[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
16 พฤษภาคม 2567 06:05:40 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: {วัฑฒิสูตร - สัมปทา}สูตรไม่รู้จะไปไว้ห้องไหนดี  (อ่าน 1132 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.63 Chrome 16.0.912.63


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 07 มกราคม 2555 02:54:49 »




(:UU:)ถ่ายภาพประกอบโดย Sometime สงวนลิขสิทธิ์ตามกฏหมาย หงุดหงิด



ข้อความเตือนสติจากชั่วโมง สนทนาพระสูตร ข้อความเตือนสติที่มาจากส่วน สนทนาที่เกี่ยวข้องกับพระสูตร

๑. ความหมายของสาระ สาระ คือ สิ่งที่เป็นแก่นสาร หรือสิ่งที่เป็นประโยชน์ ในบรรดาสิ่งที่เกิดดับ ทุกขณะมีทั้งที่เป็นประโยชน์ ประเสริฐ และสิ่งที่ตรงข้าม ได้แก่ ปัญญา และ อวิชชาสิ่งที่ประเสริฐ คือ มรรคมีองค์ ๘ เพราะเป็นหนทางดับกิเลสได้ แม้ว่าเกิดดับ และสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นประโยชน์ก็มี เช่น ความติดข้อง พอใจไม่รู้

๒. สาระแท้จริงที่ควรบำเพ็ญ ทุกๆคนหวังความเจริญในทรัพย์ทั้งหลาย เช่น เรือกสวน ไร่นา บุตรภริยา โภคทรัพย์ แล้วแต่จะหวังอะไร เพราะยังไม่หมดหวัง แต่ความหวังก็ไม่ใช่สาระ แท้จริง เพราะตั้งแต่เกิดมาก็คือ ตามมีตามได้ ตามกรรมที่กระทำไว้แล้ว ต้องมี ทั้งฝ่ายดี และไม่ดี ทั้งสุขทุกข์ แล้วทั้งหมดก็ไม่เหลือ เพราะสาระแท้จริง สิ่งที่ควร บำเพ็ญ คือ สุตะได้แก่ ศรัทธาที่ฟังธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

๓. เหตุที่ประมาทไม่ใส่ใจฟังธรรม เพราะลืมความตาย ทุกคนลืมคิดถึงความตาย ต้องจากทรัพย์ทั้งหมดทุกประการ ไม่เหลืออะไรตาม ไปด้วยเลย แม้แต่ร่างกายที่เคยยึดว่าเป็นเรา ฉะนั้นการได้เห็นความจริงของ สภาพธรรมเป็นประโยชน์ เพื่อที่จะสามารถละคลายความติดข้องซึ่งนำมาซึ่งทุกข์ เพราะอยากได้ในสิ่งที่ปรากฏแล้วหมดไป

๔. ประโยชน์ของการฟังธรรม เพื่อให้เข้าใจว่าสิ่งที่มีปรากฏนั้น แท้จริงไม่มีสาระ ปรากฏทางตาแล้วหมดไป แม้ทางจมูก ลิ้น กาย ใจทั้งหมดเพียงคิดว่ามี แต่ก็หมดไปอย่างนี้ยับยั้งไม่ได้

๕. ประโยชน์ของการศึกษาค้นคว้า เพราะไม่รู้จึงฟัง เพราะไม่รู้จึงอ่าน ไม่ใช่โดยคิดเดาเอาเอง แต่อ่านเพื่อเข้าใจ ถูกต้อง ทุกครั้งที่ฟังธรรมหรืออ่านเพื่อให้รู้ยิ่งขึ้น เข้าใจถูกยิ่งขึ้น เพื่อละความไม่รู้ จึงจะละอกุศลอื่นได้

๖. ฟังธรรมเพื่อเข้าใจความเป็นอนัตตา สัจจธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งหมดเพื่อที่จะให้รู้ว่าธรรมมีจริง ถ้าฟังแล้ว เข้าใจว่า เป็นอัตตา เป็นตัวเรา เป็นตัวตน สัตว์บุคคล เราอยากรู้สภาพธรรมที่ เกิดดับ ก็คือการฟังนั้นเป็นโมฆะไปแล้ว จึงต้องเป็นผู้ละเอียด เพราะพระธรรมเป็น เรื่องละเอียดลึกซึ้ง ตรง ซึ่งต้องมั่นคงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา พระไตรปิฎก มีเท่าไร ทั้งหมดก็เพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่าธรรม เป็นอนัตตา

