[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
23 พฤษภาคม 2567 15:19:23 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ถ้าจิตลงอะไรในสามโลกธาตุทำลายไม่ได้  (อ่าน 4940 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 21 มกราคม 2555 11:27:43 »




นี่เป็นพระบวชใหม่ทั้งหมดเหรอ(ครับ)บวชถ้าได้ตั้งใจปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยของการบวชจริงๆ ก็เห็นผลประจักษ์ใจ อยู่ที่ไหนก็ชุ่มเย็นใจ ยิ่งท่านผู้บวชเข้ามาเพื่อจะแก้กิเลสโดยถ่ายเดียวด้วยแล้ว อยู่ในป่าในเขาลึกลับเท่าไรยิ่งสบายๆ พอเข้ามาเกี่ยวข้องกับคนนี้เหมือนกับมาเจอข้าศึก นี่พูดตามหลักความจริงของผู้หนักแน่นในธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ได้เห็นแต่ป่าแต่เขาที่สงบงบเงียบ สะดวกสบาย การอยู่ การพักผ่อนหย่อนตัว การขบการฉัน เรียกว่าเขียม ๆ ทั้งนั้น อิริยาบถทั้งสี่อยู่ด้วยความสงบสงัด อันนั้นเห็นผลประจักษ์ใจ

เวลาไปอยู่ในที่เงียบสงัดจริง ๆ แล้วนี้ เวลาเรานั่งภาวนา เราเริ่มต้นภาวนาทีแรกนี้นะหัวใจทำงานอยู่ภายในเสียงดังตุบตับๆๆ คือมันเงียบขนาดนั้นแล้วจิตใจก็เงียบจากอารมณ์ทั้งหลายด้วย เสียงภายนอกก็เงียบอะไรก็เงียบ ภายในจิตใจก็เงียบ เวลานั่งเริ่มจะภาวนาจะได้ยินเสียงหัวใจทำงานตุบตับ ๆ ๆ อยู่อย่างนั้น ทีนี้พอเราเริ่มทำงานทางจิตตภาวนาแล้วสิ่งเหล่านั้นก็หายไป เงียบ ทีนี้เวลาจิตลงถึงขั้นละเอียดสุดนี้แม้แต่ร่างกายก็ไม่หมายไปเลย ประหนึ่งว่าร่างกายไม่มี เหลือแต่ความรู้ที่สว่างไสวครอบไปหมด ร่างกายเหมือนไม่มี ความว่างมันครอบไปหมด นั่นละผลแห่งการภาวนาเป็นอย่างนั้น

พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอน สำหรับพระบวชใหม่จะต้องได้รับพระโอวาทนี้ทุกๆ องค์ไปไม่เว้นแม้องค์เดียว พอบวชแล้วก็ รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโยบรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งอัพโภกาส ซึ่งเป็นสถานที่สะดวกสบายในการบำเพ็ญธรรม ปราศจากสิ่งรบกวน ขอให้ท่านทั้งหลายอยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด พระโอวาทอันนี้ได้รับทุกองค์พระเรา

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2555 12:30:46 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 21 มกราคม 2555 11:29:28 »





แม้อุปัชฌาย์จะไม่ชอบอยู่ในป่าในเขาก็ตาม แต่พระโอวาทข้อนี้เป็นหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์โดยตรงจะต้องสอนสัทธิงวิหาริก ผู้บวชใหม่ คือถ้าเราฟังตั้งแต่โอวาทของท่านเราไม่ได้ปฏิบัติตามเราก็ไม่เห็นผล เพราะโอวาทสอนนี้เพื่อให้ปฏิบัติตาม และเพื่อผลจากการปฏิบัติตามนั้นจะปรากฏเช่นไร ไปอยู่ในร่มไม้ในป่าในเขา เช่นรุกขมูล รุกขมูลมีหลายประเภท ผู้ออกบำเพ็ญรุกขมูลร่มไม้จะได้สัมผัสสัมพันธ์กับการอยู่ในป่าในเขา
ในที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นป่าเป็นเขาร่มไม้ที่ไหน ๆ ความสัมผัสสัมพันธ์ของจิตของกายจะต่างกันมากทีเดียว

ถ้าอยู่รุกขมูลร่มไม้ธรรมดาก็เป็นอีกอย่างหนึ่งนั่นเป็นขั้นๆ รุกขมูลในป่าในเขาจริง ๆ เต็มไปด้วยสัตว์ด้วยเนื้อเสือร้ายประเภทต่าง ๆ มีได้ทั้งกลางวันกลางคืน นั่นเป็นประเภทหนึ่ง เป็นการเตือนจิตใจไม่ให้พลั้งเผลอในทางความพากความเพียร หลักยืนพื้นซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญก็คือสติ เวลาไปอยู่ในสถานที่สำคัญ ๆ จำเป็นจริง ๆ แล้วสติกับจิตจะปราศจากกันไม่ได้เลย สติกับจิตจะจับกันติดแนบไปเลย ทีนี้เมื่อสติติดแนบกับจิต จิตก็ไม่สามารถที่จะคิดออกไปหาเรื่องหาราวหาฟืนหาไฟหาภัยมาเผาตัวเอง เพราะความคิดนี้เป็นภัย หมายนั้นหมายนี้ ยิ่งกลัวผีคิดแต่เรื่องผีทั้งนั้น กลัวอะไรคิดแต่เรื่องอันนั้น มันกลัวอะไรก็ไม่ทราบนะ กลัวเท่าไรยิ่งชอบคิด

หัวใจของเรานี่มันดื้ออย่างนั้นนะ ว่ากลัวผีคิดแต่ผีนั่นแหละ ไม่ได้คิดอะไร กลัวผีหากคิดแต่ผี ไม่ได้อยู่ในป่าช้าก็ตามคิดกลัวแต่ผี ยิ่งให้ไปอยู่ในป่าช้าด้วยแล้วนี้ โหย ตายเลย เป็นผีเต็มตัว เป็นไฟทั้งกองเผาไหม้ตัวเองตลอดเวลา นี่ละความคิดมันเผาไหม้ตัวเอง คือความคิดความปรุงมันหลอกตัวเอง ท่านเรียกว่าสังขาร สังขารขันธ์เรียกว่าขันธ์ล้วนๆ อย่างนั้นคือขันธ์ของพระอรหันต์ ขันธ์ของคนที่มีกิเลสนี่เป็นเครื่องมือของกิเลสได้ดี เป็นเครื่องใช้คิดปรุงเรื่องอะไรหลอกได้อย่างสะดวกสบาย ไปอยู่ในป่าในเขายิ่งสนุกหลอกเจ้าของ ว่าเป็นสถานที่น่ากลัว ไม่มีอะไรก็กลัว กลัวลมๆ แล้งๆ จากความคิดของตัวเองนั้นแหละ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2555 12:31:59 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 21 มกราคม 2555 11:31:31 »





นี่พูดถึงเรื่องนักภาวนาเล่าให้ท่านทั้งหลายที่ยังไม่ได้เข้าในป่าในเขา ไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้ จะไม่รู้เหตุดีเหตุร้ายผลดีผลชั่วอะไรจากจิตใจดวงนี้เลย ถ้าได้มีการควบคุมกันโดยถือความกลัวเป็นสำคัญ เมื่อความกลัวมีมากสติต้องมีมากติดแนบกับจิต เมื่อสติติดแนบกับจิตแล้วความคิดความปรุงจะไม่ออกไปหลอกเจ้าของให้เกิดความ สะดุ้งกลัว หรือหวาดเสียวต่างๆ จิตจะค่อยสงบลงๆ เพราะสติเป็นสำคัญ พอเผลอสตินี่ความคิดปรุงสังขาร สังขารนี่เป็นสังขารสมุทัย เป็นเครื่องมือของกิเลสท่านว่า อวิชฺชาปจฺจยาสงฺขารา เห็นได้ชัดในเวลาสังขารคิดปรุงนี่ได้แก่ความเผลอสติ

{สติ}เป็นมรรค สติเป็นธรรมเครื่องแก้กิเลส สติควบคุมความคิดความปรุงก็ไม่ออก กิเลสก็ไม่เกิด เวลาสติเราแน่นหนามั่นคงเท่าไรเอาให้ไปอยู่ในป่าลึก ๆ ขณะแรกมันกลัวมากเอา ๆ กลัวมากก็ให้มาก สติกับจิตให้ติดกันตลอดเวลา ไม่นานจิตจะค่อยสงบตัวๆ เพราะสติเป็นผู้คุ้มครองรักษาดี จากนั้นจิตจะเข้าสงบได้ ขณะก่อนมันกลัวมาก เวลาสติเข้าควบคุมจิตใจรักษาภัยให้ใจ ไม่ให้คิดไปหลอกตัวเองเรื่องนั้นเรื่องนี้ มีเรื่องเสือเรื่องผีเป็นต้น จิตก็สงบเข้าไป ๆ เพราะสติดี

