[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ => กระบวนการ NEW AGE => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊ก ที่ 13 เมษายน 2553 08:21:18



หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : จิตวิญญาณ-เมื่อแก่นของศาสนากับวิทยาศาสตร์พบกัน
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 13 เมษายน 2553 08:21:18
(http://www.laurenphotos.com/wp-content/uploads/2009/12/transcendence04.jpg)
 
ทำไม?   ศาสนากับวิทยาศาสตร์ถึงพูดจากันไม่ได้?  ทั้งๆ  ที่ทั้ง  2  วินัยต่างก็อธิบายธรรมชาติด้วยกันว่าคืออะไร?  ทำงานอย่างไร?  และทำไมถึงมีธรรมชาติขึ้นมาในโลก?   บทความวันนี้จะแสดงให้เห็นตรงกันข้าม  ซึ่งความรู้สึกและประสบการณ์ที่เรามีขึ้นมาตั้งแต่ต้น   ตั้งแต่มนุษย์คนแรกเกิดขึ้นมาบนโลกแล้วค่อยๆ  สะสมปรากฏการณ์มาตลอดเวลาในอดีต  นั่นคือมนุษย์แยกออกจากธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง   เมื่อมนุษย์ละทิ้งต้นไม้และป่าเขา  มาอยู่ที่ราบและลุ่มน้ำ   นั่นคือความรู้สึกอันแรกสุดของมนุษย์ที่กลายเป็นความเชื่อหรือความรู้ในตอนนั้น  แต่ถ้าหากเรามองดูเรื่องทั้ง  2  ในเรื่องศาสนาและวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดและรอบด้านก็จะพบว่ามนุษยชาติเป็นเผ่าพันธุ์เดียวท่ามกลางสัตว์ที่มากหลายนับเป็นล้านๆ  เผ่าพันธุ์  -  ที่เรารู้ด้วยวิทยาศาสตร์ว่ามนุษยชาติก็เป็นสัตว์ที่ได้มีวิวัฒนาการทางชีววิทยาของชีวิตมาจนถึงจุดสุดยอดที่ทำให้เราแตกต่างจากสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงหลากหลายเหล่านั้น  -  เพียงเพราะอย่างเดียวโดดๆ  นั่นคือ  มนุษย์เป็นสัตว์โลกประเภทเดียวหรือเผ่าพันธุ์เดียวที่รู้ว่าตนมีจิตของตนแตกต่างไปจากสัตว์ทั้งหลายที่  -  จิตรู้เพราะ  -  ตนคือผู้ที่รู้นั้น

     ผู้เขียนไม่ได้และไม่เคยดูถูกดูแคลนผู้ที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้ที่เคร่งศาสนา   หรือเป็นผู้ที่คิดว่าตัวเองรู้เรื่องอะไรๆ  ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาของตน  หรือศาสนาที่ตนนับถืออยู่  ไม่ว่าศาสนาอะไร   รวมทั้งพุทธศาสนา   แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าคนไทยผู้ที่นับถือพุทธเป็นส่วนใหญ่ที่คิดว่าตนรู้จักพุทธศาสนาดีหรือเป็นพุทธมามกะเหล่านั้นจะรู้จักแก่นแกนที่แท้จริงของพุทธศาสนาสักกี่เปอร์เซ็นต์   หรือมีจำนวนเท่าใด  ซึ่งซีดีของหลวงพ่อปราโมช  ครูผู้สอนวิปัสสนาสมาธิบอกว่า  ไม่รู้ว่าทั่วประเทศไทยจะมีถึงหมื่นๆ  คนหรือไม่?

