[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
05 พฤษภาคม 2567 16:02:55 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ใบไม้ไหวที่บ้านกร่าง-แก่งกระจาน : เยือนโลกคนรักนก  (อ่าน 6550 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1021


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 39.0.2171.95 Chrome 39.0.2171.95


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 26 ธันวาคม 2557 16:15:04 »

.





ใบไม้ไหวที่บ้านกร่าง-แก่งกระจาน : เยือนโลกคนรักนก

ฉันนอนแผ่หราอยู่บนเปลยวนของใครสักคนใต้หมู่ต้นหว้าใหญ่ มองลำต้นสูงเอนไหวไปตามละรอกลมยามบ่ายอย่างเพลินเพลินอยู่นาน ด้วยฉวยโอกาสที่เจ้าของทำเลไม่เข้ามาว่าอะไร เหนือเปลยวนขึ้นไปตามกิ่ง ก้าน และใบโปร่งๆ มีหมู่นกป่าเล็กๆนานาชนิดพากันยกโขยงมาลิ้มรสผลหว้าสุกสีม่วงอมแดง บ้างก็ส่งเสียงเรียกคู่ให้มาเกาะอยู่ที่กิ่งใกล้ๆ บ้างก็ตั้งหน้าตั้งตาจิกกินผลหว้าอย่างไม่สนใจใคร บ้างก็มาอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวและจากไปเงียบๆเมื่อกินอิ่ม ในบรรดาพวกสองขาบินได้ มีเจ้ากระเล็นที่หน้าตาคล้ายกระรอกแต่ตัวเล็กกว่าแฝงตัวอยู่ด้วย มันกำลังกระโดดจากกิ่งหนึ่งไปยังอีกกิ่งด้วยท่าทางซุกซน …ใจหนึ่งฉันก็แอบภาวนาให้ระบบย่อยน้อยๆ ของพวกมันไม่ทำงานดีเกินไปนัก…

ไม่น่าเชื่อว่าความโกลาหลของ ‘พวกข้างบน ’ จะเกิดขึ้นด้านหน้าที่ทำการบ้านกร่างแคมป์ ซึ่งยามนี้ใครหลายคนจอดรถพักผ่อน กินข้าวกลางวันหลังลงมาจากพะเนินทุ่ง หรือบางกลุ่มก็กำลังปรึกษากันว่าจะขึ้นไปยังกิโลเมตรที่เท่าไหร่ดี รวมๆแล้ว เอาเป็นว่ามีมนุษย์มากหน้าหลายตารวมหัวกันอยู่ในที่ๆ แสนจะพลุกพล่านนี่ และฉันเองก็ไม่คิดมาก่อนว่าเราจะพบนกป่าปราดเปรียวแสนขี้อายบินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือโต๊ะกินข้าวกลางวันของเรา ที่ไม่น่าเชื่อไปกว่านั้นคือนกที่หลายๆ คนไม่ได้ยลโฉมจากบนภูเขา คิดว่ามาครั้งนี้คงคว้าน้ำเหลวแน่ๆ แต่กลับได้มาเห็นกันใต้ร่มต้นหว้านี่เอง หันมาทาง ‘ภาคพื้นดิน’บ้าง ฉันทันเห็นภาพหนุ่มใหญ่คนหนึ่งลุกพรวดขึ้นกลางวงสนทนาอย่างกะทันหัน เขาคว้าเลนส์ยักษ์ที่ดูยังไงก็เหมือนกระบอกปืนใหญ่มากกว่า ประกอบเข้ากับตัวกล้องถ่ายรูปที่มีความยาวไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนหกของเลนส์อย่างชำนาญ จากนั้นก็ส่องลำกล้องไปทางเจ้านกพญาปากกว้างท้องแดงคู่รักอย่างตั้งอกตั้งใจ หรือจะเป็นภาพหนุ่มน้อยร่างท้วม ที่เพิ่งจะเข้าร่วมกลุ่มดูนกเป็นครั้งแรกกับกล้องถ่ายรูปในมือและท่าทางทะมัดทะแมง ไปๆ มาๆ เขาช่างดูจริงจังขึงขังกว่าหนุ่มใหญ่ข้างๆ เป็นกอง