จากนั้นมาจิตก็สงบแน่วลงไปเลย สถานที่นั่นซึ่งเรากลัวแต่ก่อนต่อมาจากนั้นไม่กลัว เพราะจิตต่างหากเป็นผู้หลอกหลอนให้กลัว พอสติควบคุมจิตให้ดีเรียบร้อยแล้วจิตก็ไม่คิดปรุงออกไปเพื่อหลอกตัวเอง จิตก็ไม่กลัว นอกจากจิตไม่กลัวแล้วยังได้รับการอารักขาจากสติด้วยดี ก็หยั่งเข้าสู่ความสงบเย็นใจ เมื่อสงบเต็มที่แล้วอยู่ในสถานที่น่ากลัวมากๆ แต่ก่อน แต่ในขณะที่จิตได้รับการอบรมรักษาด้วยดีโดยสติเป็นเครื่องกำกับ แล้วจิตจะมีความสงบเย็นขึ้นไป เกิดความอาจหาญชาญชัยขึ้นมาไม่กลัวเลย สถานที่เคยกลัวกลับไม่กลัวและกล้าหาญชาญชัยขึ้นในเวลานั้น เพราะอำนาจของสติเป็นเครื่องป้องกันจิตใจได้ดี


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2555 12:32:25 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 21 มกราคม 2555 11:33:53 »





นักภาวนาเท่านั้นถึงจะรู้ได้ชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ ถ้าอ่านตั้งแต่ตำรับตำราแต่แบบแต่แผน ตำรับตำราท่านไม่กลัวท่านไม่กล้าท่านไม่มีอะไร แต่ผู้ไปอ่านนั่นซิตีความหมายเข้ามาได้อย่างไร ๆ นั่นเอาความหมายออกมาจากตำรับตำรา ทีนี้เวลามาปฏิบัติตัวแทนที่จะเอาความหมายอันดีงามอันเป็นธรรมมาปฏิบัติต่อ ตนเอง กลับกลายเอาความหมายนั้นเป็นโลกเป็นกิเลสไปเสีย เรียนมากเรียนน้อยเท่าไรก็ไม่มีความหมาย ไปสถานที่น่ากลัวกลัวเหมือนคนธรรมดาที่เขาไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา เช่นได้สัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใดความหวั่นความไหวของจิตใจก็พอ ๆ กันกับคนที่เขาไม่ได้ศึกษา นี่เพราะศึกษาเรียนเฉย ๆ ไม่ได้ปฏิบัติ แต่เวลาได้ปฏิบัติแล้วต่างกัน

ทั้งเรียนทั้งปฏิบัติ ผลแห่งการปฏิบัติให้มีความสงบเยือกเย็น จิตใจสง่างามผึ่งผาย สง่าอยู่ภายในตัวเอง อยู่ในท่ามกลางที่โลกเขาสมมุติว่าเป็นที่ไม่ปลอดภัย เช่นเป็นสถานที่อยู่แห่งสัตว์ร้ายทั้งหลายอย่างนี้เป็นต้นก็ไม่ได้กลัว เพราะธรรมคุ้มครองจิตใจ ใจเย็นสบาย แล้วยิ่งได้ผลอันดีงามในสถานที่เช่นนั้นผิดกับสถานที่ทั้งหลายอยู่มากที เดียว นี่ละการบำเพ็ญ ที่ท่านสอนให้อยู่ในป่า รุกฺขมูลเสนาสนํ ถ้าปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าสอนจริงๆ จะเห็นผลประจักษ์โดยลำดับลำดา เพราะนี้เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่เคยหลอกลวงโลก ไม่ว่าธรรมบทใดบาทใดขั้นใดภูมิใดของธรรมที่ทรงแสดงสอนโลก เป็นธรรมที่ถูกต้องแม่นยำ เมื่อเรานำมาปฏิบัติตามนั้นเราจะเห็นผลประจักษ์ใจโดยลำดับลำดาทีเดียว

ผู้ปฏิบัติกรรมฐานเพื่อมรรคผลนิพพานจริง ๆ ความอาจหาญชาญชัยจะมีกับผู้นั้น สถานที่ใดที่น่ากลัวมากยิ่งบุกเข้าไปอยู่ที่นั่น เพื่อจะทดสอบกันระหว่างกิเลสกับธรรมมันจะไปต่อสู้กันในสถานที่เข้าใจว่า กลัว ๆ นั้นแหละ พอธรรมกับจิตได้แก่สติกับจิตติดแนบกันโดยลำดับอยู่ในสถานที่นั้น
แล้วจิตได้รับการคุ้มครองจากสติ จิตจะมีความสงบเย็น ๆ ความกลัวอะไร ๆ นี่ไม่มี ๆ สุดท้ายเกิดความกล้าหาญชาญชัยขึ้นมาในสถานที่เข้าใจว่าน่ากลัว ๆ แต่ก่อนนั้นแหละ กลายเป็นสถานที่กล้าหาญชาญชัยขึ้นมาภายในจิตใจ เพราะใจได้รับการคุ้มครองรักษาด้วยสติ นี่เป็นขั้นที่กลัวอย่างหนึ่งการพิจารณากรรมฐานนี้มีหลายขึ้นหลายภูมิ ผู้ที่ไม่พิจารณา อ่านธรรมดาตามตำรับตำราท่านพูดไปกลางๆ ท่านไม่แยกแยะส่วนผู้ปฏิบัตินี้หากเป็นของสำคัญที่จะแยกจะแยะในแง่ต่าง ๆ ของธรรมทั้งหลายออกมาปฏิบัติเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองได้โดยลำดับ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2555 12:32:50 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 21 มกราคม 2555 11:35:40 »





อย่างที่ว่านี่ละแยกออกไป ๆ ในเบื้องต้นก็ว่าน่ากลัว ๆ อะไรก็น่ากลัว ๆ ไปหมด เห็นเสือก็เสือทั้งตัวน่ากลัวไปหมด เพราะเราเป็นคนทั้งคน เห็นเสือก็เป็นเสือทั้งตัว วาดภาพออกไปถึงเสือก็เป็นภาพเสือทั้งตัว กลัวทั้งตัวคนเรา เวลาพิจารณาเข้าไปๆ แยกธาตุแยกขันธ์เจ้าของว่าเป็นคนมันเป็นอย่างไร อะไรเป็นคน แยกออกไปตามเนื้อตามหนัง เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ แล้วเข้าไปอวัยวะภายใน เป็นสิ่งที่น่ากลัวน่ากล้าน่ารักน่าชังที่ตรงไหน มองแล้วไม่เห็น มีตั้งแต่ธาตุประเภทต่างๆ ซึ่งเขาอยู่ตามความจริงของเขา เรารู้ตามเป็นจริงก็ถอนออกมาสู่จิตที่เป็นความจริง แล้วจิตก็ผ่านไปไม่กลัว ในขั้นพิจารณาเรื่องกลัวเรื่องกล้ามันอยู่กับขั้นอสุภะอสุภัง ว่าสวยว่างาม ว่าไม่สวยไม่งาม ว่าน่ากล้าน่ากลัว น่ารักน่าชัง มันอยู่ในขั้นนี้ของผู้ปฏิบัติธรรม

ทีนี้การปฏิบัติเมื่อผ่านขั้นร่างกายนี้ไปหมดแล้ว สุภะก็ไม่ปรากฏ อสุภะอสุภังไม่มี ความที่ว่าน่ากล้าน่ากลัวในเรื่องร่างกายก็หมดไป ทีนี้พอเกิดขึ้นมาก็กลายเป็น อนิจฺจํทุกฺขํอนตฺตาเกิด ขึ้นมาเกิดกับดับพร้อมๆ เรื่องอสุภะอสุภังผ่านไปเลยๆ สุดท้ายร่างกายก็ไม่มี โลกนี้กลายเป็นโลกว่างไปหมดจากการพิจารณาตั้งแต่ขั้นเริ่มแรก ถือร่างกายเป็นพื้นฐานแห่งการพิจารณา เมื่อพิจารณาอันนี้ชำนิชำนาญเรียบร้อยแล้วมันก็ไม่มีเขามีเรา มีหญิงมีชาย มีแต่ธาตุสี่ดินน้ำลมไฟ ทั้งเขาทั้งเราเสมอกันหมด แล้วจะไปข้องแวะกับอะไร มันก็เดินไปตามสายกลางไม่ข้องแวะกับอะไร