     ที่หลวงพ่อปราโมชกล่าวมานั้นสำคัญทีเดียว  นั่นแปลว่าผู้นับถือพุทธของบ้านเราที่มีมากกว่า  50  ล้านคน  ล้วนแล้วแต่  -  หากไม่ใช่เพราะเกิดในประเทศไทยที่คนส่วนใหญ่มากๆ  นับถือพุทธ  ฉะนั้นจึงเป็นพุทธอยู่แล้ว  ต้องถือว่าอย่างดีก็รู้จักแต่กระพี้ของพุทธศาสนา  ดี  -  ไม่ดี  -  รู้จักแต่อะไรก็ไม่รู้?!  -  เพราะฉะนั้น  ที่อ้างกันว่าคนไทยส่วนใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชนที่เป็นผู้รู้พุทธศาสนาเป็นอย่างดี   แต่ความจริงแล้วบ้านเราล้วนเต็มไปด้วยผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชนที่เป็นไปเช่นนั้นโดยอัตโนมัติ  หรือไม่ก็มีแต่ผู้ที่มีความงมงายไสยศาสตร์ปราศจากแก่นแกนของศาสนาเลยแม้แต่น้อย  อย่าลืมว่าพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาที่เกิดมาในลัทธิพระเวทกับลัทธิก่อนพระเวท  (pre-vedic  culture)  ที่มีมาก่อนพุทธศาสนานานนับเป็นพันๆ  ปี  และลัทธิพระเวท  -  ก่อนพระเวทที่มีมาก่อนนานนักหนานั้น  มีอยู่  2  ส่วน  คือ  พรหมนาส  (brahmanas  หรือวิถีชีวิตในบ้านในเมือง)  กับอรัญยากา  (aranyaka  หรือวัฒนธรรมในป่าในเขา)  ส่วนหนึ่งหรือครึ่งหนึ่ง  ได้แก่  พรหมนาสทั้งหมดและอรัญยากาส่วนน้อยนิด  ซึ่งด้วยกาลเวลา  -  ได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเป็นศาสนาพราหมณ์อันประกอบด้วยพิธีกรรมเสียเป็นส่วนใหญ่มากๆ   ได้ทำให้นักปรัชญาปัญญาชนและนักคิดของอินเดียทั้งหลายในตอนนั้นอึดอัดใจ  รวมทั้งพระพุทธองค์ก่อนที่จะได้บรรลุนิพพาน   บรรดานักคิดนักปรัชญาเหล่านี้จึงเชื่อว่าต้องแสวงหาความจริงที่แท้จริง  -  ของธรรมชาติที่มองเห็น  เช่น  จักรวาล  โลก  ภูเขา  และวัตถุธาตุอย่างหนึ่ง  กับธรรมชาติที่มองไม่เห็น  เช่น  จิต  จิตวิญญาณ  พระเจ้าและเทพเทวดาอีกอย่างหนึ่ง  ล้วนอีกครึ่งหนึ่งหรือส่วนหนึ่ง  ได้แก่  อรัญยากา  หรือการปฏิบัติตามป่าตามเขา  ซึ่งนักคิดนักปรัชญาสนใจมากกว่าการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความจริงแท้  ด้วยวิธีการภายในท่ามกลางความสงบของธรรมชาติของป่าของเขา  (การทำสมาธิ)  หรืออรัญยากาอันเป็นวิธีที่ทำให้ผู้ปฏิบัติด้วยความตั้งใจจริงๆ  อาจสามารถเข้าถึงความจริงแท้ได้  อรัญยากาและการทำสมาธิหรือโยคะจึงเป็นวิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความจริงที่แท้จริงและหลุดพ้นได้  อรัญยากาที่เน้นเฉพาะการทำสมาธิสู่การหลุดพ้น  (transcendence)  หรือตรัสรู้  (enlightenment)  จึงยังคงเป็นวิถีปฏิบัติของทุกศาสนาที่เกิดจากลัทธิพระเวท  รวมทั้งศาสนาพราหมณ์  เช่น  ของมหาวีระ  และพุทธศาสนา  ฯลฯ

