หัวข้อ: คำทำนายโบราณ เก้าประการ จากเปรู เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 11 มิถุนายน 2553 03:00:35 (http://learners.in.th/file/friendship/preview/มาชู%20ปิกชู%20อาณาจักรอินคาในเปรู.jpg)
จดหมายถึงพี่ช้าง เรื่อง คำทำนายโบราณเก้าประการจากเปรู สวัสดีค่ะ พี่ช้าง ได้ฤกษ์ดีมาเจอกันอีกแล้วนะคะ วันนี้มีเรื่องสนุกตื่นเต้นเขียนมาถึงพี่ช้างอีกแล้วค่ะ เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่าอาทิตย์ก่อนได้หนังสือดีเล่มหนามาอีกเล่ม และก็นอนเปิดอ่านจนวางไม่ลงเลยค่ะ ขณะอ่านไปก็มีความสุขรวมทั้งมีรอยยิ้มตามตัวละครไปด้วย ว่าอืม...เราก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าต่อไปสิ ว่าต่อไปสิ.....ขนาดนั้นเชียวค่ะ ^_^ หนังสือเล่มนี้คือหนังสือของอาจารย์สุวินัย ภรณวลัยค่ะ และน่าจะเป็นเล่มล่าสุดด้วยนะ เพราะเพิ่งพิมพ์ออกมาเมื่อเดือนมีนาคมนี้เอง หนังสือชื่อ “ยอดคนวิถีเซน” ค่ะ ที่เห็นมีคำโปรยเป็นภาษาอังกฤษแว่บๆ ว่า Life and Enlightenment เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่าแล้วหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร หรืออ่านแล้วเราจะได้อะไรบ้าง เราว่าจากชื่อก็น่าจะพอสรุปรวมความคิดได้นะ ว่าเราจะต้องเจอกับอะไรบ้างในหนังสือเล่มนี้ แล้วอ่านแล้วเราจะได้อะไร หนังสือหนาเกือบห้าร้อยหน้า เพราะฉะนั้นเรายังอ่านไม่จบหรอกค่ะ จะว่าไป เพิ่งอ่านได้ตอนเดียวเองมั้ง ที่เป็นช่วงแรกๆ ในหนังสือ และก็เป็นตอนแรกๆ ที่เริ่มมีการเอ่ยถึง คำทำนายโบราณเก้าประการจากเปรู หรือที่เรียกว่า ปัญญาโบราณเก้าประการจากเปรู ค่ะ หนังสือหนามาก และเราก็คงได้ความรู้ใหม่ๆ อะไรเพิ่มเข้ามามาก เพราะฉะนั้น ถ้ารอให้เราอ่านจบ แล้วเขียนมาถึงพี่ช้าง เราก็อาจจะลืมความตื่นเต้นเมื่อตอนแรกเริ่มอ่านไปแล้ว ดังนั้น เมื่ออ่านตอนแรกจบ เราก็รีบเขียนมาถึงพี่ช้างก่อนเลยค่ะ เพื่อบอกเล่าให้พี่ช้างฟังคร่าวๆ ว่าเจ้าคำทำนายโบราณเก้าประการจากเปรูนั้นเค้าว่าว่าอย่างไรบ้าง จะว่าไปคำทำนายโบราณเก้าประการจากเปรูนั้น แท้จริงแล้วก็คือการทำนายถึงความเป็นไปของมนุษยชาติในอนาคตนั่นเอง เมื่อมันเป็นคำทำนายจากอดีตมาถึงอนาคต เจ้าอนาคตของอดีต มันก็คือช่วงเวลาของปัจจุบันนี้นั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วเจ้าคำทำนายนี้ก็คือการพูดถึงสิ่งที่โลกมนุษย์กำลังจะเป็นไปอยู่ในทุกวันนี้น่ะสิคะ แล้วทำไมน่ะหรือ มันก็น่าตื่นเต้นน่ะสิคะ ว่าเจ้าสิ่งที่เค้าทำนายนั้นว่าจะเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ แล้วเราก็ได้กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้จริงๆ ด้วยน่ะ มันตรงกันและมันก็เป็นจริงไปตามคำทำนายบ้างหรือเปล่า ถ้ามันจริง มันจะจริงแค่ไหน และจริงไปได้อย่างไร และเราผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จริงนั้นได้ดำรงตนอย่างไร และดำเนินชีวิตไปในทางไหน สอดคล้องหรือขัดแย้งกับคำทำนายนั้นๆ อย่างไรหรือไม่ ไม่ต้องอารัมภบทนานหรือพูดพร่ำทำเพลงต่อไปดีไหมคะ เข้าเรื่องเลยดีกว่า ในหนังสือเค้าว่าไว้อย่างนี้ค่ะว่า “นักโบราณคดีที่ค้นพบบันทึกคำทำนายโบราณเหล่านี้ บอกว่ามันมีอายุหกร้อยปีก่อนคริสตกาล และทำนายถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสังคมมนุษย์ครับ” “ความเปลี่ยนแปลงในช่วงไหนหรือครับ” “ในช่วงยี่สิบปีก่อนสิ้นศตวรรษที่ยี่สิบนี้” “ก็ปัจจุบันนี้น่ะสิครับ” “ใช่แล้ว การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้แหละ” ........................ “การเปลี่ยนแปลงชนิดไหนที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ครับ” “การฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ของจิตสำนึกที่ไม่ใช่ในเชิงศาสนา แต่ในเชิงจิตวิญญาณของมนุษยชาติ พวกเรากำลังอยู่ในช่วงแห่งการกำลังค้นพบสิ่งใหม่ หรือความจริงใหม่เกี่ยวกับความหมายแห่งการดำรงอยู่ของพวกเรา รวมทั้งการใช้ชีวิตของพวกเราบนโลกใบนี้ เมื่อได้พบสิ่งนี้แล้ว จะทำอารยธรรมของมนุษยชาติเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คำทำนายโบราณกล่าวไว้เช่นนั้น” “คำทำนายโบราณได้ถูกบันทึกไว้ในรูปลักษณ์ใดครับ” “มันมีบันทึกอยู่ในศิลาโบราณ คำทำนายแบ่งออกได้เป็นบทๆ จำนานเก้าบทด้วยกัน และแต่ละบทจะสอนปัญญาในการใช้ชีวิตหรือเกี่ยวกับชีวิต หากในช่วงนี้ มนุษยชาติสามารถเรียนรู้ปัญญาเหล่านี้ได้ทีละบทๆ ตามลำดับด้วยความเข้าใจ ก็จะทำให้มนุษยชาติสามารถเปลี่ยนแปลงจากอารยธรรมทางวัตถุในปัจจุบัน ไปสู่อารยธรรมทางจิตวิญญาณโดยสมบูรณ์ได้” ....................... “แล้วคำทำนายโบราณเหล่านี้น่าเชื่อถือได้แค่ไหนครับ” “ไม่รู้สินะ ว่าแต่ว่าคุณลองเหลียวดูความเป็นไปรอบๆ ตัวคุณดูซิ หากคุณรู้สึกว่าคนเราจำเป็นต้องแสวงหาอะไรที่ต่างไปจากเดิม ซึ่งเป็นความปรารถนาอย่างล้ำลึกของจิตใต้สำนึกของพวกเราแล้วละก็ นี่แหละเป็นสัญลักษณ์ที่คำทำนายบทที่หนึ่งหรือปัญญาโบราณอันที่หนึ่งได้บอกพวกเรา ว่าคือการเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่อันนี้แล้วล่ะ” “แล้วมีสัญลักษณ์อะไรอื่นอีกนอกจากนี้มั้ยครับ” “มีครับ เพราะปัญญาโบราณอันที่หนึ่งยังได้บอกอีกว่า เมื่อใดก็ตามที่พวกเราตระหนักถึงความคล้องจองกันของความบังเอิญเมื่อไหร่ในชีวิตของเรา เมื่อนั้นแหละคือ จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อันนี้” “ความคล้องจองกันของความบังเอิญหรือครับ” “ถูกแล้วครับ หากความคล้องจองกันของความบังเอิญได้เกิดขึ้นแก่ชีวิตเราในขณะนี้ บ่อยครั้งมากเสียจนเรารู้สึกได้ว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไปแล้ว เมื่อนั้นแหละ เราจะค้นพบและสำเหนียกได้ว่า มีพลังที่ยากแก่การอธิบายกำลังชี้นำชีวิตเราไปในทิศทางหนึ่ง ราวกับถูกลิขิตเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งจะทำให้เราได้พบประสบการณ์ที่เร้นลับและพิสดาร ที่จะนำความมีชีวิตชีวามาให้แก่จิตวิญญาณของเรา ความเคลื่อนไหวที่พิสดารอันนี้เป็นของจริง และจำนวนผู้คนที่เริ่มเชื่อมั่นว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นภายใต้ผิวน้ำราบเรียบแห่งความปกติในชีวิตประจำวันนี้ ก็มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คำทำนายโบราณบทที่หนึ่งกล่าวไว้เช่นนั้น” .................... “แต่ผมไม่คิดว่าปัญญาโบราณอันที่หนึ่งนี้ได้บอกอะไรใหม่ๆ แก่เราหรอกนะครับ เพราะความรู้สึกเช่นที่ว่านี้เกิดได้ทุกยุคทุกสมัยไม่เจาะจงว่าต้องเป็นในช่วงปลายศตวรรษที่ยี่สิบนี้เท่านั้น” “ก็ถูกของคุณครับ แต่ที่แตกต่างออกไปจากครั้งก่อนๆ ก็คือ จำนวนของผู้คนที่เริ่มตระหนักเช่นนี้ครับ เพราะไม่เคยมียุคไหนเลยในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ที่มนุษย์จะตื่นตัวในเชิงจิตวิญญาณเป็นจำนวนมากพร้อมเพรียงกันถึงขนาดนี้ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางอารยธรรมครั้งใหญ่อย่างแน่นอน