[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน => ข้อความที่เริ่มโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 14:45:07



หัวข้อ: ฟังธรรม - ต้องฟัง - ให้ถึงธรรม แล้วน้อมนำไปปฏิบัติ
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 14:45:07
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)

พระพรหมมังคลาจารย์ หลวงพ่อ ปัญญานันท ได้เทศนาสั่งสอนธรรมไว้

ณ.วัดชลประทานรังฤษฎิ์ ปากเกร็ด นนทบรีปีพุทธศักราช 2529

ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย.................................................

(:LOVE:)
ณ.บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา..........................
การศึกษาเรื่องธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ที่เรายอมรับว่า เป็นเพราะว่าการเดินทางก็จะขลุกขลัก บางทีอาจจะหลงไป เสียเวลาเสียมากมายก่ายกอง ไม่อาจจะไปถึงจุดหมายปลายทางนั้นได้ แต่ถ้าหากว่าเรารู้ทางดี การเดินทางก็ไม่ขัดข้อง เป็นไปด้วยความสะดวกสบาย ทุกประการ จึงเป็นความจำเป็นที่เราจะต้องศึกษา เพื่อให้รู้ว่าทางที่เราจะเดิน ด้วยการปฏิบัติทางกาย ทางวาจา ทางใจ นั้นเป็นอะไรบ้าง มีสภาพอย่างไร ควรจะเดินด้วยวิธีใด จุดหมายที่เราไปถึงนั้นมี สภาพอย่างไร เป็นเรื่องที่ควรจะได้ทำความเข้าใจกันก่อน เพราะฉะนั้นในหลักทางพระพุทธศาสนา จึง ได้วางหลักไว้สามตอน คือ ปริยัติ หมายถึงการศึกษาเล่า


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 14:46:13
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)

 (:YE:)เรียน ทำความเข้าใจในข้อธรรมะนั้น ๆ เป็น กิจสำคัญประการแรก ประการที่สองก็เรียกว่า ปฏิบัติธรรม ได้แก่การลงมือปฏิบัติ ขัดเกลาจิตใจของเรา ให้สะอาด........ปราศจากสิ่งเศร้าหมองใจ ด้วยการปฏิบัติในขั้นศีลบ้าง สมาธิบ้าง ปัญญาบ้าง เป็นการกระทำเป็น เป็นขั้นที่สอง
เมื่อได้ศึกษาเมื่อได้ปฏิบัติแล้ว ผลที่เกิดขึ้นแก่ตัวเราก็คือ ปฏิเวธ หมายความว่า เห็นแจ้งเห็นจริง ในสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริง เมื่อได้รู้จักสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริงแล้ว ความหลงใหลความเข้า (:BYE:)ใจผิดความยึดมั่นถือมันในเรื่องอะไรต่าง ๆ นั้นค่อย คลายไป หายไปจากจิตใจของเรา จิตใจของเรา ก็มีแต่ความสว่างไสวด้วยปัญญา การที่มีจิตใจสว่างไสวด้วยปัญญา นั่นแหละคือการถึงจุดหมายที่เราต้องการ เพราะว่าจุดหมายปลายทางในทางพระพุทธศาสนานั้น คือปัญญา เพราะว่าปัญญานี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ทำให้ เรารู้จักสิ่งต่างๆ ตามสภาพที่เป็นจริง และเราจะพ้นไปจากความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน เรื่องการหลุดพ้นไปจากความทุกข์ - ความ (:BH:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 14:48:30
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)

 (:BR:)เดือดร้อนเป็นเรื่องสำคัญ ที่เราควรจะทำให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เพราะในการดำรงชีวิตในวันหนึ่ง ๆ  (:SL:)เราไม่ควรจะอยู่ด้วยความร้อนด้วยปัญหาต่างๆ แต่ว่าควรจะอยู่ ด้วยจิตใจที่เบาโปร่งแจ่มใส มองเห็นอะไรถูกต้องตามสภาพที่มันเป็นจริงอยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เราทั้งหลายควรจะทำให้เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเรา เพราะฉะนั้นจึงต้องมาศึกษาธรรมะ เพื่อนำไป ปฏิบัติ เพื่อเกิดผลเป็นความสุขความสงบต่อไป เวลาใดที่เราว่างจากการงาน อันเป็นกิจในชีวิตประจำวัน ของเรา เราก็ควรจะหันมาสนใจในเรื่องอย่างนี้ เพื่อจะได้เอาไว้ใช้แก้ปัญหาในชีวิตต่อไป..............................................
พูดถึงเรื่องปัญหาในชีวิตแล้ว เรามีด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเด็กเป็นหนุ่มสาวผู้เฒ่าผู้แก่ ย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเราไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องของปัญหานั้นๆ การแก้ไขก็ย่อมจะเป็น การลำบาก ถ้าแก้ไม่ได้มันยุ่งอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับกลุ่มด้ายที่ยุ่ง ถ้าเราไม่รู้เงื่อนปมของมัน เราจะสางความยุ่งของด้ายนั้นได้ (:BR:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 14:49:59
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)

อย่างไร(:BYE:)แต่ถ้าเราเข้าใจว่าอะไรเป็นปมเป็นเงื่อน มันตั้งต้นที่ตรงไหน แล้วควรจะดึงมันออกมาอย่างไร เราก็ค่อยๆ ดึงออกมา ความยุ่งของปมด้ายนั้นก็ค่อยหายไป ฉันใด ในชีวิตของเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราปล่อยให้เกิดปัญหามากมายก่ายกอง เราก็ไม่มีโอกาสจะแก้มัน แล้วเรา ก็จะนั่งอยู่ด้วยความกลุ้มใจ นั่งอยู่ด้วยอารมณ์ทุกข์ตลอดเวลา การเป็นอยู่ในรูปเช่นนั้น เป็นสิ่งที่เรา ปรารถนาหรือไม่ ถ้าถามขึ้นในรูปอย่างนี้ ญาติโยมก็จะตอบขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ต้องการ เมื่อเรา ไม่ต้องการในเรื่องอย่างนั้น  เราก็ต้องพยายามที่จะสางปัญหาชีวิต ด้วยเอาธรรมะมาเป็นเครื่องช่วย ธรรมะที่เราได้ศึกษานี่แหละเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่จะช่วยให้เราแก้ปัญหาทุกอย่างในชีวิตของเรา เพราะหลักธรรมะคำสอนในทางพระพุทธศาสนานั้น มีคำตอบที่สมบูรณ์ ซึ่งเราจำนำมาใช้แก้ปัญหาทุกอย่าง ในชีวิตของเราได้ทุกประการ ญาติโยมที่มาวัดบ่อยๆ ก็ย่อมจะรู้จะเข้าใจในเรื่องอย่างนี้ เพราะได้เห็นผลประจักษ์ด้วยใจตนเอง - จึง (:VA:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 18 ธันวาคม 2552 14:51:02
สาธุครับ

ขออนุโมทนา 'จารย์บางครั้ง ด้วยครับ

ที่มาร่วมเผยแพร่สิ่งดี ๆ เตือนใจ

ให้กับเวบนี้ และทุกคนบนโลกใบนี้

 (:HIT:) (:HIT:) (:HIT:)



หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 14:51:29
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)

ได้เกิดความสนใจมากยิ่งขึ้น ศึกษาเพิ่มเติมปฏิบัติเรื่อยไป และผลก็เกิดขึ้น อยู่แก่เราตลอดเวลา อันนี้เป็นเรื่องสำคัญจำเป็นประการหนึ่ง............................
ทีนี้ในการศึกษาเรื่องของพระพุทธศาสนานั้น (:BH:)เราก็ศึกษาเรื่องสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะนั่นเอง ธรรมะ นี่เป็นหลักคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นสิ่งนับเนื่องในสิ่งสำคัญที่เรายึดถือเป็นหลักทางใจ สิ่งสำคัญที่เรายึดถือเป็นหลักทางใจนั้นมีอยู่สามประการ ซึ่งเราเรียกว่า สรณะ สรณะนี่แปลว่า ที่พึ่งทางใจ ได้แก่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หรือพูดสั้น ๆ ว่า พุทธะ ธรรมะ สังฆะ สิ่งสามประการนี้เป็นหลักใจ เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านเตือนใครๆ บ่อยๆ ว่าอย่าอยู่อย่างคนไม่มีที่พึ่ง แต่ให้อยู่ อย่างมีที่พึ่ง แล้วก็ตรัสต่อไปว่าที่พึ่งนั้นก็คือธรรมะนั่นเอง ให้เอาธรรมะมาเป็นที่พึ่งทางใจ ถ้าเรามีธรรมะ เป็นที่พึ่งทางใจแล้ว จิตใจก็จะไม่ว้าเหว่ ไม่วุ่นวาย ไม่เร่าร้อน ไม่มืดบอด เพราะเรามีหลักให้ใจสำหรับ เข้าไปเกาะจับ เพื่อจะได้อุ่นอกอุ่นใจ..........  (:LOVE:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 14:52:57
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)

