[size=1.pt][/size]
โป้งแปะ เคยเล่นซ่อนหากันไหม ผมว่าทุกคนที่กำลังอ่านเรื่องนี้อยู่ตอนนี้ น่าจะเคยเล่น อย่างน้อยก็เมื่อสมัยเด็กๆ ระทึกที่สุดคือตอนที่เราเป็นคนซ่อนแล้วเพื่อนคนที่หาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตอนนั้นเราอาจจะหลับตาปี๋ พยายามขดตัวให้เล็กที่สุด อาจจะกลั้นหายใจด้วย แล้วก็ภาวนาขออย่าให้เจอเลย เพราะตาหน้าไม่อยาก "เป็น"
ตลกดีนะครับ ตอนเด็กๆ มีหลายเกมส์เลยทีเดียวที่จะเรียกสถานะของคนแพ้ว่า "ตาย" โป้ง! แกตายแล้ว ตาต่อไปแกเป็นนะ หมายความว่าคนที่ตายต้องไปเป็นตัวเล่นในบทบาทที่ไม่มีใครอยากเล่นในตาต่อไป เป็นคนหาในเกมซ่อนหา เป็นอีกาในเกมอีกาฟักไข่ เป็นผีในเกมตะล็อกต๊อกแต๊กมาทำไม ไปเป็นลิงในเกม ลิงชิงบอล
ตอนนี้ผมโตแล้ว ไม่ได้เล่นเกมซ่อนหามาสักยี่สิบปีได้แล้วมั้ง เพิ่งจะมามีวันนี้แหละที่ผมต้องลุ้นระทึกอีกครั้ง แต่ในสภาวะที่ตรงกันข้าม คือผมดันตายก่อนที่จะซ่อน และพยายามลุ้นให้ใครสักคนหาผมเจอสักที
วันนี้ ผมไม่ได้ขดตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้าหรือตามมุมมืดๆ ของบ้านแล้วเอาผ้าคลุมไว้ ด้วยเทคนิคบ้องตื้นแบบเด็กๆ ศพของผมถูกซ่อนและอำพรางไว้อย่างดีในมุมหนึ่งของบ้าน ผมซ่อนมาห้าวันเต็มแล้ว และดูจะยังไม่มีใครมาเอะใจตามหาแถวนี้เลยสักคน
หลังจากแจ้งความคนหายแล้ว ภรรยาของผมก็ดูกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะต่อหน้าตำรวจที่เข้ามาซักถามและขอเข้ามาเก็บหลักฐานภายในบ้าน เธอแสดงได้แนบเนียนไม่มีที่ติ โดยเฉพาะตอนที่น้ำตาร่วงเผาะๆ ด้วยความเป็นห่วงสามีสุดที่รัก ทำเอาพวกตำรวจพากันแสดงความเห็นใจปลอบใจกันใหญ่
เธอว่าผมหายตัวไปในเช้าวันหนึ่ง เธอนึกว่าออกไปทำงานตามปกติ แต่เมื่อเดินออกมากลับเห็นรถจอดอยู่หน้าบ้าน ยังอยู่กระทั่งรองเท้า กระเป๋าสตางค์และมือถือ เธอพยายามไล่ถามญาติพี่น้องของผม เพื่อนฝูง เพื่อนที่ทำงาน ไม่มีใครพบผม ทุกคนขาดการติดต่อกับผมตั้งแต่คืนก่อนหน้านั้น ซึ่งผิดปกติอย่างยิ่ง
เธอว่าเธอตามหาเองอยู่สองวัน เห็นว่าท่าไม่ดีแน่จึงแจ้งความ เธอใจคอไม่ดีเลยเกรงจะเกิดอันตรายกับผม
ตำรวจนายหนึ่งทำจมูกฟุดฟิด ว่าได้กลิ่นอะไรฉุนๆ ภรรยายิ้มแล้วรีบตอบว่าเธอมีอาชีพหมักปลาแดก (ปลาร้า) ขายที่โอ่งหลังบ้านมีสองโอ่ง เธอยังใจดีว่าจะตักปลาแดกหอมลองให้คุณตำรวจทั้งสี่นายไปชิม พลางกุลีกุจอวิ่งหยิบถุงพลาสติกกับทัพพีเดินดุ่มมาที่หลังบ้าน
ตำรวจทั้งหมดเดินตามมา มองดูเธอเปิดโอ่งปลาแดกหอมที่เธอว่าหมักด้วยเนื้อปลาช่อนอย่างดี หากนำไปปิ้งหรือทอดจะส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายมาก ว่าแล้วตักปลาแดกหอมชิ้นโตๆ ใส่ลงถุงอย่างคล่องแคล่วแม้มือจะสั่นด้วยความตื่นเต้น