มิหนำซ้ำคำทำนายโบราณยังเขียนไว้ด้วยครับว่า จำนวนผู้คนที่เริ่มตระหนักถึงความคล้องจองกันของความบังเอิญ จะมีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ปี ๑๙๖๐ เป็นต้นมา และจะถึงจุดที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในราวๆ ต้นศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนี้ครับ” ...................... “มีหลักฐานอะไรบ้างครับที่จะทำให้เชื่อได้ว่าคำทำนายโบราณเหล่านี้จะถูกต้องจริงครับ” “ประสบการณ์โดยตรงของตัวคุณเองนั่นแหละ คือหลักฐานที่ดีที่สุด” “..........” “ปัญญาโบราณอันที่สอง กล่าวไว้ว่ายังไงบ้างครับ” “คุณจะไม่มีทางเข้าใจปัญญาโบราณอันที่สองนี้ได้เลย หากคุณไม่มีทัศนะมุมมองที่ยาวนานเป็นร้อยๆ พันๆ ปีของประวัติศาสตร์ และไม่ตระหนักว่า ประวัติศาสตร์นั้นที่แท้ก็เป็นเรื่องของวิวัฒนาการของโลกทัศน์ หรือวิวัฒนาการของความคิดและวิธีคิดเสียก่อน” “เพราะอะไรหรือครับ” “ปัญญาโบราณอันที่สองนี้มุ่งให้วิสัยทัศน์เชิงประวัติศาสตร์แก่พวกเราน่ะสิ” “..............” “ปัญญาโบราณอันที่สองได้บอกว่า ขอให้พิจารณาจิตสำนึกของพวกเราในปัจจุบัน ท่ามกลางวิสัยทัศน์ทางประวัติศาสตร์อันยาวไกล ซึ่งจะทำให้เราตระหนักได้ว่า การสิ้นสุดของทศวรรษที่ ๑๙๙๐ นี้นั้น นอกจากจะหมายถึงการสิ้นสุดของพันปีรอบที่สองอีกด้วย มนุษยชาติจำเป็นจะต้องเข้าใจให้ได้ก่อนว่า ในช่วงหนึ่งพันปีที่กำลังจะผ่านไปนี้ได้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เพื่อที่จะได้รู้ได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปอีกในกาลข้างหน้า ................................. คำทำนายโบราณยังบอกอีกว่า เมื่อใกล้จะสิ้นสุดรอบปีที่สองพันปีหรือในยุคปัจจุบันนี้ พวกเราจะเริ่มสามารถที่จะพิจารณาหรือมองประวัติศาสตร์ในรอบหนึ่งพันปีนี้อย่างเป็นองค์รวมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเราจะตระหนักได้ว่า พวกเราส่วนใหญ่ได้หลงติดอยู่กับความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งที่ก่อตัวในช่วงห้าร้อยปีมานี้ ที่เรียกกันว่าโมเดิร์นหรือสมัยใหม่นั่นเอง และการตระหนักถึงความคล้องจองกันของความบังเอิญนั้นที่แท้ก็คือการตื่นจากความหลงผิดอันนี้นี่เอง” “ความหลงผิดนี้คืออะไรครับ” “พูดง่ายๆ ก็คือสิ่งที่เรียกว่าความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์นั่นเอง” “ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ” “......... คุณพร้อมที่จะทบทวนประวัติศาสตร์ในช่วงหนึ่งพันปีนี้กับผมมั้ยล่ะ” “ตกลงครับ” “สมมุติว่าตอนนี้คุณกับผมกำลังอยู่ในยุคกลางเมื่อปี ค.ศ. ๑๐๐๐ คุณต้องเข้าใจว่า ขณะนี้วิธีการรับรู้โลกได้ถูกกำหนดโดยผู้มีอำนาจในศาสนาคริสต์คาธอลิค บิดาของคุณถ้าไม่สังกัดในชนชั้นเจ้าขุนมูลนายก็ต้องเป็นชนชั้นชาวนา และชีวิตคุณจะถูกผูกติดกับชนชั้นที่คุณสังกัดนี้ไปจนตลอดชีวิต ตอนนี้คุณจินตนาการตัวเองเห็นความเป็นจริงในยุคนั้นด้วยตัวคุณเองได้หรือยังครับ” “ได้แล้วครับ” “ดีครับ คราวนี้ลองจินตนาการเห็นภาพค่อยๆ ล่มสลายของความจริงนี้ดูสิครับ โลกทัศน์แบบยุคกลางค่อยๆ ล่มสลายตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๕ เป็นต้นมา ผู้คนเริ่มปฏิเสธความเชื่อทุกอย่างที่ตัวเองเคยเชื่อตามที่ศาสนาสอน และยัดเยียดให้โลกอยู่ท่ามกลางทะเลแห่งความสงสัย ผู้คนแต่ละคนอยู่ในสภาวะที่ไม่แน่นอนทางความคิด.................. ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงครับ” “เกิดวิกฤตศรัทธาและรู้สึกหวั่นไหวไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะยึดอะไรเป็นสรณะของชีวิตดีครับ” “ใช่ครับ ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรหมดเลยจริงไหมครับ โลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลอีกต่อไปดังที่เคยเชื่อกันแล้ว โลกเป็นแค่ดาวเคราะห์เล็กๆ ดวงหนึ่งของจักรวาลเท่านั้น ผู้คนเลิกเชื่อศาสนาและหันมาบูชาวิทยาศาสตร์แทน แต่............” “แต่อะไรครับ” “ผู้คนก็ได้เสียเป้าหมายทางจิตวิญญาณไปด้วยโดยไม่รู้ตัว เพราะพวกเขาเลิกแสวงหาความสงบทางใจ แต่หันมาแสวงหาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและทางสังคมแทน ..................... ผู้คนส่วนใหญ่สวิงไปสุดขั้วอีกด้านหนึ่ง หันมาหลงผิดบูชาการพัฒนาเศรษฐกิจแทนพระเจ้า และผลักดันตัวเองอย่างรุนแรงจนทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลกนี้จนถึงขั้นวิกฤตร้ายแรงแล้วในปัจจุบัน” “หมายความว่าในช่วงห้าร้อยปีมานี้ มนุษยชาติส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะจิตที่สุดขั้วไปในอีกทางหนึ่ง โดยเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบกับวิกฤตศรัทธาทางศาสนาที่พวกเขาประสบในยุคกลางยังงั้นหรือครับ” “ถูกแล้วครับ สภาพเช่นนี้ไม่ต่างไปจากอดีตนักปฏิวัติผู้เคยมีอุดมการณ์สูงส่ง แล้วประสบกับวิกฤตศรัทธาของขบวนการปฏิวัติ จึงสวิงสุดขั้วมาเป็นนายทุนที่ทำทุกอย่างเพื่อความมั่งคั่งของตัวเอง แต่สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในระดับเผ่าพันธุ์ และกำลังถึงจุดไคลแมกซ์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ยี่สิบนี้ครับ ปัญญาโบราณอันที่สองว่าไว้อย่างนั้น” “โอ....นี่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้จักและเข้าใจประวัติศาสตร์ของตังเองถึงขนาดนี้เชียวหรือครับ ................. มันน่าเศร้าใจจริงๆ นะครับ” “ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นนะครับ แต่มนุษย์บางส่วนเริ่มรู้ตัวและได้คิดกันแล้ว พวกเขาจึงเริ่มแสวงหาความหมายในการดำรงชีวิตของเขาบนโลกนี้กันใหม่ พวกเขามีอยู่ทั่วโลก แม้ยังเป็นคนส่วนน้อย แต่จะมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้นในช่วงก่อนสิ้นศตวรรษนี้ครับ ปัญญาโบราณอันที่สองกล่าวไว้เช่นนี้ครับ” “ขอให้เป็นจริงตามคำทำนายโบราณนี้เถอะครับ เพราะนี่คือความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่จะช่วยโลกนี้ให้รอดพ้นจากหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น” “ปัญญาโบราณอันที่สามได้บอกอะไรบ้างครับ” “ความรับรู้ใหม่เกี่ยวกับโลกทางวัตถุ จะทำให้มนุษย์ค้นพบพลังที่มองไม่เห็น หรือพลังภายใน พลังจักรวาล” “หมายถึง แควนตัมฟิสิกส์ใช่ไหมครับ” “ใช่แล้วครับ หลักการทางแควนตัมที่เพิ่งค้นพบไม่กี่สิบปีมานี้ทำให้เราได้รู้ความจริงว่า กลไกการทำงานของธรรมชาติในระดับที่ละเอียดที่สุด การเกิดขึ้น การดำรงอยู่ และการแปรเปลี่ยนไปของสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกหรือดวงดาว เมื่อพิจารณาจุดที่ย่อยละเอียดที่สุดแล้ว ล้วนเป็นการทำงานด้วยกลไกแควนตัมทั้งสิ้น คุณยอมรับมั้ยละครับว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ คืออัจฉริยะคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งแห่งศตวรรษนี้” “แน่นอนครับ” “เขาได้สรุปรวบยอดความรู้แห่งแควนตัมออกมาในปี ค.