จากนั้นก็เข้าสู่นามธรรม พิจารณาร่างกายจนกระทั่งหมด คำว่าหมดนี้เป็นอย่างไร ร่างกายนี้ที่เรายังแยกอสุภะอสุภังอยู่ในขั้นนี้ พอผ่านจากนี้แล้วอสุภะอสุภังจะไม่มี เกิดขึ้นมาพับดับพร้อมๆ เราจะพิจาณาว่าเป็นของสวยงามไม่สวยงามไม่ทัน เพราะอารมณ์ของจิตอันนี้เกิดรวดเร็ว เกิดกับดับพร้อมๆ ทีนี้เรื่องอสุภะอสุภังความสวยงามไม่สวยงามผ่านไปไม่มี เข้าถึงจิต แล้วกลายเป็นจิตอวกาศไปเลยที่นี่ มองดูอะไรมันก็เป็นอวกาศเหมือนฟ้าแลบ ๆ ปรากฏรูปนามใดก็ตามมันก็เป็นเหมือนฟ้าแลบ เราจะแยกเป็นของสวยของงามไม่สวยงามไม่ทัน ขั้นของจิตที่พิจารณาไปแล้วเป็นอย่างนี้นักปฏิบัติ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2555 12:33:22 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 21 มกราคม 2555 11:37:56 »





ผู้พิจารณาอย่างเชื่องช้าธรรมดาจะเห็นอย่างละเอียดลออ ในทางเดินแห่งกรรมฐานเพื่อความพ้นทุกข์ จะเห็นได้อย่างละเอียดลออจิตขั้นนี้พิจารณาอย่างนี้ ขั้นนั้นพิจารณาอย่างนั้นเรื่อยไปจนกระทั่งถึงจิตไม่มีรูปมีนามแล้ว ร่างกายของสัตว์ของบุคคลเป็นอวกาศไปหมด ว่างไปหมด แล้วเราจะพิจารณาอะไรว่าเป็นสุภะอสุภะ ว่าสวยว่างาม ไม่สวยไม่งาม พอตั้งพับดับไปพร้อมๆ เอาอะไรมางาม อะไรไม่งาม มันดับไปพร้อม นี่ขั้น
ของจิตแห่งการพิจารณากรรมฐาน พอจากนี้แล้วก็มีตั้งแต่เหมือนแสงหิ่งห้อย เหมือนฟ้าแลบแพล็บ ๆ ๆ เกิดดับ ๆ ๆ จากนั้นก็หมุนเข้าไปหาจิต

เพราะออกจากจิต เวลาจิตยังหยาบอาการเหล่านี้ก็ออกมาส่วนหยาบ ๆ ว่าเป็นของสวยของงามไม่สวยไม่งาม จากนั้นก็ อนิจฺจํทุกฺขํอนตฺตา ต่อจากนั้นมีแต่เกิดดับ ๆ มันแสดงออกที่จิต ดับที่จิต ตามเข้าไปหาจิต นั้นละการพิจารณา พอถึงขั้นที่จิตกับอวิชชาอยู่ด้วยกัน เมื่อมีอวิชชานั้นจิตก็หลงจิต หลงตัวเองและหลงสิ่งอื่น ไม่หลงส่วนหยาบก็หลงส่วนละเอียด ปล่อยส่วนหยาบส่วนละเอียดยังมันก็พิจารณาตามเข้าไป ตามเข้าไปจนหมด ไม่มีอะไรเป็นกิเลส มาม้วนเสื่อกันที่จิต

อวิชฺชาปจฺจยาสงฺขารา อวิชชา คืออะไร เวลาพิจารณาเข้าไปแล้วอวิชชาก็คือนางงามจักรวาล พอเข้าไปถึงจิตดวงนั้นแล้วจะสง่างามผ่องใสมากทีเดียว น่าอัศจรรย์ นี่เรียกว่านางงามจักรวาล หลอกสติปัญญาที่ยังไม่สามารถจะแก้ตกได้เป็นอย่างดี ทีนี้เวลาพิจารณาแล้วพิจารณาเล่าหลายครั้งหลายหนสิ่งเหล่านี้ก็พังลงไป อวิชฺชาปจฺจยาสงฺขารา ที่ ว่าเป็นนางงามของจิต ทำให้โลกหลงไปก็พังไปด้วยกัน ทีนี้ก็ไม่มีอะไรงามในโลกนี้ มันก็ว่างไปหมด ภายนอกก็ว่าง รูปเสียงกลิ่นรสเครื่องสัมผัสสัมพันธ์เต็มในโลกนี้ว่างจากจิตหมด แม้ที่สุดอารมณ์ภายในจิตที่ทำความผูกพันแก่ตัวเองเพราะความคิดความปรุงก็ ว่างไปหมด วางไปหมด ทีนี้บริสุทธิ์ที่ตรงไหนล่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2555 12:33:48 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 21 มกราคม 2555 11:40:19 »




เมื่อมันปล่อยไปหมดแล้วก็เหลือแต่จิตล้วน ๆ ท่านให้ชื่อว่าจิตบริสุทธิ์ ดังท่านสำเร็จพระอรหันต์นั่น คือปล่อยหมดแล้วสิ่งอันนี้
ว่างหมด ปล่อย วางด้วยว่างด้วย ปล่อยไปหมด แม้ส่วนภายนอกว่างจิตยังไม่ว่าง พิจารณาเข้ามาหาจิตจนกระทั่งจิตก็ว่าง อะไรก็ว่าง ว่างเสมอกัน
หมด ทั้งภายนอกภายในตลอดทั่วถึง นั้นละคือจิตที่บริสุทธิ์ ถ้าว่างข้างนอกยังไม่ว่างตัวเองก็ยังไม่บริสุทธิ์ เช่นเดียวกับเราไปอยู่ในห้อง ห้องนี้มัน

ว่างมันโล่งมันว่างห้องนี้ว่าง ใครไปดู ๆ ก็ว่าห้องนี้ว่าง ๆ ยิ่งให้เจ้าของที่เข้าไปยืนอยู่กลางห้องไปพูดว่าห้องนี้เป็นอย่างไร ห้องนี้ว่าง ๆ ถ้าผู้ละเอียดยิ่งกว่านั้นเข้าไปเป็นอย่างไร มันจะว่างอย่างไร เจ้าของไปยืนขวางห้องอยู่นั้นน่ะ ถ้าอยากให้ห้องมันว่างให้ออกมา พอเจ้าของโดดออกมาจากห้องห้องก็ว่างเต็มที่

ติดอย่างอื่นอย่างใดก็ปล่อยมา ๆ แต่ติดตัวเองก็เรียกว่าไปยืนขวางห้อง พอถอนตัวเองออกมา ตัวเองก็ถอน ตัวก็รู้ตัวเอง รู้ภายนอก รู้ภายใน ทั้งจิตใจก็รู้เท่าทันไปหมด เรียกว่าว่างหมด ในห้องนั้นไม่มีอะไรอยู่ ในจิตนี้ไม่มีอะไรอยู่ ตัวเขาตัวเรา เป็นอัตตานุทิฏฐิอะไรเหล่านี้ไม่มี ว่างหมด นี้ละที่ท่านสอนพระโมฆราชว่า

สุญฺญโตโลกํอเวกฺขสฺสุโมฆราชสทาสโต

อตฺตานุทิฏฺฐึอูหจฺจเอวํมจฺจุตฺตโรสิยา

เอวํโลกํอเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชานปสฺสติ.