 
     คัมภีร์  หรือฤคเวททั้ง  4  เวท  และอุปานิษัทที่ตามมาของลัทธิพระเวท  (ที่พัฒนามาเป็นศาสนาพราหมณ์สายตรง)   ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวที่ได้มาจากปรัชญาบวกกับญาณ   หยั่งรู้   (intuition  หรือปัญญาในทางศาสนา  อันหมายถึง  ภาวนามัยปัญญาที่เป็นพื้นฐานของ  wisdom)  บวกกับความเชื่อศรัทธาและพิธีกรรมของพระเจ้าผู้สร้างตามพรหมนาส  -  ที่นับวันก็ยิ่งมีมากมายยิ่ง  จนกระทั่งนักคิดนักปรัชญาหลายๆ  คนอึดอัดใจ  รวมทั้งพระพุทธเจ้าดังได้กล่าวมาแล้ว  -  เรารู้มาว่าในสมัยที่พระพุทธองค์ก่อนจะได้หลุดพ้นและการตรัสรู้นั้น  พระองค์ได้ทรงศึกษาลัทธิพระเวททั้งหมด  รวมทั้งอุปานิษัท  (ที่มีอยู่ในสมัยนั้นเพียง  5  เล่ม  และเขียนเสร็จในช่วงต่อมาในขณะที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่อีก  3  เล่ม  อย่างช่ำชองยิ่ง)  และจากที่พระองค์ได้ศึกษามาทั้งลัทธิพระเวทและจากคัมภีร์และหนังสือทั้งของอินเดียโบราณและจากที่อื่นๆ  เท่าที่มีอยู่ในสมัยนั้น  พระองค์จึงเป็นผู้ที่รอบรู้ในความรู้ทั้งหมดของโลกอย่างแท้จริง  สมกับสมญานามที่ทุกๆ  คนเรียกหาพระองค์ว่าเป็นสัพพัญญูชนของโลก

     ไม่มีใครรู้ว่า  ใครที่อินเดียเป็นผู้เขียนหรือรวบรวมลัทธิพระเวท  และโดยเฉพาะวัฒนธรรมก่อนพระเวท   (pre-vedic  culture)  มาจากไหน?  หนึ่งในข้อสันนิษฐานที่น่าจะเอามาคิดต่อ  มีว่าวัฒนธรรมก่อนพระเวทไม่ได้มาจากเอเชียกลางหรือเผ่าอารยัน  แต่มาจากแอฟริกา  มาตั้งแต่ทะเลอาหรับยังเป็นพื้นดิน  ซึ่งหมายความว่าเมื่อความหนาวเย็นของยุคน้ำแข็ง  (ice-age)  ครั้งสุดท้ายถึงจุดสูงสุด  เมื่อแผ่นดินอยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึงกว่า  400  ฟุต  เมื่อ  18,000  ปีก่อน  ซึ่งเป็นช่วงก่อนตั้งหลักแหล่งถิ่นฐานบ้านช่องของมนุษย์ตามที่นักโบราณคดีวิทยาศาสตร์เชื่อ