 (:BR:)เรียกว่า เป็นสรณะ เรื่องสรณะทางใจนี่เป็นเรื่องสำคัญ อยู่เหมือน กัน เพราะว่าคนเรานั้นโดยปรกติ มีสิ่งหนึ่งประจำอยู่ประจำอยู่ในใจ สิ่งนั้นคือความขลาดกลัวในเรื่องอะไรต่าง ๆ มีอยู่ด้วยกันทุกคน ไม่กลัวอย่างนั้นก็กลัวอย่างโน้นอย่างนี้ กลัวอะไรร้อยแปด บางทีเราก็กลัวสิ่ง ที่ไม่น่าจะกลัว เช่นว่ากลัวผี ซึ่งความจริงก็ไม่เคยเห็นเลย ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นสักหน่อย ว่าผีมี รูปร่างหน้าตามันเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่วายหวาดกลัว เรามักจะสร้างภาพที่น่ากลัวขึ้นไว้ในใจของเรา แล้วเราก็มีความกลัวสิ่งนั้นอยู่ตลอดเวลา..................
อันความกลัว ที่เกิดขึ้นในใจของเราในรูปอย่างนี้นั่นแหละ มันทำให้เรามีปัญหาขึ้นตลอดเวลามี ความทุกข์ความเดือดร้อนใจ ไม่เป็นอันสงบได้เลย แล้วก็ยังกลัวสิ่งอื่นๆ อีกมากมายก่ายกอง ไม่รู้ว่าอะไร ต่ออะไร กลัวไปเสียทั้งนั้น ชั้นที่สุดก็กลัวตุ๊กแก กลัวกิ้งกือ กลัวสิ่งนั้น กลัวสิ่งนี้ มีมากมายก่ายกอง เมื่อใจ ของเรามีความหวาดกลัวอยู่อย่างนี้ เราก็ต้องมีอะไรเป็นเครื่อง........ (:BH:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 14:54:37
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)

 (:PING:)ประเล้าประโลมใจ เพื่อให้คลาย จากความกลัว สิ่งที่จะเป็นเครื่องประทับใจ ให้คลายจากความกลัวสิ่งที่สุดก็คือ สิ่งสำคัญในทางพระศาสนา เพราะเรายอมรับว่าสิ่งที่ศาสนาว่า เป็นสิ่งสูงสุดในชีวิตของเรา เมื่อเรายอมรับในสิ่งนี้ และสิ่งที่เกี่ยว เนื่องกับสิ่งที่เรายอมรับ นั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญไป เช่นเรายอมรับพระพุทธศาสนา ว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิต เราก็ถือว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นี่เป็นหลักใจ ที่เราควรจะมี และเราจะได้อุ่นอกอุ่นใจ เพราะฉะนั้นเวลาใดที่มีความทุกข์ความเดือดร้อนใจ เราจึงนึกถึงพระพุทธเจ้า เช่นเราพูดออกไปว่า พุทโธ พุทโธ เอ่ยพระนามของพระพุทธเจ้า บางคนก็เอ่ยทั้งสามชื่อ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ว่าติดกันไปเลย ถ้า เปล่งวาจาออกไปในรูปเช่นนั้นแล้ว ก็รู้สึกว่าผ่อนคลายอารมณ์ ผ่อนคลายความทุกข์ความเดือดร้อนอันเกิดขึ้น ในใจไปได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่ถ้าเราคิดให้มันติดต่อกันไปเป็นสายตลอดเวลา ความหวาดกลัวนั้นก็จะผ่านเบาไป (:SL:)ไม่เกิดขึ้นในใจต่อไป เพราะฉะนั้นเวลาพระสงฆ์ในครั้งโบราณไป (:PL:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 14:56:10
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)


 (:BR:)อยู่ในป่าบางทีก็มีความหวาดกลัว เรื่องนั้นเรื่องนี้ มาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์ก็บอกว่า ให้สวดมนต์ภาวนา ให้นึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ให้นึกถึงคุณพระธรรม ให้นึกถึงคุณของพระอริยะสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ขณะที่สวดมนต์ภาวนานึกถึงสิ่งนั้น จิตใจก็ผ่อนคลายจากความกลัวไปได้ นี่มันเป็นเรื่องสำคัญอย่างนี้..................................  (:PL:) (:PL:) (:PL:) (:PL:)
เพราะฉะนั้น จึงถือว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสาระเป็นหลักประจำใจ เป็นที่พึ่งของใจ ทำให้ใจของเรา เป็นหลักประจำใจ เป็นที่พึ่งของใจ ทำให้ใจของเราเกิดความอบอุ่น คลายจากความเดือดร้อนพุทธบริษัท เรามักจะมีวัตถุให้เกิดความอบอุ่นทางใจ เช่นเรามีพระพุทธรูปองค์น้อยๆ ห้อยติดตัวไปไหนมาไหนตลอดเวลา นั่นก็เป็นเครื่องอุ่นใจ เกิดความขลาดความกลัวก็จะได้นึกถึง เพื่อจะได้ผ่อนคลายความทุกข์ทางใจ สิ่งนี้จึงเป็นเครื่องปลอบโยนของเราทั้งนั้น แต่ว่าในการที่เรานำสิ่งเหล่านี่มาเป็นเครื่องปลอบโยนใจนั้น ถ้าเรารู้แต่เพียงนิดหน่อย การเอามาปลอบโยนมันก็ได้นิดหน่อย คือได้แต่เพียง (:HIT:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 14:57:30
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)

 ;Dเปลือกผิวภายนอก ยังไม่ซึ้งเข้าไป ถึงความรู้สึกนึกคิดอย่างแท้จริง ไม่สามารถถอนรากถอนโคนของความทุกข์ความเดือดร้อน ที่เกิด ขึ้นในใจให้หายหมดไปได้ มันหายเพียงชั่วครั้งชั่วคราว คือขณะที่เราคิดเรานึก แต่ว่าพ้นไปจากนั้นแล้ว มัน ก็ย้อนกลับมาหลอกเราอีกต่อไป ที่ได้เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า สิ่งนั้นยังอยู่ในห้วงนึกของเรา เราไม่ได้ ถอนมันออกอย่างชนิดที่เรียกว่า ถอนรากถอนโคน เมื่อถอนไม่หมดเราก็มีความวิตกกังวลเกิดขึ้นในบางครั้ง บางคราว การที่จะถอนสิ่งนี้ให้หมดไปนั้น ก็ต้องอาศัย ปัญญา เข้าใจในเรื่องนั้นชัดเจน แจ่มแจ้ง ว่ามันคือ อะไรอย่างชนิดที่เรียกว่าเห็นชัด ถ้าเห็นว่าสิ่งนั้นมันคืออะไรอย่างชัดเจนแล้ว เราก็สามารถจะถอนความกลัวทั้งหมดออกไปได้...................
เพราะฉะนั้นจึงควรจะได้ทำความเข้าใจในเรื่องสิ่งอันเป็นสรณะทางใจนี้ ให้ถี่ถ้วนสักหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เรียกว่าพระธรรม ในทางพระพุทธศาสนา เวลาเราสวดมนต์ตอนเข้าเมื่อตะกี้นึ้ (:RL:)เราก็สวดว่า โย โส สวากขา (:LOVE:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 14:59:07
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)

 (:LIP:)โต ภควตา ธัมโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ไว้ดีแล้ว สันทิฏฐิโก อันผู้ศึกษาปฏิบัติจะพึงเห็นได้ด้วยตนเอง อกาลิโก เป็นสิ่งที่ให้ผลได้ไม่จำกัดเวลา โอปนยิโก เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เอหิปัสสิโก เป็นสิ่งที่ควรจะเรียกกันมาดูมาชมเพื่อให้เห็นชัดใน สิ่งนั้นๆ ว่ามันคืออะไร ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ อันวิญญูชนมีปัญญา จะพึงเห็นชัดในสิ่งนั้นตามสภาพที่เป็น จริงด้วยตนของ ตนเองอันนี้คือคุณลักษณะของธรรมะ ที่พระผู้มีนำมาตรัสแก่พวกเราทั้งหลาย (:SLE:)
ในเบื้องต้น ขอทำความเข้าใจในเรื่องศัพท์สักเล็กน้อยก่อน คือศัพท์ว่า ธรรมะ นี่เองศัพท์ว่า ธรรมะ นี่เป็นศัพท์เก่าแก่ของพวกอริยกะเขา อริยกะซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งในประเทศอินเดีย คนพวกนี้เป็นคนมีความคิดก้าวหน้า มีความเจริญในทางความคิดความอ่าน ในอะไรอีกหลายเรื่องหลายประการ แต่ประเทศอินเดียนั้น เดิมมันก็มีชนอยู่พวกหนึ่งแล้ว แต่เป็นคนที่ไม่ค่อยจะเจริญไม่มีความก้าวหน้าในเรื่องใดๆ เขาเรียกว่าเป็นเผ่า พวก  (:FR:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:00:25
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)