ดูก่อนโมฆราชเธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อพิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่าว่างเปล่าถอนอัตตานุทิฏฐิที่ถือว่าเป็นเขาเป็นเราซึ่งเป็นเหมือนกับก้างขวางคอนี้ออกเสียจะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้พญามัจจุราชจะตามไม่ทันมองไม่เห็นผู้พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอยู่อย่างนี้ พระโมฆราชก็บรรลุธรรมขึ้นในธรรมบทนี้ละ เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ทีนี้ใครก็ตามเมื่อปฏิบัติตามโอวาทที่สอนพระโมฆราชนั้น พระโมฆราชก็มีกิเลส สอนกิเลสของพระโมฆราช ชำระกิเลสของพระโมฆราช เรานำมาชำระตัวของเรา เมื่อถึงที่สุดแล้วก็เป็นโมฆราชเหมือนกันหมด



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2555 12:34:14 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 21 มกราคม 2555 11:42:03 »




บรรดาพระอรหันต์นี้จะเรียกว่าโมฆราชเหมือนกันหมดไม่ผิด เพราะเป็นผู้ว่างเปล่าแล้วจากสิ่งทั้งหลาย ไม่มีอะไรเข้ามาแผ้วพานได้เลย นั่นสุญฺญโตโลกํ พญามัจจุราชจะตามไม่ทันมองไม่เห็น จะไปเห็นอย่างไร เมื่อผ่านพ้นจากสมมุติคือความเกิดตายนี้ไปแล้ว ก็เป็นอย่างนั้น นั่นนักปฏิบัติ ท่านสอนพระโมฆราชให้มีสติทุกเมื่อพิจารณาอย่างที่ว่านี้

ใครพิจารณาตามที่ท่านสอนพระโมฆราชแล้ว ผู้นั้นก็เป็นพระโมฆราชขึ้นมาได้ทันทีทันใด สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาก็คือโมฆราชอรหันต์เหมือนกันหมด ไม่มีองค์ใดแปลกต่างกัน เพราะกิเลสประเภทเดียวกัน ละกิเลสประเภทเดียวกัน ถ้ากิเลสปิดหูปิดตา มืดมิดปิดตาไปหมดจนไม่มีอะไรว่าง มันมืดมิดไปหมด เปิดความมืดนี้ออกให้หมด จ้าขึ้นมาแล้วก็เป็นพระโมฆราชเหมือนกันไปหมด นั่นละการปฏิบัติ

ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมสด ๆ ร้อน ๆ น่ะแต่พวกเรานี่เป็นธรรมจืดชืด อ่านหนหนึ่งสองหนเบื่อไม่อยากอ่าน ฟังหนหนึ่งสองหนไม่อยากฟัง ถ้ากับกิเลสตัณหาลูกกรุงลูกทุ่งฟาดวันยังค่ำคืนยังรุ่งจนจะตาย เขาจูงแขนเข้าโลงผีจะตายแล้วยังไม่ยอม ให้กูไปเล่นลิเกละครสักหน่อยลูกหลาน กูเล่นสักหน่อยแล้วกูจะกลับมาเข้าโลงอันนี้ มันจนลืม ลูกหลานไปจับแขนจูงเข้ามาก็พ่อตายแล้ว ยายตายแล้ว ตาตายแล้ว ทำไมจึงไม่เข้าโลง กูยังเพลินเล่นกับโลกเขาอยู่ นั่นเห็นไหมล่ะ ถ้าเรื่องของโลกมันเพลินขนาดนั้นนะ มันไม่รู้ตัว ตายก็ไม่รู้จักจะตายเมื่อไร ไม่สนใจ แต่ความชั่วช้าลามกขยันทำ ไม่นิยมว่าเป็นเพศเป็นวัยใดทำได้ด้วยกัน ชอบด้วยกัน เพราะกิเลสบังคับจิตให้ทำได้ด้วยกัน เมื่อธรรมเข้าไปชะล้างแล้วไม่ว่าหญิงว่าชาย เพศใด สะอาดสะอ้านขึ้นมา บริสุทธิ์ได้เช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้นความบริสุทธิ์ของใจจึงมีได้ทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งเพศนักบวชและฆราวาส มีได้ทั้งนั้น ท่านพูดยืนยันไว้ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ รู้สมมุติโดยสมบูรณ์แล้วสามารถบรรลุได้ ดังที่ท่านแสดงไว้ในตำรา ผู้บรรลุตั้งแต่อายุ ๗ ขวบก็มี ท่านผู้รู้สมมุติโดยทั่วถึงแล้ว สมมุติก็เป็นเรื่องของกิเลสรู้ทั่วถึงก็รู้ธรรมทั่วถึง แก้กันได้ เรื่องอรรถเรื่องธรรมเป็นอย่างนั้น ขอให้พากันปฏิบัติ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ ไม่ใช่ธรรมจืดธรรมชืด อ่านแล้วจืดจางไม่อยากอ่าน ถ้าเป็นเรื่องลูกกรุงลูกทุ่งจนจะตายจะเข้าโลงอยู่แล้ว ดึงออกมาเข้าโลงมันยังไม่ยอมเข้า มันเพลิน ให้พากันจำ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2555 12:34:43 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 21 มกราคม 2555 11:44:07 »




นี่เป็นข้อเปรียบเทียบ ถ้าเป็นเรื่องของโลกมันเพลินตลอดตายก็ยังไม่อยากตาย เรื่องของธรรมมันไม่อยากภาวนานะ จะพานั่งภาวนา พอจะก้าวเข้าไปสู่ห้องพระอย่างนี้ โอ๊ยร้องแหง็ก ๆ ๆ เหมือนเสียงหมาถูกฝน เป็นอย่างไรพวกเราไปตำหนิแต่หมาถูกฝนมันร้องแหง็ก ๆ ไอ้เราถูกธรรมท่านจูงเข้าไปในห้องพระเสียงร้องแหง็ก ๆ มันเสียงใคร ถ้าไม่ใช่เสียงคนขี้เกียจขี้คร้านคือพวกเรานี้จะเป็นเสียงใครไป ถ้าใคร
ขยันหมั่นเพียรให้ห่างเหินจากเสียงร้องแหง็ก ๆ นั้นก็ให้ภาวนากันบ้าง เข้าใจไหมลูกหลานทั้งหลาย

หลวงตาก็ร้องแหง็ก ๆ มาพอแล้วแหละ จึงเอาเรื่องแหง็กๆ นี้มาเล่าให้ลูกหลานฟัง มันขี้เกียจขี้คร้านไม่อยากภาวนา ตีเข้าไปๆ ความขี้เกียจขี้คร้านคือกิเลส ตีกิเลสเข้าไป เมื่อธรรมบุกเบิกเป็นกุญแจเปิดประตูธรรมเข้าไปเรื่อย ๆ มันก็ดูดดื่ม ๆ สุดท้ายภาวนาไม่หยุดไม่ถอย จนกระทั่งถึงนอนไม่หลับ ถึงขั้นมันจะไปจริง ๆ ไม่อยู่นะจิตใจ เวลาขี้เกียจขี้คร้านภาวนานี้เหมือนจูงหมาใส่ฝน แต่เวลาได้อรรถได้ธรรมเข้าสู่ใจแล้วทีนี้ไม่ว่าฝนตกฟ้าลงไม่สนใจ กิเลสมันไม่เห็นมองดูฟ้าดูฝน ฝนตกแดดออก มันพันหัวใจตลอดเวลา การแก้กิเลสไปหาดูฟ้าดูฝน ฝนตกแดดออกทำไมกัน มันจะทันกันหรือก็ซัดกันเข้าไป ทีนี้กิเลสก็พังได้ ฝนตกก็พังได้ แดดออกพังได้กิเลส ให้พากันเข้าใจเอาน่ะ

วันนี้พูดธรรมะภาคปฏิบัติ เพราะมีพระท่านมาด้วย เลยเทศนาว่ากล่าวไปทางด้านธรรมะสำหรับพระ ให้พระท่านไปปฏิบัติแล้วจะได้เห็นมรรคผลนิพพาน พูดเรื่องมรรคผลนิพพานเหมือนกับว่าอยู่คนละโลกนะปัจจุบันนี้ ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วเหมือนกันหมดทุกกาลสถานที่เวล่ำ - เวลา แต่ผู้มาปฏิบัตินี้มันจืดมันชืดไปโดยลำดับลำดา มันจะเข้ากันได้อย่างไรกับมรรคผลนิพพาน ก็มีตั้งแต่ไฟนรกเผาหัวใจอยู่ตลอดเวลานั้นเองให้พากันจำ เอาละพอเท่านี้แหละ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2555 12:35:11 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 21 มกราคม 2555 11:45:28 »




