'ปดิพัทธ์' แจงปมบินดูงานสิงคโปร์เรื่องประสิทธิภาพงานสภา-การจัดการปัญหาหมอกควัน พร้อมแสดงใบเสร็จ
<span class="submitted-by">Submitted on Mon, 2023-09-18 18:14</span><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>'ปดิพัทธ์ สันติภาดา' แจงปมบินดูงานสิงคโปร์เรื่องประสิทธิภาพงานสภา-การจัดการปัญหาหมอกควัน ยืนยันพร้อมแสดงใบเสร็จรายละเอียดใช้จ่าย กลับมาพร้อมรายงานการดูงานแน่นปึ๊ก เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี </p>
<p> </p>
<p>18 ก.ย.2566 ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานต่อสื่อมวลชนว่า ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘กรรมกรข่าวคุยนอกจอ’ ต่อกรณีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการใช้งบประมาณเดินทางไปดูงานที่ประเทศสิงคโปร์ 1,379,250 บาท ของปดิพัทธ์และคณะผู้ร่วมเดินทางรวม 12 คน ระหว่างวันที่ 21-24 ก.ย. 2566 มีความเหมาะสมหรือไม่ว่า เรื่องนี้ยินดีให้ตรวจสอบอยู่แล้วตามนโยบายสภาโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเป็นของประชาชน</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">โจทย์ดูงานสิงคโปร์ คือ Smart Parliament และ การจัดการหมอกควัน</span></h2>
<p>ปดิพัทธ์ กล่าวว่า การไปดูงานที่สิงคโปร์ เป็นการต่อยอดจากคณะกรรมการขับเคลื่อนรัฐสภาโปร่งใสและสมรรถนะสูงที่ตนตั้งขึ้นมา เริ่มต้นพิจารณาว่าในทวีปเอเชีย สภาที่ไหนบ้างที่มีประสิทธิภาพสูง พบว่ามี 2 ที่คือไต้หวันและสิงคโปร์ แต่เนื่องจากนโยบายจีนเดียวของกระทรวงการต่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปไต้หวันได้ สุดท้ายจึงเป็นสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบสภาแตกต่างจากไทย มีสมาชิกน้อยกว่า แต่เทคโนโลยีสูงกว่า เราสามารถไปเรียนรู้ได้ว่าเขาทำงานอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ </p>
<p>โจทย์ของการไปดูงาน คือเพื่อเติมเต็มในสิ่งที่เรายังขาดอยู่ โดย 2 โจทย์ที่จะไปดูที่สิงคโปร์ คือ Smart Parliament และ การจัดการปัญหาหมอกควัน เนื่องจาก 10 ปีที่ผ่านมา สิงคโปร์ประสบปัญหานี้หนักหนากว่าประเทศไทยมาก แต่ใช้เวลา 10 ปีสามารถลดค่าฝุ่นลงได้ด้วยมาตรการหลายอย่าง ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ตนจะไปพบสภาลมหายใจเชียงใหม่ จึงคิดว่าควรรีบไปดูต้นแบบต่างๆ และเสนอต่อคณะรัฐมนตรีด้วย นอกจากนี้ จะได้ไปดูงานบริษัท GovTech (Government Technology) ซึ่งตามปกติไม่สามารถเข้าไปได้ ต้องทำเรื่องให้เป็นทางการ</p>
<p>นอกจากนี้ตนจะไปพบคนไทยอีก 2 กลุ่ม คือ แคมป์แรงงานไทยในสิงคโปร์ และกลุ่มตัวแทนนักศึกษาไทยที่ National University of Singapore (NUS) ดูเรื่องอัตราการจ้างงาน </p>
<h2><span style="color:#2980b9;">เผยระเบียบการคลัง กำหนดเงื่อนไขการเดินทาง</span></h2>
