยุคนั้น คนที่มุ่งหน้าไปทางตะวันตกมีสองพวกคือ คนที่ต้องการสร้างเนื้อสร้างตัวและมีโอกาสจับจองที่ดินเป็นของตนเอง กับพวกที่ทำผิดกฎหมายแล้วหนีความผิดไป


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o10/420.jpg

ยุคสมัยของคาวบอย ปืนคืออำนาจ

หากย้อนไปดูประวัติศาสตร์แล้ว การบุกเบิกที่ว่านั้นเริ่มขึ้นหลังสงครามกลางเมืองในสหรัฐฯ เลยไปจนเข้าช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 ยุคนั้นคนอเมริกันเรียกว่า Old West หรือ Wild West และพื้นที่ที่จัดว่ายังเป็นแดนเถื่อนอยู่นั้น ได้แก่ดินแดนซึ่งอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำมิซซิสซิปปีทั้งหมด


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o11/420.jpg

คนในยุค Wild West ต้องมีปืนไว้ป้องกันตัว

ราว ค.ศ.1867 เมื่อเส้นทางของรางรถไฟขยายตัวสู่ทิศตะวันตกมากขึ้น ทำให้ธุรกิจส่งฝูงวัวจากตอนกลางของประเทศไปเลี้ยงคนในภาคตะวันออกเติบโตตามไปด้วย คนต้อนวัวหรือ “คาวบอย” จึงเป็นที่ต้องการมาก อาชีพนี้แม้จะทำรายได้ดี แต่ก็เป็นอาชีพที่อันตรายมาก เพราะต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลาง ทะเลทรายที่อากาศสุดโหด แถมยังมีความเสี่ยงจากการถูกโจมตีโดยโจรผู้ร้ายและพวกอินเดียนอีก คาวบอยที่เราคุ้นเคยนั้นส่วนใหญ่จะเป็นคนผิวขาว แต่ในความเป็นจริงแล้วคาวบอยมีคนผิวสีด้วย อย่างเช่น คนผิวดำที่มาจากทาส พวกเม็กซิกันที่จะพบมากแถบพื้นที่ที่ติดกับประเทศเม็กซิโก นอกจากนั้นยังมีชาวอินเดียนจำนวนหนึ่งที่ปรับตัวเข้ากับคนผิวขาวได้ แต่เนื่องจากดินแดนตะวันตกในยุคนั้นห่างไกลจากความเจริญและเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ผู้คนที่อพยพเข้าไปทำมาหากินที่นั่นจึงต้องพกปืนเพื่อป้องกันตัว การตัดสินข้อพิพาทต่างๆด้วยปืนถือเป็นเรื่องปกติของคนยุค


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o8/420.jpg

ชนพื้นเมืองเจ้าของแผ่นดินก็ปะทะกับคาวบอยอยู่บ่อยครั้ง

ตลอดระยะเวลา 40-50 ปีของยุค Wild West มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่นั่น จนกลายเป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติอเมริกาไปอย่างน่าสนใจ อาทิ  การตื่นทองที่แคลิฟอร์เนีย เมื่อ ค.ศ.1848-1855 หลังจาก เจมส์ ดับบลิว มาร์แชล พบทองในแม่น้ำขณะที่กำลังก่อสร้างโรงเลื่อยไม้ของเขา ข่าวการพบทองแพร่ออกไปทั่วประเทศ เมื่อหนังสือพิมพ์ซานฟรานซิสโกนำไปตีพิมพ์ เดิมทีเดียวไม่ค่อยมีใครสนใจมากนัก เพราะไม่คิดว่าเป็นความจริง แต่ไม่นานผู้คนจากทุกทิศจำนวนราวสามแสนคนก็แห่กันไปที่แคลิฟอร์เนียเพื่อหาทอง จากหมู่บ้านเล็กๆที่มีคนอาศัยอยู่เพียง 200 หลังคาเรือน ภายในเวลาเพียง 5-6 ปีการหลั่งไหลของนักขุดทองทำให้ซานฟรานซิสโกเติบโตขึ้นกลายเป็นเมืองใหญ่ มีการตัดถนน สร้างบ้านพัก โบสถ์และโรงเรียนขึ้นจำนวนมาก และแบ่งแคลิฟอร์เนียออกมาเป็นรัฐรัฐหนึ่งเมื่อ ค.ศ.1850 อย่างไรก็ดี การตื่นทองครั้งนั้นทำให้เกิดการบุกรุกเข้าไปแย่งพื้นที่ของชนพื้นเมือง เป็นเหตุทำให้คนอินเดียนแดงเสียชีวิตไปราวหนึ่งแสนคนนับจากปี 1848-1868


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o9/420.jpg

การปล้นฆ่ากันกลางเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก

Pony Express เมื่อ ค.ศ.1860 เกิดไปรษณีย์ด่วนที่คอยส่งจดหมายและพัสดุขนาดเล็กโดยใช้ม้าเร็ว บนระยะทางกว่าสองพันไมล์ จากเมืองเซนต์โยเซฟ รัฐมิสซูรี ไปจนถึงเมืองซาคราเมนโต รัฐแคลิฟอร์เนีย วิธีการคือ แบ่งเส้นทางออกเป็นช่วง

ช่วงละ 75-100 ไมล์ บุรุษไปรษณีย์หนึ่งคนจะรับส่งในช่วงที่ตนรับผิดชอบเท่านั้น ซึ่งในแต่ละช่วงก็จะเตรียมม้าไว้เปลี่ยนทุกๆ 10-15 ไมล์ เมื่อไปถึงสุดช่วงของตนก็ส่งจดหมายและพัสดุให้คนที่อยู่ช่วงถัดไปรับต่อ ส่วนตนเองก็รับจากคนนั้นเอากลับไปส่งในเส้นทางเดิมของตน คือส่งทั้งไปและกลับนั่นเอง อาชีพนี้เป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะเส้นทางที่ต้องไปส่งนั้นเป็นทั้งทะเลทราย และอาจเจอกับโจรดักปล้นหรือเจออินเดียนที่ไม่เป็นมิตรเมื่อไหร่ก็ได้ ผู้ที่รับงานนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นเด็กกำพร้าอายุไม่เกิน 18 ปี รูปร่างเล็ก ผอม เพื่อไม่ให้ม้ารับภาระหนักเกินไป โดยปกติการส่งจากต้นทางไปถึงปลายทางจะใช้ เวลาราวหนึ่งสัปดาห์ ค่าบริการก็ตกราวๆออนซ์ละ 10 ดอลลาร์ (28.5 กรัม โดยประมาณ) การส่งพัสดุแบบนี้มีอายุไม่ถึงสองปี เพราะหลังจากเครือข่ายโทรเลขสร้างไปถึงแคลิฟอร์เนียในปี 1861 บริการนี้ก็ยุติลงทันที

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o12/420.jpg

ปืนแบบที่ใช้ในยุคนั้น

แก๊งโจรและมือปืน ตลอดระยะเวลาในยุค Wild West มีผู้ร้ายที่รวมตัวกันเป็นแก๊งขึ้นมาเพื่อปล้นธนาคาร รถไฟ ฝูงปศุสัตว์ และผู้คนที่เดิน ทาง นับได้ร่วม 50 แก๊ง ซึ่งทำให้เกิดดาวเด่นทั้งในด้านที่ดีและด้านไม่ดีขึ้นมาจนกลายเป็นตำนานคาวบอยเป็นจำนวนมาก แต่ที่โดดเด่นที่สุดสองคนน่าจะได้แก่ บิลลี่ เดอะ คิด และ เจสซี่ เจมส์ แม้ว่าจะไม่ได้ร่วมมือกันหรือเป็นศัตรูกัน แต่ทั้งสองก็มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันช่วงหนึ่ง


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o13/420.jpg

ประกาศจับบิลลี่ เดอะ คิด

บิลลี่ เดอะ คิด (Billy the Kid) วิลเลียม เอช. บอนนี (William H. Bonney) คือชื่อจริงของ บิลลี่ เดอะ คิด เด็กหนุ่มผู้กลายเป็นโจรค่าหัวสูงคนหนึ่ง ด้วยความสูง 173 ซม. ตาสีฟ้า ผิวพรรณดี ชอบแต่งตัวเนี้ยบแบบมีรสนิยม และมีจุดเด่นอยู่ที่ฟันหน้าซี่ใหญ่สองซี่ แถมยังยิงปืนได้แม่นและเร็ว บิลลี่จึงเป็นหนึ่งในตำนานของคาวบอยที่ได้รับการกล่าวถึงเสมอๆนี้ เริ่มต้นชีวิตในแดนเถื่อนด้วยการเป็นเด็กรับใช้ในคาราวานต้อนวัว เขาเริ่มต้นความเป็นเสือปืนไวด้วยการสังหารคาวบอยอีกคนหนึ่งหลังจากเกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้นในบาร์แห่งหนึ่ง จำนวนตัวเลขของเหยื่อจากกระสุนปืนของเขานั้นไม่ชัดเจนนัก เพราะบางแห่งบอกว่าเขาสังหารคนไปถึง 21 คน แต่บางแห่งบอกไว้แค่ 9 คน เหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เขาโด่งดังขึ้นมาคือ การหลบหนีออกจากห้องขังระหว่างที่คอยการรับโทษด้วยการแขวนคอที่เรือนจำลินคอล์น นิวเม็กซิโก แต่ก็เช่นเดียวกับเสือปืนไวที่มีค่าหัวคนอื่นๆ ปี ค.ศ.1881 บิลลี่ถูกยิงตายด้วยวัยเพียง 21 ปี