     ก่อนไอน์สไตน์  -  กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับบทความของวันนี้  คือ  ไบรอัน  กรีนแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย  กับมิชิโอะ  กากุแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์กซิตี  นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์และนักจักรวาลวิทยา  ต่างกรรมต่างวาระกัน  (2004  and  2005)  ทั้ง  2  คนต่างก็ได้เขียนหนังสือที่ขายดีมากๆ  คนละเล่มเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาแห่งยุคใหม่  ทฤษฎีซูเปอร์สตริง  และมิติของจักรวาล  เพราะฉะนั้นก่อนไอน์สไตน์ไปหลายพันปี  ศาสดาของลัทธิพระเวทได้บอกกับเราตลอดมาว่า  จักรวาลมีกลุ่มของมิติ  (หรือภูมิ  หรือชั้นของชีวิต  หรือที่ว่างของการดำรงอยู่)  ออกเป็นกลุ่มๆ  โดยมีมิติเกี่ยวกับสถานที่หรือที่ว่างโดยตรง  3  กลุ่ม  และมิติที่เวลาเกี่ยวกับอย่างน้อยอีก  3  กลุ่ม  ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่ามีความสอดคล้องกับพุทธศาสนาที่มาจากลัทธิพระเวทเหมือนกัน   เรา - ท่านและผู้ที่อยู่ในพุทธศาสนาทุกๆ  คนรู้ดีว่าภูมิหรือระดับจิตหรือขั้นของชีวิตจิตรู้นั้นจะประกอบด้วยกลุ่ม  6  กลุ่ม  ดังนี้คือ  อบายภูมิ  (4)  มนุสสภูมิ  (1)  สวรรค์ขั้นต่ำ  (6)   รูปพรหม  หรือสวรรค์ชั้นสูง  (16)  สุทธาวาส  (1)  อรูปพรหม  (4)  เราจะเห็นว่ามนุษยภูมิซึ่งก็คือภูมิ  (หรือมิติแห่งกายกับระดับจิตรู้  ซึ่งเป็นความรู้หรือจักรวาลวิทยาใหม่ในปัจจุบันที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ๆ  ที่สุด  และยอมรับกันจากนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เพียง  10  ปีมานี้เอง)  ภูมิในวิชาจิตวิทยานั้น  ผู้เขียนคิดว่าน่าจะตรงกับชั้น  (stages)  หรือระดับของจิตของชีวิต  หากคิดเช่นนั้น  มนุษย  (มนุสส)  ภูมิ  คือภูมิซึ่งอยู่ระหว่างนรก  (อบาย)  กับสวรรค์  และมนุษยภูมิจะมีความเป็นพิเศษอยู่ที่เป็นมิติทางจิตเพียงภูมิหนึ่งเดียวที่มนุษย์โลกมีหนทางเลือกและเตรียมตัว  (intentional  choice)  ที่จะเลือกหนทางไปนรกหรือสวรรค์  หรือไปสู่มิติที่สูงกว่านั้น  -  ไปตามกรรมของตน  -  มิติของโลกหรือจักรวาลที่มีมนุษย  (1)  นรก  (4)  และสวรรค์  (6)  นั้นจะเป็นมิติที่สัตว์โลกมีรูปร่างกายภาพที่  (physical  ที่มี  space   occupying   property)  ซึ่งทางพุทธเรียกว่า  กามาวจรภูมิ  ซึ่งมิติหรือภูมิเหล่านี้   (ยกเว้นนรกที่เป็นเรื่องของจิต)  จะมีวิวัฒนาการของกายกับจิต  หรือมีมิติของทั้งที่ว่างกับเวลาทั้ง   2  มิติ  ส่วนมิติที่  4  หรือสวรรค์ชั้นสูงภูมิแห่งรูปพรหม  (16)  มิติที่  5  สุทธาวาส  (1)  และมิติที่  6  (4)  เป็นมิติของเวลา  หรือมิติอื่นๆ  ที่ลัทธิพระเวทไม่ได้พูด  จะเป็นมิติแห่งเวลา  (time)  เท่านั้น                                                                                                         
     น่าสนใจที่ศาสนาแห่งลัทธิพระเวทที่ตรงกับพุทธศาสนา  -  ตามที่ผู้เขียนคิดและเชื่อว่าสวรรค์และนรกมีจริงๆ  -  ว่าในมิติที่มีมนุษย์ภูมิลงมาจะเป็นสถานที่ที่เป็นมิติหรือภูมิจะมีแต่วิวัฒนาการทางกายต่อเนื่องหรือชีววิทยา  เพราะฉะนั้น  มิติที่สูงกว่านั้นหรือจากสวรรค์ชั้นหรือรูปพรหมทั้
ง  16  ชั้น  สุทธาวาส  และอรูปพรหมอีก  4  ชั้น  จะเป็นเรื่องของวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ  จึงไม่จำเป็นต้องมีมิติของ  ที่ว่าง  (space)  ฉะนั้น  ภูมิหรือมิติที่อยู่สูงกว่าที่กล่าวมานั้น   รวมทั้งที่กล่าวก่อนบรรทัดสุดท้ายว่าต่างเป็นมิติที่มีแต่เวลาอย่างเดียวนั้นจึงล้วนแล้วแต่ไมมีรูปร่างกายภาพ   (physical)   แบบที่เราคิดและรู้จักเลยด้วย  แม้แต่ในชั้นที่เรียกว่า  รูปพรหม   (16)  ก็เป็นเช่น  นั่นก็คือ  ชั้นของสวรรค์ชั้นสูงหรือรูปพรหม  (16)  และชั้นสุทธาวาส  (1)  จะประกอบด้วยแสงที่มีรูปประดุจดาว  (astral)  ที่มีรัศมีน้อย  คืออยู่กับดาวดวงนั้นเท่านั้น  โดยไม่ได้แผ่กระจายสู่ที่ว่างที่อยู่ห่างไกลออกไปด้วย  มิติที่  6  หรืออรูปพรหมจะมีแสงที่มีรัศมีมากไปทั่วที่ว่างของภูมินั้น  ชั้นต่างๆ  ทั้งหมดจึงเป็นมิติที่มีแต่วิวัฒนาการ  ทั้งกายและจิตที่ต่อเนื่อง  (ระหว่างภพภูมิต่างๆ  ของชีวิต)  ซึ่งในชั้นสูงจะมีแต่วิวัฒนาการเฉพาะจิตวิญญาณ  (spirituality)  ที่ไล่ต่อๆ  ไปถึงนิพพานการตรัสรู้อันเป็นเป้าหมายของการดำรงอยู่ของชีวิตและจักรวาล