 (:BR:)มิลักขะ แต่พวกอารยันนี้อยู่ทางตอนเหนือขึ้นไป อพยพลงมาตอนกลางของประ เทศอินเดีย ขับไล่พวกที่อยู่ก่อนให้ถอยร่นลงไปอยู่ชายทะเล แล้วพวกนั้นก็เข้ายึดครองแผ่นดินตั้งถิ่นตั้งฐาน ภาษาที่เขาใช้นั้นเป็นภาษาอารยัน ภาษานี้มีใช้คำอยู่คำหนึ่งคือคำว่า ธรรมะ ธรรมะนี่มันกินความกว้างมาก หมายถึงอะไรๆ ทุกสิ่งทุกประการสิ่งที่เป็นรูปร่าง ซึ่งเราสามารถจะดูด้วยตา ดมได้ด้วยจมูก สัมผัสได้ ด้วยประสาทหู ชิมได้ด้วยลิ้น ก็เรียกว่า เป็นเรื่องฝ่ายรูป ก็เรียกว่า เป็นเรื่องของธรรมะ แม้สิ่งที่เป็น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของเรา ก็เรียกว่าเป็นธรรมะเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจึงมีคำสองคำเป็นพื้น ฐานว่า รูปธรรม นามธรรม รูปธรรมนั้นหมายถึงสิ่งที่เป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นวัตถุนั้นเราสามารถจะสัมผัสได้ ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย เรียกว่า ประสาททั้งห้า ส่วนที่เป็นนามธรรมนั้น สัมผัสได้ด้วยประสาทที่หก ประสาทที่หกก็คือ จิตของเรานั่นเอง จิตสามารถจะสัมผัสกับสิ่งที่เป็นนามธรรม ที่เป็นความรู้สึก เช่นความทุกข์ ความสุข ความดีความชั่ว (:QS:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:01:40
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)


(:BR:)ความร้อนความเย็น ความกลัว ความกล้าอะไรๆ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจ ของเรา สิ่งนั้นเรียกว่า นามธรรม นี่ก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่งเหมือนกัน ความดีความชั่ว ความเสื่อมความ เจริญ ก็เรียกว่าอยู่ในจำพวกธรรมะ อะไรๆ ที่เรามีอยู่ในพื้นโลกนี่ เรียกว่าใช้ศัพท์ธรรมะได้ทั้งนั้น มันกินหมายความได้กว้างขวางมากเป็นความหมายสี่ประการคือ หมายถึง สิ่งที่เป็นธรรมชาติประการหนึ่ง ธรรมชาติที่มันมีปรากฏอยู่ทั่วๆ ไป เป็นอย่างนั้นเป็น อย่างนี้ ที่เราพูดกันว่า ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ เช่นว่าปีนี้ฝนแล้ง แต่ปีก่อนโน้นฝนตกมาก เราก็พูดว่านั่น มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่มักจะเป็นไปในรูปออย่างนั้น ไม่มีใครจะไปกำหนด กฏเกณฑ์ลงไปได้ ว่าให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้  สิ่งที่เป็นธรรมชาติมันเหมือนอำนาจของคน คนเราไม่สามารถจะบังคับธรรมชาติ ได้ แต่ว่าเรามีหน้าที่จะเรียนรู้เรื่องธรรมชาติ เพื่อจะได้ปรับตัวเราให้เหมาะกับธรรมชาติ หรือจะได้ เรียนรู้ว่า ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น เมื่อสิ่งนั้นมันเกิดขึ้นมันเป็นไป เราก็ไม่ (:SY:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:03:01
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)


(:BH:)ต้องทุกข์มากเกินไป เพราะเราจะคิดได้ว่า เรื่องมันเป็นอย่างธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น อันนี้เรียกว่า มันเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง เหมือนกัน ธรรมชาตินี้ในภาษาธรรมะจริงๆ นั้นเขาเรียกว่า สภาวธรรม สภาวธรรมก็คือว่าสิ่งที่มัน เป็นอยู่อย่างนั้น มันเกิดขึ้นมันเป็นอยู่มันเปลี่ยนแปลงไป ในรูปอย่างนั้น ไม่รู้ว่ามันกันอย่างไร มันเป็นกัน อย่างไร แต่ว่ามันก็มีเหตุมีผลตามธรรมชาติ ที่จะเป็นไปตามเรื่อง เช่นมีฝนตกแล้วก็มีอะไรต่อ อะไรต่อไป มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ อันนี้ก็เป็นธรรมะประการหนึ่ง
ตัวธรรมชาติ นั้นมันก็มีระเบียบเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่มีระเบียบ มีระเบียบแต่ว่าเราไม่รู้ระเบียบ ของธรรมชาติ ไม่รู้ว่ามันปรุงแต่งกันอย่างไร จึงไม่เข้าใจในเรื่องนั้นถูกต้อง จึงมักจะเกิดความทุกข์กัน บ่อยๆ แต่ความจริงนั้นมันมี กฏระเบียบ ของเขา เป็นระเบียบอยู่อย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้บอกให้ใครรู้ว่าจะ เป็นอย่างไร แต่เขาเป็นของเขาเอง ระเบียบของธรรมชาติที่สำคัญที่สุดที่เรา (:DA:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:04:02
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)


 (:SH:)ควรจะศึกษาควรจะทำ ความเข้าใจไว้ให้ถูกต้อง ก็มีอยู่สามประการ ที่พระผู้มีพระภาคทรงค้นพบ คือ อนิจจตา ความไม่เที่ยง ทุกขตา ความเป็นทุกข์ อนัตตา ความไม่มีเนื้อแท้ในตัวของสิ่งนั้นๆ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมากเป็นกฏ เกณฑ์ของธรรมชาติที่มีอยู่เป็นอยู่ตลอดเวลาเรียกว่าเป็นสัจจะ เป็นความจริง และเป็นความจริงที่จริงอยู่ อย่างนั้นตลอดไป ไม่ว่าที่ใดๆ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น ความไม่เที่ยงมันก็มีอยู่ในที่ทุกแห่ง ความเป็นทุกข์มัน ก็มีอยู่ในที่ทุกแห่ง ความเป็นอนัตตาก็มีอยู่ทุกแห่งเหมือนกัน อันนี้เรียกว่า เป็นระเบียบเป็นกฏธรรมชาติ ถ้า เราเรียนรู้กฏของธรรมชาติ จะช่วยให้ผ่อนคลายจากความทุกข์ความเดือดร้อนใจ เช่นสมมติว่าเราเกิด อาการไม่สบายทางกาย เป็นไข้ได้ป่วย การที่เราเกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ก็เพราะว่าเราอาจจะ ปฎิบัติไม่ถูกตามกฏธรรมชาติ เช่นเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศบางทีมันก็หนาวบางทีมันก็ร้อน บางทีก็เป็นอย่างนั้นเป็น อย่างนี้ เราปรับตัวเองไม่ทันก็เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วย หรือบางทีเราก็รับประทาน (:SL:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:05:56
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)

(:7:)อะไร ๆ เข้าไปใน ร่างกาย เราไม่รู้ว่าในสิ่งนั้นมีอะไรเป็นพิษเป็นภัยแก่ร่างกายบ้าง เพราะสิ่งบางอย่างมองเห็นด้วยตาไม่ ได้ บางอย่างเราก็มองเห็นด้วยตาของเราได้ (:13:)
ถ้าเรามองเห็นด้วยตาเราก็ไม่รับประทานเข้าไป เช่น อาหารที่เราจะรับประทาน ถ้าเรามองเห็นว่ามีสิ่งสกปรก เราก็ไม่รับประทาน แต่ถ้าว่าเราไม่เห็นว่าสิ่งนั้น มีสิ่งสกปรก เช่นมีเชื้อโรคอยู่ในอาหาร เรารับประทานเข้าไป มันก็ติดเข้าไปกับอาหาร แล้วไปเกิดเจริญงอกงามขึ้นในร่างกาย เราก็เป็นไข้ได้ป่วย หรือว่าเราไปในที่บางแห่งอากาศไม่บริสุทธิ์ เราก็ไม่รู้ เพราะสิ่งที่ลอยอยู่ในอากาศนั้น ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้างเราก็สูดหายใจเข้าไป เชื้อโรคมันติดเข้าไปกับลมหาย ใจ เราก็เกิดเป็นไข้ได้ป่วยขึ้นมา เมื่อใดที่เราเป็นไข้ได้ป่วย ถ้าหากว่าเราเป็นทุกข์เช่นนอนอยู่กับ เตียงคนไข้แล้วนอนเป็นทุกข์ เรียกว่าเป็นไข้ทั้งสองอย่าง ไข้นอกไข้ใน ร่างกายนั้นป่วยแล้วจิตใจเราก็ ป่วยไปด้วย เพราะว่าเราเกิดความทุกข์ทางใจเกิดเนื้อต่ำใจ หรือบางทีก็เอาตัวเรานี่ไปเปรียบเทียบ กับคนอื่นแล้ว (:14:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:07:38
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)