และไม่ไกลจากจุดที่หนุ่มน้อยยืนอยู่ ภาพหนุ่มสาวกำลังขบขันกับท่าทางมูมมามของเจ้านกโพระดกหูเขียว พลางชี้ชวนกันบันทึกภาพบรรดา ‘ผู้มาเยือน’ …ไม่ใช่สิ…‘เจ้าของบ้าน’ ตัวจ้อย เอาไว้เป็นความทรงจำอันแสนพิเศษ ซึ่งฉันคิดว่ามันคงจะมีคุณค่ากับทั้งคู่ไปอีกนานแสนนาน …ไม่มีใครรู้ตัวเลยว่าฉันแอบสังเกตพวกเขาอยู่เงียบๆ แอบเอ็นดู หรือแอบขำขันใครบ้าง วินาทีนี้…ทุกคนคงได้ยินเพียงเสียงลั่นชัตเตอร์กล้องถ่ายรูป และเสียงลมหายใจของตัวเองเท่านั้น… …หายใจเข้า… …หายใจออก… ดูเหมือนว่า ยิ่งรถออฟโรด แลนด์โรเวอร์ ฟรีแลนเดอร์ทีดีโฟร์สีบรอนซ์เงินคันนี้ ยิ่งขับคดเคี้ยวไปตามถนนลูกรังแคบๆ โค้งชันขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะตอนที่ข้างหนึ่งของถนนเป็นผาสูง มองเห็นเทือกเขาสลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตาได้ชัดเจน ฉันก็ยิ่งได้ยินเสียงลมหายใจตัวเองชัดขึ้น…


นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาเยือนป่าแก่งกระจาน และเป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดปีที่ฉันพาตัวเองเข้าป่า…ฉันจำไม่ได้แล้วว่ากลิ่นอายของป่าเป็นยังไง แต่สี่ห้าปีมานี้ รู้สึกว่าป่าแก่งกระจานมักตกเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยครั้ง ล่าสุดเห็นจะเป็นเรื่องการหายตัวไปอย่างลึกลับของ ‘บิลลี่’ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยที่ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนของชาวพื้นเมือง พยานปากสำคัญในคดีที่ชาวบ้านยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานในข้อหาเข้ารื้อทำลาย เผาบ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวบ้านชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง ความรู้สึกของฉันต่อที่นี่จึงมีทั้งตื่นเต้น หวาดกลัว และคลางแคลงใจ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ตั้งใจเข้าไปในป่าลึก… จุดมุ่งหมายในการมาครั้งนี้ เพียงแค่ตาม ‘คนรักนก’ มาดูนก ก็เท่านั้น ‘พี่ว่าน’ กับ ‘พี่เอย’ หนุ่มสาวคนรักนก จากชมรมดูนก มหาวิทยาลัยศิลปากร พาคนอยากรักนกหนึ่งคนกับคนชอบเดินทางอีกหนึ่งคนออกจากบ้านมหาชัยตั้งแต่ตีสี่ บึ่งรถมายังอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ใช้เวลาราวสองชั่วโมงเศษ เพื่อมาตามหานกป่าหายากและนกตระกูลพญาปากกว้าง ที่ช่วงนี้ พวกมันจะจับคู่ผสมพันธุ์ แล้วลงจากภูเขามาทำรังใกล้ๆ ลำธารหรือแหล่งน้ำ อยู่ดูแลกันและกันไปจนกว่าลูกจะโต จากนั้นจึงพาครอบครัวเล็กๆ บินกลับขึ้นเขาไป

สรุปง่ายๆ คือช่วงนี้เป็นช่วงเดียวที่เราจะเห็นพวกมันได้ง่ายที่สุด เราเสียค่าเข้าคนละสี่สิบบาทบวกกับค่าขับรถเข้าอีกสามสิบบาท ฉันเพิ่งรู้ว่าทางเข้าอุทยานแห่งชาติใช้เส้นทางเดียวกับทางเข้าเขื่อนแก่งกระจาน และห่างจาก ‘สะพานปลาหมึก’ ที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะมาข้ามสักครั้ง (ตามรอย ‘พี่โชน’ กับ ‘น้ำ’ จากภาพยนตร์รักโรแมนติกเรื่อง ‘สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก’) ไปประมาณสามกิโลเมตร ซึ่งก่อนหน้านี้ฉันเข้าใจว่าเลยจากสะพานแขวนจะเป็นทางตัน อาจเพราะแต่ละครั้งที่มีโอกาสมาแก่งกระจานอยู่ในช่วงฤดูฝนที่ปิดป่าพอดีก็ได้ จากปากทางเข้าอุทยานไปยังบ้านกร่างไกลกว่าที่ฉันคิดไว้ ดูเหมือนจะประมาณสิบห้าหรือสิบหกกิโลเมตร แต่เราใช้เวลาเกือบชั่วโมง เพราะความ ‘หิน’ ของทางที่โค้งไปโค้งมาและลาดชันเป็นบางช่วง พอมาถึงบ้านกร่าง ผ่านจุดพักรถและตั้งแคมป์ขึ้นไปบนเขา ฉันก็พบว่าทางช่วงต้นเป็นเพียงด่านแรก ยังมีด่านต่อมาที่โหดกว่ารอเราอยู่ พี่ๆบอกว่าถนนเล็กๆ เส้นนี้จะไปสิ้นสุดที่ยอดเขาพะเนินทุ่งหรือกิโลใตรที่สามสิบห้า