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o7/420.jpg

ยุคตื่นทองในแคลิฟอร์เนีย

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o6/420.jpg

เจสซี่ เจมส์

โดยนายอำเภอ แพต การ์เรต เจสซี่ เจมส์ (Jesse Woodson James) เป็นคาวบอยรูปหล่อ มาดดี จากรัฐมิสซูรีที่มีคนรู้จักมากที่สุดคนหนึ่ง เขาเป็นหัวหน้าแก๊งชื่อ James-Younger Gang ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการปล้นธนาคาร รถไฟ และเป็นมือปืนที่ยิงคนตายไปแล้วหลายราย เจสซี่ เจมส์ และ พี่ชาย แฟรงค์ เจมส์ นั้น มีส่วนร่วมรบในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมือง คือเป็นทหารกองโจรให้กับกองทัพฝ่ายใต้ มีการเล่ากันว่า เจมส์นั้นต่างจากคาวบอยส่วนใหญ่ที่มักจะทำตัวเหมือนอันธพาลและมีชีวิตอยู่กับเหล้าและผู้หญิงไปวันๆ แต่เขาไม่ดื่มเหล้า ไม่ติดการพนันและรักครอบครัว ยังมีการเล่ากันมาว่า เขาเป็นเหมือนกับโรบินฮู้ด คือปล้นจากคนรวยไปแจกให้กับคนจน (แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน) จึงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและมีภาพลักษณ์ที่ดีในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เรื่องราวของเขายังถูกเล่าขานจนเป็นหนึ่งในตำนานคาวบอย ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วหลายครั้ง แถมยังมีนักร้องที่ร้องเพลงเกี่ยวกับเขาอีกหลายเพลงด้วยมาโดยตลอด ด้วยวัยเพียง 34 ปี เจมส์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 เมษายน 1882 โดยถูกหนึ่งในสมาชิกของแก๊งชื่อโรเบิร์ต ฟอร์ด ยิงเพื่อเอาค่าหัวจากทางการ


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o4/420.jpg

ซาลูน ที่สังสรรค์ของคาวบอย

ในอดีต หนังคาวบอยที่เราได้ดูกันนั้นเกือบทั้งหมดเป็นเรื่องของคาวบอยในสหรัฐอเมริกา คลินต์ อีสต์วูด เป็นผู้ที่ทำให้หนังคาวบอยเป็นที่นิยมมากในช่วงปลายทศวรรษที่ 60 ไปจนถึงต้นทศวรรษที่ 90 ซึ่งก่อนหน้านั้นเป็นยุคของจอห์น เวย์น ที่แทบจะเหมาบทบาทของคาวบอยผู้มีคุณธรรมสูงไปเล่นเพียงคนเดียวก็ว่าได้ แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมาวงการหนังฝรั่งดูจะห่างหายจากเรื่องคาวบอย จนทำให้ภาพการควบม้าไล่ล่ากันในทะเลทราย, การดวลปืนกันบนถนนกลางเมือง, การประหมัดกันอย่างดุเดือดในบาร์ขายเหล้าที่เรียกว่า ซาลูน (Saloon) ฯลฯ แทบจะเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน แต่ปีนี้ Django Unchained คงทำให้ตำนานคาวบอยแห่งดินแดนตะวันตกกลายเป็นเรื่องที่ผู้คนต้องนำกลับมาเล่าขานกันอีกครั้ง.



ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน  โดย "คนเหนือ"
2296  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ร้อยภูติ พันวิญญาณ / เปิดตำนาน วิญญาณสุดเฮี้ยน เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2556 17:44:57
.

แม้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปมากสักเพียงใด แต่เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ เรื่องอาถรรพณ์ วิญญาณหลอน ภูตผีปีศาจสุดเฮี้ยน ก็ยังถูกกล่าวขานถึงมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหน ทันสมัยไฮเทคสักเพียงใดก็ตาม เมืองไทยเรานั้นขึ้นชื่อเรื่องประเภทนี้มานานแล้ว โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องผีสางที่คอยหลอกหลอนให้คนขวัญอ่อนได้ขนลุกขนพองกัน แต่ประเทศชั้นนำของโลกอย่างญี่ปุ่น อังกฤษ และสหรัฐอเมริกานั้น เขามีเรื่องสุดยอดของความเฮี้ยนระดับโลกอย่างไร ไปดูกัน

ญี่ปุ่น

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/23/334290/o3/420.jpg

ศาลโออิวะ ทามิยะ จินจะ

ดินแดนปลาดิบ มีเรื่องของวิญญาณเฮี้ยนที่เล่าขานกันมานานเรื่องหนึ่ง ในฐานะที่ว่าเป็นเรื่องผีที่น่ากลัวที่สุดของเขา เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยเอโดะ มีสตรีนางหนึ่งนามว่าโออิวะ เธอเป็นหญิงสาวที่สวยมาก จึงเป็นที่หมายปองของผู้ชายทั้งหนุ่มและไม่หนุ่มมากมาย แต่นางก็หักอกผู้ชายทั้งหลายด้วยการตัดสินใจที่จะมอบใจและกายให้กับอิเอม่อน ซามูไรหนุ่ม แต่ไม่นานความรักของทั้งคู่ก็เริ่มมีปัญหา เพราะไม่เพียงลำบากทางการเงิน สามีของเธอยังไปติดพันลูกสาวเศรษฐีคนหนึ่ง ในขณะที่โออิวะเพิ่งให้กำเนิดทารกน้อยคนแรก แทนที่สามีของเธอจะดีใจ กลับร่วมมือกับคนรักใหม่หาทางกำจัดโออิวะให้พ้นทาง

อิเอม่อนนำเอายาพิษที่ได้จากชู้รักไปให้กับภรรยากิน บอกว่าเป็นยาบำรุงหลังคลอดบุตร (บางครั้งก็เป็นครีมทาหน้า) ด้วยความรักที่มีต่อสามีทำให้นางหลงเชื่ออย่างง่ายดาย เมื่อยาพิษออกฤทธิ์ก็ทำให้เธอเสียโฉมกลายเป็นคนอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวตาปูดโปนออกมาข้างหนึ่ง เธอจึงรู้ว่าหลงกลคนชั่วเข้าเสียแล้ว ด้วยความเสียใจเจ็บแค้นถึงที่สุดเธอจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายในบึงน้ำ

เมื่อหมดก้างขวางคอ อิเอม่อนก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านภรรยาคนใหม่ผู้มั่งคั่ง แต่วิญญาณอาฆาตของโออิวะก็ตามมาทวงแค้น เธอกรีดร้องคร่ำครวญโหยหวนดังไปทั่วบ้าน ทุกคนที่ได้ยินเกิดอาการหวั่นผวาไปทั้งสิ้น แต่อิเอม่อนนั้นเป็นซามูไรผู้เหี้ยมหาญ เมื่อเขาเห็นร่างผีภรรยาปรากฏขึ้น ก็ชักดาบแทงเข้าใส่ทันที ทว่า...เมื่อร่างนั้นล้มลงมันกลับกลายเป็นร่างของลูกสาวเศรษฐี ชู้รักของเขาเอง

เมื่อพ่อของนางเข้าไปดูร่างไร้ชีวิตของลูกสาว อิเอม่อนกลับมองเห็นเป็นโออิวะอีกครั้ง เขาจึงใช้ดาบฟันไปที่ร่างนางปีศาจอดีตภรรยา แต่ร่างที่ล้มลงไปตายต่อหน้าต่อตาเขาก็คือเศรษฐีพ่อตาของเขาเอง อิเอม่อนเห็นเช่นนั้นจึงหนีออกจากบ้านเศรษฐีกลับไปบ้านของตนเอง เมื่อไปถึงที่บ้านอิเอม่อนถูกเชือกที่ห้อยอยู่ในบ้านพันรัดคอ เขารีบชักดาบออกมาตัดเชือก แต่กลายเป็นการเชือดคอตัวเองตายคาที่อยู่ตรงนั้น

ตามตำนานนั้น โออิวะเสียชีวิตเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2179 และมีศาลชื่อโออิวะ ทามิยะ จินจะ (Oiwa Tamiya Jinja) อยู่ในกรุงโตเกียว ทุกครั้งที่มีการสร้างภาพยนตร์ ทีมผู้สร้างและนักแสดงจะต้องไปกราบไหว้ที่ศาลเพื่อแสดงความเคารพต่อโออิวะและขอให้การถ่ายทำสำเร็จราบรื่น

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/23/334290/o4/420.jpg

ปีศาจนางโออิวะ
ผีโออิวะนั้น ลักษณะของเธอก็คล้ายกับผีผู้หญิงของไทย ที่มักจะปล่อยผมยาวสยาย รูปลักษณ์น่ากลัวเพราะกินยาพิษเข้าไปก่อนตายจนตาถลนออกมาข้างหนึ่ง หลายครั้งจะปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับอุ้มลูกน้อยของนางด้วย คล้ายกับผีแม่นากของบ้านเรา นิยายผีแม่ลูกอ่อนเรื่องนี้ ถูกนำไปแสดงเป็นละครคาบูกิตั้งแต่ พ.ศ.2368 และสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วหลายสิบครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็จะมีรายละเอียดแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็คงความเป็นผีที่น่ากลัวที่สุดของญี่ปุ่นมาโดยตลอด