เทศน์ต้อนรับบรรดาพระลูกพระหลาน ให้พากันพิจารณานะเทศน์ย่อ ๆ วันนี้ เป็นอย่างไรล่ะฟังเทศน์หลวงตา พากันฟังเข้าใจหรือเปล่าล่ะ พระลูกพระหลานพากันเข้าใจไหมล่ะ เทศน์วันนี้เป็นอย่างไร นี่เทศน์กรรมฐาน เราบวชมาเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ก็ใส่เข้าไปบ้างซิ วันนี้จึงเทศน์เรื่องกรรมฐาน มีเกสา โลมาเป็นต้น ให้ลูกให้หลานทั้งหลายได้ฟัง ไปเที่ยวกรรมฐานทีแรก โอ้ มันกลัวเหมือนกันนะ คือมันผ่านนี้หมด ทีนี้เมื่อมันผ่านนี้หมดแล้วมันก็พูดได้หมด เราผ่านมาหมด สถานที่เช่นไรๆ ผ่าน เช่นกลัวเท่าไรยิ่งเข้า ดัดเจ้าของ สถานที่กลัว กลัวทั้งวันทั้งคืน เพราะสัตว์ร้ายมีเสือเป็นต้นมีอยู่ตลอดเวลา กลางวันก็มี กลางคืนก็มี เพราะฉะนั้นมันถึงกลัวทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อมันกลัวทั้งกลางวันกลางคืนก็ตั้งท่าตลอด นั่นละที่เป็นความเพียรสติจ้อเลย

ถ้าไม่ทำมันไม่รู้นะ คิดดูเวลาเราภาวนาทีแรกมันกลัวมากๆ จนจะตัวสั่น คือบังคับเข้าไปหาสถานที่น่ากลัวมากๆ มันกลัวจนจะตัวสั่น ก็เอาพุทโธนี่ละ ให้พุทโธ ๆ ไม่ให้ติด พุทโธนี่เลิศเลอ ไม่มีอะไรสู้พุทโธได้ ไม่ว่าเสือว่าช้างโจรมารอะไรที่ไหน ไม่อยู่เหนือพุทโธได้ พุทโธนี้เป็นธรรมล้นโลกล้นสงสาร ไม่มีอะไรกล้าสู้ได้ เอาพุทโธเข้ามาสู้ได้หมด สอนเจ้าของเข้าใจไหมล่ะ เอาๆ พุทโธ อะไรจะมาก็ให้มันมา เอาพุทโธสู้เลย พุทโธถี่ยิบเข้าไปๆ สุดท้ายกล้าหาญชาญชัย มันเป็นได้นะ เราก็ไม่เคยคาดเคยคิด ถึงเวลามันกล้าหาญชาญชัยนี้จิตจะว่ากล้าหาญแข็งแกร่งก็ได้ จะว่าอ่อนนิ่มไปหมดก็ไม่ผิด ว่าอะไรมันเหมือนอันนั้น

เวลา มันกล้าหาญจริงๆ แล้วสมมุติว่าขณะก่อนเรากลัวเสือจนจะตายทั้งเป็น ทีนี้เวลามันกล้าหาญชาญชัยพอๆ แล้วให้เสือเดินเข้ามา มันจะเดินเข้าไปลูบคลำหลังเสือได้สบายในจิตนี้ แล้วเป็นที่แน่ใจว่าเสือจะทำอะไรไม่ได้เลย นั่นดูซิน่ะ ขณะก่อนมันกลัวจนตัวสั่น ขณะหลังที่ฝึกหัดจิตเป็นขึ้นมาเต็มที่แข็งแกร่งแล้ว ทีนี้ไม่ว่าอันตรายใดก็ตาม คิดไปถึงอันตรายใดที่จิตนี้จะกลัวไม่มีเลย เอาย่อๆ เข้ามา สมมุติว่าเสือเดินดุ่มๆ เข้ามานี้จะเดินเข้าไปลูบคลำหลังเสือได้สบาย ไปไหนมาเพื่อน มันจะพูดอย่างสบาย นี่ละจิตดวงนี้นะฝึกได้เป็นอย่างนั้น

เป็นเราเป็น เคยเป็นแล้วเวลา กลัวมากๆ ใครจะว่าบ้าก็ตาม จะว่าบ้าก็ได้ จะว่านักเหตุผลก็ไม่ผิด คือเราทำทุกสิ่งทุกอย่างจะมีเหตุมีผลมีสติปัญญาพินิจพิจารณาการกระทำของตน ตลอด เช่นอย่างมันกลัวมากๆ เอา จะตามความกลัวให้เห็นกันวันนี้น่ะ มันจะกลัวขนาดไหน คือเวลาจะเดินจงกรมนี้เสือสองฟากทางจงกรมนี้มีแต่ตัวใหญ่ๆ มาหมอบอยู่สองฟากทางจะกินพระขี้ขลาดตัวนี้ แล้วมีองค์เดียวเสียด้วยเสือมันเป็นร้อยๆ นี่พูดตามความจริง มันวาดภาพหลอกเจ้าของ มองไปทางนี้ก็เสือหมอบเต็ม มองทางนี้เสือหมอบเต็ม ทีนี้มันจะก้าวขาไม่ออก


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2555 12:35:38 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 21 มกราคม 2555 11:47:00 »




เอา ๆ ให้มันมากกว่านี้อีกเสือ คราวนี้กูจะสู้เสือ เอาละนะที่นี่ เอาให้ตัวใหญ่ ๆ อยู่นี้ จะเดินผ่านเข้าไปตรงนี้เลย เอาละนะที่นี่ ตัดสินใจปุ๊บจิตนี้มันก็แปลกอยู่นะ มันแข็งแกร่งมาก ว่าอะไรเหมือนหินหักนะ หักอย่างนี้ต่อกันไม่ได้ ว่าอะไรแล้วเป็นอันนั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ พอว่าอย่างนั้นเอาไป เสือตัวไหนตัวมันใหญ่เดินบุกเข้าไป ไปหายเงียบ มันไม่มี มันหลอกเจ้าของ เอา ตัวไหนมันใหญ่ สมมุติตัวใหญ่สุดตัวนั้นใหญ่บุกเข้าไปหายเงียบๆ หนึ่งแล้วนะสองแล้วนะ ดูเจ้าของโกหกเจ้าของ ทะลุเลย เอา ถ้าหากมันไม่หายกลัวจะพุ่งเลย มันจะเข้าไปบ้านใดเมืองใดป่าใดก็ตาม เขาจะว่าบ้าก็ตาม เราดัดสันดานกิเลสของเราต่างหาก ใครจะว่าบ้าไม่บ้าเราไม่เป็นบ้าจะเป็นอะไรไป บุกเลย

ทีนี้กล้าหาญชาญชัยว่าเสืออยู่ที่ไหนเข้าไปไม่มี หลอกเรื่อยๆ เราก็จับเอาเรื่อย ๆ สุดท้ายกล้าหาญหมด ไม่มีอะไรกลัวเลย ทีนี้เมื่อไม่มีอะไรกลัวแล้วไปอะไร ไม่ไป กลับคืน มาอยู่สบาย ไม่มีอะไรกลัว พอจะแย็บออกว่าจะกลัว เหอ คำว่าเหอคือจะเอาอีกเดี๋ยวนั้น ความหมายว่าอย่างนั้น

นี่ทำหมดแล้วใครจะว่าบ้าก็ตาม เราเดินบุกเข้าป่า ตอนเวลาทำไม่มีใครรู้เรา นี่จึงได้มาบรรยายให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายฟัง ว่าเราเคยทำอย่างนั้นมาแล้ว ถึงคราวเด็ดมันเด็ดจริงๆ เอาตายเข้าว่าเลย มันกลัวที่ไหนมาก เอา เข้าตรงนั้นเลย เข้าไปไม่มีอะไร มีแต่สังขารมันหลอกเจ้าของ พุ่งๆ มันไม่มีอะไร เลยมา ทำทุกอย่างฝึกเจ้าของให้รู้กลมายาของกิเลสที่มันหลอกเรา เมื่อทันมันแล้วมันก็หลอกไม่ได้

มันเป็นขั้นนะการพิจารณาจิต ขั้นธรรมดาเป็นอย่างนี้ เราต้องฝึกหนักๆ อย่างนี้ ก็ทันกัน ไม่กลัวจริงๆ เอา ให้เสือเดินมาเดินเข้าหาได้เลย เมื่อถึงขั้นมันกล้าหาญชาญชัยเต็มที่แล้วในจิตขั้นนี้นะ ครั้นต่อไปๆ พิจารณาเข้าไปจิตมันว่างเข้าไปวางเข้าไป สุดท้ายจะว่าสัตว์ว่าเสือมันไม่ทัน ภาพขึ้นมาเป็นรูปสัตว์หายเงียบๆ จะตื่นลมตื่นแล้งไปอะไร มันก็ไม่ทันได้กลัว ไม่ทันให้กล้าแหละ พอวาดภาพเสือขึ้นมาพับนี้เหมือนฟ้าแลบ พับดับหมดๆ มันก็ไม่กลัว มันเป็นขั้นๆ นะ ถึงขั้นมันว่างหมดแล้วกลัวอะไร วาดอะไรขึ้นมาก็มีแต่ลมๆ แล้งๆ มันไม่มีรูปมีภาพให้น่ากลัว มันเป็นขั้นๆ นะการพิจารณา ถึงขั้นมันว่างไปหมดแล้วมันไม่กลัว มันว่างหมดเลย