จุดชมทะเลหมอกในช่วงฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน ราวต้นเดือนมีนาคม ธรรมดาเก้าโมงเช้าของต้นเดือนมิถุนายนน่าจะทำให้รู้สึกร้อนหากเราอยู่ท่ามกลางตึกรามบ้านช่องของมหานคร ยิ่งกว่านั้นฉันรู้สึกว่าคงมีใครปรับเครื่องปรับอากาศในรถให้อุณหภูมิต่ำลง แต่ไม่ใช่ กระจกรถเปิดขึ้นและเครื่องปรับอากาศในรถก็ถูกปิดไปครู่หนึ่งก่อนหน้า อากาศจริงๆ กำลังพัดปะทะใบหน้าฉันอยู่ จมูกฉันสูดเอาอากาศชื้นๆ เย็นๆ เข้าไปเต็มปอด จนรู้สึกว่าหัวโล่งและตัวลอย “นั่น กางเขนดง” เพียงแค่อะไรดำๆ โฉบผ่านหน้ารถไปอย่างรวดเร็ว คนรักนกก็รู้แล้วว่าเป็นนกชนิดใด ทั้งๆ ที่ต้องประคองพวงมาลัยรถและมองทางข้างหน้าอยู่ตลอด…ฉันเริ่มรู้สึกทึ่งกับโลกของคนรักนกตั้งแต่วินาทีนั้นเอง

ที่นี่เป็นป่าจริงๆ ที่มีเก้งเดินเล่นอยู่ริมถนนลูกรังแคบๆ มีค่างแว่นโหนไปโหนมาอยู่บนยอดไม้สูงลิบ และมีทากที่ดูดเลือดคนได้ มีนกป่าแสนเปรียวบินโฉบไปมา ไม่ใช่ป่าแห้งแล้งเหมือนตอนไปเข้าค่ายลูกเสือยุวกาชาดสมัยมัธยมหรือป่าสนทิวสวยที่บ่าวสาวชอบไปถ่ายรูปพรีเว้ดดิ้ง มันเป็นความเรียบง่ายที่จัดสรรโดยธรรมชาติ อยู่นอกเหนือระบบระเบียบที่มนุษย์มักเข้าไปบงการ สัมผัสแรกที่เท้าของฉันแตะพื้นลูกรังแข็งๆหลังลงมาจากรถ ไม่ต่างอะไรกับตอนที่เท้าสัมผัสพื้นคอนกรีตธรรมดา มันไม่ใช่สัมผัสที่ซับซ้อน หวือหวาเหมือนในละคร เวลาที่นางเอกเข้าป่าปุ๊บก็จะรู้สึกราวกับทุกอย่างมันวิเศษไปหมด ป่าก็ยังเป็นป่า ฉันก็ยังเป็นฉัน แต่ช่องว่างระหว่างตัวฉันกับบรรยากาศได้เปลี่ยนไป เหมือนป่ากำลังโอบกอดฉันและทุกคนไว้ด้วยผ้าห่มเย็นชื้นผืนมหึมา ตอนนี้เหมือนทุกคนกำลังตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง แม้แต่คนอยากรักนก เขากำลังเดินไปเดินมาท่ามกลางความเงียบ หามุมที่ถูกใจก่อนจะลั่นชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปในมือ ส่วนพี่ๆ คนรักนกยังคงใช้ความเงียบสงบสยบบรรยากาศรอบๆ ตัว พลางจับจ้องไปตามกิ่งก้านสาขาไม้ใหญ่อยู่นานสองนาน…