อังกฤษ

ประเทศอังกฤษนั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี สิ่งก่อสร้างจำนวนมากที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคแรกๆก็ยังคงยืนยงอยู่มาจนทุกวันนี้ หนึ่งในนั้นคือ หอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London) ซึ่งจะว่ากันจริงๆแล้วหอคอยนี้มีลักษณะเป็นป้อมมากกว่า สร้างขึ้นตั้งแต่ประมาณทศวรรษที่ 6-7 ของศตวรรษที่ 11 ในสมัยของกษัตริย์วิลเลี่ยม และได้รับการต่อเติมจากกษัตริย์องค์ต่อๆมา จนขนาดใหญ่ขึ้นเท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ จัดเป็นหอคอยที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก หอคอยแห่งนี้ผ่านเหตุการณ์ที่สำคัญๆ มานับไม่ถ้วน แต่ที่โดดเด่นจนขึ้นชื่อคือ การถูกใช้เป็นที่จองจำและประหารชีวิตคนสำคัญจำนวนมาก ดังนั้น ที่นี่จึงเป็นที่เกิดเหตุการณ์ “หลอน” มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/23/334290/o5/420.jpg

หอคอยแห่งลอนดอน

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/23/334290/o6/420.jpg

พระนางแอนน์ โบลีน

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/23/334290/o7/420.jpg

วิญญาณ พระนางแอนน์ โบลีน

วิญญาณหรือผีที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดคือ พระนางแอนน์ โบลีน ผู้เป็นราชินีอยู่ในช่วง พ.ศ.2076-2079 พระนางถูกประหารชีวิตด้วยการตัดพระศอ โดยบัญชาของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 สวามีของพระนางเอง สาเหตุก็เพราะพระนางมักจะขัดแย้งกับพระเจ้าเฮนรี่เป็นประจำ ทำให้ข้าราชบริพารแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ว่ากันว่าพระนางถูกประหารตรงบริเวณที่เรียกว่า Tower Green ดวงวิญญาณของพระนางอาจยังสิงสถิตอยู่ที่นั่น เพราะบางครั้งทหารยามเห็นสตรีนางหนึ่งมีผ้าคลุมศีรษะเดินอยู่ริมระเบียงที่ถูกปิดตาย ที่สุดสยองก็คือ สตรีผู้นั้นถือศีรษะของตนเดินไปด้วย บางครั้งมีคนได้ยินเสียงลากโซ่ตรวนในห้องที่พระนางถูกประหาร ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง บ่อยครั้งที่มีคนเห็นพระนางแอนน์ โบลีน นำทหารในสมัยนั้นและเลดี้หรือสตรีระดับสูงเข้ามาในโบสถ์ที่หอคอยแห่งลอนดอน (Tower Chapel Royal) ภาพเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นแล้วค่อยๆเลือนหายไป เหลือเพียงโบสถ์ที่เงียบวังเวงเช่นเดิม

นอกจากนี้ ยังมีวิญญาณเฮี้ยนที่เคยมีคนเห็นอีกหลายครั้งคือ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 6, เซอร์ วอลเตอร์ ราเลย์, เคาน์เตสแห่งซาลิสบิวรี่, เลดี้เจน เกรย์ ฯลฯ


สหรัฐอเมริกา

แม้ว่าประเทศนี้จะมีประวัติศาสตร์มาเพียงสองร้อยกว่าปี แต่การสร้างประเทศจากแผ่นดินที่เรียกว่า “ดิบๆ” ผู้คนของเขาก็ต้องเสียสละเลือดเนื้อกันมานับจำนวนไม่ถ้วนเช่นกัน หลายๆ แห่งในสหรัฐฯ จึงขึ้นชื่อเรื่อง “ผีดุ” ไม่น้อยหน้าประเทศอื่นๆ ที่จะยกตัวอย่างความสยองขึ้นชื่อก็คือที่อิลลินอยส์

คืนอันหนาวเหน็บของเดือนมกราคม พ.ศ.2460 ที่อาคารเพ็มเบอร์ตัน ฮอลล์ หอพักแห่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยอีสเทิร์น อิลลินอยส์ นักศึกษาสาวแมรี่ ฮอว์กกินส์ เธอนอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่ใกล้เที่ยงคืนแล้ว เธอจงใจไปที่ชั้นสี่ของตัวอาคารเพื่อเล่นเปียโน การกระทำของเธอไปกระทบโสตภารโรงหื่นกระหายคนหนึ่งที่คงเฝ้ารอโอกาสมานานแล้ว มันแอบย่องขึ้นไปยังห้องที่แมรี่เล่นเปียโนอยู่ เธอนั่งหันหลังให้ประตูจึงไม่รู้ว่าภารโรงใจชั่วกำลังมุ่งตรงเข้ามา มันล็อกเธอจากด้านหลัง ชกต่อยเธออย่างหนักเมื่อเธอพยายามจะร้องขอความช่วยเหลือ แมรี่ผู้น่าสงสารถูกฉีกทึ้งเสื้อผ้า แล้วข่มขืนอย่างไร้ปรานี ก่อนที่คนร้ายจะหนีไปมันยังทุบตีด้วยไม้จนมั่นใจว่าเธอตายสนิท แต่แมรี่ก็ยังไม่สิ้นใจ เธอตะเกียกตะกายพาร่างโชกเลือดคลานลงไปพร้อมทั้งร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงของเธอเลย จนกระทั่งเธอคลานลงไปถึงชั้นล่างสุด ที่ห้องของผู้ดูแลตึก เธอทั้งกรีดร้องและใช้เล็บตะกุยประตูให้คนข้างในรับรู้ จนในที่สุดความพยายามของเธอก็เป็นผล เมื่อผู้ดูแลตึกได้ยินเสียงตะกุกตะกักนอกห้องจึงเปิดประตูออกมาดู แต่ช้าไปเสียแล้ว...แมรี่ผู้เคราะห์ร้ายขาดใจตายไปต่อหน้าต่อตา ทิ้งรอยเลือดตามทางที่เธอคลานลงมาไว้ให้ดูอย่างสุดสยอง


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/23/334290/o8/420.jpg

เพ็มเบอร์ตัน ฮอล์ ในปี 2516

หลังการตายของแมรี่ ภารโรงใจชั่วหนีหายไร้ร่องรอยและไม่เคยถูกจับมาลงโทษแต่อย่างใด ทิ้งให้วิญญาณของแมรี่ยังคงสิงสถิตอยู่ในหอพักนั้น สร้างความอกสั่นขวัญแขวนแก่บรรดานักศึกษาสาวที่นั่น คนจำนวนมากได้ยินเสียงฝีเท้าเดินไปเดินมาในอาคารและบันไดของหอพัก ไม่มีใครกล้าโผล่หน้าออกไปจากห้องพักในยามวิกาลแม้สักก้าวเดียว หลายคนเห็นร่างของแมรี่ลอยผ่านกำแพงเข้ามาในห้องนอน บางคนเล่าว่า พวกเธอลืมปิดทีวีหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า แล้วจู่ๆ มันก็ปิดไปเองเหมือนมีใครมาช่วยปิด ที่ชวนขนหัวลุกหนักก็คือ บางครามีเสียงดังออกมาจากผนังห้อง ซึ่งหากเอาหูไปแนบกับผนัง จะได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงขอความช่วยเหลือดังอยู่ข้างใน ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ บางคนเห็นรอยเลือดเป็นทางยาวไปตามทางเดิน แล้วก็มีรอยเท้าปรากฏขึ้นบนรอยเลือดนั้น ภาพสุดช็อกนี้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป

ปัจจุบันนี้อาคารเพ็มเบอร์ตัน ฮอลล์ยังเปิดใช้งานอยู่ เช่นเดียวกับเรื่องวิญญาณเฮี้ยนที่เล่าสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นให้นักศึกษาในหอนั้นเสียวสันหลังเล่น แต่บริเวณชั้นสี่ของตัวอาคารถูกปิดตาย ห้ามนิสิตหรือผู้ใดขึ้นไปดูผีหรือไปดูเปียโนแห่งความหลังอีกต่อไป

นอกจากที่อิลลินอยส์แล้ว ยังมีอีกหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเฮี้ยน เช่น คุกอัลคาทราซ, Athens Lunatic Asylum เมืองเอเธนส์ รัฐโอไฮโอ, อุโมงค์เซี่ยงไฮ้ (Shianghai Tunnels) ในเมืองพอร์ตแลนด์, โรงละคร Dock Street เมืองชาร์ลสตัน เซาท์แคโรไลนา, อาคาร Lalaurie House เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐหลุยเซียนา, Hampton Lillibridge House เมืองซาวานนา รัฐจอร์เจีย ฯลฯ


