[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
14 พฤษภาคม 2567 02:28:11 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความสุขอันเรียบง่ายแต่ลุ่มลึกของ อู๋-ธนากร โปษยานนท์  (อ่าน 907 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.273 Chrome 50.0.2661.273


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2559 13:25:05 »




ความสุขอันเรียบง่ายแต่ลุ่มลึกของ อู๋-ธนากร โปษยานนท์

อู๋–ธนากร โปษยานนท์ คือพระเอกชื่อดังคนหนึ่งของวงการละครโทรทัศน์ก่อนจะเปลี่ยนไปเล่นบทอื่นๆ เพียงปีละไม่กี่เรื่องจนกระทั่ง 4 - 5 ปีหลังมานี้ที่คนดูละครเริ่มกลับมาสนใจเขาอีกครั้งในฐานะนักแสดงเจ้าบทบาท แม้ไม่ใช่พระเอกแต่ก็สร้างกระแสชื่นชมในฝีมือการแสดงไม่แพ้เมื่อก่อน

ทราบว่าสนใจศึกษาธรรมะมาระยะหนึ่งแล้ว 

ย้อนไปเมื่อสี่ปีก่อน มีโอกาสบวชเป็นครั้งที่สองที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ผมเคยบวชครั้งแรกตอนอายุสามสิบ จริง ๆตั้งใจจะบวชตอนเบญจเพส แต่ไม่มีเวลาพอคุณพ่อเสียและพอมีเวลาก็เลยบวช แต่ตอนนั้นประตูธรรมะก็ยังไม่เปิด จำได้ว่าก่อนสึกพระอาจารย์สอนว่า เราออกมาจากกองมูตรแล้วนะ แต่สุดท้ายผมก็กระโดดลงไปใหม่ คราวนี้ใช้ชีวิตเละเทะหนักกว่าเดิม

ครั้งแรกบวชที่วัดไหนคะ ทำไมออกมาเป็นอย่างนั้นได้

วัดบวรฯครับ แต่ผมว่าไม่เกี่ยวกับวัดนะ มันอยู่ที่ตัวคน ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราหมด ไม่เกี่ยวกับสถานที่ เหมือนเราไปนั่งวิปัสสนาในป่า ถ้าใจเราไม่สงบ มันก็ไม่สงบ สถานที่ไม่ช่วยอะไร

ทำไมถึงบวชครั้งที่สองคะ

ก่อนบวชครั้งที่สองประมาณหนึ่งปี พี่ที่เป็นหุ้นส่วนบริษัทเป็นมะเร็ง จริง ๆ พี่คนนี้ไม่เห็นความสำคัญของการบวช ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง เขาเชื่อแค่ว่ามีคำสอนเท่านั้น จะว่าไปการบวชครั้งแรกของผมก็มีข้อดี คืออย่างน้อยเวลาที่เจอเหตุการณ์ร้าย ๆ ก็คิดว่าธรรมะช่วยได้ จึงพาเขาไปหาพระอาจารย์ที่วัดบวรฯ ไปขอบวช พอเขาเขียนใบสมัครเสร็จ ผมก็ไม่รู้ยังไง ยกมือไหว้พระอาจารย์ บอกว่าขอบวชด้วยคนครับหลังบวชก็ไปอยู่ที่วัดวังพุไทร จังหวัดเพชรบุรีและอีกวัดที่ปากช่อง บวชคราวนี้พระอาจารย์บอกว่าบวชนานนะ บวชสองเดือน คือบวชเดือนธันวาคมปีนี้ แล้วไปสึกมกราคมปีถัดมา จริง ๆ แล้วคือบวชเดือนเดียว

ระหว่างบวชเป็นอย่างไรบ้างคะ 

ตอนบวชพระอาจารย์ไม่ได้ให้ฝึกอะไรมาก ส่วนใหญ่ผมฟังธรรมะของหลวงปู่ชาแล้วนำมาปฏิบัติเองมากกว่า สิ่งที่พระอาจารย์สอนส่วนใหญ่เป็นเรื่องการใช้ชีวิตทางโลกว่าใช้อย่างไรให้พอเหมาะพอดี เหตุที่ท่านสอนอย่างนี้คงเป็นเพราะเห็นว่าผมไม่ได้บวชระยะยาว อย่างไรเสียก็ต้องออกไปใช้ชีวิตข้างนอก อย่างเรื่องการดื่ม พระอาจารย์ก็บอกว่า ถ้าจำเป็นต้องไปงานก็ให้ดื่มแต่พอประมาณ อย่าดื่มมากเกินไป