<p>เมื่อถูกถามว่า รู้สึกอย่างไรที่เรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกมา โดยมุ่งชี้ไปที่ประเด็นการใช้งบประมาณ ปดิพัทธ์กล่าวว่า ตนเคยถูกถามก่อนหน้านี้ว่าจะยกเลิกการดูงานทั้งหมดหรือไม่ ซึ่งตนบอกว่าไม่ยกเลิก แต่จะดูเท่าที่จำเป็นและให้มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ต้องไปดูว่ากระบวนการของราชการมีขั้นตอนของกระทรวงการคลัง ที่ระบุว่าบุคคลระดับต่างๆ ต้องได้รับการดูแลให้เดินทางอย่างปลอดภัยและสมฐานะของประเทศอย่างไร</p>
<p>“ตอนที่ผมยังไม่ทราบระเบียบเหล่านี้ ผมก็เรียกเจ้าหน้าที่มา บอกว่าเดินทาง 2 ชั่วโมงครึ่ง บินด้วยสายการบินต้นทุนต่ำได้หรือไม่ เจ้าหน้าที่ไปทำการบ้านมาปรากฏว่าไม่ได้ เพราะมีระเบียบกระทรวงการคลังล็อกไว้ว่าบุคคลเช่น รัฐมนตรี ผบ.เหล่าทัพ ประธานวุฒิสภา ประธานรัฐสภา จะได้รับการดูแลให้เดินทางโดยสายการบินประจำชาติ เป็นการเบิกแบบสูงสุด (maximum) ตั้งเรื่องไว้ก่อน เพราะเจ้าหน้าที่ไม่รู้ว่าถ้าใช้จริงจะเป็นเท่าไรแน่ ผมจึงให้นโยบายไปเลยว่าใช้ให้ถูกที่สุด เพราะสัมภาระไม่เยอะ”</p>
<p>“ส่วนการนอนโรงแรมก็อย่าให้ถึงงบสูงสุดคือ 12,000 บาท เอาแค่ 7,000-8,000 ก็พอ เจ้าหน้าที่ไปทำการบ้านมา ได้โรงแรมที่เหมาะสมแล้ว อย่างไรก็ตาม เอกสารการเบิกเป็นการเบิกแบบเต็มที่ ตามสิทธิ์ที่บรรจุในระเบียบกระทรวงการคลัง ดังนั้น ทั้งหมดมีเงื่อนไขอยู่ ต้องมีการพูดคุยให้ถูกต้องตามระเบียบ ส่วนเรื่องสายการบิน เชื่อว่าเจ้าหน้าที่การคลังของสภาได้ทำการบ้านดีที่สุดแล้ว สรุปเป็นชั้นธุรกิจของการบินไทย” </p>
<p>เมื่อถูกถามว่า ประชาชนอาจตั้งคำถามว่า เหตุใดต้องเป็นชั้นธุรกิจ ปดิพัทธ์กล่าวว่า เป็นเรื่องที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ได้ ขอยกตัวอย่าง ตนเคยเสนอให้การเดินทางของ สส. สามารถจองตั๋วเองแล้วมาเบิกได้ แต่สภามีเงื่อนไขกับเอเจนซี่ในการจองตั๋ว ซึ่งเรื่องนี้มี 2 มุม มุมหนึ่งถ้า สส. ต้องจัดการชีวิตตัวเองหมด ก็อาจเดินทางไม่ทัน แต่พอใช้เอเจนซี่ เขาก็ให้เราได้ที่นั่งที่ดีสุด เป็น Priority Seat เช่นเดียวกับข้าราชการอื่นๆ ตนจะบอกว่าไม่รับอาหารบนเครื่องบินก็ไม่ได้ เพราะเบิกมาแล้ว ต้องใช้วิธีเซ็นว่าไม่รับอาหารแล้วค่อยคืนไป อย่างไรก็ดี ในตั๋วเครื่องบิน เป็นแพ็กเกจรวมทั้งหมด</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">สส.ก้าวไกลร่วมทริป มีภารกิจชัดทุกคน</span></h2>
<p>ปดิพัทธ์กล่าวต่อว่า ส่วนเหตุใดในคณะผู้เดินทาง จึงเป็น สส. ก้าวไกลเยอะ เนื่องจากคณะนี้ไม่ได้เป็นกรรมาธิการที่มีสัดส่วนสมาชิกจากแต่ละพรรคชัดเจน ตอนที่ตนตั้งกรรมการ 4 ชุดเพื่อขับเคลื่อนงานสภาโปร่งใส ตนประกาศในสภาฯ เลยว่าพรรคไหนสนใจมาร่วมกัน ให้ส่งรายชื่อมา ปรากฏว่าก็ไม่มีส่งมา </p>
<p>ตอนแรกคณะเดินทางมี 12 คน แบ่งเป็น เจ้าหน้าที่ 4 คน ตนจึงขอให้มี สส. รัฐบาล 4 คนไปด้วย แต่เป็นการติดต่ออย่างไม่เป็นทางการ เพราะยังไม่มีวิป จึงเดินไปบอกพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ว่าขอพรรคละ 2 คน ให้เป็นคนที่สนใจกิจการสภา สนใจพัฒนาสภาให้ smart ทางพรรคเพื่อไทยจึงส่งรายชื่อมา 2 คน คือ ศรัณย์ ทิมสุวรรณ และ พชร จันทรรวงทอง ส่วนภูมิใจไทยส่งชื่อไม่ทัน แต่ต่อมาศรัณย์ติดภารกิจเรื่องวิปรัฐบาล จึงตัดสินใจอยู่ว่าจะเดินทางไปด้วยกันแต่กลับก่อน หรือยกเลิกทริปไปเลย </p>