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/23/334290/hr1667/630.jpg


เรื่องราวของแม่นากนั้นคนรุ่นเก่าได้ยินติดหูแต่เด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้ละเอียดนัก เรื่องราวของแม่นากเชื่อกันว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เรื่องมีอยู่ว่า นายมากและนางนากเป็นสามีภรรยาที่รักกันมาก ทั้งสองอยู่ที่พระโขนง ขณะที่นางนากตั้งครรภ์ได้ไม่นาน นายมากก็ได้รับหมายเกณฑ์ให้ไปเป็นทหารที่บางกอก ระหว่างนั้นนางนากถึงกำหนดคลอด ซึ่งสมัยนั้นก็ต้องอาศัยหมอตำแย แต่เนื่องจากลูกในท้องไม่ยอมกลับหัว นางจึงไม่สามารถคลอดลูกได้ ทนทุกข์ทรมานอยู่นาน จนกระทั่งนางทนความเจ็บปวดไม่ไหว สิ้นใจไปพร้อมกับลูกในท้อง ศพของนางถูกนำไปฝังไว้ที่ป่าช้าท้ายวัดมหาบุศย์ ต่อมาเมื่อนายมากกลับจากประจำการ ก็รีบกลับแต่มาถึงบ้านตอนพลบค่ำ เขาพบนางนากคอยอยู่ในรูปลักษณ์เหมือนคนปกติธรรมดา นายมากจึงไม่รู้ว่านางนากนั้นตายไปแล้ว ผีนางนากพยายามไม่ให้ผัวของตนออกไปพบปะกับใคร เพื่อจะได้ไม่รู้ว่านางนั้นตายแล้ว แต่ในที่สุดนายมากก็รู้จนได้ และพยายามหนีออกจากบ้านจนสำเร็จ ทำให้ผีนางนากโกรธมากและออกอาละวาดหลอกหลอนชาวบ้านไปทั่ว กลายเป็นตำนานความเฮี้ยนที่ร่ำลือกันมานับร้อยปี

เรื่องราวของแม่นากและนายมากถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์หลายต่อหลายครั้ง และเร็วๆ นี้ก็มีบริษัทภาพยนตร์ได้หยิบยกเอาตำนานนี้กลับมาเล่าอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้เป็นการนำเสนอในมุมมองที่แตกต่าง กับเรื่องราวที่ไม่เคยมีใครรู้ของ “พี่มาก” ชายหนุ่มที่แม่นากรักมากที่สุดและผองเพื่อนทั้งสี่ที่เดินทางกลับมาที่พระโขนงด้วยกันจนมาเจอ

แม่นาก ความฮาและความเฮี้ยนจึงบังเกิดกลายเป็นหนังผีคอมเมดี้ โรแมนติก ที่ตั้งชื่อเก๋มากว่า “พี่มาก...พระโขนง” เปิดตำนานวิญญาณสุดเฮี้ยนกันอีกครั้งโดยทีมสร้างที่มากด้วยฝีมือมาร่วมกันสร้างสรรค์ ให้ตำนานผีไทยนั้นไม่น้อยหน้าชาติใดๆ.

 

โดย "ลุงดำ"
ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน



2297  สุขใจในธรรม / เสียงธรรมเทศนา / อย่าอยู่เพื่อความสนุก โดย หลวงปู่แบน ธนากโร เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2556 17:02:56
.


http://www.dhammajak.net/board/files/__111_175.jpg

หลวงปู่แบน  ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ ตำบลตองโขบ กิ่งอ.โคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร

<a href="http://www.fungdham.com/download/sound/ban/11.mp3" target="_blank">http://www.fungdham.com/download/sound/ban/11.mp3</a>
อย่าอยู่เพื่อความสนุก
2298  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / ประวัติศาสตร์ของการเป็นทาส และสงครามปลดปล่อยทาสที่ควรจดจำ เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2556 06:45:20
.

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/05/11/344193/hr1667/630.jpg

ประธานาธิบดีอับลาฮัม  ลินคอล์น

"การค้ามนุษย์นั้นเห็นได้ชัดว่ายังไม่หมดไปจากโลก...แม้ไม่มีเรือจอดทอดสมอหน้าป้อมกักกัน  แต่ก็ยังมีผู้คนถูกบังคับเข้าสู่ความเป็นทาสไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่งอยู่ตลอดเวลา" โดโฮ กวีชาวกานา

โลกในยุคปัจจุบัน สิทธิความเป็นมนุษย์นั้นเท่าเทียมกัน แต่การกดขี่เอารัดเอาเปรียบ ทั้งแรงงานเด็ก สตรี และคนผิวสีที่ตกเป็นพลเมืองชั้นสองยังมีอยู่ทุกชั่วเวลา  ขอนำพาผู้อ่านย้อนเวลากลับไปดูประวัติศาสตร์ของการเป็นทาสและสงครามปลดปล่อยทาสที่ควรจดจำ


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/05/11/344193/o9/420.jpg

ทาสที่แผ่นหลังเต็มไปด้วยรอยเฆี่ยน

ในอดีต การสร้างบ้านเมืองอันโอฬารล้วนมาจากแรงงานทาสทั้งสิ้น  หลังการเดินเรือล่องมหาสมุทรของโปรตุเกส  แอฟริกาคือดินแดนแห่งการค้าขาย นอกจากเข้าไปเพื่อกอบโกยทรัพยากรต่างๆ แล้ว  ชนชาวตะวันตกยังนำคนพื้นเมืองใส่เรือมาเพื่อนำมาใช้แรงงานในทวีปยุโรปและอเมริกา

ที่กรุงลอนดอน ในปี ค.ศ.1660 มีบริษัทค้าทาสจดทะเบียนที่ถูกกฎหมาย ชื่อ เดอะ รอยัล แอฟริกัน คอมปานี ก่อตั้งขึ้นโดย ดยุคแห่งยอร์ค (ภายหลังก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์ในนาม พระเจ้าเจมส์ที่ 2) พระองค์จับมือพ่อค้าผูกขาดการค้ามนุษย์ด้วยกฎหมาย สั่งการควบคุมโดยกองทัพเรือที่เกรียงไกรของอังกฤษ  จัดตั้งสถานีย่อยตลอดแนวชายฝั่งแอฟริกาตะวันตกควบคู่ไปกับสถานีการค้าขาย



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/05/11/344193/o4/420.jpg

(จากซ้าย) พลตรีวิลเลียม เชอร์แมน, พลเอกยูลิซิส แกรนท์, อับลาฮัม ลินคอล์น, พลเรือเอกเดวิด พอร์เตอร์

ที่เซเนกัล มีเกาะแห่งหนึ่งที่ชื่อกอรี่ มีขนาด 900×300 เมตรเท่านั้น ใครจะรู้ว่าที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของ “บ้านทาส” (Slave House) หลังแรกของโลก จัดสร้างโดยชาวเนเธอร์แลนด์ในปี ค.ศ.1776 บ้านแต่ละหลังที่สร้างคือสถานที่กักกันชนผิวดำเพื่อรอการลงเรือข้ามมหาสมุทรไปเป็นแรงงานทั้งในยุโรปและอเมริกา มีทาสถูกส่งผ่านเส้นทางสายนี้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน หรือบางทีอาจจะถึง 50 ล้านคน

ที่สหรัฐอเมริกา ในยุคแห่งการสร้างชาติ มีการค้าขายทาสอย่างเอิกเกริก แม้ว่าเมื่อแรกมีรัฐธรรมนูญนั้น ในบทเฉพาะกาลระบุไว้ชัดว่า จะต้องยกเลิกการมีทาสภายในเวลา 21 ปี ทว่าเมื่อถึงเวลานั้นรัฐทางใต้ที่เน้นการปศุสัตว์และกสิกรรมกลับเห็นว่าพวกเขาจะต้องเสียผลประโยชน์มหาศาล ความเห็นนี้แย้งกับเมืองที่อยู่ทางเหนือขึ้นไป ที่พัฒนาไปในทางอุตสาหกรรม การประนีประนอมมีขึ้นในปี 1820 โดยตกลงกันว่า จะยอมให้มีทาสได้ในแผ่นดินที่อยู่ทางใต้เส้นแม่น้ำมิสซูรี่ แต่กลุ่มหัวรุนแรงพวกทางเหนือไม่เห็นด้วย จึงตั้ง องค์การ Abolitionst ขึ้น และทำทุกวิถีทางเพื่อปลดปล่อยทาสตามเจตนารมณ์ของการก่อตั้งประเทศ อย่างที่ จอร์จ วอชิงตัน กล่าวไว้ว่า “มนุษย์ทุกคนนั้นเท่าเทียมกัน” พวกเขาแอบพาทาสหนี โจมตีเหล่าเจ้านาย ซึ่งทำให้คนทางใต้ไม่พอใจอย่างมาก



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/05/11/344193/o3/420.jpg

สงครามกลางเมืองสหรัฐฯ

ปี ค.ศ. 1860 เกิดพรรคการเมืองใหม่ชื่อรีพับลิกัน พวกเขาส่งผู้สมัครวัย 52 ปี จากอิลลินอยส์ ชื่อ อับลาฮัม ลินคอล์น ลงสมัคร เขาเป็นที่จดจำมากก่อนหน้านี้แล้วจากการชูนโยบายจำกัดพื้นที่การมีทาส ในการรณรงค์หาเสียง รีพับลิกันชูเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญ เพราะเรื่องทาสนั้นค้างคาในสังคมอเมริกามานานหลายสิบปี ลินคอล์นนั้นได้ชื่อว่ามีวาทศิลป์ที่เปี่ยมพลังและมีเสน่ห์ ทั้งคู่แข่งก็เกิดปัญหาภายใน ส่งผู้สมัครสองคนในนามพรรคเดโมแครต ลินคอล์นจึงชนะได้อย่างไม่ยากเย็น