วูบหนึ่งฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่นี่เพียงลำพังท่ามกลางลมเย็น ผืนป่า แดดเช้า และความเงียบงัน… “นกๆ” คนรักนกเอ่ยขึ้นเบาๆ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ดูเหมือนเขาพอใจจะส่งภาษามือมากกว่าส่งเสียง เขาชี้ไปทางยอดไม้สูงข้างทาง แล้วยื่นกล้องส่องทางไกลมาให้ฉัน ใช้เวลาอึดใจหนึ่งยาวๆ กว่าฉันจะมองเห็นนกหัวขวานเขียวหัวดำที่แฝงตัวอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ไม่ไกลจากกิ่งที่ค่างแว่นครอบครัวเล็กกำลังห้อยโหนชุลมุนกันอยู่ นกพญาปากกว้างตัวแรกที่เราเจออยู่ตรงกิโลเมตรที่ยี่สิบเอ็ด มันคือนกพญาปากกว้างอกสีเงิน เป็นนกตัวเล็กๆ ขนาดใกล้เคียงกับนกกระจอก ขนหลังสีเหลืองอมส้ม ปีกสีน้ำเงินแซมฟ้า ส่วนปากของมันก็ไม่ได้กว้างอย่างชื่อและเหมือนที่ฉันจินตนาการเอาไว้ เจ้าตัวเล็กเกาะอยู่บนกิ่งไผ่โค้งๆเหนือถนนที่รถเราต้องขับผ่าน คนรักนกยังคงตาไวตามเคย เพราะเห็นก่อนใคร ส่วนคนอยากรักนกดูตื่นเต้นกระดี๊กระด๊าเป็นที่สุด

เราหยุดรถอยู่ครู่หนึ่งก็มี ‘อกเงิน’ อีกตัว มาเกาะบนกิ่งเดียวกัน พี่ๆ บอกว่า ถ้าอยากรู้ว่าตัวไหนเป็นตัวเมีย ให้ลองดูที่หน้าอก เพราะตัวเมียจะสวมสร้อยที่ตัวผู้ให้เป็นของขวัญ…นิทานหลอกๆ แต่แค่ฟังยังเริ่มหลงรัก นี่ยังไม่นับรวมพฤติกรรมช่วยเหลือดูแลกันและกันไปจนกระทั่งสิ้นสุดฤดูผสมพันธุ์ เรียกว่าอีกตัวอยู่ไหนอีกตัวก็จะตามติดไปด้วยเป็นเงาตามตัว …อย่าว่าแต่คนอยากรักนกเลย คนชอบเดินทางก็ดูเหมือนจะเริ่มหลงนกขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน เราหยุดรถครั้งสุดท้ายตรงกิโลเมตรยี่สิบเจ็ดก่อนวกกลับ เพื่อไปเดินตามหานกพญาปากกว้างหางยาว เดินวนอยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นวี่แววของมัน เหลือเพียงรังก้อนหญ้าแห้งๆ สีคล้ำห้อยจากกิ่งไม้โค้งๆ คล้ายกับรังของนกพญาปากกว้างอกสีเงิน แต่สภาพเก่าและลีบกว่าไว้ให้ดูต่างหน้า คนรักนกและคนอยากรักนกออกอาการเสียดายขึ้นมาครามครัน ส่วนคนชอบเดินทางกลับเอาแต่ดื่มด่ำกับบรรยากาศกลางหุบเขา(ที่มีเสียงชะนีและนกป่าร้องอยู่ไกลๆ) มองแนวป่าสุดตาที่อาบด้วยแสงเช้าสีเหลืองอ่อนจาง กระทั่งลืมสิ่งรอบข้างไปชั่วคราว… ท่ามกลางความเงียบของป่าที่ดูเผินๆ เหมือนไม่มีอะไร แท้จริง ป่ากำลังเคลื่อนไหวไปตามจังหวะของสายลมพริ้วแผ่ว คำพูดที่ว่าป่ามีชีวิตนั้นคงจะจริง เพียงแต่เราต้องมองด้วยความนิ่ง…ทั้งกายและใจ …ป่า…ฉัน…ฉันก็ยังเป็นฉันที่ตัวเล็กๆ  ขนาดราวหนึ่งในล้านล้านส่วนของป่าหรืออาจจะเล็กกว่านั้น ฉันกับป่า เราไม่ใช่กันและกัน แต่เรามีกลไกบางอย่างเกี่ยวข้องกัน อย่างลมหายใจ…บางครั้งเราหยิบยืมลมหายใจของกันและกัน ป่าหายใจออก ฉันยืมมาหายใจเข้า ฉันหายใจออก ป่าก็ยืมไปหายใจเข้า ไม่น่าเชื่อว่าการรู้สึกตัวว่าเป็นมนุษย์เล็กๆไม่ได้สลักสำคัญหรือวิเศษวิโสมาจากไหน ก็ทำมีความสุขได้ ไม่แพ้การวิ่งเข้าหาความสำเร็จแบบผู้ยิ่งใหญ่


