[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ไปเที่ยว => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 04 กันยายน 2555 12:06:05



หัวข้อ: สักการะ รอยพระพุทธบาท วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร จังหวัดสระบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 04 กันยายน 2555 12:06:05
.

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/65991880537735_DSC02804.JPG)
พระพุทธบาท มีความกว้าง ๒๑ นิ้ว ยาว ๕ ฟุต ลึก ๑๑ นิ้ว ประดิษฐานภายในพระมณฑป  
วัดพระพุทธบาท  ตำบลขุนโขลน  อำเภอพระพุทธบาท  จังหวัดสระบุรี

พระพุทธบาท วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร
อำเภอพระพุทธบาท  จังหวัดสระบุรี

ระหว่างปี พ.ศ. ๒๑๕๓ – ๒๑๖๗  เจ้าเมืองสระบุรี ได้รับแจ้งจากนายพรานบุญว่า ตนได้ออกไปล่าเนื้อ (มีลักษณะคล้ายกวาง)  ในป่าใกล้เชิงเขา  ได้ยิงเนื้อตัวหนึ่งได้รับบาดเจ็บ  เนื้อตัวนั้นวิ่งหลบหนีขึ้นไปบนไหล่เขาแล้วหายเข้าไปในพงป่าไม้   เพียงครู่เดียวเนื้อตัวนั้นวิ่งออกมาจากพงไม้  และมีสภาพร่างกายเป็นปกติไม่ปรากฏร่องรอยบาดแผลจากการถูกยิง    พรานบุญเห็นดังนั้นก็เกิดความประหลาดใจ  จึงตามขึ้นไปดูยังที่ที่กวางตัวนั้นวิ่งหลบหนีหายเข้าไป  ก็พบร่องรอยปรากฏในศิลามีลักษณะคล้ายเท้าคนขนาดใหญ่   ยาวประมาณสักศอกเศษ   และในรอยคล้ายเท้าคนนั้นมีน้ำขังอยู่ด้วย  นายพรานบุญเข้าใจว่าเนื้อตัวที่ถูกตนยิงหายจากอาการบาดเจ็บ คงเพราะได้ดื่มน้ำที่ขังอยู่ในรอยเท้านั้น  จึงวักน้ำลองเอามาทาผิวของตนดู  บรรดาโรคผิวหนังคือกลาก เกลื้อน ที่พรานบุญเป็นเรื้อรังมานานนั้นก็พลันหายไปหมดสิ้น  

เจ้าเมืองสระบุรี ได้สอบสวนความจริง และออกสำรวจยังไหล่เขาแห่งนั้น  ได้พบร่องรอยคล้ายเท้าคนตามคำบอกเล่าของพรานบุญมีอยู่จริง  จึงส่งข่าวมายังกรุงศรีอยุธยา  สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม จึงเสด็จพระราชดำเนินไปยัง ณ ที่แห่งนั้น  เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงทรงพระราชวิจารณ์ว่าคงเป็นรอยพระพุทธบาท  เพราะปรากฏลายลักษณะกงจักร ประกอบด้วยอัฏฐตตรุสตมหามงคล ๑๐๘ ประการ  ตรงกับเรื่องที่ชาวลังกาทวีปแจ้งข่าวมาด้วย  จึงทรงเกิดพระราชศรัทธาโสมนัสเป็นที่ยิ่ง  ทรงมีพระราชดำริว่า รอยพระพุทธบาทจัดเป็นบริโภคเจดีย์  เพราะเป็นพุทธบทวลัญช์อันเนื่องมาแต่พระพุทธองค์  ย่อมประเสริฐยิ่งกว่าอุทเทสิกะเจดีย์ เช่น พระสถูปเจดีย์  สมควรยกย่องบูชาเป็นพระมหาเจดียสถาน  จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ช่างก่อเรือนคฤหหลังน้อยครอบรอยพระพุทธบาท ณ บนแผ่นหินเหนือไหล่เขาสุวรรณบรรพต  หรือเขาสัจจพันธคีรี ไว้เป็นการชั่วคราวก่อน  