(:3:)ก็นึกว่าเรานี่ เป็นคนอาภัพอับโชค เป็นโรคอย่างนั้นเป็นโรคอย่างนี้ ไม่สบายอย่างนั้น ไม่ สบายอย่างนี้ ทำให้เกิดเป็นความทุกข์ไปเปล่าๆ ถ้าเราเรียนรู้ กฏเกณฑ์ของธรรมชาติ เราก็ควรจะได้ เตือนตัวเองว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะสิ่งทั้งหลายไม่คงที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราจะ เปลี่ยนไปเป็นคนป่วยก็ได้ แล้วมันอาจจะเปลี่ยนมาเป็นคนหายป่วยก็ได้ มันก็หมุนกันอยู่อย่างนั้น (:LIP:) (:LIP:)
ก็ในชีวิตของคนเราแต่ละคนนั้น เราเคยป่วยแล้วเราก็หายป่วย มันก็เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยไป ในระยะชีวิตกว่าจะจบฉาก ไม่รู้ว่าป่วยสักกี่ครั้งกี่หน เดี๋ยวเป็นอย่างนั้นเดี๋ยวเป็นอย่างนี้ ปวดแข้งปวดขา ปีนี้มันปวดตรงนั้น ปีหน้ามันอาจจะไปปวดตรงโน้นก็ได้ บางทีดูแล้วก็น่าขำในเรื่องของตัวเอง เช่นว่ามันปวดอยู่ ที่ข้อเท้าข้างซ้าย พอข้างซ้ายหายมันก็มาปวดข้างขวา เราก็นึกขำตัวเองว่ามันแสดงบทบาทเหลือเกิน แล้วด้าน ขวาหายมันก็กลับไปด้านซ้ายอีก มันแสดงไปในรูปต่าง ๆ มันก็คล้าย ๆ กับ (:8:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:08:43
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)

 (:SH:)ละครเหมือนกัน ละครแห่งความเจ็บไข้ได้ป่วย เอาร่างกายของเราเป็นฉาก แล้วก็แสดงไปในเรื่องอย่างนั้นเรื่องอย่างนี้ ถ้าเราเป็นคนดูที่ใช้สติปัญญาบางทีก็นึกขำตัวเอง ว่าเออมันแปลก ๆ ร่างกายนี้ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างนี้มันก็ไม่กลุ้มใจ แต่มันเห็นเป็นของน่าขำไป น่าหัวเราะไป เราก็นอนป่วยไปตามเรื่อง หมอเขาให้กินยาก็ กินไปตามหน้าที่ ตามคำสั่งของหมอรักษาร่างกาย หมอรักษาร่างกายของเราได้ แต่หมอรักษาใจเราไม่ ได้ เราต้องรักษาใจของเราเอง การรักษาใจนั้นไม่ใช่กินยาที่หมอสั่ง แต่เราต้องกินยาที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งไว้ ก็เอายาคือธรรมะนี่แหละมากินเข้าไป เป็นเครื่องปลอบโยนจิตใจ เพราะเรารู้ กฏความจริง ของธรรมชาติ ว่ามันเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
ในเรื่องภายนอกนี้ก็เหมือนกัน เช่นเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง เราได้มาแล้วบางทีมันก็หายไป บางทีมันมีก็มีกำไร แต่บางทีก็เกิดการขาดทุนยุบยับ ถ้าเราเป็นคนไม่ศึกษากฏเกณฑ์ของธรรมชาติ เราก็มีปัญหา มีความทุกข์มี (:BH:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:10:03
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)

 (:SY:)มีความเดือดร้อนใจ ว่าทำไมมันมาเกิดกับเราอย่างนี้ ความจริงไม่ได้เกิดแก่เราคนเดียว แต่เกิดขึ้นแก่ใคร ๆ (:UU:) ก็ไม่รู้ ถ้าเรียกในโลกนี้มาสัมมนากันดูว่า ใครต้องผิดหวังใครต้องขาดทุน ใครต้องสูญเสียอะไรในชีวิตมาบ้างมีทุกคนเลยมี เรื่องที่จะมาเล่าให้เราฟังกันทุกคนไปเลยทีเดียว อันนี้มันเป็นเรื่องความจริง ถ้าเรามีเพื่อนฝูงมิตรสหาย เวลาเราพบปะเราลองไปคุยกันดู มีคนหลายคนที่เป็นเพื่อนเรานั้น ต้องเล่าให้ฟังว่า แหมต้องสูญเสียอย่างนั้นอย่างนี้ นึกว่าจะได้เท่านั้นกลับไม่ได้ บางทีก็ขาดทุนยุบยับไปเลย พอเราได้ฟังเรื่องของเพื่อนแล้ว เราก็ว่าของฉันก็มีอวดเหมือนกันในเรื่องนั้น แล้วเราก็มาอวดกัน อวดความทุกข์ความเดือดร้อนที่มันเกิดขึ้น แล้วเราก็จะได้ปลงลงไปว่า ไม่ใช่เป็นแต่เราคนเดียว คนอื่นเขาก็เป็นเหมือนกัน ยิ่งเราไปอยู่ตามโรงพยาบาล เรานอนอยู่บนเตียงข้างๆ เราก็นอนกันเป็นแถวเลยทีเดียว แล้วเราก็นึกว่าไม่ได้เป็นแต่เรา คนอื่นเขาก็เป็นอะไรก็เหมือนกัน เพราะมันเป็นระบบของธรรมชาติ ซึ่งเราหนีไม่ได้ เราจะต้องประสบ (:9:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:11:54
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT4.jpg)

 (:DY:)พบเห็นกับสิ่งเหล่านั้น คิดอย่างนี้แล้วมันก็ช่วยให้ใจสบาย เพราะเราเรียนรู้ในเรื่องธรรมะที่เรียกว่า ธรรมชาติ กฏเกณฑ์ ของธรรมชาติ.......................................
ประการที่สาม เรื่องธรรมะหมายถึง หน้าที่อันเราจะต้องกระทำจะต้องปฏิบัติ เราทุกคนมีหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้น หน้าที่นั้นเขาเรียกว่า กรณียะ กรณียะกิจ กรณียะกิจแปลว่า กิจที่เราจะต้องกระทำ เราจะต้องทำทิ้งไม่ได้ เรามีหน้าที่ที่จะต้องทำ เช่นหน้าที่ส่วนตัวเรา เราจะต้องรับประทานอาหาร เราจะต้องดื่มน้ำ สูดลมหายใจเข้าออก แล้วเราก็ต้องมีการพักผ่อนหลับนอน มีการถ่ายเทของเก่าออกไป เช่น ไปถ่ายปัสสาวะบ้าง อุจจาระบ้าง อย่างนี้มันก็ทำตามหน้าที่ เรื่องหน้าที่ในร่างกาย ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องตรงไปตรงมา ไม่ขัดขืนมันก็มักจะปกติเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นคนบางคนเป็นโรคกระเพาะ โรคกระเพาะนี้ลองศึกษาดูแล้ว เนื่องจากว่าไม่ทำตามหน้าที่ เวลาท้องหิวมันบอกว่า ฉันหิวแล้วนะเอาอะไรใส่ให้ฉันบ้าง เดี๋ยวก่อน ฉันยังมีงานจะต้องทำไปทำหน้าที่โน้นมากไป แต่ว่าหน้าที่นี่บกพร่อง หน้าที่มันต้องเจือจุนให้สมบูรณ์ เราจะหนักทางใดเบาทางใดมันก็ไม่ได้ ต้องแบ่งเวลา เวลานั้นทำงาน เวลานั้นพักผ่อน เวลานั้นรับประทานอาหาร เวลานั้นออกกำลังกายต้องแบ่งให้มันเป็นระเบียบ ทำเป็นระเบียบแล้วเรื่องมันก็ไม่ขลุกขลัก ร่างกายปฏิบัติได้เรียบร้อย (:7:)
เช่นเรื่องรับประทานอาหารควรจะรับประทานให้เป็นเวลา ถึงเวลาก็ต้องไป (:UU:)

http://www.fungdham.com/download/song/allhits/21.wma


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:14:14
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT9.jpg)

 (:SLE:)นานเขาก็บอก เดินนาน ยืนนาน เขาก็บอก ยืนนานแล้ว ปวดแข้งแล้ว เราก็ต้องนั่งให้เขาหน่อย ถ้านั่งนานๆ เขาก็ว่าพอแล้ว ลุกขึ้นยืนหน่อย วิ่งเสียหน่อย อิริยาบถมันต้องสม่ำเสมอ ร่างกายมัน ก็เป็นปกติ นี่บางคนนั่งมาก โดยเฉพาะคนที่ชอบเล่นไพ่ นั่งเอาจริงๆ มันไม่ สมดุลย์มันก็เกิดปัญหา มี ความทุกข์ทางร่างกาย  เรื่องอย่างนี้มันลำบากถ้าเราไม่รู้เรื่องของมัน  ถ้าเราปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามธรรมชาติของร่างกาย สิ่งทั้งหลายก็จะเรียบร้อย เพราะหน้าที่มีอยู่
นอกจากหน้าที่ เรามีหน้าที่จะต้องปฏิบัติต่อผู้อยู่ด้วยกัน ต่อคนที่เกี่ยวข้อง ต่อการงานประเภทต่างๆ ต่อชาติต่อพระศาสนา ต่อสิ่งที่เรามีส่วนได้รับประโยชน์ เราก็ต้องทำสิ่งนั้น ๆ ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องมีความสำนึกอยู่ในใจเสมอว่า เวลานี้ฉันมีหน้าที่อะไร ฉันควรจะปฏิบัติต่อหน้าที่นั้นอย่างไร และควรจะทำโดยวิธีใด จะต้องคิดอยู่ตลอดเวลา พอถึงเวลานั้น เราก็ทำตามหน้าที่ เมื่อทำอะไรทุกอย่างไปตามหน้าที่ ทุกอย่างมันก็เรียบร้อย ไม่เกิดการ (:UU:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:15:46
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT9.jpg)

 (:LIP:)ขลุกขลัก หน้าที่จึงเป็นธรรมะประการหนึ่ง ที่เราละเลยไม่ได้ แต่จะต้องเอาใจใส่ ปฏิบัติอยู่ตลอดเวลานี้ประการหนึ่ง เรียกว่า หน้าที่
เมื่อเราได้ทำอะไร ตามหน้าที่เสร็จแล้ว ผลจะต้องเกิดขึ้นแก่เรา เขาเรียกว่า การกระทำกับ ผลนั้นคู่กัน กิริยากับปฏิกิริยามันคู่กัน กรรมกับผลนั้นคู่กันเหมือนกัน ไม่ว่าอะไรถ้ามีการเคลื่อนไหวมีการกระทำ ผลมันก็เกิดขึ้น เมื่อเรามีการเคลื่อนไหวปฏิบัติหน้าที่ ผลมันก็เกิดขึ้นแก่เรา ผลที่เกิดขึ้นแก่เรานั้นก็เป็นธรรมะประเภทหนึ่ง เขาเรียกว่า วิบาก หรือวิปากธรรม หมายถึงผลอันเกิดขึ้นจากหน้าที่ที่เราได้ปฏิบัติลงไป ตามฐานะของการลงทุนของสิ่งที่เราทำ ทำมากผลมันก็มาก ทำน้อยผลมันก็น้อยตามสมควร จะคล้ายๆ กับ เรายืนตรงนี้ แล้วเราขว้างลูกบอลล์ไปที่ฝา ถ้าขว้างแรงมันก็กระดอนกลับแรง ถ้าขว้างเบามันก็กระดอนกลับแต่เพียงเบา ๆ ทำอะไรมันก็ต้องมีผลทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงมีหลักตายตัวว่า ทำอย่างใดได้อย่างนั้น หว่านพืชชนิดใดได้ผลอย่างนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่ว (:7:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:16:45
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT9.jpg)

ได้ชั่ว เราจะหนีจากผลที่เรากระทำไว้ไม่ได้เป็นอันขาด อันผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของเรานั่นแหละ ก็เป็นตัวธรรมะอย่างหนึ่งเหมือนกัน สรุปความว่า ธรรมะ ซึ่งเป็นคำที่ใช้กันทั่วไปในสมัยโบราณ มาจนถึงกาลบัดนี้ มีความหมายเป็นสี่ประการ คือเรียกว่า ธรรมชาติ ระเบียบกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ หน้าที่ และผลอันเกิดขึ้นจากหน้าที่ นี่คือคำว่า ธรรม ทั่วไป แต่ว่าในภาษาไทยเรานั้น เรามีคำพูดพิเศษอยู่อันหนึ่ง เรามักจะพูดว่า พระธรรม ถ้าเราพูดว่า พระธรรม ให้เข้าใจว่าหมายถึงหลักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คู่กันกับพระพุทธ พระสงฆ์ พระธรรม เรา ใส่พระเข้าไปข้างหน้าถือว่าเป็นเกียรติ์ เป็นของสูง แต่ว่าพูดว่า ธรรมะเฉยๆ มันก็หมายถึงสิ่งสี่ประ การดังที่กล่าวมา แต่ถ้าใส่พระเข้าไปข้างหน้า ก็ให้หมายถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราเรียกว่าพระธรรม พระธรรมก็เป็นสิ่งที่เราจะต้องศึกษา ต้องทำความเข้าใจ เพื่อให้เกิดความรู้ในเรื่องนั้นถูกต้อง


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:17:47
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT9.jpg)

 (:6:)ทีนี้พระธรรมในทางพระพุทธศาสนานั้น มีลักษณะอย่างไร ก็มีลักษณะหกประการ ดังที่เราสวดมนต์ กันเช้าๆ เวลามาที่โรงเรียนนี้ เราสวดว่า สวากขาโต ภควตา ธัมโม พระธรรม อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ดีแล้ว คือสอนไว้ดีแล้ว ที่พระองค์เอามาสอนไว้ดีนั้น เอามาอย่างไรเอามาจากการคิดค้น การศึกษา พระผู้มีพระภาคของเรานั้น ถ้าพูดภาษาสมัยใหม่ๆ ก็เรียกว่า นักค้นคว้าชั้นหนึ่งทีเดียว ค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตจิตใจ เกี่ยวกับเรื่องความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ แต่ว่าก่อนค้นคว้าเรื่องนี้ พระองค์ก็ไปเที่ยวศึกษาในสำนักครูบาอาจารย์ต่างๆ ซึ่งมีอยู่ในประเทศอินเดียในสมัยนั้น ในยุคนั้นมากมาย เพราะประเทศอินเดีย ถ้าพูดกันไปแล้ว ก็เรียกว่าเป็นบ่อเกิดแห่งความรู้ เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา มีอาจารย์มีครู มีความคิดเห็นต่างๆ กันตั้งมากมายหลายลัทธิ
ที่ใหญ่  (:4:)ๆ ก็มีประมาณเจ็ด แปดลัทธิทีเดียว แล้วก็มีผู้ตั้งมีผู้สอน มีหลักคำสอนที่แตกต่างกันเล็ก ๆ น้อย ๆ เอามา (:14:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:18:52
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT9.jpg)

 ;Dสอนกันอยู่ทั่วๆ ไป ในแง่การปฏิบัติก็เหมือนกัน มีการปฏิบัติกันในรูปต่าง ๆ หลายแบบหลายอย่าง พระองค์ออกบวชใหม่ๆ ยัง ไม่เข้าใจชัดในเรื่องอย่างนี้ ก็ต้องไปเที่ยวทดสอบศึกษา ทดลองในสำนักอาจารย์ต่าง ๆ เหล่านั้น เกือบจะทุกแห่ง เพราะว่าใช้เวลาตั้งหกปี ที่ไปเที่ยวศึกษา ค้นคว้า ปฏิบัติ ทดสอบ  ในสำนักนั้น ๆ เมื่อได้ทดสอบอย่างชนิดที่เรียกว่า เอาจริงเอาจัง จนครูบาอาจารย์เจ้าสำนักนั้นยกย่องว่า เป็นคนจริงคนหนึ่ง ทำอะไรก็ทำได้อย่างเก่งกาจ เสมอด้วยเราผู้เป็นอาจารย์แล้ว แต่พระองค์ก็ไม่พอ พระทัย ในสิ่งที่อาจารย์นั้นชมว่าดี เพราะพระองค์รู้ด้วยตนเองว่า มันยังไม่ถึงที่สุด คือยังไม่หมดทุกข์นั่นเอง ยังมีความทุกข์อยู่ยังมีปัญหาอยู่ ยังสะสางไม่หมด เลยลาอาจารย์นั้นไป เที่ยวไปในสำนักอื่นอีก มีอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่อาจารย์นั้นเขาคิดเขาค้นกัน ก็ลองไปทำอีก กระทำเสียทั่ว เรียกว่า มีอาจารย์เท่าใดก็ไปทดสอบมาทั้งนั้น ผลที่สุดก็มาสู่ที่ที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ที่ต้นโพธิ์ แล้วก็มานั่งสงบจิตปฏิบัติกันในแนวใหม่ ผล (:5:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:20:02
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT9.jpg)