จู่ๆ เสียงแกรกกรากก็ดังขึ้นใกล้ๆ กับดงกล้วยป่าแถวหน้าผา คราวนี้คนรักนกโวยวาย “ช้างรึเปล่า” ทำเอาฉันตกใจตาม เมื่อดูจนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตงวงยาวๆ งาโง้งๆ แฝงตัวอยู่ในดงกล้วยป่า คนรักนกจึงถอนหายใจโล่งอก ฉันเองก็พอจะเคยได้ยินความร้ายกาจของช้างป่ามาเหมือนกัน ชาวป่าเมืองกาญจน์คนหนึ่งเคยสอนว่าถ้าเจอช้างป่าให้วิ่งไม่คิดชีวิตไปทางทิศใต้ลม ห้ามวิ่งไปทางเหนือลมเด็ดขาดเพราะช้างตามกลิ่นได้ หรือไม่ก็หาที่ซ่อนตัวแคบๆ อย่างเช่นป่าไผ่หรือโพรงไม้( ที่แน่ใจว่าแข็งแรงพอทานแรงช้าง) แต่ฉันขอภาวนาอย่าให้ได้นำความรู้ข้อนี้มาใช้จริงจะเป็นการดีกว่า ลมเย็นพัดโชยมาวูบใหญ่ คราวนี้เสียงแกรกกรากดังมากขึ้นกว่าเดิม เป็นข้อเฉลยว่าเสียงนั้นเกิดจากแรงลมทำให้ต้นกล้วยโยกไหว จนหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่ตามใบร่วงกระทบใบที่อยู่ต่ำลงมา…เป็นเสียงใบไม้ไหว… เราไม่ได้ขึ้นไปถึงพะเนินทุ่ง แต่เดินเล่นอยู่แถวกิโลเมตรที่ยี่สิบเจ็ดจนราวสิบโมงกว่า พี่ๆ จึงพาเราลงมาที่ลำธารสอง บอกกับเราเรียบๆ ว่า ยังมีนกอีกตัวที่เราต้องไปทักทาย พี่ว่านจอดรถไว้ริมทางหนึ่ง ข้างออฟโรดสีขาวคันโตที่จอดอยู่ก่อน พอเราลงรถพี่เอยก็ยื่นถุงผ้าลายพรางให้คนอยากรักนกและคนชอบเดินทางรับผิดชอบร่วมกันหนึ่งใบ จากนั้นก็พาเราเดินเลียบธารน้ำเล็กๆ เข้าไปในป่า ไม่ไกลจากที่จอดรถไว้นัก เราหยุดเดินเมื่อเห็นหนุ่มใหญ่คนหนึ่งกำลังนั่งเงียบๆ อยู่ในเต็นท์ผ้าลายเดียวันกกับถุงผ้าของเรา กลมกลืนกับสีใบไม้ใบหญ้ารอบข้าง ตรงหน้าเขามีขาตั้งค้ำน้ำหนักกล้องถ่ายรูปประกอบเลนส์ตัวยาว ซึ่งทั้งคนทั้งกล้องอยู่ในอิริยาบถพร้อมกดชัตเตอร์ตลอดเวลา เขายิ้มให้เราอย่างเป็นมิตร ทักทายเราด้วยเสียงเบาเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นเสียงพูด พร้อมกับช่วยจัดแจงหาที่ทางให้เราปักหลัก ฉันกับคนอยากรักนกช่วยกันกางเต็นท์ลายพรางไม่มีพื้น ซึ่งพี่ๆ เรียกมันว่า ‘บังไพร’ ก่อนจะเข้าไปจับจองพื้นที่ของตัวเอง โชคดีที่บังไพรเป็นเต็นท์สำเร็จรูป เราจึงกางมันได้ง่ายกว่าที่คิด