     ลัทธิพระเวทบอกว่า   มิติที่  4  จะเป็นมิติของจิตยามฝันที่ตัวเองจะมีความรู้เหนือธรรมชาติอย่างล้ำลึก  และสามารถจะแยกตัวเองเป็น  2  ร่างไปไกลขนาดไหนก็ได้  ทั้งยังมองเห็นได้ไกลเป็นปีที่แสงเดินทางได้ด้วยตาที่   3  เหมือนกับพระอินทร์ส่องดูโลกด้วยกล้องทิพยเนตร  ส่วนมิติที่  5  จะเหมือนกับอยู่กับโลกในระหว่างที่เราฝันและความหลับลึก  พร้อมกับมีความสามารถมองเห็นกาลเวลาที่ห่างไกลได้  และสามารถติดต่อกับมิติต่างได้ด้วยจิต  มิติที่  5  จึงไม่ต้องมีภาษาใช้   ส่วนมิติที่   6  เป็นมิติที่มีอัตตาอหังการแยกออกไปอยู่ต่างหาก  ทำให้รู้จริงๆ   ว่าที่แท้นั้น  แม้แต่อัตตาตัวตนอหังการก็ไม่ใช่ว่าจะมีตัวตนจริง


     ในทางวิทยาศาสตร์ใหม่นั้น  ทฤษฎีสตริง  ซูเปอร์สตริง  และสุดท้าย  เอ็ม-ธีออรี่  (M-theory)   ซึ่งได้มาจากสตริงธีออรี่หนึ่งเดียวกัน  จึงได้เกิดมีจักรวาลวิทยาแห่งยุคใหม่ขึ้นมา  และยอมรับกันเพียงไม่ถึง   10  ปีมานี้เอง  หรือพูดง่ายๆ  ก็คือ  ภายในสหัสวรรษนี้  นั่นคือ  "ทฤษฎีที่อธิบายทุกๆ  สิ่ง  ทุกๆ  อย่าง"  (theory  of  everything)  ซึ่งก็คือแรงที่รวมแรงทั้ง   4  แรงให้เป็นหนึ่งเดียว  (grand  unified  theory)  ที่นักฟิสิกส์ค้นหามานานนักหนา  รวมทั้งอัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์  และสตีเฟน  ฮอว์กิง  ทฤษฎีซูเปอร์สตริงบอกว่า  สิ่งที่เราคิดว่าเป็นคลื่นอนุภาค  เช่น  อิเล็กตรอน  ควาก  นิวตริโนส์  ฯลฯ  ซึ่งในสภาพหนึ่งเป็นอนุภาคหรือมีลักษณะที่เป็นจุดนั้น  หากแยกต่อไปโดยทฤษฎีซูเปอร์สตริง  (ซึ่งมีเพียงแต่ทางคณิตศาสตร์อย่างเดียว  เพราะว่าในปัจจุบันนี้  ความรู้หรือเทคโนโลยีสำหรับการทดสอบทางห้องทดลองยังล้าหลัง  การทดสอบทางห้องวิทยาศาสตร์ยังทำไม่ได้)  มันก็จะพบว่ามันแทนที่จะเป็นจุด  มันกลับกลายเป็นสายสตริงที่เล็กละเอียดมาก  -  เพราะเล็กกว่าอะตอมถึง  3  เท่า -  ที่สั่นระรัว  (vibration)  การสั่นระรัวสั่นสะเทือนแต่ละรูปแบบเหมือนกับโน้ตดนตรีที่จะให้อนุภาคแต่ละตัวออกมา  จักรวาลจึงเป็นดุจการประสานเสียง  (harmony)  ของดนตรีที่มีแต่ไวโอลิน  (หรือ  strings)  มากมาย  หรือเป็นซิมโฟนีเราดีๆ  นี่เอง  และโดยทฤษฎีซูเปอร์สตริง  หรือเอ็ม-ธีออรี่   (M = membrane  หรือหนังที่ขึงหน้ากลอง)  ที่อธิบายเพิ่มเติมว่า   จักรวาลนั้นไม่ใช่มีเพียงหนึ่งเดียวคือจักรวาลของเราเท่านั้น  แต่ยังมีจักรวาลอื่นๆ  เยอะแยะไปหมด  (pleuniverses  or  multiverses)  ซ้อนๆ  กับจักรวาลของเรา  เพียงห่างไปเป็นมิลลิเมตรเท่านั้น  แต่เรามองไม่เห็น  เพราะต่างมิติกัน  และทฤษฎีซูเปอร์สตริงยังบอกต่อไปว่า  -  ประหนึ่งเป็นการยืนยันลัทธิพระเวท  -  อาจจะมีทั้งหมด  10  (หรือ  11  มิติของที่ว่างบวก  1  มิติของเวลา)  โดยมิติยิ่งสูงยิ่งสั่นระรัวน้อยจนกระทั่งถึงมิติที่  10  (11)  ถึงจะไม่มีการสั่นหรือแทบจะไม่มีการสั่นเลย   เพราะมิตินั้นคือมิติที่วิวัฒนาการของจิตวิญญาณ
ได้มาถึงจุดสูงสุด   หรือคือนิพพานนั่นเอง  (มีชิโอะ  กากุ)  จากทฤษฎีสตริงและจากลัทธิพระเวท  -  สำหรับผู้เขียน  -  เพียงพอที่จะสรุปได้ว่า  มิติยิ่งต่ำจะมีการสั่นสะเทือนมาก  และอบายภูมิคือสิ่งที่กล่าวมานั้น   ในขณะที่มิติยิ่งสูงยิ่งจะมีวิวัฒนาการของจิตวิญญาณหรือมีการสั่นน้อยลงๆ  และความ  หยาบหรือรูปกายวัตถุ  ก็จะยิ่งน้อยลงด้วย  ด้วยการมองเห็นได้จากสวรรค์ชั้นสูงกับสุทธาวาสและอรูปพรหมจนถึงนิพพาน.
 
http://www.thaipost.net/sunday/110410/20664 (http://www.thaipost.net/sunday/110410/20664)


หัวข้อ: Re: ความทรงจำนอกมิติ : จิตวิญญาณ-เมื่อแก่นของศาสนากับวิทยาศาสตร์พบกัน
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 13 เมษายน 2553 11:22:12

(http://www.dhammajak.net/forums/download/file.php?id=24396)

 (:88:)   (:88:)   (:88:)