[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
16 พฤษภาคม 2567 07:06:12 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
กระบวนการ NEW AGE


.:::

จิตวิวัฒน์คืออะไร? จิตวิวัฒน์กำลังจะบอกอะไร? แล้วเกี่ยวข้องอย่างไรกับสึนามิ?

:::.
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: จิตวิวัฒน์คืออะไร? จิตวิวัฒน์กำลังจะบอกอะไร? แล้วเกี่ยวข้องอย่างไรกับสึนามิ?  (อ่าน 1468 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553 16:08:46 »

จิตวิวัฒน์คืออะไร? จิตวิวัฒน์กำลังจะบอกอะไร? แล้วเกี่ยวข้องอย่างไรกับสึนามิ?

สรยุทธ รัตนพจนารถ

 

จิตวิวัฒน์ ทำให้การอยู่ร่วมกันของมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติมีได้อย่างสันติ ทำให้มนุษย์เห็นคุณค่าของคนรอบข้าง เห็นความงามของทุกสิ่งรอบตัว เมื่อนั้นเราจึงจะก้าวข้ามความคิดคับแคบที่เคยมองโลก นำไปสู่การแก้วิกฤตต่างๆ ที่โลกเผชิญอยู่ที่ต้นเหตุของปัญหา โดยอยู่บนพื้นฐานของความรักและความเคารพในกันและกัน ทั้งกับเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติ


บอกเล่ากันในภาษาชาวบ้านที่สุดนั้น "จิตวิวัฒน์" เชื่อว่า

1) มนุษย์ได้เดินมาถึงทาง (ที่ต้อง) เลือกแล้ว

2) เพราะอะไร?

เหตุผลประการแรก คือ เพราะสถานการณ์ทำให้เราต้องเลือก

สถานการณ์ในโลกปัจจุบันนั้นไม่ได้ ""กำลังเข้าสู่วิกฤต"" เพราะเราเข้ามาอยู่ในสถานการณ์วิกฤตนานแล้ว ไม่ว่าจะมองไปด้านใดล้วนแล้วแต่มีระเบิดเวลาที่รอเวลาจะระเบิดทั้งสิ้น ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่วิกฤตระดับประเทศหรือภูมิภาค แต่เป็นวิกฤตของมนุษยชาติโดยรวมทั้งหมด

ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ปรากฏการณ์เรือนกระจก ทำให้โลกร้อนขึ้น น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลาย ชาวเอสกิโมจำนวนมากเสียชีวิตจากการตกทะลุลงไปในพื้นที่บางลง ธารน้ำแข็งที่ปกคลุมเทือกเขาแอลป์ในยุโรปตอนกลางมีพื้นที่ลดลงถึงหนึ่งในสามและขนาดลดลงถึงครึ่งหนึ่ง น้ำแข็งที่ละลายเหล่านี้หายไปไหน? น้ำที่ละลายเหล่านี้ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น คาดการณ์กันว่าประเทศและเมืองชายทะเลจะประสบปัญหาอย่างรุนแรง บังกลาเทศจะสูญเสียพื้นที่ถึงหนึ่งในสี่ และต้องอพยพพลเมืองหลายล้านคน เมืองอย่างกรุงเทพฯจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

ฤดูกาลต่างๆ ผิดเพี้ยนไปจากเดิมอย่างไม่สามารถคาดเดาได้ เดี๋ยวนี้เมืองไทยมีฝนตกได้เกือบทุกเดือน เมื่อเดือนมกราคม 2548 หิมะตกที่รัฐอินเดียน่าของสหรัฐอเมริกาวันเดียวสูงกว่าสถิติหิมะทั้งปี เมื่อฤดูร้อนปี 2546 คลื่นความร้อนได้คร่าชีวิตชาวฝรั่งเศสที่เป็นประเทศที่เจริญทางด้านวัตถุอย่างมากถึงหนึ่งหมื่นห้าพันคน

ไม่เพียงแต่วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน ความรุนแรงขัดแย้งระหว่างศาสนา ระหว่างชนเผ่า ระหว่างรัฐกับประชาชน กำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างน่าตกใจ ทั้งในระดับโลก ระดับประเทศ หรือแม้กระทั่งระดับท้องถิ่น

โรคระบาดต่างๆ ก็มีทีท่าว่าจะรุนแรงมากขึ้น นักวิชาการหลายท่านคาดว่าไข้หวัดนกจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง อาจมีผู้เสียชีวิตถึงสามล้านคน

เหตุผลที่สอง คือ สถานการณ์เหล่านี้ ปัญหาเหล่านี้ แม้มีส่วนที่เป็นเรื่องทางเทคนิค แต่มีรากเหง้ามาจาก "วิธีคิด" การมอง และการแก้ปัญหา