สิ่งหนึ่งที่พระอาจารย์เคยสอนแล้วผมมองว่าเป็นเรื่องยากที่คนทางโลกจะเข้าใจก็คือ เมื่อพ่อแม่ป่วยแล้วท่านไม่ยอมกินข้าวเราก็อยากป้อนข้าวท่าน แต่ไม่เคยมองเลยว่านั่นคือการทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์ ฉะนั้นเราก็ต้องวางอุเบกขา ไม่อย่างนั้นจะเป็นการก่อกรรมต่อกัน ในอีกมุมหนึ่ง พระท่านบอกว่า นั่นอาจเป็นกรรมของพ่อแม่ก็ได้ที่ทำให้ท่านไม่อยากกินข้าว

อย่างเรื่องของพระทางอีสานที่ถูกฆาตกรรม แล้วโยมพ่อของท่านออกมาบอกว่าอโหสิกรรมให้ เรื่องเหล่านี้ผมมองว่าเป็นเรื่องยาก



ตอนบวชคุณอู๋ได้ไปธุดงค์ไหมคะ

ไม่ครับ เพราะพระที่จะไปนั่งอยู่โคนต้นไม้ออกธุดงค์ด้วยตนเองได้ต้องบวชไม่ต่ำกว่าสี่ปี พระที่บวชต้องอยู่กับพระพี่เลี้ยงก่อน ถ้าไปธุดงค์เลยอาจบ้าได้ แล้วระยะเวลาในการบวชของผมก็สั้นเกินไป ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ แต่บวชครั้งแรกผมก็นอนผ้าห่มศพ นอนข้างหลวงปู่ที่มรณภาพอยู่กับของคนตาย ฉันอาหารมื้อเดียวแบบใส่อาหารรวมกันในบาตร คือทำตามหลักปฏิบัติของพระธุดงค์ แต่ไม่ได้ออกธุดงค์เท่านั้นเอง

กลัวผีไหมคะ 

เรื่องผีถ้าคิดก็กลัว ถ้าไม่คิดก็ไม่กลัวอย่างวันแรกที่ไปอยู่ต่างจังหวัด พระอาจารย์สอนนั่งสมาธิ เดินจงกรมจนถึงตีสอง แล้วบอกให้ผมไปเดินจงกรมก่อนเข้ากุฏิ ตอนนั้นมืดมาก มองไม่เห็นอะไรเลย ใจก็คิดไปแล้วว่าถ้าหันไปเจอนั่งรอเป็นแถวจะทำอย่างไรดีพอคิดอย่างนั้น เดินรอบแรกขาก็เริ่มก้าวเร็วขึ้น พอขึ้นรอบที่สองในใจก็คิดว่า ผมเพิ่งบวชใหม่นะ ยังไม่มีบุญ อย่าเพิ่งมา พอคิดแบบนี้ก็เดินได้แค่สี่รอบ สุดท้ายถึงรู้ว่าทั้งหมดมันอยู่ที่ใจ พอเราคิดไปต่าง ๆ นานาก็เกิดความกลัว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับใจเราทั้งนั้น เขาถึงบอกว่าห้ามปล่อยใจไปตามอารมณ์

ตอนบวช ผมได้ไปอยู่ที่สำนักสงฆ์ซึ่งมีเชิงตะกอนเผาศพเป็นกองฟืนสุมกันขึ้นไปแล้วเผาศพกันกลางแจ้ง กลับเข้ากุฏิก็มีผ้าห่อศพรออยู่อีก ต้องอยู่กับความตายตลอดเวลา ผมไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือกลัวอะไร เพราะคิดว่าถ้าพระอาจารย์ให้มา ท่านก็คงหวังดี

การทำอย่างนี้เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งที่พระอาจารย์ต้องการสอนว่า เราจะไปอยู่ที่ไหนหรือนอนตรงไหนก็ได้ ตอนบวชมีของไม่มากมีแค่บาตร ผ้าครอง แปรงสีฟัน ยาสีฟันเท่านั้นเอง จะไปไหนก็สะดวก แต่พอกลับออกมาอยู่ทางโลก จะไปไหนทีต้องเตรียมของเยอะ