๗. สะสมความเห็นประโยชน์ในการฟังธรรม ผู้ที่เห็นคุณของพระธรรม ผู้มีโอกาสได้ฟังธรรม ต้องเป็นผู้สะสมบุญมาใน ปางก่อน ศรัทธามากน้อยก็ตามที่ได้สะสมมา ซึ่งจะสะสมเพิ่มมากขึ้นในแต่ละภพ แต่ละชาติได้ ก็ด้วยการเข้าใจยิ่ง ๆ ขึ้น

๘. ความหมายของกาย กาย หมายถึง ที่ประชุมทั้งรูปกาย และนามกาย รูปกาย ประชุมรวมของสิ่งที่น่าเกลียด ๓๒ ประการ ได้แก่ ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง เพราะถ้านำออกมากก็ไม่มีคนต้องการ ไม่มีคนขอ นามกาย คือ จิต และ เจตสิก หากมีแต่รูปกาย ไม่มีนามกายเลย ก็ไม่มีความเดือดร้อน ถ้ามีทรัพย์มากมาย แต่ไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีนามกาย โภคทรัพย์นี้จะเป็นของใคร มีประโยชน์อะไร เพียงหลงว่าเป็นของเรา แต่ความจริง คือ จิตที่เกิดขึ้น แล้วดับไปตามที่ทรงแสดง

๙. ความหมายของโลกสันนิวาส โลก คือ ธรรมที่แตกสลายเกิดดับในขณะนี้ หมายถึงขันธ์ ๕ สันนิวาส คือ การอยู่ ซึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์ทั้งหลายด้วยอำนาจตัณหาและ ทิฏฐิ โลกสันนิวาส จึงหมายถึง ขันธ์ ๕ ที่ปรากฏเกิดดับในขณะนี้ เป็นที่อาศัย ให้เกิดความยินดีพอใจติดข้อง และความเห็นผิดที่ยึดถือว่า เป็นเรา สัตว์ บุคคล เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

๑๐. ยึดถือในสิ่งใด ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏในโลกจะยึดถืออะไร พอใจอะไร

๑๑. รู้จักคบหากับสิ่งใดอยู่ เวลานี้ใครชื่ออะไรพบกันหลายครั้ง ไปมาหาสู่กัน เที่ยวด้วยกัน รู้จักกันไม่นาน พอหมดก็ไม่รู้จักกันอีกเลย เหมือนบุคคลชาติก่อนๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตรงถูกต้องคือ ปัญญา ซึ่งต้องอาศัยศรัทธา ฟังจนเห็นถูกต้อง คลายความไม่รู้ ติดข้องทรัพย์ รู้ว่า ทั้งหมดก็ตามมีตามได้ ตามปัจจัยบังคับบัญชาไม่ได้

๑๒. กำลังของอวิชชา ต้นไม้แข็งใหญ่โต ภูเขาแข็ง ๆ โอนเอียงได้ยากฉันใด อวิชชาความไม่รู้ก็อย่างนั้น ต้องอาศัยปัญญา จึงสามารถค่อยๆคล้อยตามความจริงถูกต้องยิ่งขึ้น ที่จะเข้าใจ ถูกต้องในลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ขณะอื่น

๑๓. ความหมายของโภคทรัพย์ ทรัพย์ ก็คือ ผลของกรรม ถ้าเป็นผลของกุศลก็ไม่ต้องห่วง ส่วนทรัพย์ คือ ศรัทธาที่จะเจริญขึ้น ได้ต้องเป็นเรื่องของการฟัง มิฉะนั้นจะเป็นเพียงขั้นทาน ความสงบของจิต แต่ไม่ใช่การเข้าใจธรรม ฉะนั้นการเข้าใจถูกต้องประเสริฐ กว่าทรัพย์ใด ๆ เพราะบางคนมีทรัพย์เพื่อติดข้อง แต่ความละเอียดคือ สามารถ สละความติดข้องได้

๑๔. ทรัพย์ที่เป็นผลของกรรม และทรัพย์ที่เป็นการสะสม การเจริญขึ้นด้วยทรัพย์สินเงินทองบริวาร เป็นผลของกุศลกรรมในอดีต จะสะสม ต่อไปได้ ก็ด้วยกุศลกรรม แต่การเจริญด้วยทรัพย์ คือ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญาเป็นการสะสม จากในอดีต และต่อๆไป ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจธรรม เห็นถูก กุศลธรรมจึงสามารถเจริญขึ้นต่อไป