หลังการเลือกตั้งที่ลินคอล์นได้ชัยชนะ 7 รัฐทางใต้ไม่พอใจจึงแยกตัวออกมาจัดตั้งประเทศใหม่ ในนาม สมาพันธรัฐอเมริกา แต่งตั้งอดีตรัฐมนตรีสงครามมากความสามารถอย่าง เจฟเฟอสัน เดวิส ขึ้นเป็นประธานาธิบดี จัดตั้งเมืองหลวงที่ริชมอนด์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ของรัฐบาลกลางเพียงแค่แม่น้ำโปโตแมกกั้นเท่านั้น

แล้วสงครามที่แม้กระทั่งตัวลินคอล์นเองคิดว่าไม่น่าจะยาวนานถึง 4 ปีก็เริ่มต้นขึ้น กองทัพฝ่ายใต้เข้าโจมตีป้อมซัมเตอร์ที่แคโรไลนาในวันที่ 12 เมษายน ค.ศ.1861 ลินคอล์นเรียกระดมคน 75,000 คน ตอบโต้ทันที ประชาชนทางเหนือโกรธแค้นการกระทำในครั้งนี้มาก  สนับสนุนประธานาธิบดีคนใหม่กันอย่างพร้อมเพรียง สี่รัฐทางใต้ไม่พอใจจึงประกาศแยกตัวไปเข้าร่วมกับทางฝ่ายใต้ และการเข้าร่วมของสี่รัฐในภายหลังนี้ถือเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญ เพราะ นายพลโรเบิร์ต อี. ลี บุคคลที่ถูกทาบทามจากลินคอล์นให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพ เขาเป็นชาวเวอร์จิเนีย นอนคิดเพียงข้ามคืนก็ปฏิเสธข้อเสนอ และกลับไปรับใช้บ้านเกิดในฐานะผู้บัญชาการกองทัพเช่นกัน



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/05/11/344193/o5/420.jpg

ทหารฝ่ายเหนือ และฝ่ายใต้


เมื่อเข้าสู่ปีที่สอง ทั้งสองฝ่ายผลัดกันกำชัยและปราชัย ฝ่ายเหนือได้ปิดล้อมทางทะเลเพื่อกดดัน  สงครามครั้งนี้เปลี่ยนโฉมหน้าการต่อสู้ที่โลกเคยมีมา สิ่งประดิษฐ์แห่งโลกหลังยุคอุตสาหกรรมถูกเรียกใช้  การสื่อสารด้วยโทรเลขที่รวดเร็วกว่าขี่ม้าส่งสาร เรือกลที่พิษสงร้ายกาจกว่าเรือใบโบราณ รถไฟถูกนำมาส่งเสบียงและลำเลียงกำลังพลที่มีมากกว่าฝ่ายใต้ถึงสองเท่า  ความรวดเร็วเหล่านี้ทำให้การศึกของฝ่ายเหนือเป็นต่อ หากผู้บัญชาการทัพของฝ่ายใต้ไม่ใช่นายพลโรเบิร์ต อี. ลี สงครามน่าจะจบสิ้นไปแล้ว

หลังเข้ายึดเมืองนิวออร์ลีนส์และควบคุมแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ได้ในปี ค.ศ.1862 ลินคอล์นทำตามปณิธานที่ตั้งไว้ เขาลงนามในประกาศให้มีการเลิกทาสทั่วประเทศรวมทั้งในเขตฝ่ายใต้ด้วย เขาแถลงต่อสมาชิกรัฐสภาที่มีใจความจับใจตอนหนึ่ง

“...การให้อิสรภาพแก่ผู้เป็นทาส คือการรักษาอิสรภาพแก่ผู้เป็นไท เรามีเกียรติในการให้เท่ากับที่เป็นผู้รักษา”

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/05/11/344193/o6/420.jpg

กองทหารฝ่ายใต้

มิถุนายน ค.ศ.1863 การสู้รบครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น ฝ่ายใต้คิดว่าการตะลุยขึ้นเหนือเพื่อขยี้เมืองหลวงฝ่ายเหนือน่าจะทำให้เกมจบ ทว่าที่เมือง เก็ตตี้สเบิร์ก ฝ่ายใต้บุกเข้าตีทัพฝ่ายเหนือที่มีกำลังน้อยนิดซึ่งร่นไปตั้งแนวรับบนเนินเขา โดยไม่รู้ว่าไม่ไกลจากที่นั่นมีฝ่ายเหนือรออยู่เกือบแสนคน  ด้วยชัยภูมิที่ดี ทัพเหนือยันไว้ได้ แม้จะถูกตีโอบจากด้านข้าง นายพลลีสั่งระดมยิงปืนใหญ่และใช้ทหารนับหมื่นเรียงหน้า กระดานเข้าหา  แต่ในการรบวันที่สามพวกเขาก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า สิ้นสุดในสมรภูมิที่มีทหารสองฝ่ายตายเกือบครึ่งแสน

แพ้ในสมรภูมิใช่ว่าแพ้ในสงคราม นายพลลีแม่ทัพฝ่ายใต้เชื่อเช่นนั้น เขาจึงประคองการต่อสู้ไปได้อีกเกือบสองปี จนกระทั่ง วิลเลียม เชอร์แมน นายพลมากฝีมือของรัฐบาลฝ่ายเหนือ ได้นำยุทธวิธีการรบโบราณมาใช้ คือเข้าตีเมืองไหนเผาและปล้นเมืองนั้น ตลอดการเคลื่อนพลเพื่อมุ่งสู่ฝั่งแอตแลนติกยาวไกลหลายร้อยไมล์ ด้านหลังที่เชอร์แมนทิ้งไว้มีเพียงสิ่งเดียวคือความหายนะ


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/05/11/344193/o7/420.jpg

การปะทะระยะประชิดของกองทหารสองฝ่าย

แล้วจุดสิ้นสุดอย่างแท้จริงก็มาถึง พลเอก ยูลิซิส แกรนท์ ผู้บัญชาการทหารรัฐบาลกลาง ล้อมเมืองหลวงฝ่ายใต้นานหลายเดือนก่อนจะเข้ายึดได้ ทหารฝ่ายใต้พากันหนีทัพอย่างทุลักทุเล นายพลลีแม่ทัพหนีไปไม่ไกลก็ยอมจำนน ต้นเดือนเมษายน ค.ศ.1865 ทหารของรัฐบาลกลางก็มีชัยชนะอย่างสมบูรณ์

อดีตประธานาธิบดีผู้หยิบยื่นอิสรภาพแก่เหล่าทาสท่านมีชีวประวัติที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ปัจจุบันก็ยังมีผู้คนกล่าวถึงท่านมิได้ขาดปาก เร็วๆ นี้ก็มี DVD ภาพยนตร์เรื่อง LINCOLN ที่ว่าด้วยช่วงท้ายชีวิตของท่าน เปิดเผยช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วยอันตราย ขณะที่สงครามกลางเมืองใกล้ยุติ ประธานาธิบดีลินคอล์นเผชิญแรงกดดันในการผ่านบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 13 ที่จะระบุว่าการมีทาสเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ลินคอล์นมองยาวไกลไปถึงเพื่อนร่วมชาติที่เป็นทาสราว 4 ล้านคน และอเมริกันชนรุ่นถัดไป จึงต้องออกกฎหมายเพื่อเลิกทาสอย่างถาวร ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับเกียรติจากอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน มากล่าวนำเกร็ดภาพยนตร์บนเวทีลูกโลกทองคำเมื่อต้นปีที่ผ่านมา นับเป็นภาพสะท้อนให้เห็นตัวตนของชายที่ชื่อลินคอล์นได้เป็นอย่างดี.



ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน "ทาสกับสงครามสู่อิสรภาพ"  โดย... นฤพนธ์ สุดสวาท

2299  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / "วันสิ้นโลก" ปริศนาที่ยังหาจุดจบไม่ได้ เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2556 10:15:44
.