ถ้ามีโอกาสผมก็อยากไปบวชอีก ช่วงนี้พยายามหาธรรมะมาฟัง นอกจากหลวงปู่ชาแล้วก็มีของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล หลวงปู่ขาวอนาลโย ส่วนใหญ่เป็นสายหลวงปู่มั่น ซึ่งหาฟังค่อนข้างยาก

ได้อะไรจากการบวชครั้งนี้คะ

ได้เห็นแนวทางในการใช้ชีวิต ก่อนบวชครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าอยู่ดี ๆ ทำไมอยากหาธรรมะฟังอาจเป็นช่วงที่ใช้ชีวิตเละเทะ แล้วเริ่มรู้สึกว่าไปจนสุดทางแล้ว มันไม่สนุก ไม่มีอะไรใหม่เลย อยากหาแนวทางอื่น ๆ ในการใช้ชีวิตจึงลองเสิร์ชหาในอินเทอร์เน็ตโดยพิมพ์คำว่าหลวงปู่ แล้วก็มีชื่อหลวงปู่ชาขึ้นมา พอลองฟังดูก็รู้สึกว่าธรรมะที่ท่านสอนไม่มีศัพท์อะไรยาก พอคิดตามสิ่งที่ท่านสอน ก็นั่งหัวเราะว่า“กูโง่มานานมาก” อย่างที่บอกครับ เราอยู่ที่ไหน ถ้าใจไม่เป็นสุข เราก็ไม่มีความสุขเราต้องกลับมามองตัวเอง หลวงปู่ชาบอกว่าถ้าให้คนเอานิ้วแหย่เข้าไปในรู ถ้าแหย่ลงไปไม่ถึงก้นรู ทุกคนจะบอกว่ารูมันลึก ไม่เคยมีใครบอกว่านิ้วเราสั้น ท่านสอนให้เรากลับมามองตัวเองมากกว่าไปโทษสิ่งแวดล้อม

ผมจึงเริ่มกลับมามองตัวเอง เมื่อก่อนผมเอาตัวเองเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ชอบไม่ชอบอะไรก็ใช้ตัวเองวัด สิ่งหนึ่งที่ได้จากคำสอนของท่านก็คือ ความทุกข์คือกิเลสอย่างหยาบ ความสุขคือกิเลสอย่างละเอียดการที่เราไปยึดติดกับความสุขเพราะคิดว่ามันจะตอบสนองชีวิตเรา กลับยิ่งทำให้เป็นทุกข์หนักกว่า เพราะความทุกข์กับความสุขมันคือสิ่งเดียวกัน เพียงแต่มันแปรสภาพสุขมากก็ทุกข์มาก ดังนั้นจงรับสุขพอสมควรทุกข์พอสมควร รับสรรเสริญพอสมควรรับนินทาพอสมควร ต้องมองว่าชีวิตมีทั้งสมหวังและไม่สมหวัง

หลังจากบวชครั้งที่สอง ความคิดเรื่องการดำเนินชีวิตของคุณอู๋เปลี่ยนไปไหมคะ

รู้สึกว่าเมื่อก่อนเวลาขับรถหงุดหงิดได้ทุกอย่าง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยหงุดหงิดแล้วทุกวันนี้ผมไม่ได้คาดหวังว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ผมอยู่กับปัจจุบันและพยายามละทิ้งอดีต คือจำไว้เป็นบทเรียน แต่ไม่ไปผูกกับความรู้สึกที่ผ่านมา

รู้สึกว่าทุกข์น้อยลงหรือเปล่าคะ

ถ้าทำแล้วหวังผลว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันก็คือกิเลส เพราะถ้ามันไม่เป็นอย่างที่คิดก็จะเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นก็ทำไปเรื่อย ๆ

ดูเหมือนว่าธรรมะทำให้คุณอู๋นิ่งมากขึ้น

ไม่นิ่งหรอกครับ ถึงเวลาที่มันเละเทะมันก็เละเทะครับ แต่ก็พยายามดึงกลับมาหรือเวลาที่ใจมันฟูขึ้นมามาก ๆ ก็จะหยุดพยายามมีสติในทุก ๆ ลมหายใจ ผมตั้งใจไว้ว่า ทุกวันอังคารซึ่งเป็นวันเกิดของผม ผมจะพยายามถือศีล 8 และจะดูตัวเองให้รู้ตัวอยู่ตลอด ถ้าต้องไปทำงานก็ทำได้ตามปกติเพราะตราบใดที่ยังหายใจอยู่ก็ทำได้ตลอดเวลา การทำงานไม่ได้ขัดขวางการดูตัวเอง