เหตุผลที่เราต้องใช้บังไพร อยู่บนกิ่งไม้เหนือลำธารที่มีกระแสความชุ่มชื้นแผ่ออกมาตลอดเวลา ก้อนหญ้าขนาดเล็กที่บรรจุสิ่งมีชีวิตตัวเล็กยิ่งกว่า ดูบอบบางขึ้นเมื่อมันโยกไหวไปตามลมอ่อนๆ คนรักนกบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่จิตใจพ่อแม่นกเปราะบาง ความหวาดระแวงและความสามารถในการสัมผัสถึงอันตรายก็มีมากขึ้นเมื่อมันต้องระวังภัยให้ลูก เหมือนเวลาที่เรามีเรื่องต้องกังวล พอมีเรื่องอื่นๆ เข้ามากระทบใจ มันก็สะสมเป็นความเครียด จนทำให้เราอาจตัดสินใจทำอะไรที่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง ซึ่งนกก็เช่นเดียวกัน ชีวิตของนกเล็กตัวหนึ่งอาจเปลี่ยนไปเลยหากเรายื่นจมูกเข้าไปยุ่ง เรานั่งเงียบ อยู่นาน…นานจนฉันถามตัวเองว่าต้องนั่งต่อไปอีกแค่ไหน ได้ยินเพียงเสียงนกร้องไกลๆ ไม่เห็นจะมีวี่แววของนกหรือสัตว์อื่นๆ ให้เห็น คนอยากรักนกกับคนชอบเดินทางก็เลยนั่งคุยกันแทน กระทั่งคนรักนกเต็นท์ติดกัน ต้องเตือนให้เงียบๆ คราวนี้เราเลยเงียบกันไปหมด นิ่งและนาน…จนฉันได้ยินเสียงลมหวิว เสียงกิ่งไม้ไหวเอน เสียงใบไม้เคลื่อนไหวล้อลม ได้ยินเสียงลมหายใจเข้า ลมหายใจออก รับรู้กระทั่งเสียงหัวใจตัวเองสูบฉีดเลือด เสียงนกร้องไกลๆ ดังมาจากตรงที่บังไพรของเรามองไปไม่ถึง มันเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับไม่ปรากฏกาย เหมือนมันร้องว่า ‘แต้วแล้ว’ แต่ไม่รู้ว่าจะใช่นกแต้วแล้วหรือไม่ จากนั้นมันก็เงียบหายไปอีกครั้ง


เรารอแล้วรอเล่า มันก็ไม่กลับมา …อีกครู่ใหญ่ฉันกับคนอยากรักนกจึงผลัดกันสัปหงกคนละรอบสองรอบ ต่างคนต่างแอบขำกันและกัน… มีความเคลื่อนไหวบนเถาวัลย์เหนือลำธารตอนที่ฉันถามตัวเองว่าเราจะต้องรออีกนานแค่ไหน เป็นรอบที่สองร้อยพอดีหลังจากหาวหวอดโต คนอยากรักนกสะกิดคนชอบเดินทางอย่างตื่นเต้น พร้อมกับชี้ไปทางซ้ายของบังไพร คราวนี้คนชอบเดินทางหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เมื่อมองเห็นนกพญาปากกว้างอกสีเงินคู่หนึ่งเกาะเคียงข้างกันบนเถาวัลย์โค้งเตี้ยๆ เหนือลำธารในระยะที่มองด้วยตาเปล่าก็เห็น พวกมันเกาะอยู่นานจนเรามีเวลาสังเกตว่าตัวไหนเป็นตัวเมียที่กำลังสวมสร้อยคอ แต่เจ้าสองตัวนี้ไม่ใช่ ‘ท๊อปฟอร์ม’ ไม่นานหลังจากเจ้าอกสีเงินคู่รักพากันบินจากไป ฟินาเล่ก็บินมาหาเราโดยเราแทบไม่ได้เตรียมใจ มันปรากฏตัวอย่างรวดเร็วจนเราไม่ทันดูว่ามันมาจากทิศไหน เจ้าตัวจิ๋วฉวัดเฉวียนร่าเริง ดูท่าทางชอบเล่นน้ำเป็นชีวิตจิตใจ ฉันนั่งฟังเสียงรัวชัตเตอร์ดังต่อเนื่องจากบังไพรทั้งสามหลังจนเพลินไปเอง สลับกับท่าทางระริกระรี้แบบนกกระเต็นได้น้ำ ยิ่งดูก็ยิ่ง รู้สึกเหมือนกำลังเล่นน้ำเสียเอง คนรักนกคงปลื้มใจน่าดู เขาบอกเราตั้งแต่เมื่อคืนว่าวันนี้จะมาดู ‘กระเต็นน้อยสามนิ้วหลังดำ’ (ที่คงมีขนาดตัวสามนิ้วสมชื่อ) ให้ได้