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/06/08/349918/hr1667/630.jpg

สงครามนิวเคลียร์สามารถทำลายโลกได้ในเวลาอันสั้น

ปี 2012 ผ่านไปแล้วหลายเดือน โดยที่โลกเราก็ยังเป็นปกติดี  ไม่ได้เกิดหายนะอย่างที่ร่ำลือกันว่าจะเป็นวันสิ้นโลก เมื่อเป็นแบบนี้จึงทำให้หลายคนคิดว่า คำทำนายต่างๆนั้นเชื่อถือไม่ได้ ซึ่งก็คงเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ จริงๆแล้วความเชื่อในทางศาสนานั้น แทบทุกศาสนาจะกล่าวถึงวันสิ้นโลก ศาสนาอิสลามนั้นบอกไว้อย่างชัดเจนถึงสัญญาณหลายอย่าง ที่บ่งบอกว่าวันสิ้นโลกนั้น ใกล้เข้ามาแล้ว ซึ่งมีทั้งสัญญาณเล็กและสัญญาณใหญ่ สัญญาณเล็กมีจำนวนถึง 47 อย่าง แต่ขอยกมาเพียงบางส่วน ได้แก่


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/06/08/349918/o2/420.jpg

ควันและเถ้าจากภูเขาไฟขนาดยักษ์ อาจปกคลุมไปเกือบทั่วโลก

แผ่นดินไหวจะเกิดมาก, ลมพายุจะรุนแรง, โรคร้ายจะคร่าชีวิตคนไปจำนวนมาก, คนทุจริตจะอยู่ปลอดภัย, การผิดประเวณีจะเกิดขึ้น อย่างมากมาย, คนรุ่นหลังจะประณามคนรุ่นก่อน, ผู้ใหญ่จะรับใช้เด็ก, หญิงจะประพฤติตัวเหมือนชาย ชายจะ ประพฤติตัวเหมือนหญิง, ผู้หญิงจะนุ่งน้อยห่มน้อย, ผู้ทุจริตจะได้รับการช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดกลับถูกทอดทิ้ง, ความชั่วช้าเลวทรามจะปรากฏชัด, คนชั่วจะมีหน้ามีตาในสังคม ฯลฯ

ส่วนสัญญาณใหญ่นั้น จะมีทั้งหมด 10 ประการ เช่น มีสัตว์ประหลาดออกมาจากแผ่นดิน, ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก, มีหมอกเกิดขึ้นเต็มแผ่นดิน, เกิดไฟประลัยกัลป์ออกมาขับไล่ผู้คน ฯลฯ

ส่วนศาสนาคริสต์นั้นว่าไว้ 10 ประการ เช่น ความรู้ เทคโนโลยีต่างๆที่ก้าวหน้ามาก, เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคหรือสารบางอย่าง ที่สังหารมนุษย์เป็นจำนวนมาก, การสื่อสารระยะไกล, ผู้คนเต็มไปด้วยการโกหกหลอกลวงกัน, ความอดอยากและโรคร้ายที่แพร่กระจายไปทั่ว, แผ่นดินไหวและภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างเกิดถี่ขึ้น, มนุษย์ขาดศีลธรรมกันมากขึ้น


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/06/08/349918/o4/420.jpg

พายุสุริยะ อาจส่งผลกระทบรุนแรงหากสนามแม่เหล็กโลกอ่อนกำลัง

โดยรวมแล้วก็คล้ายกับสัญญาณเล็กในศาสนาอิสลาม

วันสิ้นโลกในทางวิทยาศาสตร์ ก็มีผู้คาดการณ์ไว้หลายทฤษฎี เช่น

สงครามโลกครั้งที่ 3 ปัจจุบันนี้ ชาติที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์นั้นไม่ได้มีเพียงชาติตะวันตก อย่างสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และรัสเซียอีกต่อไป แต่ชาติอื่นๆที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ได้แก่ จีน อินเดีย ปากีสถาน เกาหลีเหนือ ฝรั่งเศส อิสราเอล (อิหร่าน และซีเรีย กำลังพยายามจะมีไว้ในครอบครอง) ซึ่งทั้งหมดนี้ประกอบไปด้วยหัวรบนิวเคลียร์กว่า 17,000 หัว ดังนั้น วันใดที่เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง ความเป็นไปได้ที่จะเกิดวันสิ้นโลกก็มีสูงมาก เพราะกัมมันตภาพรังสีที่จะแพร่กระจายไปทั่วโลก อาจทำให้มนุษย์หาที่อยู่ไม่ได้เลยก็เป็นได้ นั่นยังไม่นับอาวุธเคมีและอาวุธเชื้อโรค ที่สามารถสังหารผู้คนได้มหาศาลเช่นกัน

การเรียงตัวของดวงดาวในกาแล็กซีทางช้างเผือก นักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งเชื่อว่า เมื่อใดที่ดาวเคราะห์เรียงตัวกันจะเกิดการเหนี่ยวนำที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่ดวงอาทิตย์ นอกจากนั้น การเรียงตัวกันของดวงดาวยังเหนี่ยวนำให้เกิดแผ่นดินไหวบนดาวเคราะห์ที่อยู่ในแนวการเรียงตัวกันนั้นด้วย เหตุผลหนึ่งที่สนับสนุนความเชื่อนี้คือ จากข้อมูลทางสถิติในอดีตพบว่า แผ่นดินไหวขนาดใหญ่หลายๆครั้งเกิดขึ้นในช่วงวันที่โลกเรียงตัวกับดาวเคราะห์ดวงอื่น และดวงอาทิตย์



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/06/08/349918/o5/420.jpg

โรคระบาดในอดีต เคยผลาญชีวิตคนไปครั้งละเป็นล้าน

การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก เกร๊ก บราเด็น คือนักภูมิศาสตร์ผู้ออกมาประกาศว่าปัจจุบันนี้สนามพลังแม่เหล็กโลกลดลงถึง 38% เมื่อเทียบกับเมื่อสองพันปีก่อน และอัตราความเร็วของการลดลงนี้เพิ่มขึ้นถึง 6% เฉพาะในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา เมื่อไหร่ที่ค่าของสนามพลังแม่เหล็กโลก ลดลงจนถึง 0 เมื่อนั้นคือขั้วแม่เหล็กโลกได้พลิกกลับอย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งปรากฏการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อราว 780,000 ปีก่อน ในช่วงนั้นอาจจะเกิดขั้วแม่เหล็กโลกชั่วคราวขึ้นมา แต่สนามพลังที่ปรากฏจะอ่อน มาก ชนิดที่ว่า เข็มทิศจะชี้ไปไม่ตรงกันขึ้นอยู่ว่าเราอยู่ที่ตำแหน่งไหน ของโลก จากนั้นสนามพลังแม่เหล็กโลกก็สูญสิ้นไปเลยเป็นเวลาหลายพันปี ก่อนที่จะปรากฏขึ้นอีกครั้งในทิศที่ตรงกันข้ามกับครั้งก่อน ในช่วงที่โลกขาดสนามพลังแม่เหล็กที่ทำหน้าที่ปกป้องพลังงานอื่นๆจากนอกโลกนั้น อนุภาคของรังสีต่างๆโดยเฉพาะจากดวงอาทิตย์ (Salar Storm) จะเข้ามาโจมตีโลกเราได้อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง

การระเบิดของภูเขาไฟขนาดยักษ์ (Super volcano) โลกเรานี้มีภูเขาไฟระดับ “อภิมหา” ที่ว่านี้อยู่สามจุดในสหรัฐอเมริกา ทะเลสาบโทบา ในอินโดนีเซีย เทาโปที่นิวซีแลนด์ และไอร่าที่ญี่ปุ่น ภูเขาไฟขนาดนี้มีความรุนแรงของการระเบิดตั้งแต่ระดับ 8 VE ขึ้นไป ปล่อยเถ้าและ ลาวาออกมาในรัศมี 1,000 คิวบิกกิโลเมตร นักภูมิศาสตร์เชื่อว่า Yellow Stone เป็นแห่งแรกที่จะระเบิด  เนื่องจากเกิดแผ่นดินไหวบริเวณที่บริเวณนั้นราว 1,500 ครั้งต่อปี และมีการปลดปล่อยพลังงานออกมาอย่างต่อเนื่อง หากมันระเบิดขึ้นมา กว่าครึ่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกาจะหายไปจากแผนที่โลก กรดซัลฟูลิกจะกระจายสู่ชั้นบรรยากาศราว 2,000 ล้านตัน สร้างผลเสียมหาศาลนานหลายปี



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/06/08/349918/o3/420.jpg

ผู้คนต่างต้องดิ้นรนหาทางรอดในวันที่หายนะมาถึง

โรคระบาด ในราวปี ค.ศ.1300-1400 หรือยุคกลาง เกิดกาฬโรคระบาดแทบทุกหนแห่งบนโลก ประชากรลดลงอย่างฮวบฮาบในเวลาอันรวดเร็ว ช่วง ค.ศ.1501-1587 เกิดการระบาดที่รุนแรงของโรคไข้รากสาดใหญ่ (Typhus) ในทวีปยุโรป แม้จะคร่าชีวิตผู้คนไม่มากเท่าการระบาดของกาฬโรคในยุคกลางตอนต้น แต่ก็ส่งผลอย่างรุนแรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ได้มาก พอถึงช่วงปี 1918-1920 เพียงสองปีเท่านั้น แต่ไข้หวัดสเปน (Spanish Flu) เอาชีวิตคนไปประมาณ 50-100 ล้านคน เมื่อปี 2002 ไข้ SARS คือโรคระบาดที่สะเทือนขวัญของคนทั้งโลกและนับจากปี 1980 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โรคเอดส์หรือเชื้อ HIV ยังคงไม่มียารักษา ทั้งที่มันเอาชีวิตคนไปแล้วหลายสิบล้านคน ในอนาคตยังไม่มีใครสามารถทำนายได้ว่าโรคแปลกๆที่รักษาไม่ได้จะเกิดระบาดขึ้นเมื่อไหร่และรุนแรงแค่ไหน แต่มันอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มนุษย์หมดไปจากโลกได้เช่นกัน