ท่านผู้ที่รู้เร็วก็ดี สำหรับเรานี่นิสัยวาสนาหยาบมาก จึงต้องได้ใช้ความหยาบดัดกันอย่างเต็มที่ผู้ ที่ท่านรู้เร็วกว่าเราก็มี ท่านไม่ได้ฝึกทรมานยากอย่างเรานี้มีเยอะ แต่เรามันยากมันลำบาก จะว่าคนหยาบหรือวาสนาหยาบก็ได้ จึงต้องเอาอย่างหนัก ถ้าหนักอย่างไรได้ผลนะ มันแปลกอยู่ ถ้าว่าหนักทำไม่ได้ผลก็ไม่เห็นมี ถ้าลงได้ตัดสินกันเอานะว่าเท่านั้นเลย มันจะขนาดไหน คอขาดขาดไปเลย เสือเดินมานี้จะเดินบุกเสือเลย นั่นฟังซิ อันหนึ่งกลัวจะตาย แต่อันหนึ่งมันเด็ดขาด เสือเดินเข้ามาจะเดินโดนเสือเลย นู่นเห็นไหมจิต นี่ละธรรมอยู่กับจิต มันก็ไม่กลัวเสือละซิ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2555 12:36:06 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 21 มกราคม 2555 11:48:32 »




อุบายวิธีฝึกทรมานตัวเองต้องใช้หลายแบบหลายฉบับ เอาแบบเดียวฉบับเดียวไม่ทัน ไม่ทันกับกิเลส แต่ต้องมีสติปัญญาตามนะ อย่าสักแต่ว่าทำ อย่าสักแต่ว่าดัด ดัดมันเฉย ๆ สติปัญญาไม่ทันมัน มันก็เป็นทำนองเณรผอง เข้าใจไหม เราเคยพูดให้ฟังแล้ว ชื่อมันเณรผอง
อยู่ห้วยทรายด้วยกัน กุฏิมันก็ไม่อยู่ห่างนัก ห่างกว่าแผ่นนี้สักหน่อย แต่มันเป็นดงมันก็เหมือนห่างไกล เรานั่งภาวนา เณรนี้แกก็นั่งภาวนาอยู่ที่
นั่น ต่างองค์ต่างนั่งภาวนา เพราะพระท่านไม่มีธุระอะไรกับใคร นอกจากวันประชุม อาจารย์ประชุมอบรมสั่งสอนเสร็จแล้วเลิกพร้อมกันไปเลย หายเงียบ นอกนั้นไม่มีที่จะมาคุยกันสุ่มสี่สุ่มห้า

วันนั้นเรานั่งภาวนาอยู่ ประมาณ ๓ ทุ่มกว่า เรานั่งภาวนาเงียบ ๆ ฟังเสียงตุ๊บอยู่ทางนี้ละ มันเหมือนอะไรตก เสียงตุ๊บ เสียงดังด้วยนะ เสียงตุ๊บ
เลย เอ๊ มันเสียงอะไรน้า เราก็ยังไม่ว่าอะไร คอยฟังเสียงก่อน หากมีเหตุการณ์อะไรจะมีเสียงดังขึ้นอย่างไรจะมีผู้มาเกี่ยวข้อง ไม่นานก็ได้ยินเสียงพุมพิม ๆ ๆ อ้าวมีเหตุแล้วที่นี่ เราก็ออกเดินไป มันเป็นอะไรกัน บอกว่าเณรผองตกกุฏิ แล้วทำไมถึงตก ถามมันนะ คือมันอยู่ในห้อง นั่งภาวนาในห้องมันง่วง หัวคะมำลงพื้น มันเป็นอย่างไรดัดสันดานมัน ว่าอย่างนั้น ออกมาเฉลียงข้างนอก มานั่งหมิ่น ๆ อย่างนี้ เอาถ้ามันง่วงมันตกเอง มันก็เอาจริง ๆ นั่งไม่นานฟังเสียงตุ๊บ มันตกลงไปนั้น เป็นอย่างไรเณรผองตกกุฏิ ตกกุฏิอย่างไร ก็เลยเล่าให้ฟังว่าดัดสันดานเจ้าของความง่วงเหงาหาวนอนมันเลยดัดเอาเสียตกกุฏิไป

มันเป็นอย่างไรก็มานั่งหมิ่น ๆ อยู่อย่างนี้ ถ้ามันง่วงให้มันตกไป มันง่วงละซิมันก็ตกลงตุ๊บลงไป อย่าให้ทรมานแบบนั้นนะ แบบเณรผองเข้าใจไหม ให้ใช้สติปัญญานะ ถ้าใช้แบบนั้นมีเท่าไรตายหมด นี่ตัวอย่าง อยู่บ้านห้วยทราย พระมีพอดี เราไม่รับมากนะ ๗ - ๘ องค์ อยู่วัดห้วยทราย พอเหมาะพอดี ทั้งวันทั้งคืนมีแต่การประกอบความพากเพียรตลอด เดี๋ยวนี้มันเป็นวัดอะไรก็ไม่รู้แหละ มีผู้อยู่แทนนั้นแหละ มันคงจะเปลี่ยนแปลงไปมาก สภาพเดิมของเราที่บำเพ็ญภาวนามันสะดวกสบาย จัดไว้เรียบไปหมด แต่ต่อมานี้มันอาจจะระเกะระกะไปตามเจ้าของผู้ครองวัดนั้นแหละ ก็เลยไม่ได้เข้าไป พูดถึงเรื่องการตกกุฏิ อย่าไปทรมานแบบนั้นนะ ถ้าแบบนั้นแล้วตายนะจะว่าไม่บอก เณรผอง ง่วงนอน มันดัดสันดานมัน ถ้ามันง่วงให้มันตกมันก็ง่วงจริง ๆ ซี ตกลงเลย เจ้าของไม่มีสติ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2555 12:36:33 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: 21 มกราคม 2555 11:49:47 »




เป็นอย่างไรล่ะฟังธรรมะพอได้คติบ้างหรือเปล่าลูกหลานน่ะ นั่งภาวนาฝึกหัดภาวนาดัดสันดานกิเลสความง่วงเหงาหาวนอน มันฟาดเอาเสียตูมเลยเสียงเสร็จ ไม่ทราบใครแพ้ใครชนะ ก็กิเลสเหยียบหัวมันละมันถึงตก ถ้าสติปัญญาเหยียบมันมันจะไม่ง่วง

พระท่านเคยสั่งเพื่อนกัน พระองค์นี้แต่ก่อนท่านเป็นนักเลง สมที่ว่าท่านใจเด็ด ท่านเป็นนักเลง นักเลงโตเหมือนกันนะทีนี้ท่านกลับตัวได้ รู้สึกเห็นโทษในความเป็นคนชั่ว เรื่องปล้นเรื่องจี้ใครนี้ไม่ถอยใคร ว่าฆ่าฆ่า ว่าฟันฟัน ไม่ถอยใครเลย เห็นโทษของตัวเองกลับมาบวชเป็นพระ มาบวชเป็นพระท่านก็มีนิสัยใจกล้าอย่างนั้นแหละ ไปอยู่ในถ้ำ ท่านหาวิธีดัดท่านเหมือนกันกับเณรที่ดัดนั่นละ แต่ท่านไม่ตกเหว องค์นี้ท่านดัดอย่างนั้น ท่านไม่ตกเหว คือมันมีสองทาง ทางนี้ขึ้นมานี้เป็นทางเสือ คือคนอยู่นี้ถ้ำนี้ มันเป็นเพดานถ้ำ แล้วเสือมันมานี้มันก็ขึ้นทางของมัน มันมานี้มันขึ้นทางของมัน ทางมันเข้าไปแล้วมันเป็นช่องอย่างนี้ มันไปนอนอยู่นั้น เวลามันจะออกหากินมันก็ออก เวลาตี ๓ ตี ๔ มันกลับเข้ามาขึ้นบนถ้ำ รู้เลยว่าเสืออยู่ประจำ พระท่านก็อยู่ที่นั่นไม่มีอะไรกัน