หลังจากเสด็จกลับราชธานีกรุงศรีอยุธยา จึงได้สถาปนาสถานที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทเป็นมหาเจดียสถาน  และโปรดให้สร้างพระมหามณฑปครอบรอยพระพุทธบาท  ลักษณะเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส  ประกอบด้วยเครื่องยอดรูปปราสาท ๗ ชั้น  มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาว  มีเสาย่อมุมไม้สิบสอง  ปิดทองประดับกระจกสีโดยรอบ   ฝาผนังด้านนอกปิดทองประดับกระจกเป็นรูปเทพพนม   มีพุ่มข้าวบิณฑ์   บานประตูพระมณฑปเป็นงานศิลปกรรมชั้นเยี่ยมของเมืองไทย  พื้นภายในปูด้วยเสื่อสานด้วยเงิน    ทางขึ้นพระมณฑปเป็นบันไดสามสาย  ซึ่งหมายถึง บันไดเงิน  บันไดทอง  และบันไดแก้ว  ที่ทอดลงมาจากสรวงสวรรค์  หัวนาคที่เชิงบันไดหล่อด้วยทองสำริด  ลักษณะเป็นนาค ๕ เศียร   บริเวณโดยรอบพระมณฑปมีระฆังแขวนไว้เรียงราย  สำหรับให้ผู้มานมัสการได้ตีเพื่อเป็นการแผ่ส่วนกุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย  พร้อมกับโปรดเกล้าฯ  ให้เจ้าพนักงานสร้างพระอารามสำหรับพระภิกษุสามเณรอยู่อาศัย เพื่อการดูแลรักษาและบำเพ็ญธรรมสืบไป  



ตำนานเมืองสระบุรี สระบุรี เป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งมาแต่โบราณ  สันนิษฐานว่าตั้งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๐๙๒  ในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ หรือพระเจ้าช้างเผือก   พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๑๕ แห่งกรุงศรีอยุธยา  การตั้งเมืองนี้ สันนิษฐานว่าพระองค์โปรดเกล้าฯ  ให้แบ่งพื้นที่เขตเมืองลพบุรีกับเมืองนครนายก บางส่วนมารวมกันตั้งขึ้นเป็นเมือง “สระบุรี”   เพื่อต้องการให้เป็นเมืองศูนย์กลางของการระดมไพร่พลไว้สู้รบกับข้าศึกในยามศึกสงคราม  

สำหรับที่มาของคำว่า “สระบุรี”  สันนิษฐานว่าตั้งอยู่ใกล้ “บึงหนองโง้ง”  ในเขตตำบลเมืองเก่า  อำเภอเสาไห้    บึงหนองโง้งเป็นแอ่งน้ำรูปเกือกม้า  เกิดจากการขุดดินมาทำอิฐเพื่อสร้างเมืองสระบุรีในอดีต เมื่อก่อตั้งเมืองขึ้นจึงได้นำเอาคำว่า “สระ” (แอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือด้วยฝีมือมนุษย์ขุดขึ้นมา)  มารวมเข้ากับคำว่า “บุรี”  มาเป็นชื่อเมือง “สระบุรี

ครั้นต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  เหตุการณ์ทางด้านการเมืองผันผวน  สืบเนื่องมาจากนโยบายขยายอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศส แผ่มาครอบคลุมบริเวณแหลมอินโดจีน  พระองค์ท่านทรงตระหนักถึงความสำคัญของการคมนาคมโดยเส้นทางรถไฟ  ทั้งนี้ เพื่อสะดวกแก่การปกครอง ตรวจตราป้องกันการรุกรานประเทศ  และจะเป็นเส้นทางการคมนาคมไปมาถึงกันได้ง่ายยิ่งขึ้น  จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ เซอร์แอนดรู คลาก และบริษัทปันชาร์ด แมกทักการ์ด โลเธอร์ ดำเนินการสำรวจเส้นทาง สำหรับสร้างทางรถไฟจาก กรุงเทพฯ - เชียงใหม่  และโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองสระบุรี  ซึ่งแต่เดิมตั้งอยู่ในเขตตำบลเมืองเก่า อำเภอเสาไห้  มาตั้งอยู่ในบริเวณอำเภอเมืองสระบุรีในปัจจุบัน เพื่อก่อสร้างทางรถไฟอีกสายหนึ่ง จากทางแยกตั้งแต่เมืองสระบุรี - เมืองนครราชสีมา



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/36462962379058_DSC02797.JPG)

วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร
วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร   ตั้งอยู่ที่ อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี   เป็นพระอารามหลวง ชั้นเอกพิเศษ ชนิดราชวรมหาวิหาร  นิกายเถรวาท (มหานิกาย)  วัดพระพุทธบาท  มีปูชนียสถานที่สำคัญคือรอยพระพุทธบาท  ค้นพบในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ประดิษฐานอยู่ในมณฑปบนไหล่เขาสุวรรณบรรพต หรือเขาสัจจพันธคีรี พระมณฑปปิดทองประดับกระจกสวยงามมาก  มีบานประตูประดับมุขเป็นศิลปกรรมชั้นเยี่ยม  ทางขึ้นเป็นบันไดนาคสามสาย มีพระอุโบสถและวิหารรายรอบ  ศิลปแบบอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น

ตามพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยากล่าวว่า มีพระภิกษุไทยคณะหนึ่ง เดินทางไปยังลังกาทวีป เพื่อนมัสการรอยพระพุทธบาท พระสงฆ์ลังกากล่าวว่า ประเทศไทยก็มีรอยพระพุทธบาทอยู่แล้วที่เขาสุวรรณบรรพต จึงได้นำความกราบทูลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมให้ทรงทราบ และได้สืบหาจนพบรอยพระพุทธบาท เพื่อเป็นที่สักการะบูชา เป็นศูนย์รวมแห่งพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ พระพุทธบาทสระบุรีเป็นพระอารามหลวง ที่พระมหากษัตริย์แทบทุกพระองค์ทรงทำนุบำรุงและเสด็จไปนมัสการตลอดมา ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/37962035752004_1.JPG)
ไฟตะเกียงเรียงรอบพระมณฑป         กระจ่างจบจันทร์แจ่มแอร่มผา
ดอกไม้พุ่มจุดงามอร่ามตา               จับศิลาแลเลื่อมเป็นลายลาย
พระจันทร์ส่องต้องยอดมณฑปสุก       ในหน้ามุขเงางามอร่ามฉาย
นกบินกรวดพรวดพราดประกายพราย    พลุกระจายช่อช่วงดังดวงเดือน
                                                  นิราศพระบาท....สุนทรภู่


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/32995114723841_DSC02809.JPG)
มณฑปน้อยสวมรอยพระบาทนั้น       ล้วนสุวรรณแจ่มแจ้งแสงอร่าม
เพดานดาดลาดล้วนกระจกงาม         พระเพลิงพลามพร่างพร่างสว่างพราย
ตาข่ายแก้วปักกรองเป็นกรวยห้อย      ระย้าย้อยแวววามอร่ามฉาย
หอมควันธูปเทียนตลบอยู่อบอาย       ฟุ้งกระจายรื่นรื่นทั้งห้องทอง
                                                  นิราศพระบาท....สุนทรภู่


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/52689389967256_3.JPG)
บันไดนาคนาคในบันไดนั้น            ดูผกผันเพียงจะเลื้อยออกโลดเล่น
ขย้ำเขี้ยวขบปากเหมือนนาคเป็น      ตาเขม้นมองมุ่งสะดุ้งกาย
                                                  นิราศพระบาท....สุนทรภู่

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/44797395666440_2.JPG)
ใบระกาหน้าบันบนชั้นมุข           สุวรรณสุกเลื่อมแก้วประภัสสร
ดูยอดเยี่ยมเทียมยอดยุคนธร      กระจังซ้อนแซมใบระกาบัง
                                                  นิราศพระบาท....สุนทรภู่

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/87687371257278_4.JPG)
สงัดเสียงคนดังระฆังเงียบ         เย็นยะเยียบยามนอนริมเนินผา
เมื่อยามแกนแสนทุเรศเวทนา     ต้องไสยาอยู่กลางน้ำค้างพราว
                                                  นิราศพระบาท....สุนทรภู่


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/99638739104072_5.JPG)
ทิศประจิมริมฐานมณฑปนั้น          มีดาบสรูปปั้นยิงฟันขาว*
นุ่งหนังพยัคฆาชฎายาว               ครังเคราคราวหนวดแซมสองแก้มคาง
ขั้นบันไดจะขึ้นไปมณฑปนั้น         สิงโตตันสองตัวกระหนาบข้าง
ดูผาดเผ่นเหมือนจะเต้นไปตามทาง   พี่ชมพลางขึ้นบนบันได้พลัน**
                                                  นิราศพระบาท....สุนทรภู่



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/73911927102340_6.JPG)
บทกลอน "นิราศพระบาท" โคลงนิราศนี้ท่านสุนทรภู่พรรณาการเดินทางขณะตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์  
พระโอรสพระองค์น้อยของกรมพระราชวังหลัง  ไปพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๓๕๐      

หากลำดับเส้นทางจากท่าเรือมาพระพุทธบาทตามเส้นทางเสด็จประพาสแต่ก่อน จะผ่านระยะทางดังนี้
๑. บ่อโศก
๒. ศาลาเจ้าสามเณร
๓. หนองคนที
๔. ศาลเจ้าพ่อเขาตก
๕. พระตำหนักและสระยอ

ในกลอนนิราศของสุนทรภู่นี้  ท่านพรรณาการเดินทางถึง
๑. บ่อโศก
๒. หนองคนที
๓. ศาลาเจ้าสามเณร
๔. เขาตก  และ
๕. สระยอ




อ้างอิง: “ประวัติสุนทรภู่”  พระนิพนธ์ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ : กรมศิลปากร, ๒๕๐๖    
            * รูปพระสัจพันธดาบส  อยู่ในช่องกุฏิด้านเหนือ  เดี๋ยวนี้ปิดทองทั้งตัว  ฟันก็เป็นทองไม่ขาว
          ** สิงโตหิน ๒ ตัวเดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่