<p>ส่วน สส. พรรคก้าวไกลที่ร่วมเดินทางไปนั้น ล้วนมีภารกิจทั้งสิ้น เช่น ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับ Smart Parliament โดยตรง เก่งที่สุดในเรื่องเทคโนโลยี ส่วนเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร เป็นประธานของอนุกรรมการเกี่ยวกับ Young Parliament ดังนั้น ยืนยันว่าทั้งหมดมีที่มาที่ไปและเหตุผล </p>
<p>เตรียมส่งรายงานการดูงาน ต่อรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง</p>
<p>เมื่อถามว่า อาจมีการมองว่า เรื่องฝุ่นหรือเรื่องอัตราการจ้างงาน เป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร ไม่เกี่ยวกับสภาหรือไม่ ปดิพัทธ์กล่าวว่า ในการบริหารประเทศ เรื่องฝุ่นแค่เรื่องเดียวมีกฎหมายที่ต้องออกหลายฉบับมาก และยังมีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ต้องเจรจากับอินโดนีเซีย ดังนั้น การที่สภากับรัฐบาลมีนโยบายใกล้เคียงกัน การออกกฎหมายและการดำเนินนโยบาย ก็จะใกล้เคียงกันไปด้วย ตนจึงคิดว่าเราสามารถทำงานคู่ขนาน ที่ทำให้ปัญหาระดับโลก สามารถแก้ไขอย่างมีเอกภาพได้ </p>
<p>“ผมคิดว่าเรื่องนี้รัฐบาลไทยล้มเหลวมาตลอด 9 ปีที่ผ่านมา และปัญหาหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เรารอไม่ได้ โดยผมจะส่งรายงานทั้งหมดให้ รมว.ต่างประเทศ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ และ รมว.เกษตรฯ รับรองว่ารายงานการดูงานแน่นปึ๊ก และพร้อมเผยแพร่ต่อสาธารณะถ้ามีหน่วยงานใดร้องขอ”</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">พร้อมแสดงใบเสร็จให้ตรวจสอบ</span></h2>
<p>เมื่อถามต่อว่า รู้สึกอย่างไรที่เหมือนโดนจับผิด ปดิพัทธ์กล่าวว่า เป็นความตั้งใจของเราอยู่แล้วที่จะทำสภาโปร่งใส ถ้าเราตั้งใจจะโปร่งใส ก็ต้องพร้อมโดนตรวจสอบ ไม่ใช่ส่งเอกสารแบบถมดำ นอกจากนี้คิดว่าคำวิพากษ์วิจารณ์นี้ควรไปไกลกว่าตน ต้องไปดูว่าระเบียบกระทรวงการคลังที่ใช้อยู่ปัจจุบันโบราณหรือไม่ เพราะอยู่มาหลายสิบปี และมีการปรับปรุงเมื่อปี 2560 ดังนั้น ถ้ารัฐบาลนี้มีนโยบายรัดเข็มขัด การดูงานไม่ใช่แค่ฝ่ายนิติบัญญัติ แต่รวมถึงองค์กรอิสระ รวมถึงข้าราชการ ก็ต้องรัดเข็มขัดด้วย และปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลังไปด้วยกัน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ตนจะมีความยินดีอย่างยิ่ง</p>
<p>เมื่อถามว่ายืนยันพร้อมให้ตรวจสอบใช่หรือไม่ ปดิพัทธ์กล่าวว่า ตรวจสอบได้เลย พร้อมแสดงใบเสร็จ เรื่องค่าใช้จ่าย เมื่อตนเดินทางกลับมาจะมีการสรุปอย่างชัดเจนว่าใช้กับเรื่องอะไร เท่าไรบ้าง หากใครต้องการตรวจสอบ เรายินดีเปิดเผย</p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">ข่
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2023/09/105958