ศ.๑๙๓๕ หรือเมื่อหกสิบปีก่อนว่า มนุษย์เราเป็นส่วนเล็กน้อยของความเป็นหนึ่งเดียวที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า จักรวาล ส่วนเล็กน้อยที่ว่านี้ดำรงอยู่ในขอบเขตของรูปกาย ของสถานที่ ของเวลาที่จำกัดยิ่ง ด้วยขอบเขตที่จำกัดดังกล่าว มนุษย์จึงยึดมั่นต่อความรู้ที่เขาได้มาจากประสบการณ์ที่จำกัดเช่นเดียวกัน ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องเฉพาะตัวของเขา ความคิดของเขา ความต้องการและความรู้สึกของเขา ................ ทั้งหมดนี้เป็นเช่นการใส่แว่นลวงตาที่บดบังจิตวิญญาณ มนุษย์จึงเบี่ยงเบนตัวเอง แบ่งแยกตัวเองออกจากสิ่งต่างๆ รอบตัวเขา และภาพลวงตานี้เองที่เป็นคุกตะรางจองจำมนุษย์เอาไว้ บังคับให้มนุษย์อยู่กับกิเลสตัณหาเพื่อตัวเองหรือเพื่อคนเพียงไม่กี่คนที่สนิทชิดเชื้อเท่านั้น งานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ทุกคนจึงอยู่ที่การปลดปล่อยตัวเองจากที่คุมขังนี้” “ครับ” “ไอน์สไตน์ยังบอกอีกว่า ที่สุดของที่สุดของอนุภาคนั้นคือ พลัง หรือ พลังงาน มิหนำซ้ำพฤติกรรมของผู้สังเกตการณ์เกี่ยวกับอนุภาคอันนี้ยังสามารถมีผลสะเทือนต่อ การเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของการเคลื่อนไหวของอนุภาคด้วย ซึ่งนี่ก็หมายความว่า เจตนารมณ์ของมนุษย์นั้นสามารถโน้มน้าวพลังได้ และพลังนี้จะไปส่งผลสะเทือนต่อโลก ต่อวัตถุ และพลังอื่นๆ อีกทีหนึ่ง” “ก็แสดงว่าคำทำนายโบราณประการที่สามที่ว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในโลกทัศน์เกี่ยวกับฟิสิกส์ ก็ถูกต้องแล้วสิครับ” “แค่เปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับฟิสิกส์เท่านั้นยังไม่พอหรอกครับ คำทำนายยังบอกอีกว่า มนุษย์คงจะยังค้นพบพลังจักรวาลได้ก่อนสิ้นศตวรรษนี้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ครับ” “ความจริงถึงไม่ต้องใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ คนเราก็สามารถสัมผัสพลังจักรวาลนี้ได้โดยการฝึกวิชาลมปราณของศาสตร์ตะวันออกไม่ใช่หรือครับ” “นั่นก็ใช่ครับ แต่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับวิธีการโบราณแบบตะวันออกนี้นี่ครับ” “แล้วจะค้นคว้ายังไงดีล่ะครับ” “............. คงต้องเริ่มจากการค้นคว้าเกี่ยวกับแหล่งหรือที่มาของพลังนี้ ซึ่งที่ค้นคว้าได้ง่ายหน่อย ก็คงจะเป็นพลังที่ถูกปล่อยออกมาจากป่าหรือต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุหลายสิบหรือหลายร้อยปีครับ” “ถึงยังพิสูจน์วัดพลังนี้ในทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่พวกเราทุกคนคงเคยมีประสบการณ์ไม่ใช่หรือครับที่เข้าไปใกล้ต้นไม้ใหญ่ๆ แล้วจะรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที นั่นแหละครับ คือพลังที่พวกเราได้รับจากต้นไม้ใหญ่” “แต่มนุษย์สมัยนี้กลับทำลายต้นไม้ใหญ่ในป่าจนเหลือน้อยลงทุกทีๆ ด้วยความละโมบ ทั้งๆ ที่ป่าเป็นต้นตอของพลังจักรวาล นอกเหนือไปจากดวงอาทิตย์ แม่น้ำ และทะเล ตอนนี้ไม่ใช่แค่ป่าเท่านั้นที่ถูกทำร้าย ทะเลและแม่น้ำที่เป็นแหล่งพลังอีกแหล่งหนึ่งก็แปดเปื้อนไปด้วยมลพิษสิ่งโสโครกที่เกิดจากเงื้อมมือมนุษย์ ................... ส่วนดวงอาทิตย์ที่ให้พลังแก่เราเช่นกัน ก็กำลังถูกปิดกั้นโดยภาวะเรือนกระจกที่เกิดจากการเผาผลาญน้ำมัน ผมรู้สึกหดหู่จริงๆ ครับ ที่พวกมนุษย์กำลังทำลายแหล่งพลังของตัวเองด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ปัญญาโบราณอันที่สามยังได้บอกอีกว่า เมื่อไรก็ตามที่พวกเราได้สติ แลเห็นถึงความงามของธรรมชาติอีกครั้งอย่างแท้จริง พวกเราจะเริ่มหันมาค้นคว้าแหล่งพลังงานนี้อย่างจริงจัง” “น่าเสียดายนะครับที่กลุ่มคนที่สนใจค้นคว้าและฝึกฝนปฏิบัติพลังนี้อย่างเอาจริงเอาจัง ยังเป็นแค่คนส่วนน้อยของสังคมเท่านั้น” “ตรงนี้แหละครับที่ทำให้ผมเป็นห่วงว่าความคิดที่ร้ายๆ ของคนส่วนใหญ่ จะชักนำพลังไปในทิศทางที่ร้ายกาจรุนแรงต่อโลกวัตถุใบนี้ ซึ่งเริ่มสำแดงอาการออกมาแล้วในรูปของภัยพิบัติทางธรรมชาติรูปแบบต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นถี่มากทั่วทุกมุมโลก” “ปัญญาโบราณอันที่สี่ กล่าวถึง การแย่งชิงพลังของผู้คน” “แย่งชิงพลังหรือครับ” “ใช่แล้วครับ คำทำนายโบราณประการที่สี่ได้บันทึกไว้ว่า ในที่สุดมนุษย์ก็จะเข้าใจได้ว่า พวกเขาธำรงอยู่ได้ก็ด้วยพลังจักรวาล อันเป็นพลังที่พลวัติ ที่ค้ำจุนพวกเขา และตอบสนองต่อความคาดหวังของเขา และพวกเขาจะตระหนักได้ว่า สาเหตุที่พวกเขาอ่อนแอลง รู้สึกว่าขาดความมั่นคงในจิตใจเหมือนกับขาดอะไรไปบางอย่าง ก็เพราะพวกเขาได้ตัดขาดตัวเองจากต้นตออันยิ่งใหญ่ของพลังจักรวาลนี่เอง” “นี่ก็หมายความว่า เท่าที่ผ่านมา เมื่อมนุษย์รู้สึกว่าตัวเองขาดพลัง แทนที่เขาจะกลับไปหาต้นตอของพลังที่ไม่มีวันสิ้นสุด เขากลับพยายามเพิ่มพลังของตัวเขาด้วยการแย่งชิงพลังมาจากคนอื่น ในเชิงจิตวิทยา เกิดสภาพการแข่งขัน ช่วงชิงพลังของกันและกันโดยไม่รู้ตัว ซึ่งกลายเป็นที่มาของการต่อสู้ขัดแย้งของผู้คนทั่วโลกใช่มั้ยครับ” “ผมเคยศึกษาปัญหาว่า ทำไมคนเราต่างฝ่ายต่างก็ชอบใช้ความรุนแรงกับคนอื่น ไม่ว่าทางกาย วาจา ใจ แล้วผมก็พบว่า ความรู้สึกเหล่านี้มาจากความอยาก หรือแรงกระตุ้นข้างในของคนที่ต้องการอยู่เหนือคนอื่น หรือครอบงำคนอื่นนั่นเอง ........................ เมื่อติดตามศึกษาดูในขณะที่คนๆ หนึ่งเข้าไปพูดจากับคนอีกคนหนึ่ง อันเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกวันทั่วโลก วันละเป็นพันล้านครั้งนี้ ภายในใจของคนผู้นั้น เขาเกิดความรู้สึกเช่นใด และผมก็ได้คำตอบว่า มันจะเกิดอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ในระหว่างสองคนนั้น คือถ้าไม่รู้สึกว่าตัวเองได้พลังเพิ่มขึ้น ก็รู้สึกว่าตัวเองสูญพลังไป อย่างใดอย่างหนึ่งนี้ ....................... พูดง่ายๆ ก็คือ การที่คนเราพยายามทำตนเหนือกว่าคนอื่นนั้น หาใช่เพราะมีเป้าหมายรูปธรรมทางวัตถุภายนอกเท่านั้น แต่เพราะต้องการได้ความสะใจหรือคะนองใจด้วย และที่ร้ายก็คือปัญหาความรุนแรงต่อจิตใจนี้ มักเกิดขึ้นในครอบครัวก่อน โดยเฉพาะพ่อแม่ที่กระทำต่อลูกตั้งแต่วัยเด็ก” “หมายความว่ายังไงครับ” “พ่อแม่บางคนชอบครอบงำลูกโดยคิดว่านั่นคือความรัก แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เลย เด็กที่ถูกพ่อแม่พยายามครอบงำจะกลายเป็นเด็กที่มีบาดแผลในจิตใจ ครั้นเมื่อเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็จะกลายเป็นคนที่ชอบควบคุมและครอบงำคนอื่นไปโดยไม่รู้ตัว ดุจเดียวกับพ่อแม่ของเขา โดยเฉพาะเขาจะชอบครอบงำคนที่อยู่ในฐานะที่อ่อนแอกว่าเขา ....................... เพราะคนเราเมื่อได้รับความบีบคั้นทางจิตใจมากๆ จะแสดงออกด้วยความรุนแรงกลับไป ด้วยเหตุนี้เอง ความรุนแรงทางจิตใจจึงได้รับการสืบทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง รุ่นแล้วรุ่นเล่า ลองคิดดูซิครับว่า ในสังคมหนึ่งจะมีพ่อแม่ประเภทนี้อยู่เป็นจำนวนมากมายขนาดไหน คนที่ชอบครอบงำคนอื่นนั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือคนที่มีบาดแผลในจิตใจเช่นกัน” “ถ้ามองจากมุมมองของภูมิปัญญาโบราณอันที่สี่ ในขณะที่คนๆ หนึ่งกำลังครอบงำคนอีกคนหนึ่ง ขณะนี้เขากำลังดูดพลังจากคนๆ นั้น เป็นการเติมพลังให้แก่ตัวเองให้เต็ม บนความสูญเสียของคนอื่น ใช่มั้ยครับ และนี่คือสิ่งที่เป็นแรงกระตุ้นภายในให้เกิดการใช้ความรุนแรงทางจิตใจต่อคนอื่นใช่มั้ยครับ” “ใช่ครับ ในขณะที่ปัญญาโบราณอันที่สามบอกกับเราว่า จักรวาลทั้งหมดดำรงอยู่ได้ด้วยพลังนี้ และพวกเราเหล่ามนุษย์ได้ใช้พลังนี้ในการส่งผลสะเทือนต่อสรรพสิ่งรอบๆ ตัวเรา ส่วนปัญญาโบราณอันที่สี่ ได้ชี้ให้พวกเราแลเห็นถึงปัญหาที่เกิดจากการที่พวกเราได้ตัดขาดตัวเองจากต้นตอของพลังจักรวาล จึงต้องหันมาแย่งชิงเบียดเบียนพลังของมนุษย์และสิ่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่ต้นตอแทน ...................... แต่ผมไม่คิดว่าผู้คนส่วนใหญ่จะเข้าใจในประเด็นนี้หรอกครับ พวกเขารู้ว่า การได้ครอบงำคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่สะใจตัวเองก็จริง สร้างความพึงพอใจให้แก่ตัวเองได้จริง แต่พวกเขาแทบไม่เคยเฉลียวใจเลยว่า ความสะใจ หรือความพึงพอใจนี้มาจากการสูญเสียของผู้อื่น ผู้คนส่วนใหญ่แย่งชิงพลังของคนอื่นมาโดยไม่รู้ตัว แล้วยังมีหน้ามาแสวงหาพลังนี้จากคนอื่นต่อไปอีกจนชั่วชีวิต ในรูปของความสำเร็จ ความมั่นคง อำนาจ การยอมรับของสังคม” “.......” “อ้อ...ปัญญาโบราณอันที่สี่ยังบอกอีกว่า ผู้ที่จะเข้าใจปัญญาอันที่สี่นี้ก็คือผู้ที่มองออกว่า โลกมนุษย์นี้นั้นที่แท้ก็คือ สนามแข่งขันอันมโหฬาร ที่ผู้เข้าแข่งขันต่างพยายามแย่งชิงพลังและอำนาจของกันและกันนั่นเอง ................. และเมื่อใดก็ตามที่เราเข้าใจอย่างแท้จริงถึงความหมายที่แท้จริงของการแข่งขันต่อสู้ของตัวเรา ในโลกนี้หรือในสังคมนี้ เราก็จะสามารถเริ่มข้ามพ้นการทะเลาะเบาะแว้งเบียดเบียนอันนี้ไปได้ และเราจะสามารถเป็นอิสระจากการแย่งชิงพลังของคนอื่น เพราะเราจะรู้สึกได้ว่า มีแหล่งพลังอื่นที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน และไม่มีวันสิ้นสุด ที่เราสามารถได้รับพลังมาได้อยู่ตลอดเวลา” “ปัญญาโบราณอันที่ห้า กล่าวถึงเรื่องอะไรครับ” “กล่าวถึงประสบการณ์เร้นลับของปัจเจกครับ” “ประสบการณ์ยังไงครับ” “อธิบายเป็นคำพูดยากครับ เอาเป็นว่ามันเป็นความรู้สึกเป็นสุขที่ได้รู้สึกว่าตัวเองผูกพันและสัมพันธ์กับทุกสรรพสิ่ง บวกกับความรู้สึกอบอุ่นในใจ มั่นคงในจิตใจ และไม่เกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าอีกเลยครับ” “ท่านมีประสบการณ์เช่นที่ว่านี้ที่ไหนครับ” “............ ในป่าทึบบนยอดเขาครับ อ้อ.... ปัญญาโบราณอันที่ห้ายังบอกอีกว่า ในช่วงยี่สิบปีสุดท้ายของศตวรรษที่ยี่สิบนี้ จะมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่สามารถมีโอกาสได้รับประสบการณ์เร้นลับที่เป็นสภาวะจิตเช่นที่ว่านี้ ซึ่งเป็นสภาวะจิตที่ในอดีตมีแต่นักบุญหรือผู้ปฏิบัติธรรมที่คร่ำเคร่งจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่จะได้รับ และผู้คนจำนวนมากจะเริ่มกล่าวขวัญถึงสภาวะจิตประเภทนี้กันมากขึ้น ราวกับไม่ใช่เรื่องไกลสุดเอื้อมอีกต่อไป .................. นอกจากนี้นะครับ ปัญญาโบราณอันที่ห้ายังบอกด้วยว่า