เหตุการณ์วันสิ้นโลกยังมีอีกหลายทฤษฎี ซึ่งมีการนำเสนออยู่ไม่ขาดระยะ เช่น ถูกอุกกาบาตขนาดยักษ์ หรือดาวดวงอื่นพุ่งชนโลก, ปรากฏการณ์น้ำท่วมโลก, ผลกระทบจากดวงอาทิตย์ ฯลฯ มีสื่อต่างๆและภาพยนตร์มากมายหลายเรื่องที่จับเอาวันสิ้นโลกมานำเสนอ แตกต่างกันไปในแต่ละมุมมองของผู้สร้าง เร็วๆนี้จะมีภาพยนตร์เรื่อง “World War Z-มหาวิบัติสงคราม Z” ที่สร้างจากนิยายสยองขวัญชื่อดัง ที่เอาเรื่องของเชื้อโรคลึกลับมาเป็นประเด็นวันสิ้นโลก เชื้อโรคลึกลับไม่ทราบที่มาชนิดนี้แพร่กระจายได้ผ่านการโดนกัดเพียงครั้งเดียว และเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตดุร้าย ที่ไม่มีความรู้สึกรับรู้ ไม่มีความคิด จดจำอดีตไม่ได้ เมื่อเชื้อโรคนี้ระบาดไปทั่วโลก จำนวนคนตายเพิ่มจำนวนมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว จนเกือบจะหมดโลก แม้แต่กองทัพก็พ่ายแพ้ย่อยยับ หลายรัฐบาลต้องล่มสลาย วิธียุติการแพร่ระบาดมีหนทางเดียวคือต้องค้นหาที่มาของเชื้อโรคให้ได้เท่านั้น!

วันสิ้นโลกนั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่? มนุษยชาติจะดับสูญไปด้วยสาเหตุใด?  เป็นปริศนาที่ยากจะคลี่คลาย เป็นคำถามที่ยังไร้คำตอบ เสมือนละครที่ยังไร้ฉากจบปิดท้าย  ได้แต่ค้นหาและติดตามกันต่อไป...จนกว่าวันนั้นจะมาถึง.


จาก นิตยสาร ต่วย'ตูน โดย...ลุงดำ
2300  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / “18 ศัสตราวุธ” โบราณ ที่ถูกบันทึกไว้ในพงศาวดารจีน เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2556 09:57:47
.

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/06/22/352837/hr1667/630.jpg


เมื่อครั้งอ่านพงศาวดารจีน หลายครั้งมักพบเห็นคำว่า “18 ศัสตราวุธ” อยู่เนืองๆว่า บุคคลคนนี้ นายทหารท่านนั้น มีความเจนจัดในอาวุธทั้งสิบแปด อ่านดูแล้วก็ชวนให้นึกถึงศิลปศาสตร์ 18 ประการของอินเดียจากพุทธประวัติเหมือนกัน ดูท่าว่า 18 ศัสตราวุธนี้ก็คงหมายถึงผู้แตกฉานในอาวุธทั้งสิบแปดชนิดกระมัง ว่าแต่ในจำนวนนี้มีอาวุธใดกันบ้าง? ผู้เขียนนึกถึงเรื่อง “ฤทธิ์มีดสั้น” ก็เห็นมีทำเนียบอาวุธของแปะเฮียวเซ็ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ 18 ทำเนียบศัสตราวุธจีนจริงๆ อยู่ดี เป็นแต่ลำดับอาวุธที่โกวเล้งประพันธ์ขึ้นมา

คำว่า “18 ศัสตราวุธ” (十八般武器) นั้น แปลตามอักษรจะได้ความว่า ตำรับรายชื่ออาวุธทั้ง 18 ชนิด แต่ในบรรดาศัสตราวุธที่ถูกบันทึกลงทำเนียบนั้น แท้จริงแล้วก็คลุมเครืออยู่ไม่น้อย เนื่องเพราะตำราแต่ละเล่มกล่าวแตกต่างกันไป แต่โดยรวมแล้วจะแบ่งออกเป็น 9 อาวุธยาว 9 อาวุธสั้น แตกต่างกันที่อาวุธบางชนิดเท่านั้น


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/06/22/352837/o17/420.jpg
ทหารสมัยราชวงศ์ฉิน

เหตุที่อาวุธทั้งสิบแปดไม่อาจระบุได้นั้น  เพราะสงครามแต่ละครั้งย่อมมีคนคิดอาวุธใหม่ๆ พัฒนาขึ้นจากเดิม คนฝึกอาวุธที่คิดสร้างอาวุธใหม่ที่ถนัดสำหรับตัวเองเพิ่มเติมก็มี อย่างไรก็ตามเมื่อสิ้นยุคราชวงศ์ชิง นักรบจับดาบถือทวนก็หันมาใช้อาวุธใหม่ของตะวันตก เมื่อจีนเปลี่ยนยุคสมัย อาวุธโบราณทั้งปวงก็โรยรายุติบทบาทมาแต่นั้น ทำให้ปัจจุบันสามารถจำแนกอาวุธโบราณเหล่านี้ได้เป็นหมวดหมู่ชัดเจน ในตำราอาวุธของ ดร.หยางจุน หมิง ได้แบ่งอาวุธจีนโบราณออกเป็น 4 หมวด คือ อาวุธยาว, อาวุธสั้น, อาวุธอ่อน, อาวุธซัด

ทั้งนี้ก็โดยยึดหลัก “9 อาวุธยาว 9 อาวุธสั้น” เป็นสำคัญ แม้ว่าจะมีอาวุธพิศดารนอกสารบบอื่นๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจมากมายในตำราเล่มนั้นก็ตาม ผู้เขียนขอเล่าถึงอาวุธสำคัญทั้งสิบแปดที่ควรรู้เอาไว้ก่อน


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/06/22/352837/o14/420.jpg
 เก้าอาวุธยาว
อาวุธยาว (จากซ้าย) ทวน, ทวนวงเดือน, พลอง, ขวานศึก, สามง่าม, คราดหัวง่าม, ตะขอ, หอก, ง้าว  

ทวน (槍) มีคำกล่าวจีนว่า “ทวนคือราชาอาวุธยาว” เป็นอาวุธยาวที่ค่อนข้างเบา จึงใช้กระบวนท่าได้พลิกแพลงหลากหลาย ใช้ได้ทั้งบนหลังม้าและเดินราบ ตัวทวนเป็นโลหะแหลมยาว สวมเข้ากับด้ามทวนที่ทำจากไม้หรือโลหะ โคนทวนมักติดพู่ขนสัตว์เช่น หางม้า ขนจามรีเป็นต้น ประเภทของทวนนั้นมีมากมาย เช่น ทวนตะขอเกี่ยว มีตะขอยื่นออกมาจากตัวทวนเพื่อใช้เกี่ยวขาม้า ทวนหัวคู่ ติดหัวทวนที่ปลายทั้งสองข้าง ทวนหัวอีกา ปลายทวนทั้งแหลมและยาวเหมาะแก่การแทง เป็นต้น

ทวนวงเดือน (戟) ชาวจีนเรียกชื่ออาวุธนี้ว่า “จี๋” มีปลายยาวแหลม ด้านข้างตีโลหะเป็นรูปเสี้ยวจันทร์เอาไว้ จึงใช้ทั้งแทงทั้งฟันได้ ในพงศาวดารจีน ขุนพลที่ใช้อาวุธนี้เด่นๆคือลิโป้ในยุคสามก๊ก ซิยิ่นกุ้ยในยุคราชวงศ์ถัง ทวนวงเดือนที่สำคัญมีอยู่ 2 ชนิดคือ ทวนวงเดือนกรีดฟ้าที่มีเสี้ยวจันทร์ทั้งสองข้าง และทวนวงเดือนมังกรเขียวที่มีเสี้ยวจันทร์ข้างเดียว

พลอง อาวุธยาวๆอย่างกระบอง (棒) และพลอง (棍) ของจีนนั้นแตกต่างกัน ไทยเราอาจใช้คำว่าพลองกับกระบองแทนความกันได้ แต่ในจีนนั้นจำแนกพลองออกจากกระบองชัดเจน พลองคือท่อนไม้หรือโลหะยาว มักทำให้ผิวเรียบทั้งอัน เพราะวิชาพลองจีนมักต้องรูดมือตามความยาวพลองเพื่อพลิกแพลงกระบวนท่า ส่วนกระบองนั้น ด้านใดด้านหนึ่งต้องติดหัวกระบองรูปทรงต่างๆเช่น กระบองหัวฟักก็ติดหัวกระบองรูปฟักแตง กระบองช่อหนามก็ติดหัวกระบองรูปร่างคล้ายทุเรียน

ขวานศึก (鉞) ขวานศึกชาวจีนเรียกว่า “เย่” ในพิชัยยุทธ์ซือหม่าฝ่า อธิบายว่า ยุคราชวงศ์เซี่ย-ซาง-โจว 3 ราช-วงศ์นี้ ขวานเป็นดั่งตราอาญาสิทธิ์ทางการทหารที่แม่ทัพ ใหญ่ต้องได้รับพระ ราชทานก่อนออกรบขวานศึกมีด้ามยาว ปลายหนึ่งติดหัว ขวานเหล็ก อีกปลายหนึ่งติดตุ้มเหล็ก เพื่อถ่วงน้ำหนักหรือติดเหล็กแหลมเพื่อใช้เป็นอาวุธเพิ่มก็มี