๑๕. สิ่งใดที่สำคัญ ทรัพย์ หรือ ศรัทธา แม้แต่จะฟังธรรม ถึงบอกแล้วว่าจะฟัง ก็ไปทำอย่างอื่นก็ได้ ฉะนั้นศรัทธา สภาพผ่องใสที่จะเห็นประโยชน์ของการพ้นจากอกุศล ด้วยการฟังสิ่งที่มีสาระ ประโยชน์ยิ่งกว่าทรัพย์อื่นใดหรือไม่ เพราะถ้าไม่ฟัง ก็คือหมดโอกาสเข้าใจถูกว่า เห็น ได้ยิน ก็ดี ไม่ใช่ประโยชน์ที่แท้จริง เพียงปรากฏแล้วหมดไปไม่กลับมาอีกเลย แต่ประโยชน์ที่แท้จริง คือ เห็นถูก เข้าใจถูก ศรัทธาฟังธรรม เพื่อกุศลธรรมเจริญขึ้น ประเสริฐยิ่งขึ้นตามลำดับ
๑๖. ความหมายของทาน ทาน คือ กุศลจิตที่เกิดขึ้น สละสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์แก่คนอื่น ไม่ใช่ขณะหวังสิ่ง ตอบแทน เมื่อเห็นเขาต้องการ เขาไม่มี เขาจำเป็นต้องใช้ จะให้หรือไม่ให้ก็แล้วแต่ สภาพจิตในขณะนั้น

๑๗. ความต่างของการให้และจาคะ ทานทั้งหลายมีการให้คือ ทรัพย์ ความรู้เป็นต้น เพื่อผู้ตกทุกข์ได้ยากก็ดี แต่จาคะนั้น เป็นการให้ที่ไม่ใช่วัตถุเท่านั้น แต่เป็นไปเพื่อสละกิเลส เป็นการสละกิเลส เช่น ถ้าบอกว่ามีอะไรก็ให้เอาไปเลย แต่ถ้ามีคนเอาสิ่งที่ชอบไป แล้วยังติดใจ นี้ไม่ใช่จาคะ นี้คือ ความต่างของทานและจาคะ คือให้แล้วไม่เสียดาย สามารถ ให้สิ่งที่พอใจได้ตามกำลังกุศล ให้สิ่งที่ไม่ต้องการกับให้สิ่งที่ชอบมาก ๆ ก็ยาก ต่างกันมาก หากกุศลจิตเกิดรู้ลักษณะของจาคะ จะยังพอใจในสิ่งที่ติดหรือไม่ หรือเห็นประโยชน์ของการเริ่มสละ แม้ไม่สามารถสละความติดข้อง ได้ทั้งหมด แต่ปัญญาความเห็นถูกจะค่อยๆมีกำลังได้ต้องอาศัยการฟัง

๑๘. การให้ที่เป็นจาคะ จาคะ ได้แก่ การให้ที่สละแม้ความสุขส่วนตัว การให้บางประเภทให้แล้วก็ให้ไป แต่การให้บางประเภทต้องสละเวลากับสิ่งนั้น

๑๙. ความเกี่ยวเนื่องกันของ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ศรัทธาประเภทต่างๆ ศรัทธา คือ สภาพที่ผ่องใสจากอกุศล เช่น ให้ทาน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ บุคคลนั้นซึ่งก็แล้วแต่ว่าสะสมศรัทธามาทางใด บางคนสงเคราะห์ช่วยเหลือ คนอื่น บางคนไม่พูดชั่ว บางคนสะสมที่จะฟังธรรม เป็นผู้ตรง เข้าใจธรรม ที่เกิดกับตนขณะนั้นหรือศรัทธาที่เป็นไปในศีล

ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่เรื่องราว แต่เป็นการศึกษา คือการเข้าใจลักษณะที่เกิดขึ้นแล้วตามการได้ยินได้ฟัง วันนี้คำพูด การกระทำมีศรัทธาในศีลบ้างหรือไม่ ศรัทธาในทาน ให้อะไรใครในบ้านบ้างหรือไม่ ไม่ใช่ด้วยหน้าที่แต่ด้วยจิตผ่องใส ถ้าเข้าใจ ธรรม ก็เข้าใจลักษณะของธรรมที่เกิดขณะนั้นด้วย หากยังไม่เกิดก็เป็นแต่ เพียงชื่อของธรรม ศรัทธาในศีล คือ เพราะศรัทธาทำให้มีศีล เว้นกายทุจริต วจีทุจริตมากขึ้น ถึงมโนทุจริตจิตวันหนึ่ง ๆ เกิดตามการสะสม คือ อวิชชาหนาแน่นยากที่จะรู้ถูก เข้าใจถูก เพราะจากการฟังเข้าใจขึ้นก็