การทำบุญในมุมมองของคุณอู๋คืออะไรคะ

ผมมองคำว่าทำบุญตามแบบหลวงปู่ชาที่ท่านสอนว่า คนเราถ้าทำบุญแล้วไม่ละบาปจะได้บุญได้อย่างไร ตอนนี้เราละบาปก่อนถ้าจิตคุณสงบก็ถือว่าได้ทำบุญแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับวัตถุหรือสิ่งของอะไรพวกนี้เลย ผมจะเข้าวัดทุกครั้งที่มีโอกาสตอนเช้า ๆ ถ้าไม่ติดธุระอะไรจะขี่จักรยานไปเป็นเด็กวัดที่วัดบวรฯ ช่วยจัดของถือของหรือตอนบวช ก่อนที่สมเด็จพระสังฆราชจะสิ้น ผมก็มีโอกาสไปเฝ้าอยู่ที่นั่น

คนเป็นจำนวนไม่น้อยมองว่าเรื่องทางโลกกับทางธรรมแยกจากกันคุณอู๋คิดอย่างไรกับเรื่องนี้คะ 

บวชครั้งแรกผมก็คิดว่าทางโลกกับทางธรรมคนละเส้นทางกัน แต่บวชครั้งที่สองถึงรู้ว่า จริง ๆ แล้วมันคือทางเดียวกันเลยเพราะตอนเกิดมา เราก็เกิดจากธรรมชาติธรรมชาติก็คือธรรมะ แล้วจะบอกว่าชีวิตเราไม่เกี่ยวกับธรรมะได้อย่างไร

มันแยกกันไม่ออกเลยนะครับ ธรรมะกับชีวิต หลายคนคิดว่าต้องมีทุกข์ก่อนแล้วจึงจะเริ่มหาธรรมะ แต่ถ้าเขารู้และทำความเข้าใจ ก็จะรู้ว่าธรรมะคือสิ่งที่อยู่รอบตัวเราทั้งหมด พื้นฐานง่าย ๆ ก็คือศีล บางคนบอกว่าถือศีลลำบาก ถ้าศีล 8 ไม่ได้ก็ถือศีล 5 ถ้าถือศีล 5 ไม่ได้ก็เอาแค่ 3 ข้อ คือ สำรวมกาย วาจา ใจ สำรวมวาจาคือไม่พูดจากระทบคนอื่น สำรวมใจคือไม่คิดร้ายกับคนอื่น สำรวมกายคือประพฤติตนให้ดูเรียบร้อยเหมาะสม ทำ 3 ข้อนี้ได้คุณก็ได้ศีล 5 แล้ว



ความทุกข์ที่สุดของมนุษย์คืออะไรคะ

ความมีตัวตนครับ คนเราเกิดมาด้วยจิตประภัสสร คือจิตบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรเลยอาจมีนิสัยเก่าติดมาจากชาติที่แล้วบ้าง พอโตมาก็มีสิ่งที่เราชอบบ้างไม่ชอบบ้าง สิ่งเหล่านี้สร้างตัวตนให้เรามากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้คนเราเป็นทุกข์เพราะความมีตัวตนของตัวเองผมเองก็มีความทุกข์จากการมีตัวตนบ้างแต่ขึ้นอยู่กับว่าเราเอาตัวตนนั้นไปทำอะไรที่ไหนมากกว่า เช่น บางทีเราพูดแบบไม่ได้คิดทำให้รู้สึกแย่ จึงพยายามมีสติตลอดเวลา

เวลาเครียด มีวิธีรับมืออย่างไรคะ

ก่อนบวชไม่มีวิธีรับมือครับ ก็จะนั่งหงุดหงิดแล้วรอให้ความเครียดค่อย ๆ หายไปเอง หลังจากไปบวชมา ใช้วิธีกลับมาอยู่กับลมหายใจ ทั้งที่ความเครียดก่อนกับหลังบวชก็เท่ากัน เพียงแต่พอไปบวชแล้วได้หลักมาปฏิบัติ ทำให้เราวางได้เร็วขึ้น แต่ผมยังเป็นพวกหินทับหญ้า หลวงปู่ชาบอกว่าช่วงต้น ๆ ของคนที่ปฏิบัติยังเป็นพวกหินทับหญ้า คือเวลาเอาหินไปทับหญ้า หญ้าจะตาย แต่พอยกหินออก หญ้าก็งอกขึ้นมาใหม่ ก็ต้องพยายามเอาหินทับไว้อยู่อย่างนั้น