 (:7:)ที่สุดก็ได้พบความจริง ที่เราเรียกว่าพระธรรม ค้นพบพระธรรม ค้นพบด้วยความเพียร ด้วยความอดทนด้วย ความตั้งใจ อันนี้เป็นเครื่องประกอบอย่างสำคัญ ทำให้พระองค์ได้ค้นพบสิ่งนั้น (:LOVE:)
เมื่อค้นพบสิ่งนั้นแล้ว น้ำพระทัย สงบ สะอาด สว่าง ไม่มีความทุกข์อันเป็นปัญหาใดๆ เกิดขึ้นในใจต่อ ไปพระองค์ก็ได้พูดออกมาว่า ฉันรู้แล้ว ทุกข์หมดแล้วการเกิดในคราวนี้เป็นครั้งสุดท้าย ไม่ต้องมีการ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวงจรของกิเลสต่อไป นี่เรียกว่า ได้ค้นพบความจริง และได้พบทุกข์ด้วยพระองค์เอง พบแล้วทดลองพระองค์เองก่อน เห็นว่าใช้ได้ดีจริงๆ เพราะฉะนั้นคำสอนที่เรากล่าวว่า สวาขาโต พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว ที่ว่าดีหมายความว่า ด้วยดี เป็นประโยชน์ด้วยและเป็นทางที่จะปฏิบัติให้ ถึงความพ้นทุกข์ได้ด้วย จึงเรียกว่าเป็นของดีจริง ถ้าดีแต่ว่ามันไม่มีประโยชน์มักก็ใช่ไม่ได้ ประโยชน์กับดี มันต้องคู่กัน แล้วธรรมของพระผู้มีพระภาคนี้ดีตลอดกาล ดีอยู่ทุกหนทุกแห่งดีแก่ทุกคน ที่จะนำไปใช้ (:UU:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:21:05
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT9.jpg)

 (:7:) (:7:) (:7:)
 (:SY:)เป็น หลักปฏิบัติ จึงได้ชื่อว่า เราสรรเสริญหลักคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อาทิกัลยาณัง แปลว่า ไพเราะ ในเบื้องต้น มัชเฌกัลยาณัง ไพเราะในท่ามกลาง ปริโยสานกัลยาณัง ไพเราะในที่สุด ไพเราะในเบื้องต้นคือ ว่า ดีงามในเบื้องต้น ในขั้นปฏิบัติขั้นศีล ไพเราะในท่ามกลาง เรียกว่าในขั้นสมาธิ ไพเราะขั้นสูงสุดก็ เรียกว่า ในขั้นปัญญา ที่จะทำให้เราพ้นไปจากความทุกข์ความเดือดร้อนได้ อันนี้เป็นหลักแรกที่เราได้สวดกันอยู่ว่า ดีจริง
แต่ว่าความดีจริงๆ ของพระธรรมนั้น ถ้ามันดีอยู่ในหนังสือมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เหมือนกับยาดีอยู่ในขวด มันไม่ได้เรื่องอะไร เราต้องเอายานั้นมาปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเรา ให้มันเป็น สันทิฏฐิโก ตัว ที่สองที่ว่า สันทิฏฐิโก หมายความว่า เห็นด้วยตัวเอง ได้ชิมรสนั้นด้วยตัวเอง เขาบอกว่า "เกลือเค็ม" เราเพียงแต่รับรู้ว่ามันเค็ม น้ำตาลหวาน บรเพ็ดขม เรารู้ แต่ว่าเรายังไม่รู้ว่า มันเค็มอย่างไร หวานอย่างไร ?ขมอย่างไร ? ก็ (:4:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:22:01
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT9.jpg)

(:11:) (:11:) (:11:) (:11:) (:11:) (:11:)

 (:BYE:)เรียกว่า ยังไม่เป็น สันทิฏฐิโก เพราะไม่เห็นชัดด้วยตนเอง เพียงแต่รู้ทางหูมันยังใช้ไม่ได้ รู้ทางตาก็ยังใช้ไม่ได้ รู้ทางจมูกก็ยังใช้ไม่ได้ มันต้องรู้ด้วยใจ ไปสัมผัสกับสิ่งนั้นจริง ๆ เป็นคุณค่าเกิดขึ้นทางใจจริง ๆ เพราะฉะนั้น การที่จะให้เป็น สันทิฏฐิโก นั้น ไม่ใช่เพียงแต่เรียกเฉย ๆ เป็น ปริยัตติเ ท่านั้น แต่ต้องลงมือทดสอบด้วยการเอามาปฏิบัติ ด้วยตัวเองของเราเอง สมมติว่าพระผู้มีพระภาค ท่านสอนว่า โลภ โกรธ หลง นี้ไม่ดี ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงดี โลภ โกรธ หลงเป็นฝ่ายอกุศล ไม่ โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงเป็นฝ่ายกุศล เรารู้ทางปริยัติ รู้ทางหนังสือที่เราท่องไว้ เช่นเราไปท่องหนังสือว่า อกุศล รากเหง้าของความชั่วคือ โลภ โกรธ หลง กุศลมูล รากเหง้า ของความดีก็คือ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ หลง เพียงเท่านั้นไม่ได้ แต่เราจะต้องคอยกำหนดใจของเรา ว่าความโลภมันเกิดขึ้นแล้วสภาพจิตใจเป็นอย่างไร แล้วสังเกตดูว่า การพูดด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นอย่างไร การกระทำด้วยอำนาจโกรธ หลงนั้นเป็น (:SLE:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:22:48
 (:4:) (:4:) (:4:) (:4:) (:4:)
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT9.jpg)

 (:BR:)เรียกว่า ยังไม่เป็น สันทิฏฐิโก เพราะไม่เห็นชัดด้วยตนเอง เพียงแต่รู้ทางหูมันยังใช้ไม่ได้ รู้ทางตาก็ยังใช้ไม่ได้ รู้ทางจมูกก็ยังใช้ไม่ได้ มันต้องรู้ด้วยใจ ไปสัมผัสกับสิ่งนั้นจริง ๆ เป็นคุณค่าเกิดขึ้นทางใจจริง ๆ เพราะฉะนั้น การที่จะให้เป็น สันทิฏฐิโก นั้น ไม่ใช่เพียงแต่เรียกเฉย ๆ เป็น ปริยัตติเ ท่านั้น แต่ต้องลงมือทดสอบด้วยการเอามาปฏิบัติ ด้วยตัวเองของเราเอง สมมติว่าพระผู้มีพระภาค ท่านสอนว่า โลภ โกรธ หลง นี้ไม่ดี ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงดี โลภ โกรธ หลงเป็นฝ่ายอกุศล ไม่ โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงเป็นฝ่ายกุศล เรารู้ทางปริยัติ รู้ทางหนังสือที่เราท่องไว้ เช่นเราไปท่องหนังสือว่า อกุศล รากเหง้าของความชั่วคือ โลภ โกรธ หลง กุศลมูล รากเหง้า ของความดีก็คือ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ หลง เพียงเท่านั้นไม่ได้ แต่เราจะต้องคอยกำหนดใจของเรา ว่าความโลภมันเกิดขึ้นแล้วสภาพจิตใจเป็นอย่างไร แล้วสังเกตดูว่า การพูดด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นอย่างไร การกระทำด้วยอำนาจโกรธ หลงนั้นเป็น (:SLE:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:23:45
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT9.jpg)


อย่างไร แล้วผลมันจะเกิดเป็นอะไรต่อมา อย่างนี้จะต้องศึกษาด้วยตัวเองด้วย การกำหนดจากการกระทำของเราเอง คนเรามีการกระทำอยู่ตลอดเวลา เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา จิตใจนี้ไม่ได้อยู่นิ่งแต่เคลื่อนไหว เคลื่อนไหวไปในทางอกุศลบ้าง ในทางฝ่ายกุศลบ้าง
เพราะฉะนั้น เราจึงต้องมีหน้าที่ที่จะต้องคอยกำหนดว่า เวลาใดจิตมันตกไปในฝ่ายอกุศล ฝ่ายมืด ฝ่ายดำเราก็สังเกตว่า สภาพจิตใจเป็นอย่างไร เพื่อจะได้เห็นความแตกต่างระหว่างดีกับชั่ว ระหว่างมืดกับสว่าง ระหว่างความสุขกับความทุกข์ ที่มันเกิดขึ้นเป็นประสบการณ์ในจิตใจของเรา เราจะต้องคอยกำหนดอย่างนั้น เราจะเห็นเองด้วยตัวของเรา เห็นว่าเวลาโลภนี่ร้อนอกร้อนใจ เวลาโกรธมันก็ร้อนอกร้อนใจ เวลามืดบอดนี่มองอะไรไม่เห็น ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พอมันเกิดอารมณ์ขึ้นมาแล้วฆ่าคนได้ทันที ฆ่าคนตายสองสามคนก็ได้ เผาบ้านให้วอดวายไปก็ยังได้ เพราะมันเกิดความมืดไม่รู้ว่าตัวคิดอะไร ตัวพูดอะไร ตัวทำอะไร อย่างนั้นเขาเรียกว่า ลืมตัวลืมตน