ประสบการณ์เร้นลับอันนี้แหละ ที่จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้มนุษย์เลิกต่อสู้ขัดแย้งเบียดเบียนกันได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่า ในระหว่างที่ผู้คนประสบกับประสบการณ์เร้นลับอันนี้ เขาจะได้พลังจากแหล่งอื่น ที่ไม่ใช่ของผู้อื่นดังที่เคยไปแย่งชิงมา” “ปัญญาโบราณอันที่ห้าบอกมั้ยครับว่า แหล่งอื่นที่คนเราสามารถได้พลังนี้ โดยไม่ต้องไปเบียดเบียนผู้อื่นนั้นมีอะไรบ้าง” “แหล่งแรกสุดเลยก็คือ อาหารที่เรารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะจากพืช ผัก ผลไม้ครับ แต่การจะได้รับพลังจากอาหารทั้งหมดนั้น เราจะต้องมีจิตที่สำนึกขอบคุณมันในขณะที่เรากำลังรับประทานอาหารด้วย” “ทำยังไงครับ” “ก็ด้วยการเปิดใจให้กว้าง ตระหนักถึงความสัมพันธ์ที่อาหารผูกพันกับฟ้าในขณะที่เรารับประทานมันเข้าไป เมื่อสามารถเพิ่มพลังให้แก่ตัวเองด้วยวิธีรับประทานอาหารแบบนี้แล้ว ต่อไปเราจะมีสัมผัสที่ไวขึ้นต่อพลังที่อยู่ในสิ่งต่างๆ และเราจะสามารถดูดซับพลังจากสิ่งเหล่านั้นเข้ามาสู่ตัวเราได้ โดยไม่ต้องการทานอาหารหรือทานอาหารน้อยลง” “นอกจากอาหารแล้ว มีสิ่งใดบ้างที่เราสามารถรับพลังได้โดยง่ายด้วยครับ” “ต้นไม้ครับ ในขณะที่ผมมีประสบการณ์เร้นลับนั้น ผมรู้สึกว่าทิวทัศน์ทั้งหมดที่อยู่รอบตัวผมในขณะนั้นได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของผม ผมรู้สึกรักมันไปหมดเลยครับ เหมือนกับที่ผมรักตัวเอง หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมได้ลองมีความรู้สึกเช่นนั้นกับต้นไม้ดู แล้วผมก็ได้รับพลังจากมัน” “เดี๋ยวก่อนครับ ความรักน่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ตั้งใจทำหรือลองทำขึ้นมาไม่ใช่หรือครับ” “ก็ไม่เชิงตั้งใจที่จะรักหรอกครับ เพียงแต่ผมยอมให้ความรักโผบินเข้ามาสู่ตัวผมในขณะที่อยู่ต่อหน้าต้นไม้ มันเป็นความรู้สึกเดียวกับความรู้สึกของเด็กเล็กที่มีต่อมารดาของเขา และเป็นความรู้สึกเดียวกับที่ผมเคยมีต่อสาวน้อยคนหนึ่งในขณะที่ผมยังเป็นวัยรุ่นอยู่ครับ มันเป็นความรู้สึกเดียวกันจริงๆ” “หลังจากผ่านประสบการณ์เร้นลับนั้นแล้ว มันเกิดซ้ำอีกมั้ยครับ” “ประสบการณ์เร้นลับครั้งแรกนั้น มันเป็นประสบการณ์แบบที่เซนเขาเรียกว่า ซาโตริ ครับ มันทำให้ผมมองโลกเปลี่ยนไปจากเดิม หลังจากนั้นผมก็ค่อยๆ เรียนรู้วิธีที่จะสร้างประสบการณ์เช่นนั้นให้เกิดขึ้นมาอีกด้วยตัวของผมเองครับ ผมยังได้ตระหนักอีกว่า ในขณะที่ผมรับพลังจากต้นไม้นั้น ผมก็ได้ให้พลังแก่ต้นไม้ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ เราทั้งคู่ต่างมีพลังเพิ่มขึ้นทั้งสองฝ่าย ทั้งตัวผมและต้นไม้ครับ” “ผมเข้าใจแล้วครับว่า ปัญญาโบราณอันที่ห้าต้องการจะบอกแก่พวกเราว่า หากเราเปิดใจออกรับความรักจากสรรพสิ่ง จักรวาลหรือฟ้าจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นแก่ตัวเราในการดำเนินชีวิตในทางที่ถูกที่ควร” “ถูกแล้วครับ เมื่อเราได้รับพลังจากจักรวาลและสั่งสมมันเอาไว้เรื่อยๆ จนถึงระดับหนึ่งที่ปริมาณเปลี่ยนไปเป็นคุณภาพ คุณจะกลายเป็นคนใหม่ไปโดยไม่รู้ตัว คุณจะใช้ชีวิตอยู่ในระดับพลังที่สูงขึ้นกว่าแต่ก่อน และอยู่ในระดับคลื่นที่สูงยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ คุณจะสามารถวิวัฒนาการตัวเอง พร้อมกับวิวัฒนาการจักรวาลไปด้วยในขณะเดียวกัน” “แต่การจะได้รับพลังงานจากจักรวาลอย่างถาวร คุณจะต้อง |