นำมาซึ่งศรัทธาในศีลในชีวิตประจำวันด้วย บางคนมีกายดี วาจาดี แต่ไม่ฟังธรรม ก็มีศีลในระดับนั้น แต่บางคนเห็น ประโยชน์ว่าแม้อย่างนั้นก็ยังไม่พอ เพราะกิเลสกลุ้มรุมได้ จึงฟังธรรม ศรัทธาที่ฟังธรรม ประโยชน์ของสุตะ คือ แสวงหาความจริงจากคำจริงที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง จะเข้าใจความจริงได้ว่าแต่ละคำ พยัญชนะตื้น อรรถลึกซึ้ง แม้คำว่า สภาพธรรม สภาวะ คือมีลักษณะเฉพาะตน ไม่สับสนปะปนกัน โดยที่ ทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นสภาวะ คือธรรมทั้งสิ้น ซึ่งไม่มีโอกาสเข้าใจ ได้เลย หากไม่มีสุตะ ซึ่งก็คือ การฟัง

ธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ไปตามลำดับ ศรัทธาในจาคะ ที่มีศรัทธา มีศีล มีสุตะ ก็เพื่อจาคะ สละอกุศลทั้งหมด พระธรรมทั้งหมด เพื่อละ ไม่ใช่เพื่อติดข้อง ละอกุศล จนกระทั่งละแม้กุศลได้ จนกระทั่งละ ทั้งหมดไม่เกิดอีกเลย ทานมีอานิสงส์มาก แต่จาคะ ที่จะสละความติดข้อง ในทานมีบ้างหรือไม่ ติดข้องทุกอย่างทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าไม่ติด ก็ไม่เดือดร้อนเลย รู้ความจริง คือ ตามมีตามได้ ตามปัจจัย ก็คลายความ เดือดร้อนไปแล้ว ไม่รู้แล้วก็ติดข้อง ควรสละ แต่ที่จะสละความไม่รู้และ ติดข้องได้ต้องด้วยปัญญาเท่านั้น

๒๐. ปัญญาสมบัติ และจาคสมบัติ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมด้วยปัญญาสมบัติ และจาคสมบัติ ถ้าไม่มี ปัญญาจะแสดงธรรมให้คนอื่นเห็นถูกไม่ได้ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ สละ ทุกอย่างเพื่อประโยชน์คนฟัง แม้อยู่ไกลแสนไกล โรงของนายช่างหม้อที่ปฏิกูล ก็ไม่สำคัญ แต่ทรงอนุเคราะห์สละ เพื่อประโยชน์แก่บุคคลนั้นฟังเข้าใจถูก เพื่อละความไม่รู้ ละความเห็นผิด และละอกุศลธรรมประการอื่น ๆ

๒๑. การสละทรัพย์ ยากหรือง่าย เพียงคิด พูดออกมายังยาก พูดแล้วบางครั้งยังเปลี่ยนใจบ้าง ลืมบ้างแล้วก็ไม่ได้ให้ แล้วเมื่อให้แล้วก็ยังเสียดายในสิ่งที่ให้ ที่จะไม่เสียดายเลยก็ยิ่งยาก ที่ยากทั้งหมด ก็เพราะกิเลสมาก เพราะสะสมมาที่ไม่รู้ประโยชน์ของกุศล ด้วยอกุศลคือ ความเป็นเรา

๒๒. การสละความไม่รู้ ที่จะสละความไม่รู้ได้ต้องเป็นปัญญาอย่างเดียว ถ้าไม่มีปัญญา สละอะไรก็ไม่ได้ เพียงให้ ก็ไม่ใช่จาคะ

๒๓. ความเข้าใจและเรื่องราวของธรรม การพูดถึงเรื่องราวของธรรมมาก ไม่สำคัญเท่ากับ ขณะที่ธรรมกำลังปรากฏให้เห็น ให้ได้ยิน แล้วมีความเข้าใจสิ่งนั้นชัดเจนขึ้น

๒๔. การสละได้โดยตลอดเกิดได้อย่างไร ต้องเป็นผู้ตรงว่าฟังวันนี้ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เพิ่มจากวันก่อนน้อยมาก ไม่ใช่เรื่องทันที แต่ที่จะฟังเข้าใจสละได้โดยตลอด ต้องตามกำลังความเข้าใจถูก ศรัทธาฟังธรรม เข้าใจธรรม ซึ่งค่อยๆเพิ่มขึ้น เป็นผู้ไม่ประมาท