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:24:44
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT9.jpg)

(:7:) (:7:) (:7:) (:7:)
 (:CHILL:)ไม่รู้ว่าตนคือใคร?ตนคิดอะไร?ตนพูดอะไร?ตนทำอะไร?นั่นคือผลประจักษ์ ที่เกิดขึ้นในตัวของบุคคลนั้น อันนี้เราจะศึกษาจากการกระทำของคนอื่นก็ได้ แล้วก็เอาไปวิเคราะห์ว่า ที่ทำเช่นนั้นเพราะอะไร ที่ไปฆ่าคนนั่นเพราะอะไร ไปลักของเขาเพราะอะไร ไปประพฤติล่วงเกินความรักความใคร่นี่ เพราะอะไร ไปพูดโกหกหลอกลวงเขา เพราะอะไร ไปสูบฝิ่น กินกัญชา ค้าเฮโร - อิน นี่เพราะอะไร? เอามาแยกแยะ พิจารณาในสิ่งเหล่านั้น เมื่อเราพิจารณาก็มองเห็นว่าเพราะเจ้าโลภ เจ้าโกรธ เจ้าหลง มันเกิดขึ้นในใจเรา มันจะเราให้เสียผู้เสียคน เราก็ระวังมันไว้ไม่เกิดขึ้นในใจ ของเราเป็นอันขาด
ส่วนในด้านฝ่ายดี สมมุติว่าเราไปนั่งภาวนาเพื่อทำจิตใจให้สงบ สมมติว่ากำหนดใจเข้าออก เราก็ ไปนั่งกำหนดลมหายใจเข้าออกในที่เงียบ ๆ ทำไป ๆ ถ้าเรารู้สึกใจสงบ สบาย คือว่างจากอะไร ๆ รู้สึกว่า ตัวเบาโปร่ง เราก็เห็นเองด้วยตัวของเราเอง ว่าสิ่งนั้นที่ทำลงไปแล้วมันเป็นอย่างไร อย่างนี้เรียกว่า สันทิฏฐิโก ผู้ศึกษาก็ได้ด้วย (an!)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:25:35
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT9.jpg)
 
(:12:) (:12:) (:12:) (:12:) (:12:)

 (:BYE:)ตนเองผู้ปฎิบัติก็รู้ได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าเราไม่ศึกษาไม่ปฏิบัติ เราก็ไม่มีสัน ทิฎฐิโก คือไม่ประจักแก่ใจ ไม่เห็นชัดด้วยตนเอง ตามเขาว่ามีภูเขาหิมาลัย เราก็รับว่ามันมี เขาว่ามี ดอยอินทนนท์ ก็ว่ามันมีอยู่เท่านั้นเอง ยังไม่เคยได้ขึ้นสักหน่อย ไม่เคยเห็น ดอยสุเทพ สักหน่อย หรือไม่เคยเห็นทะเล สมมุติว่าคนทางเหนือไม่เคยเห็นทะเลนี่ ว่าหน้าเป็นอย่างไร แปลว่า ไม่เกิดประจักษ์แก่ใจ ต่อเมื่อสิ่งใดสิ่งนั้นมันเกิดขึ้นในตัวเรา ก็เป็นเรื่องประจักษ์แก่ตัวเรา เช่นว่า คุณค่าทางความสงบหรือ ความดับทุกข์ได้ ที่เราเรียกกันว่า พระนิพพาน มันจะเกิดขึ้นในตัวผู้ปฏิบัติ และตัวผู้นั่นแหละจะเห็นด้วยตนเอง ไม่ต้องให้ใครไปบอกว่า คุณนี่บรรลุพระนิพพานแล้ว นั่นมันเขาว่า เราไม่ได้เห็นเอง เราต้องรู้ของเราเอง ว่าใจสงบ มันเยือกเย็น เห็นอะไรมันก็เฉย ๆ ไม่มีความโลภ อยากได้ไม่มีความโกรธ ใครเขา มาด่าเราคำสองคำเราเฉย ๆ เราเป็นคนไม่น้อยใจ ไม่ริษยา ไม่อะไรต่ออะไร คนเราบางทีมัน ก็เกิด ความน้อยอกน้อยใจในเรื่องนั้นใน (:VA:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:26:47
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT9.jpg)

 (:11:) (:11:) (:11:) (:11:) (:11:) (:11:)
เรื่องนี้ความน้อยใจมันเกิดจากอะไร เกิดจากความอยากได้นั่นแหละ เราอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี่แล้วเราไม่ได้ แล้วคนอื่นเขาได้ เช่นว่าคนอยู่กันสองคน แล้วก็มีบุคคลที่สามที่จะให้อะไรๆ คนที่ให้นั้นให้อีกคนหนึ่งอีกคนหนึ่งไม่ได้ คนที่ได้เขาก็สบายใจว่ากูได้ คนที่ไม่ได้ก็เกิดความน้อยใจว่า กูไม่ได้ ผู้ใหญ่นี่เกิดลำเอียงรักไม่เท่ากันนี่มันเกิดความน้อยใจ พอเกิดความน้อยใจก็เกิดความริษยาขึ้นมาทีเดียว แหมมันดีกว่ากูอ้ายนี่ ต้องหาทางทำลายกันตัดรอนกันต่อไป มันยุ่งตรงนี้ มันเป็นปัญหา
เราต้องคอยสังเกตว่า ตัวนี้เกิดขึ้นแล้วมันไม่ดี มนุษย์เรานี่ต้องคอยรู้ว่าอะไรมันเป็นกิเลส อะไรไม่ใช่ ความสงบกับความวุ่นวาย มันต่างกันอย่างไร?ความร้อนกับความเย็นที่เกิดขึ้นในใจ ต่างกันอย่างไร ความมืดกับความสว่าง มันเกิดขึ้นในใจแล้ว มันต่างกันอย่างไร ต้องคอยกำหนดไว้บ่อย ๆ ทีนี้เมื่อกำหนดไว้ แล้วกำหนดรู้ มันเป็น สันทิฏฐิโก เรื่องนั้นแล้ว เราก็ต้องคอยดูตัวเราว่าอะไรมันเกิดขึ้น แล้วเรารู้ว่าอ้ายนี่ ไม่ดีเช่นว่าโลภเกิดขึ้นไม่ดี


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 18 ธันวาคม 2552 15:33:06
สาธุอีกรอบครับ ตามอ่านตลอดเลยครับ
เนื้อหาดี

 (:6:) (:6:) (:6:)



หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 16:21:23
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT9.jpg)