ลำธารสองไม่ได้มีแค่นก…คนรักนกบอก ก่อนจะพาเราไปยังบริเวณที่ธารน้ำตัดผ่านถนน ผีเสื้อ…ผีเสื้อเต็มไปหมด ยิ่งกว่าเข้าไปในกรงตาข่ายของสวนผีเสื้อ พวกมันมีหลากสี หลายแบบ ชวนนึกถึงเสื้อผ้าติดแบรนด์บางยี่ห้อ ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมดีไซเนอร์เสื้อผ้าหลายคนถึงได้แรงบันดาลใจจากสีของแมงและแมลง ตอนนี้คนรักนกและคนอยากรักนก ผันตัวมาเป็นคนรักผีเสื้อเสียแล้ว ปล่อยให้คนชอบเดินทางกระโดดลงหลุมดำแห่งความคิดของตัวเองอีกครั้ง …แต่ละฤดูไม่เหมือนกันฉันใด ป่าก็ฉันนั้น สภาพอากาศที่แตกต่างได้ก่อกำเนิดสภาวะที่ทำให้ผลผลิตแห่งป่าแตกต่างตามไปด้วย อย่างตอนนี้ฤดูร้อน ถึงตาของนกป่าและมวลหมู่ผีเสื้อ… ภาพตอนเดินตามหลังคนรักนกแทรกขึ้นมาในหัว คนรักนก…ที่รับรู้ได้ทุกจังหวะไหวของใบไม้ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าทุกครั้งที่ลมพัดกรีดผิวใบไม้จนเกิดเสียงหวีดหวิวชวนวังเวงจะมีคุณค่าเช่นนี้ เพราะนั่นอาจหมายถึงนกป่าหรือตัวอะไรหนึ่งตัว เวลาเข้าป่าเราจำเป็นต้องสังเกตทุกครั้ง ไม่ใช่สังเกตเพียงเพื่อจะเก็บภาพอย่างเดียว แต่ต้องสังเกตเพื่อความปลอดภัยของตัวเองด้วย

จากมุมมองของคนไม่เคยดูนกมาก่อน คิดว่าการดูนกคงเหมือนการใช้ชีวิตสมถะที่ต้องโลภเป็นบางเวลา อย่างก่อนเราจะได้ยินเสียงใบไม้ไหว เราต้องปรับคลื่นให้ตรงกับป่าเสียก่อน เหมือนการใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน กลมกลืนกับธรรมชาติ แต่เมื่อเจอนก ก็ต้องรีบบันทึกภาพหรือเก็บรายละเอียดข้อมูล กอบโกยระยะเวลาช่วงสั้นๆ นั้นให้เกิดประโยชน์ที่สุด…นี่แหละความโลภที่ฉันหมายถึง เข้าทำนองไม่อยากได้แต่ถ้ามีให้ก็รีบคว้า “ทำไมถึงชอบดูนก” คำถามกระทบใจคนรักนกออกมาจากปากคนชอบเดินทางที่ดูเหมือนกำลังเหม่อลอย “แล้วมันดีไหมล่ะ ลองถามตัวเองดูสิ” คนฟังไม่เพียงรู้สึกว่าเป็นคำถามย้อนกลับ แต่รู้สึกว่าเป็นแรงผลักที่ทำให้ตกลงไปในห้วงความคิดของตัวเองอีกรอบ ทั้งที่เพิ่งตะเกียกตะกายขึ้นมาแท้ๆ …ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าทุกครั้งที่ลมพัดกรีดผิวใบไม้จนเกิดเสียงหวีดหวิวชวนวังเวงจะมีคุณค่าขนาดนี้…เพราะนั่นนอกจากจะหมายถึงนกหรือตัวอะไรหนึ่งตัว…แต่ยังหมายความว่าป่ายังเคลื่อนไหว ยังมีชีวิต มีลมหายใจ “เดี๋ยวเราลงไปกินข้าวตรงบ้านกร่างนะ” ได้ยินเสียงคนรักนกบอกเบาๆ




 sarakadee.com

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.499 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 30 มีนาคม 2567 16:48:10