๒๕. ปัญญาที่เจริญขึ้นเพื่อสละอกุศล มีศรัทธา มีศีล ต้องมีสุตะด้วย จึงมีจาคะที่สละอกุศลได้ เพราะความติดข้องพอใจ หลั่งไหลมา กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มหาศาลเพียงใด ปัญญาก็ค่อย ๆ สามารถเห็นถูกตามความเป็นจริง ได้ว่าอกุศลไม่ควรเจริญ กุศลควรเจริญ เมื่อกุศลเจริญขึ้น ก็เป็นการสละอกุศลด้วยปัญญา

๒๖. ประโยชน์ของการฟัง เรื่อง ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ประโยชน์ คือ เมื่อฟังแล้ว วันนี้รู้จักตนเอง คือ ธรรมที่เกิดกับตนตามที่ได้สะสมมา ซึ่งไม่ว่าอะไรจะเกิดแต่ละหนึ่งขณะอย่างรวดเร็ว แล้วก็ดับไป ก็มีเหตุปัจจัยให้เป็น อย่างนั้น ฟังเรื่องศรัทธาก็รู้ศรัทธาตนเองว่าน้อยหรือมาก ศีลที่แม้ไม่ต้องถึงใจ ทางกาย ทางวาจาวันนี้น้อยหรือมาก รู้จักธรรม เมื่อธรรมนั้นเกิดขึ้นจึงรู้ตาม ความเป็นจริงได้ เข้าใจถูกต้องว่ากุศลมาก หรือน้อย อะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่ เป็นประโยชน์ ที่จะสะสมกุศลทั้งหลายให้เจริญยิ่งขึ้น หากปราศจากปัญญา เป็นไปไม่ได้ ข้อความเตือนสติจากบทสนทนาอื่นที่ได้รับประโยชน์ในชั่วโมงพระสูตร

๒๗. แข็งที่ปรากฏขณะหลงลืมสติ และขณะมีสติ ขณะที่กำลังรู้ว่าแข็ง แต่ไม่มีความเข้าใจถูกต้องว่าขณะนั้นกำลังรู้ลักษณะของธรรม เพียงแต่กล่าวตามได้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม และแข็งเป็นธรรม แต่กำลังกระทบแข็ง ที่ปรากฏจริง ๆ ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรื่องที่จะมีตัวตนไปสังเกตสำเหนียก แต่เป็น ความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น เป็นปัญญาที่ต่างจากการหลงลืมสติ และไม่ว่าสติเกิด หรือไม่เกิดแข็งก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงลักษณะ แต่เป็นปัญญาความเข้าใจที่จะทราบ ความต่างว่าสติสัมปชัญญะรู้แข็ง หรือมีแต่แข็งปรากฏ แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม

๒๘. ถ้าฟังเพื่อเราพยายามนั้น การฟังเป็นโมฆะ การฟังธรรมทั้งหมดก็เพื่อความเข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อเราพยายาม นั้นคือ ลืมว่า เป็นธรรม ที่ฟังว่าทุกอย่างเป็นธรรม ก็เป็นโมฆะทั้งหมด เพราะถูกลบล้างด้วย อวิชชาที่ถือมั่นโดยความเป็นเรา แต่ที่ถูกคือ เข้าใจยิ่งขึ้น จนกระทั่งคล้อยตาม ความจริง น้อมไปสู่ความจริงว่า ทุกอย่างที่ปรากฏ แม้เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม


<table class="maeva" cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" style="width: 800px" id="sae1"> <tr><td style="width: 800px; height: 576px" colspan="2" id="saeva1"><script type="text/javascript"><!-- // --><![CDATA[ var oldLoad = window.onload; window.onload = function() { if (typeof(oldLoad) == "function") oldLoad(); if (typeof(aevacopy) == "function") aevacopy(); } // ]]></script><embed type="application/x-mplayer2" src="http://www.se-ed.com/ads/pr/sile/song/09.%20Track%209.wma" width="800px" height="576px" wmode="transparent" quality="high" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="never" ShowControls="True" autostart="false" autoplay="false" /></td></tr> <tr><td class="aeva_t"><a href="http://www.se-ed.com/ads/pr/sile/song/09.%20Track%209.wma" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.se-ed.com/ads/pr/sile/song/09.%20Track%209.wma</a></td><td class="aeva_q" id="aqc1"></td></tr></table>

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 มกราคม 2555 19:33:08 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.466 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 04 กันยายน 2566 20:12:25