เราอาจพูดว่าปัญหาความรุนแรงต้องใช้มาตรการทางกฎหมายและการปกครองเข้าแก้ไข เราอาจเสนอทางออกให้ลดปัญหาภาวะโลกร้อนได้ด้วยการพยายามใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบใหม่ เราอาจพัฒนาระบบเตือนภัยเพื่อป้องกันหายนภัยจากธรรมชาติ แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาในเชิงเทคนิค ซึ่งบ้างไม่สามารถแก้ปัญหาได้ บ้างก็ก่อให้เกิดปัญหาใหม่ตามมา

ที่มาหรือรากเหง้าของปัญหาอยู่ที่ "วิธีคิด" ของเราในการมองโลกและชีวิตอย่างคับแคบแยกส่วน สังคมส่วนใหญ่ รวมถึงนักวิชาการด้วย ยังเห็นว่าโลกเป็นเพียงแหล่งทรัพยากรที่ใช้ไม่มีวันหมดสิ้น เชื่อว่าการดำรงอยู่ร่วมกันของมนุษยชาติอยู่บนพื้นฐานการแข่งขันอย่างเสรี โลกทรรศน์เหล่านี้เป็นทั้งที่มาของปัญหา ที่มาของวิธีคิดที่ใช้มองและแก้ปัญหาเดียวกัน ซึ่งทำให้เป็นงูกินหางไม่รู้จบ

เป็นที่ยอมรับกันมากขึ้นว่าความรู้วิทยาศาสตร์กระแสหลัก ที่นำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุแต่อย่างเดียวนั้นไม่สามารถใช้ในการสร้างทางออกที่ยั่งยืนได้ ดังที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า "ถ้ามนุษยชาติจะอยู่รอดได้ ต้องการวิถีคิดใหม่โดยสิ้นเชิง"

เหตุผลที่สาม คือ เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ การวิวัฒนาการทางกายนั้นช้า มันไม่ทันการณ์แล้ว ภายใต้วิกฤตต่างๆ ที่ก่อตัวและทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะนี้ มนุษย์ในฐานะสิ่งมีชีวิตนั้นไม่สามารถมีวิวัฒนาการทางกายเปลี่ยนแปลงไปได้ทัน เราไม่มีเวลาที่จะรอกระบวนการวิวัฒนาการที่อาศัยเวลาเป็นหมื่นเป็นแสนปีแล้ว มนุษยชาติได้เดินทางมาถึงทางแพร่งที่ต้องเลือกแล้ว

3) เลือกอะไร?

ทางเลือกของเรา คือ เลือกที่จะเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเราตระหนักถึงปัญหาและวิกฤตตรงหน้า หรือเลือกที่จะไม่ทำอะไรและไม่พยายามจะเปลี่ยนแปลงอะไรเลย

หากเราเลือกที่จะทนกับสภาพสังคม สิ่งแวดล้อมเช่นปัจจุบันแบบนี้ต่อไป เลือกที่จะเพิกเฉยต่อข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จำนวนมาก สัญญาณหายนะต่างๆ นับไม่ถ้วน ที่สุดแล้วเราจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่บังคับให้เราต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอยู่ดี แถมยังเจ็บปวดอย่างยิ่งอีกด้วย

หรือหากเราเลือกที่จะรีบเรียนรู้ เราเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เจ็บปวดบ้างไม่มากนัก และเกิด "จิตวิวัฒน์" เราได้เลือกที่จะเผชิญหน้าปัญหา หาทางรอดให้กับมนุษยชาติ โดยใช้ปัญญา นอกกรอบวิธีคิดแบบเดิมๆ ที่ผ่านมา

4) เกิด "จิตวิวัฒน์" หมายถึงอะไร?

การวิวัฒนาการทางกายของมนุษย์นั้นไม่ทันกับวิกฤตที่อยู่เบื้องหน้าแล้ว ทางออก ทางรอดของมนุษยชาติจึงอยู่ที่การเปลี่ยนจากการมองโลกแบบแยกส่วน เน้นวัตถุและความแน่นอน มาสู่การมองโลกและชีวิตอย่างเป็นองค์รวม เน้นจิตใจและความสัมพันธ์ และการที่สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

จิตวิวัฒน์ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงระดับขั้นพื้นฐานของจิตใจ จิตวิญญาณ จากจิตเล็กไปสู่จิตใหญ่ หรือ จิตสำนึกใหม่ (New Consciousness) จากความคับแคบของตัวเองไปสู่จิตที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ

จิตเล็ก คือ ความรู้สึกนึกคิดที่แคบๆ เห็นอะไรแต่เพียงบางส่วน ทำให้เกิดความบีบคั้นเพราะขัดแย้งกับธรรมชาติ ส่วนจิตใหญ่ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิดที่มีพื้นที่กว้างขวาง มองเห็นเชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชีวิตและธรรมชาติ เห็นค่าของผืนดินที่เราอาศัยและเติบโต รวมถึงสายน้ำที่เราได้ใช้หล่อเลี้ยงชีวิต ตลอดจนสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ล้วนส่งผลซึ่งกันและกันอย่างแยกขาดกันไม่ได้

จิตวิวัฒน์ ทำให้การอยู่ร่วมกันของมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติมีได้อย่างสันติ ทำให้มนุษย์เห็นคุณค่าของคนรอบข้าง เห็นความงามของทุกสิ่งรอบตัว เมื่อนั้นเราจึงจะก้าวข้ามความคิดคับแคบที่เคยมองโลก นำไปสู่การแก้วิกฤตต่างๆ ที่โลกเผชิญอยู่ที่ต้นเหตุของปัญหา โดยอยู่บนพื้นฐานของความรักและความเคารพในกันและกัน ทั้งกับเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติ

กระบวนการในการเข้าถึงการมีจิตใหญ่นั้นมีมากมาย หลากหลาย เช่น ขยายขอบเขตของการรับรู้ผ่านกระบวนการทางศิลปะ ผ่านการเจริญสติ ผ่านงานอาสาสมัคร หรือการเข้าถึงธรรมชาติ เป็นต้น ขณะนี้ทั่วโลกกำลังเกิดกระแสความพยายามที่จะขยายขอบเขตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันออกไปอย่างกว้างขวาง

5) ย้ำอีกทีว่า ... เราไม่เปลี่ยนไม่ได้แล้ว และการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เจ็บปวดเลยนั้นไม่มี

6) แล้ว คลื่นยักษ์จากอันดามัน บอกอะไรกับเรา?

สึนามิบอกเราดังข้อ 1 ถึง 5 ข้างต้นนั่นเอง!
1) สึนามิบอกเราว่าพวกเราได้เดินมาถึงทางที่ต้องเลือกแล้ว

2) สึนามิบอกเราว่าที่เราต้องเลือก เพราะ เรากำลังอยู่ท่ามกลางวิกฤต วิกฤตทาง "วิธีคิด" ไม่ใช่ปัญหาแค่ระดับทางเทคนิค และเป็นวิกฤตที่มนุษย์รอการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายไม่ทันแล้ว สึนามิชี้ให้เห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นได้ในพริบตา เห็นถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิต

3) สึนามิบอกเราว่าเราสามารถเลือกได้ว่าจะเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของเราตั้งแต่วันนี้ หรือจะทนเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนภัย เสมือนเสียงไซเรนที่อยู่เบื้องหน้า เราเลือกได้ว่าจะยังคงมองปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นต่างๆ ด้วยชุดความคิดเดิม หรือจะเกิด "จิตวิวัฒน์"

4) สึนามิบอกเราว่าในท่ามกลางความทุกข์แสนสาหัสที่เกิดขึ้น โอกาสแห่งการเติบโต เรียนรู้นั้นอยู่คู่เคียงกัน สึนามิได้แสดงให้เห็นถึงโอกาสแห่งการเกิดจิตวิวัฒน์ การก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวตนไปสู่การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ผ่านรูปธรรมตัวอย่างที่มากมาย เช่น การหลั่งไหลมาของคลื่นพลังน้ำใจอันมหาศาลของมนุษย์ที่หลั่งไหลมาอย่างมากมาย การแสดงตนของอาสาสมัครทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ผิวพรรณ วรรณะ ที่สำคัญสึนามิยังแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเจริญสติว่าเป็นรากฐานของสุขภาวะทางจิตวิญญาณอย่างยิ่ง เป็นหัวใจของการมีจิตใหญ่ มีความรักแท้ที่ยิ่งใหญ่ ที่เชื่อมโยงถึงเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ สรรพสัตว์นานา และธรรมชาติทั้งหมด

และท้ายที่สุด 5) นอกจากสึนามิจะบอกเราว่าเราไม่เปลี่ยนไม่ได้แล้ว อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เจ็บปวดเลยจะไม่มีก็ตาม สึนามิ (และกลุ่มจิตวิวัฒน์) ก็ยังชี้ให้เราเห็นถึง ความจริง ความดี ความงาม และ ความหวังของมนุษยชาติ ที่ยังมีอยู่ด้วยเช่นกัน


กลุ่มจิตวิวัฒน์
โครงการจิตวิวัฒน์ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) NewConsciousness@thainhf.org
ตีพิมพ์ในมติชนรายวัน 19 ก.พ. 2548



http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=inthedark&month=20-04-2007&group=5&gblog=7

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.398 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 26 มีนาคม 2567 07:41:49