 (:SL:)ออกไปทำไมมายุ่งกับฉันอีกเล่า ความโกรธเกิดขึ้นเราก็รู้ว่าไม่ดี เราก็คอยบังคับควบคุม ไม่ให้โกรธมันลุกลามต่อไป ไม่ให้เกิดความหลงไม่ให้เกิดความริษยา ไม่ให้เกิด ความพยาบาท ไม่ให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ ปัญหาในหมู่มนุษย์มันมาจากเรื่องอย่างนี้ ความน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วก็เกิดการเทียบเคียง ระหว่างเรากับเขา แล้วก็เกิดความรู้สึกว่า มันเก่งกว่าเรา ทีนี้มันก็น้อยใจ ถ้ารู้สึกว่าเราเก่งกว่าเขา ก็เกิดการดูหมิ่นถิ่นแคลนคนผู้นั้นเข้าไปอีก แล้วมันยุ่งทั้งนั้น อย่าเอาตัวเราเข้าไปเทียบกับใคร ๆ ในด้านที่ให้ยุ่งใจ แต่ให้เรานึกว่า ฉันมีหน้าที่ของฉันต่าง คนต่างก็มีเส้นของตัว มีเลนของตัว แล้วก็ขับไปตามเลนก็แล้วกัน อย่าไปเที่ยวขับไปให้ผิดเลน แล้วมันจะไปเบียดไปชนกัน เกิดเป็นปัญหา สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนขึ้น ด้วยประการต่างๆ ถ้าเราทำอย่างนี้มันก็ (:-_-:)ไม่ยุ่งแล้วเรื่องไม่ยุ่งอย่างนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเรามีประจักษ์ แก่ตัวของเราเองว่า อะไรเกิดขึ้น อะไรตั้งอยู่ และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันให้ผลอย่างไร?เรารู้ชัด  (:SL:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 16:23:01
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT9.jpg)
(:7:) (:7:) (:12:) (:12:)
 (:SL:)กิเลสเกิดแล้วมันเป็นอย่างไร กิเลสดับแล้วมันเป็นอย่างไร พอเรารู้ชัดในสภาพอย่างนั้นแล้ว จิตใจก็สบายขึ้น เรารู้เท่าทันต่อสิ่งที่มากระทบ ไม่ให้มันเกิดขึ้น ในใจของเรานี้ประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง คนเราบางทีมักจะปล่อยให้ไปคิดในเรื่องที่ไม่จำเป็น เช่นมีอะไรที่มักจะปล่อย ให้ไปคิดในเรื่องที่ไม่จำเป็น เช่นมีอะไรเกิดขึ้นแล้วก็เก็บมาคิดมานึกอยู่ จนกระทั่งนอนไม่หลับ อย่างนี้ก็มี อันนี้ ควรจะแก้ไขให้ได้ แก้ไขด้วยการถามตัวเองว่า คิดอะไร มีปัญหาอะไร ทำไมจึงต้องคิดด้วยความวิตกกังวลอย่างนั้น เรื่องนี้มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป แล้วทำไมเราไม่ยอมให้มันดับไปเสีย เราเอามาคิดเพราะอะไร ค้นให้พบสมมุติฐานของมัน ว่ามันเพราะอะไร เพราะอะไรก็อยู่ในตัวเรานั่นแหละ ไม่ไปอยู่ที่ไหน ค้นไป พบไป พอพบเข้ามันก็เป็นสันทิฏฐิโก ขึ้นมา รู้ได้ด้วยตนเอง แล้วเราก็ไม่ปล่อยให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นแก่เราต่อ ไป ให้เราถือเป็นหลักไว้ในใจว่า การคิดการพูดการกระทำสิ่งใดทั้งหมด เป็น (:VA:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 16:24:17
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT9.jpg)

 (:9:) (:10:) (:13:) (:11:) (:12:)
 (:SL:)ประสบการณ์ในชีวิตของเรา เป็นเรื่องที่เราจะต้องศึกษา จะต้องทำความเข้าใจไว้ ถ้าสิ่งใดเป็นเรื่องไม่ดี เราก็ไม่ควรจะให้เกิดขึ้น อีก แต่ถ้าเรื่องใดเป็นเรื่องดีทำอีกก็ไม่เป็นไร แต่ถึงทำความดีก็มีอยู่อีกเรื่องหนึ่ง ที่ควรจะสังวรก็คือว่า อย่าติดในความดี ทำดีเพื่อความดี แต่อย่าไปติดอยู่ในความดีนั้น เพราะการติดมันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน แต่ ถ้าเป็นคนธรรมดาก็ติดดีไว้ก่อน แต่นาน ๆ ไปดีก็ไม่เอาแล้ว เราทำตามหน้าที่ของเรา ไม่เอาทั้งสองอย่าง ดีก็ไม่เอา ชั่วก็ไม่เอา นี่จิตใจมันค่อยสูงขึ้น ปราณีตขึ้น พอถึงขั้นพระอริยะเจ้าเขาเรียกว่า ลอยบาปลอยบุญ คือบุญก็ท่านไม่เอา บาปก็ท่านไม่เอา อย่างนั้นจิตใจมันสบาย ไม่เอาด้วยความคิดในใจ ไม่ต้องไปพูดกับใครว่า ผมไม่เอาบุญไม่เอาบาปแล้ว ถ้าพูดอย่างนั้นมันก็ยังเอาอยู่นั่นแหละ คือต้องการเอาอย่าง ไร พูดให้คนอื่นรู้ รู้ว่าตัวมีความคิดอย่างนั้น ไม่ต้องแสดงออก คนที่มีความซาบซึ้งในธรรมะไม่ต้องแสดงออกให้คนอื่นรู้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องอวดให้มันอยู่ในใจ เป็นสุขสงบอยู่ในใจ ยิ้มระรื่นอยู่ (:BH:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 16:25:55
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT9.jpg)

(:5:) (:5:) (:5:) (:5:) (:5:)
 (:SL:)ข้างใน ไม่ต้องแสดงให้ใครรู้ว่า เราเป็นอะไรก็ได้ ถ้ายิ่งแสดงออกไปก็เป็นเรื่องโอ้อวด ทีนี้อวดแล้วเขาไม่สนใจ กลับ น้อยเนื้อต่ำใจอีก เรื่องอื่นมันจะเกิดตามมา เพราะฉะนั้นมันลำบากจึงต้องแก้ด้วยปัญญา
อีกอันหนึ่ง อกาลิโก เป็นสิ่งให้ผลไม่จำกัดเวลา คือ เรื่องผลที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติ มันให้ เรื่อยไปเหมือนกับเราลงน้ำ ลงเมื่อไหร่มันก็เปียกเมื่อนั้น มันเรื่องธรรมดา ธรรมของพระพุทธเจ้าที่เป็น หลักปฏิบัติคือไม่จำกัดกาลเวลา เช่นว่าการบรรลุมรรคผล เรามักจะเข้าใจเขวไปตามคำของคนโบราณ เขา พูดไว้ว่า เวลานั้นจะไม่มีพระอรหันต์ พระอนาคามี พระโสดาบัน อะไรๆ ก็ว่าไปอย่างนั้น อันนี้ พวกพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง ต้องการจะทำลายพระพุทธศาสนา เขาเรียกว่า บ่อนทำลายทางจิตใจ เอาความเชื่อประเภทนี้ใส่ลงไปในจิตใจของชาวพุทธ ชาวพุทธก็มีความเชื่อว่า เป็นสิ่งที่จะเป็นไปได้ แล้วก็ไม่คิดแก้ไขความเสื่อมโทรมทางพระศาสนา ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็มักจะพูดว่า มันปลายศาสนาก็อย่างนั้นแหละ เมื่อก่อนนี้ (:QS:)


หัวข้อ: Re: ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 18 ธันวาคม 2552 16:28:33
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/HUT9.jpg)

(:7:) (:7:) (:7:) (:7:) (:7:) (:7:) (:7:) (:7:) (:7:)
ได้ยินบ่อย ๆ เราไม่เอา ค่อย ๆ เปลื้องความรู้สึกนึกคิดไปโดย (:SL:)ลำดับ ๆ ความคิดความเห็นค่อยดีขึ้น เพราะเราเข้าใจในเรื่องนั้นถูกต้องขึ้น เป็น สันทิฏฐิโก อย่างแท้จริงสำหรับวันนี้ก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้ก่อน
ชีวิตของแต่ละท่านก็ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนถึงขณะนี้
ก่อนจะถึงวัยนี้ ก็ไม่รู้ว่าถึงวัยนี้ในลักษณะใด
สำหรับพรุ่งนี้ก็มืดสนิท ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดบ้างแน่นอนถ้าศึกษาพระธรรมก็จะเริ่มเข้าใจทุกอย่างตรงตามความเป็นจริงรู้เหตุของความทุกข์ สุข จนกระทั่งสามารถที่จะดับเหตุของความทุกข์ - สุขนั้น -ได้ตามพระธรรม
นี่คือ...............ประโยชน์ของการฟังพระธรรมแล้วค่อย ๆ เข้าใจขึ้น
(:SL:)

บัดนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้วจึงขอยุติเพียงเท่านี้

เอ้า.........นั่งสมาธิด้วยอาการสงบแล้วแผ่เมตตาเป็นเวลา 5 นาที

 (:LOVE:)
แผ่ให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย
(:LOVE:)

สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ อัพพะยาปัชฌา โหนตุ อะนีฆา โหนตุ

สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ

สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น

จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย

จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ

ธรรมบรรยายนี้ถอดเทปออกมาเมื่อปี 2529

http://www.fungdham.com/download/song/allhits/21.wma


หัวข้อ: Re: ฟังธรรม - ต้องฟัง - ให้ถึงธรรม แล้วน้อมนำไปปฏิบัติ
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 17 ธันวาคม 2553 23:23:58
กระทู้นี้กำลังจะครบรอบ 1 ปี (นับจากวันที่ตั้ง) ในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้านี้

วันเวลาผ่านไปแสนไว

แต่ความรู้สึกในใจยังเหมือนเดิม

 (^^) (^^) (^^) (^^)


หัวข้อ: Re: ฟังธรรม - ต้องฟัง - ให้ถึงธรรม แล้วน้อมนำไปปฏิบัติ
เริ่มหัวข้อโดย: อะเวรา ที่ 10 มกราคม 2554 13:58:58
อนุโมทนาสาธุค่ะ