สามง่าม (叉) อาวุธนี้ติดหัวโลหะรูปแหลมเป็นซี่ๆ รูปทรงของสามง่ามเหมาะกับใช้แทงหรือขว้างซัดเพื่อตรึงเป้าหมายให้อยู่กับที่ สามง่ามมีหลายชนิด เช่น ง่ามม้า ง่ามอัคคี



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/06/22/352837/o13/420.jpg


หอกง่าม (钂) อาวุธนี้ชาวจีนเรียกชื่อว่า “ตั่ง” นิยมใช้มากในสมัยราชวงศ์หมิง โดยเฉพาะช่วงปราบโจรสลัดญี่ปุ่น แม่ทัพชีจี้กวงแห่งราชวงศ์หมิงได้แบ่งพลทหารเป็นขบวนเล็กๆ เพื่อกระจายกันสำรวจตรวจตราท้องที่ต่างๆโดยวางให้พลหอกง่ามรั้งท้ายทุกขบวนทัพเสมอ

ตะขอ (鉤) และ กรงเล็บ (抓) ใช้เกี่ยว ตะกุย แต่ด้ามยาวๆใช้ไม่สะดวกเท่าใด ในยุคหลังๆจึงพัฒนาเป็นอาวุธอ่อน คือ ติดตะขอกับโซ่บ้าง เชือกบ้าง เพื่อใช้ฉุดดึงคนที่อยู่ไกลๆบ้าง ใช้เป็นเครื่องมือป่ายปีนบ้าง

แหลนยาว (槊) และ หอก (矛) แหลนเป็นอาวุธยาว ปลายไม่มีคม ส่วนหอกเป็นอาวุธยาวมาก ในบรรดาอาวุธยาวทั้งเก้านับว่าหอกยาวที่สุด หอกงูจ้างแปดของเตียวหุยแห่งสามก๊กนั้น ยาว 1 จ้าง 8 ชุ่น คือยาวเกือบ 360 ซม. หอกบางเล่มยาวถึง 5 เมตรก็มี

ง้าว (大刀) จีนเรียกมีด ดาบ และง้าวด้วยคำว่า “ตาว” เหมือนกัน เพราะรูปทรงคล้ายกัน ง้าวจีนคือดาบที่ด้ามยาว และง้าวบางเล่มตัวใบดาบก็ยาวกว่าดาบปกติ ง้าวที่คนไทยคุ้นกันคือ ง้าวใหญ่ที่กวนอูใช้ แต่แท้จริงแล้วง้าวมีหลายชนิดเช่น ง้าวงวงช้าง ง้าวผอม ง้าวปลายคิ้ว เป็นต้น


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/06/22/352837/o18/420.jpg
 เก้าอาวุธสั้น
อาวุธสั้น (จากซ้าย) ดาบ, กระบี่, ไม้เท้า, ขวาน, แส้เหล็ก, เหล็กท่อน, ค้อน, กระบองสั้น, สาก

ขณะที่อาวุธยาวเป็นยุทโธปกรณ์สำคัญในศึกสงคราม อาวุธสั้นก็เป็นอาวุธที่นิยมในหมู่ชาวยุทธจักร เนื่องเพราะพกพาสะดวกและคล่องตัวในการสัประยุทธ์ระยะประชิดมากกว่า

ดาบ (刀) ดาบเป็นอาวุธสั้นพื้นฐานสำคัญ คนฝึกมวยจีน หากฝึกอาวุธมักต้องฝึกดาบเป็นอย่างแรก ดาบมีหนึ่งคมหนึ่งสัน รูปทรงโค้งเอียง มีโกร่งดาบกลมแบนจึงมักใช้ฟันเป็นหลัก เป็นอาวุธสำคัญของทหารราบ เนื่องจากใช้เวลาฝึกฝนไม่นานนักก็ใช้การได้แล้ว

กระบี่ (劍) กระบี่มีหนึ่งปลายสองคม ตรง เบา การใช้กระบี่นั้นไม่ต้องเงื้อมือ ใช้ได้ทั้งแทงและเฉือน ดังนั้นเคล็ดการใช้กระบี่จึงพลิกแพลงและลึกซึ้งกว่าอาวุธอื่นๆ ถึงกับมีคำกล่าวว่า “ฝึกดาบ 1 ปี ฝึกกระบี่ 10 ปี” ชาวจีนนับกระบี่เป็นจ้าวศัสตราวุธทั้งปวง


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/06/22/352837/o15/420.jpg

เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ต่อสู้กับลิโป้

ไม้เท้า (拐) ไม้เท้าที่ใช้เป็นอาวุธมีทั้งที่เป็นแบบไม้ตะพดบ้านเรา หรือรูปร่างแบบทอนฟาคือเป็นท่อนไม้มีด้ามจับยื่นออกมา ไม้เท้ามีหลายชนิด เช่น ไม้เท้าแขนเดียว ไม้เท้านกเป็ดน้ำ ไม้เท้าซุนปิน

ขวาน (斧) ขวานสั้นนี้ชาวจีนเรียกว่า “ฝู่” ข้อแตกต่างจากขวานศึกคือ ฝู่เป็นขวานสั้น ทหารม้าใช้ขวานศึก ทหารราบใช้ขวานสั้น และมักใช้เป็นขวานคู่ เพราะขวานหนัก ถือจับเป็นคู่จะสมดุลกว่า ขวานสั้นมีหลายชนิดเช่น ขวานหัวหงส์ ขวานง้อไบ๊

แส้เหล็ก (鞭) คำว่าแส้นี้ คนอ่านนิยายกำลังภายในมักเข้าใจว่า แส้ คืออาวุธยาว ทำจากหนังสัตว์ ใช้หวดฟาดแบบพระเอกหนังอินเดียน่า โจนส์ ความเข้าใจนี้ไม่ผิด เพราะจีนก็มีแส้แบบนั้นอยู่ เรียกว่า แส้อ่อน จัดอยู่ในทำเนียบอาวุธอ่อน ขณะที่แส้แข็งจัดอยู่ในทำเนียบอาวุธสั้น แส้แข็งหรือแส้เหล็กนี้ คนไทยไม่คุ้น เพราะอาวุธบ้านเราไม่มีอย่างนี้ อ่านนิยายจีนก็ไม่เห็นจะมีพระเอกใช้อาวุธแบบนี้ อาจจะคุ้นบ้างเวลาไปวัดจีนเห็นเทพบางองค์ถืออาวุธเหมือนกระบองเป็นข้อๆ นั่นเองที่เรียกว่า แส้เหล็ก

เหล็กท่อน (鐧) รูปร่างคล้ายแส้เหล็ก ชาวจีนเรียกว่า “กั้ง” แต่ไม่มีข้อหรือปล้อง ปราศจากคมและปลายแหลม จึงมักสร้างให้มีรูปทรงคล้ายเจดีย์คือ มุมเหลี่ยม เหมาะแก่การใช้ตี และกระทุ้งเป็นสำคัญ เทียบแล้วก็คล้ายกับคมแฝกบ้านเรา

ค้อน (錘) ค้อนนี้รูปทรงคล้ายกับค้อนที่ ใช้ตอกตะปูทั่วไป ต่างตรงที่ด้ามจะยาวกว่า เพราะ หัวค้อนใหญ่กว่าค้อนทั่วไปจึงต้องใช้แรงเหวี่ยงมากกว่า หัวค้อนนั้นเดิมทำจาก ไม้ ต่อมาจึงใช้โลหะแทน ค้อนมีหลายชนิดเช่น ค้อนแปดเหลี่ยม ค้อนเทพอัสนี ค้อนฟักทอง



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/06/22/352837/o16/420.jpg

เทพทวารบาลซ้ายถือแส้เหล็ก ขวาถือเหล็กท่อน

กระบอง (棒) กระบองนั้นมีทั้งยาวและสั้น กระบองสั้นนั้นหนักและหัวกระบองมักมีหนาม ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ อาวุธนี้สร้างขึ้นเพื่อล่าสัตว์ กระบองสั้นมีหลายชนิด เช่น กระบองเขี้ยวหมาป่า กระบองช่อหนาม เป็นต้น

สาก (杵) เดิม ทำจากไม้ ชาวนาใช้ตำข้าวหรือธัญพืช ใช้ตีเสื้อเวลาซักผ้า ต่อมาจึงใช้เป็นอาวุธป้องกันโจรผู้ร้าย ในทางพุทธศาสนาสายมหายาน สากเป็นอาวุธประจำของเว่ยถัว (韋馱) หรือพระเวทโพธิสัตว์ เป็นเทพธรรมบาลผู้ปกป้องพุทธศาสนา

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่ว่าหวังจะให้ท่านทั้งหลายเจนจบในอาวุธ ไปสู้รบปรบมือแต่อย่างใด แค่หวังเพียงว่าจะช่วยแก้ข้อข้องคาใจหรือไปเพิ่มอรรถรสแก่ท่านที่ชื่นชอบในนิยายหรือละครจีนกำลังภายใน
 

ที่มา... นิตยสาร ต่วย'ตูน โดย ฮ.ศุภวุฒิ จันทสาโร
หน้า:  1 ... 113 114 [115] 116 117
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.614 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 26 กุมภาพันธ์ 2567 08:08:51