ทราบว่าท่านภาวนาถ้าหากว่าเกิดฉุกเฉินมีเหตุปัจจุบันจิตท่านรวมได้เร็ว ถ้าฝึกธรรมดานี้นั่งจนจะหลังหักมันก็ไม่รวม ท่านว่าอย่างนั้น ทีนี้ก็ดัด มันมีทางเสือขึ้นมา ทางนี้เป็นเหว เราจะเอาทางไหน เอาทางเสือหรือเอาทางไหน ทางเสือเวลาเรานั่งอยู่นี้เสือมันขึ้นมาเห็นเรามันอาจหลบหนีก็ได้ มันไม่เหมือนเหว เหวนี่เผลอเมื่อไรตายเมื่อนั้น ท่านว่าเอา - เอาเหว นั่นละท่านดัดท่าน เป็นนักเลงโตนะ ท่านก็ไปนั่งอยู่ตรงนั้นจริง ๆ นี่เหว ถ้าเผลอให้ตกเลย ท่านว่าอย่างนั้น


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2555 12:37:02 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #13 เมื่อ: 21 มกราคม 2555 11:51:02 »




ท่านนักเลงใจเด็ด ทีนี้ถ้าเผลอให้ตกเลยตายเลย ไม่อาลัยชีวิต ว่าอย่างนั้น ถ้าไปทางเสือเสือนี้อาจจะหลบเราก็ได้ ถ้าอันนี้
เผลอไม่ได้ตายเลย เอาอันนี้ท่านว่าอย่างนั้น เอาอันเผลอไม่ได้ตายเลยโอ๋ย ! วันนั้นจิตรวมปึ๋งทีเดียวเลย มันกลัวมาก ก็นั่งหมิ่น ๆ เผลอไม่ได้ ถ้าเผลอตกทันทีเลย สติยิ่งดี แล้วจิตรวมปึ๋ง ท่านว่ารวมตั้งแต่ตี ๒ ถึง ๑๐ โมงเช้า ๘ ชั่วโมงใช่ไหมนั่งอยู่ พอลืมตาขึ้นมาอยู่กับเหว โอ้โห พิลึกพิลั่น มากลัวทีหลัง เวลาจิตถอนออกมาแล้วเหวอยู่นี้ พอลืมตาขึ้นมาจิตถอนออกมาแล้วมองดูนี่เหว โอ้โหย มากลัวทีหลัง อยากจะโดด
ตามหลัง เวลานั่งอยู่ไม่เป็น นี่เป็นจริง ๆ

พระองค์นี้เป็นนักเลงท่านเด็ดมาก ทีแรกอยู่ทางเสือก็กลัวว่าเสือมาเจอเราแล้วมันจะหลบหนีเสีย อันนี้ไม่หลบ เผลอเมื่อไรเป็นตาย เอา ๆ ตรงนี้แหละ ใส่ตรงนี้เลย ท่านจึงได้เห็นความเด็ดของท่าน เห็นคุณค่าของจิตที่เวลาจำเป็นจริงๆ มันลงไม่ได้ ท่านว่าจิตของท่าน เพราะฉะนั้นท่านจึง
บอกชัด ๆ เลยว่าท่านอยู่ในถ้ำไม่ได้ ท่านไม่ได้อยู่ในถ้ำนะกลางคืนท่านขึ้นไปอยู่บนเขา หลังเขา ไปนั่งอยู่ตามหิน เวลาเสือมา สมมุติว่าเจอ
เสือพับจิตมันจะลงผึง เมื่อจิตลงแล้วอะไรก็ตามทำร้ายไม่ได้ อำนาจของจิตที่รวมตัวลงไปแล้วมีมากที่สุด ไม่มีอะไรจะกล้าทำลายได้เลย ท่าน
ว่า................................................

สมมุติว่าเจอเสือพับนี่จิตมันจะลงทันที มันได้ผลเวลาจำเป็นอย่างนั้น ถ้าอยู่ธรรมดามันไม่ค่อยลงท่านว่า ต้องไปหาดัดสันดาน ไปหานั่งอยู่ทางเสือมาบ้างอะไรบ้าง ท่านหากเป็นของท่านนะองค์นี้ ท่านนั่งอยู่ในถ้ำที่เสือขึ้นมา พอเสือขึ้นมาเวลาจิตมันไม่ลง มันทำไมเสือมันนานมานักหนา ท่านวิตกถึงเสือ เสือทำไมนานมานักน้า ตัวนี้มันคะนองมาก ท่านว่านะ ตัวดื้อๆ เรากำลังว่า สักประเดี๋ยวได้ยินเสียงสวบๆ ขึ้นมา มันจะขึ้นมานี้แล้วขึ้นบนถ้ำ ถ้ำของเขาอยู่ข้างบน ช่องทางเสือเข้าอยู่ข้างบนนี้ มันมานี้ ๆ ขึ้นนี้ คนอยู่นี้ นี่ถ้ำข้างล่าง เขาไปข้างๆ เขาไม่มีอะไรกับเรา บางทีนั่งภาวนาอยู่เขาก็ขึ้นไปได้ เราก็อยู่นั้นไม่มีอะไร นั่นเห็นไหมเสือกับคนกับพระที่ต้องการกับอรรถกับธรรมจริง ๆ แล้วเป็นอย่างนี้ไม่ผิด


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2555 12:37:34 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #14 เมื่อ: 21 มกราคม 2555 11:52:43 »




ท่านบอกว่า เสือเข้ามาจิตท่านก็ลง จิตทำไมมันรวมยากนักน้า เสือทำไมนานมานักน้า ตี ๓ ตี ๔ เป็นเวลาเสือจะขึ้นมานอนแล้วนี่ เสือมันอยู่บนถ้ำนี้ เสือกับท่านเหมือนว่าเป็นเพื่อนกัน ทีนี้พอนึกอย่างนั้นเสือขึ้นมาจริง ๆ ฟังเสียงสวบ ๆ ขึ้นมานี้ มันจะขึ้นมาข้างๆ นี้ ขึ้นถ้ำ อ้าว เสือมาแล้วนะ ท่านว่าอย่างนั้น เสือมาแล้ว เตือนเจ้าของปลุกเจ้าของให้จิตลงมันก็ไม่ลง เสือมาใกล้ ๆ แล้ว พอเสือมาใกล้ ๆ กำหนดเสือโดดมาคาบคอ ท่านว่าอย่างนั้น คือเสือมันก็มาธรรมดามันละ แต่กำหนดเอาเสือนั้นมาคาบคอปั๊บนี่จิตลงผึงเลย ตื่นเช้ามาเห็นแต่รอยเสือขึ้นแล้ว เจ้าของจิตยังไม่ถอนนะ นั่นเห็นไหม นิสัยอย่างนี้มี ถ้ามีเหตุเกิดปุบปับนี้ลงได้เร็วมี

อย่างพระองค์นี้ละ พระองค์นี้เป็นนักเลงใจเด็ด ไปนั่งอยู่ทางเสือบ้างทางอะไรบ้าง ถ้าอยู่ธรรมดาฝึกยากท่านว่า ไปนั่งอยู่ทางเสือมาเสือไป มันเห็นเสือแล้วมันจะลงทันที แล้วก็แน่ใจด้วยว่าถ้าจิตลงแล้วอะไรก็ทำลายไม่ได้ ท่านว่าอย่างนั้นนะท่านเชื่อมั่นที่สุดเลย ถ้าจิตได้ลงผึงเท่านั้นละ อะไรก็ตามสามโลกธาตุนี้จะทำลายไม่ได้เลย ท่านว่าลง ผึงเลย เวลามาเสือมันก็ผ่านมานี้ขึ้นแล้ว ท่านก็นั่งภาวนา นี้ละปัจจุบันเพื่อนกันนี้แหละ ท่านเกิดปีขาลท่านเป็นนักเลง แล้วห่างจนกระทั่งป่านนี้ไม่ได้พบกันอีกเลย ท่านคงตายแล้วมั้ง องค์นี้เด็ดมากทีเดียว ท่านจริงจังมากสมว่าเป็นนักเลง ใจเด็ดมาก จริงจังมากทุกอย่างเลย