ทุกวันนี้ผมก็ยังใช้ชีวิตและมีนิสัยเฮฮาเป็นปกติ เวลาอยู่กับเพื่อนก็ยังด่ากันสนุกสนานตามประสาเพื่อน เพียงแต่ว่าอะไรที่จะทำให้กระทบจิตใจความรู้สึกคนอื่นผมจะหลีกเลี่ยง ถามว่าดื่มไหม ก็ยังมีดื่มบ้างตามมารยาทสังคม และเวลาทำอะไรก็ต้องอยู่บน “ความพอดี” ก็เท่านั้นเอง

ทุกวันนี้คนมีความทุกข์มาก คุณอู๋มีคำแนะนำอย่างไรบ้างคะ

เสพสุขให้น้อยลง ยกตัวอย่าง คนที่ชอบเล่นอินสตาแกรมจะชอบคอมเมนต์ดี ๆยอดไลค์สูง ๆ แต่พอเจอคอมเมนต์แย่ ๆมาอันหนึ่งก็รู้สึกแย่ไปเลย นั่นเป็นเพราะเราไปหลงระเริงกับยอดไลค์กับคอมเมนต์ดี ๆให้รับทุกอย่างพอประมาณ แล้วชีวิตเราจะดีเราเสพแต่ความสุข พอมีความทุกข์ก็จะวิ่งหนีมัน ไม่เผชิญหน้ากับมัน ไม่ได้เอามานั่งคิดพิจารณาเลย รับแต่คำชมเยอะ ๆ แต่พอมีคนติ เรากลับปิดหูฟัง ถ้าเป็นอย่างนี้เราจะพัฒนาตัวเองอย่างไร

ถ้าให้แนะนำ ผมชวนให้ฟังหลวงปู่ชาครับ อย่างคุณแม่ผม ผมทำไอพ็อดเล็ก ๆเอาไว้ให้ฟัง ใครที่มีความทุกข์ ก็ลองฟังธรรมะ สวดมนต์ น้ำหยดลงตุ่มวันละหยดตุ่มยังเต็มเลยครับ ผมเองก็พยายามลดละมา 4 ปีแล้ว พยายามฝึกดึงสติกลับมาอยู่ที่ลมหายใจ ทำจิตให้นิ่ง แต่ก็ได้เป็นบางจังหวะเท่านั้นครับ ยังไม่ได้ตลอดเวลา

ช่วงเข้าวงการใหม่ๆ คุณอู๋นับเป็นพระเอกดังคนหนึ่งของวงการจากนั้นก็เงียบไป ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร เสียดายไหมคะ 

ไม่รู้สึกอะไรครับ ไม่เสียดาย เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะดังขึ้นมาถึงขนาดนั้นผมบอกตัวเองมาตั้งแต่เข้าวงการว่าเราเป็นนักแสดง ไม่ได้ยึดติดอะไร แสดงบทอะไรก็ได้

พอกลับมามีกระแสอีกครั้ง รู้สึกอย่างไรคะ

ก็ทำตัวตามปกติ กระแสที่เกิดขึ้นทำให้เราหายเหนื่อยเท่านั้น เป็นเหมือนรางวัลครับมีบ้างที่ทำให้หัวใจเราพองโต แต่ถ้าเราเข้าใจคำว่ากระแส จะรู้ว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป

ได้นำธรรมะมาใช้ในการเล่นละครอย่างไรบ้างคะ

เวลาอยู่หน้ากล้อง ถ้าเราวางตัวตนของเราได้ ก็จะเอาตัวละครมาใส่ได้ เคยมีดอกเตอร์ท่านหนึ่งที่ศึกษาธรรมะบอกว่าไอ้พวกดารานี่มันหลุดพ้นยาก ผมก็เห็นด้วยจริงของท่าน เพราะอาชีพนี้ต้องใช้อารมณ์ทั้งหมด ถ้าเราไม่สามารถเอาตัวเองออกจากฉากละครนั้น ๆ ก็จะลำบาก ที่ผ่านมาผมไม่เคยยึดเอาไว้เลย แสดงจบก็คือจบ

เคยมีช่วงท้อแท้ในชีวิตบ้างไหมคะ

ท้อแท้ในเป้าหมายของชีวิตมากกว่าครับ ก่อนบวช ชีวิตเหมือนลอย ๆ อยู่ ไม่รู้ว่าเป้าหมายของชีวิตคืออะไร ไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหน แต่พอได้บวชก็ไม่ได้คิดถึงตรงนั้นไม่ได้รู้สึกเป็นทุกข์กับอนาคตที่เราไม่รู้เหมือนได้เจอคำตอบในชีวิต แม้จะยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต

ในฐานะที่มีธุรกิจของตัวเองด้วยธรรมะสวนทางกับการทำธุรกิจที่ต้องการกำไรสูงสุดบ้างหรือไม่คะ

โชคดีที่ผมไม่ได้เข้าไปยุ่งเรื่องของราคาเรื่องกำไร ผมทำอาหารอย่างเดียว ราคาผมก็ไม่ได้ตั้ง เรื่องของบริษัท พี่กล้วย (กิตติ แจ้งวัฒนะ) เป็นคนดูแลทั้งหมด ไม่ได้หมายความผมโยนบาปให้เขานะครับ แต่มองว่าพี่เขามีความเป็นธรรมเรื่องราคา และผมก็ไม่มีเวลาเข้าไปจัดการ เนื่องจากติดงานแสดง

ครั้งหนึ่งผมเคยมองว่าเงินสำคัญมากเพราะหาเลี้ยงตัวเองได้มาตั้งแต่เริ่มทำงานตอนนั้นผมฟุ้งเฟ้อไปกับการใช้เงิน ไม่ได้สนุกฟุ้งเฟ้อไปกับชื่อเสียงนะครับ แต่หลงระเริงกับชีวิตที่เป็นอิสระ หาเงินได้เองโดยไม่ได้รบกวนขอเงินพ่อแม่ อยากใช้เงินอย่างไรก็ใช้ไป สมัยก่อนจะซื้ออะไรก็ต้องเป็นรุ่นท็อปเท่านั้น ต้องดีที่สุด เดี๋ยวนี้ซื้อเฉพาะเท่าที่จำเป็น ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่ใช้เงินไปเพื่อสนองกิเลสตัวเอง

ตอนนี้ชอบใช้เงินซื้ออาหารให้คนในกองถ่ายกินกัน ซื้อวัตถุดิบไปให้น้อง ๆที่ร้านทำอาหาร จะออกเป็นแนวนี้มากกว่าคือผมเริ่มให้คนรอบตัวมากกว่าให้ตัวเองอาจเป็นเพราะผมชอบเห็นคนกินข้าว เวลาเขาได้กินของอร่อยผมจะมีความสุข นิสัยนี้ผมเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว



พูดได้ไหมว่าความสุขของคุณอู๋คือการเห็นคนอื่นมีความสุข

ส่วนหนึ่งครับ แต่อย่าอยู่บนความทุกข์ของผมก็พอ อย่างเช่น ถ้าผมนั่งกินข้าวอยู่แล้วมีคนมาขอถ่ายรูป ผมจะมีความรู้สึกว่าไม่โอเค ผมจะบอกว่าขอกินข้าวให้เสร็จก่อนเดี๋ยวไปถ่ายกัน แต่ก็มีบางคนบอกไม่เป็นไรขอถ่ายนิดเดียว พอลุกไปถ่ายกับคนนี้ คนอื่นก็ต้องมาขอถ่ายต่อ เราก็พูดไม่ได้ สุดท้ายเลยไม่ได้กินข้าวก็มี แต่ไม่ใช่ว่าถ่ายไม่ได้นะครับ

 มีเป้าหมายในชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไรคะ

คิดว่าคงทำงานเบื้องหลัง เพราะเหตุผลหนึ่งที่เล่นละครคืออยากศึกษางานเบื้องหลังเล่นละครมา 21 ปี ถ้าเรียนหนังสือก็เรียกว่าจบปริญญาเอกแล้ว

ที่ผ่านมาต้องเรียกว่าประสบความสำเร็จทั้งในด้านการแสดงและธุรกิจร้านอาหาร คิดว่าเคล็ดลับความสำเร็จคืออะไรคะ

จริงใจกับมันครับ คือทำอย่างจริงจังไม่ได้ทำเล่น ๆ

เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่ค้นพบว่าทางโลกกับทางธรรมต้องดำเนินไปด้วยกัน และพิสูจน์แล้วว่าชีวิตที่อยู่บนความพอดีนำสุขมาให้ 

จาก http://www.goodlifeupdate.com/40629/healthy-mind/thanakornposayanon/

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.542 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 14 มีนาคม 2567 23:08:12