นี่เล่าเรื่องกรรมฐานให้ฟังเป็นอย่างไรนี่สด ๆ ร้อน ๆ นะ ไม่ใช่เอามาโกหกกันนะ เล่าอย่างที่ว่าจริงๆอย่าง ที่เป็นนั่นละ พอเสือขึ้นมา มันจะขึ้นถ้ำมัน ทางนี้ก็นั่งอยู่แคร่นี่ ถ้ำมีเพดาน นี่ทางมันไป ขึ้นนี้ มันไม่สนใจกับคนนะเสือแปลกอยู่ เสือโคร่งนะ มานี่มันผ่านขึ้นไปเลย ทางนี้พอมันมาแล้ว มาแล้วยังไม่แล้วยังกำหนดมันมางับคออีก ทางนี้ก็ลงผึงเลย จนกระทั่งจิตถอนขึ้นมาแล้วไปดูรอยเสือมาจริง ๆ ขึ้นแล้ว ไม่สนใจกับคนเสือก็ดี คนก็นั่งอยู่นั้นจนกระทั่งจิตถอนขึ้นมา


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2555 12:38:07 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #15 เมื่อ: 21 มกราคม 2555 11:53:58 »




นั่นละท่านจึงหาอยู่ในที่เช่นนั้น ที่ธรรมดาท่านไม่ชอบอยู่ท่านบอก มันไม่เด็ดจิตลงไม่ง่าย ถ้าถูกที่เด็ดแล้วจิตลงง่าย ว่าอย่างนั้น ท่านจึงไปหาอยู่บนภูเขาอีกนะ เป็นทางเสือมาบ้างอะไรบ้าง ชอบนิสัยอย่างนั้นมี แต่อย่างหลวงตาบัวนี้ขี้ทะลักเลยเข้าใจไหมล่ะ เรามีแต่เล่าเรื่องของคนอื่น เราไม่เคยเป็นอย่างนั้น ขี้ไม่ทะลักมาเล่าให้คนฟังทั้งขี้นั่นแหละเข้าใจไหม จิตนี่ถ้าได้ลงเต็มที่แล้วมันไม่มีอะไรนะ คือหมดทุกสิ่งทุกอย่างหมดเลย ไม่มีความหมายอะไรที่จะเข้าไปแทรกในจิตได้เลย นั่นละเรียกว่าจิตลงเต็มที่ ร่างกายไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง มีแต่ความรู้ล้วน ๆ จะพูดอะไรก็พูดไม่ถูกนั่นละจิต ลงแท้จิตมีอำนาจมากนะ ถ้าลงอย่างนั้นแล้วมีอำนาจมาก เพราะฉะนั้นจึงว่าอะไรจะไปทำลายไม่ได้ ถ้าจิตได้ลงอย่างนั้นแล้วไม่มีอะไรมีอำนาจทำลายได้แหละ

ได้เล่าเรื่องให้พระลูกหลานฟังหลายแบบนะวันนี้ เรื่องเสือก็มี เรื่องอะไรก็มีหลายอย่าง แต่ก็น่าฟังเพราะเอานิทานสด ๆ ร้อน ๆ มาเล่าให้ฟัง คือนิทานพระกรรมฐานท่านต่างกัน ไปฝึกหัดต่างกัน อย่างองค์นี้เด็ดมาก ไปหาอยู่แต่ในที่อย่างนั้นแหละ ท่านไม่ค่อยอยู่ธรรมดา ท่านบอกภาวนาไม่เป็นท่า ท่านบอกตรง ๆ เลย ถ้าอยู่ที่ธรรมดาภาวนาไม่เป็นท่าต้องหาที่ดัด ท่านว่าอย่างนั้น ที่ไหนเด็ด ๆ ดัด ๆ ไปอยู่ที่นั่นแล้วได้ผลดี คำว่า
ได้ผลดีคือจิตรวม

คิดดูซิอย่างเสือมานี่ เสือขึ้นมาสวบๆ มันจะขึ้นถ้ำของมัน ท่านนั่งภาวนาจิตไม่ลง ทำไมจิตมันจึงไม่ลงนา มันดื้ออะไรนักหนา เสือทำไมนานมานักนาท่านนึกหาเสือ สักเดี๋ยวสวบ ๆ มา มันขึ้นมานี้จะขึ้นถ้ำมัน พอเสียงสวบๆ มา เอ้อ เสือมาแล้ว ท่านหลอกจิต นี่เสือมาแล้วนะ จะให้จิตลงมันก็ยังไม่ลง ท่านเล่าน่าขบขัน โอ๊ จิตใจท่านสำคัญและมีนิสัยอย่างนี้ พอมันเดินเข้ามาสวบๆ ใกล้ๆ มันก็ไม่ทำไมคนแหละ มันมามันก็เข้าช่องนี้ขึ้นเลย มันไม่เคยผ่านเข้ามาที่คนนั่งอยู่แหละ มันมาข้างๆ ขึ้นทางโน้นเลย เวลาลงก็ลงนี้ไปเลยไปหากิน กลางคืนไปละไปหากิน ตอนตีสามตีสี่เขาจะกลับมาขึ้นถ้ำเขา เสือโคร่งใหญ่ แต่ไม่มีอะไรกับคน เพราะเขารู้คนมาแต่ไหน ๆ เขาก็ไม่ถือคนเป็นอาหารด้วย เขาถือคนเป็นเจ้าอำนาจต่อเขาด้วยเขาต้องระวัง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2555 12:38:38 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #16 เมื่อ: 21 มกราคม 2555 11:55:50 »




พอเสือขึ้นมา ท่านเห็นเสือขึ้นมาแล้วยังไม่แล้ว ท่านยังกำหนดเอาเสือมางับคอท่าน พอเสืองับคอปั๊บนี้พรึบลงเลย หายเงียบเสืองับคอคนแล้วก็ผ่านไปคนก็จิตรวมเลย เป็นอย่างนั้น นี่ละนิสัยต่างกันบางองค์เจอเหตุต่าง ๆ นี้ก็จะลงได้อย่างรวดเร็ว บางองค์ฝึกเองก็ค่อยลง ๆ อย่างเรานี้ต้องฝึกเอาอย่างหนักมันถึงลงของมัน จะให้มันลงแบบนั้นไม่เคย หรือมันไม่เคยเจออันตรายก็ไม่ทราบ เจอก็อะไรจะเผ่นก็ไม่รู้นะให้เสือเผ่นคงยากมาก กลัวแต่เราจะเผ่นนั่นซิ แต่ก็ไม่เคยเจอ ไปอยู่ถ้ำเสือก็ไปไม่รู้กี่ครั้งกี่หน แต่ไม่เคยเห็นเสือขึ้นมา

คือถ้ำเรานี้ ถ้ำเสืออยู่ข้างบน บางทีมันมานี้ขึ้นทางนี้ บางทีมาทางนี้ขึ้นทางนี้ ถ้ำเสือ เสือโคร่ง แต่เขาไม่ถือเราเป็นอันตรายเป็นภัยต่อเขา ที่จะถือว่าเป็นอาหารหรืออะไรนี้ไม่ถือ เสือ ระวังเสมอ ไปที่ไหนระวังคนมากเสือนะ อย่างอื่นเขาไม่ค่อยระวัง แต่กับคนเขาระวัง เขาจึงไม่ถือคนเป็นอาหาร ไปที่ไหนเราไม่เคยปรากฏว่าเสือกินคน ไม่มี ไปเที่ยวที่ไหนไม่ค่อยปรากฏว่าเสือกินคน เพราะเสือระวังคนตลอด เอาละที่นี่


THE END

หลวงตา..............http://www.luangta.com

<table class="maeva" cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" style="width: 800px" id="sae1"> <tr><td style="width: 800px; height: 576px" colspan="2" id="saeva1"><script type="text/javascript"><!-- // --><![CDATA[ var oldLoad = window.onload; window.onload = function() { if (typeof(oldLoad) == "function") oldLoad(); if (typeof(aevacopy) == "function") aevacopy(); } // ]]></script><embed type="application/x-mplayer2" src="http://www.se-ed.com/ads/pr/sile/song/07.%20Track%207.wma" width="800px" height="576px" wmode="transparent" quality="high" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="never" ShowControls="True" autostart="false" autoplay="false" /></td></tr> <tr><td class="aeva_t"><a href="http://www.se-ed.com/ads/pr/sile/song/07.%20Track%207.wma" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.se-ed.com/ads/pr/sile/song/07.%20Track%207.wma</a></td><td class="aeva_q" id="aqc1"></td></tr></table>
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2555 12:39:05 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.373 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 02 พฤษภาคม 2567 18:43:01