ไอ้ป๊อด หมาพุดเดิ้ลที่ภรรยาเลี้ยงไว้เห่าไม่หยุดปาก ถ้าไม่ติดเชือกที่ล่ามไว้มันคงวิ่งเข้ามาถึงนี่นานแล้ว ตอนนี้ภรรยาผมคงนึกอยากเตะมันสักสองป้าบให้สงบปากลงบ้าง
"เลี้ยงพุดเดิ้ลด้วยเหรอครับ" ตำรวจหนุ่มหน้าตี๋รายหนึ่งว่า พลางนั่งลงใกล้ๆ ไอ้ป๊อดโดยไม่มีท่าทางหวาดกลัว "หมาผมก็สีแบบนี้เลย หวัดดีๆ ว่าไงไอ้ตัวเล็กน่ารักจริง ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเล้ย"
แต่แล้วไอ้ป๊อดก็หลุดจากเชือกล่าม วิ่งตรงมาที่โอ่งอีกใบ ยืนตะกุยแล้วเห่าเอาเป็นเอาตาย พยายามจะแจ้งความตามประสาหมาปากเปราะ ภรรยาผมรีบเข้ามาคว้ามันไว้
"อ้อ แล้วโอ่งใบนี้ล่ะครับ" นายตำรวจอาวุโสถาม
"อ๋อ" ภรรยาผมลากเสียงเสียยาวเพื่อถ่วงเวลาคิด "ปลาแดกโหน่งค่ะ คุณๆ กินกันไม่เป็นหรอก กลิ่นมันแรง"
ตำรวจอาวุโสหัวเราะลงลูกคอทันที "ใครว่า ผมนี่อย่างชอบเลย ตักให้ผมสักถุงสิครับ ซื้อก็ได้"
ภรรยาผมจำต้องเปิดฝาโอ่งเอาทัพพีมาตักพยายามเล็มเอาขอบๆ มือสั่น แต่ถึงกระนั้นก็เฉียดมือซ้ายผมไปนิดเดียว
"แหม เอามาทำไมแต่น้ำ เอามาเป็นตัวเลยครับผมชอบเป็นต่อนๆ แบบนี้ไงเดี๋ยวกินให้ดู หืม นี่อะไร?"
แหม จะมาเล่นเกี่ยวก้อยอะไรกันตอนนี้
นายตำรวจหน้าตี๋หน้าซีดเผือดเมื่อเห็นสิ่งที่ลูกพี่เอานิ้วคีบขึ้นมา พร้อมๆ กับหน้าของภรรยาผมก็ซีดเผือดไม่แพ้กัน เธอพยายามจะเนียนหนี แต่ก็โดนคว้าข้อมือไว้ได้ ตำรวจพวกนี้ประเมินเธอต่ำไป เธอเป็นผู้หญิงแรงเยอะกว่าที่คิด ไม่งั้นคงฟาดผมถึงตายในไม้เดียวแบบนี้ไม่ได้หรอก เธอคว้าเหล็กแป๊บที่ใช้ฆ่าผมเหวี่ยงไปมาหมายจะป้องกันตัว แล้วก็ โป้ง!
ผมโดนโป้งแปะจนได้ เหล็กแป๊บเหวี่ยงมาที่โอ่งดังโป้งเสียงทึบๆ ก่อนที่โอ่งจะร้าวและแตกพรูออกเป็นเสี่ยง ผมเลยถือโอกาสไถลตัวตามฝูงปลาร้าโหน่งเล็กๆ ออกมานอนกลิ้งอยู่ที่พื้น
ตำรวจ ตี๋น้อยที่กำลังจะเป็นลมเห็นผมแล้ววิ่งออกไปอ้วกที่ลานหน้าบ้านอย่างสุดจะกลั้น ขอโทษทีเถอะครับคุณตำรวจ ผมไม่มีเจตนาจะทำให้คุณคลื่นไส้ แต่ทำไงได้ แช่อยู่ในปลาแดกโหน่งมาตั้งสองสามวัน จะให้สภาพหอมสะอาดเรียบร้อยคงจะยากหน่อยล่ะ
ถามมาสิ
พักนี้โรงเรียนของเราเริ่มมีพวกความเชื่อประหลาดๆ ระบาดอีกแล้ว ไม่รู้ยังไงกันนักหนา เห่อกันเป็นพักๆ ช่วงที่แล้วเห่อความเชื่อที่ว่า ถ้าชอบใครแล้วเขียนชื่อเขาใส่ลงบนยางลบแล้วลบให้หมด เขาจะหันมาชอบเรา ก็ปรากฏว่า เดินไปไหนมาไหนเห็นแต่ขี้ยางลบเกลื่อนเต็มโรงเรียน โต๊ะนักเรียนที่รอยดินสอปากกา เคยเลอะเทอะอยู่นี่จางลงไปมาก ยิ่งตอนเวลาเปลี่ยนคาบรออาจารย์เข้าห้อง เห็นเพื่อนสาวๆ พากันลบยางลบกันมือเป็นระวิง เห็นแล้วก็ทั้งน่าโมโหทั้งน่าขำ
หมดเทศกาลยางลบ เทศกาลซาโตรุคุงก็มา ฉันฟังแค่ชื่อก็ทะแม่งๆ แล้ว ซาโตรุคุงที่ว่าคือตำนานผีญี่ปุ่นที่โด่งดังในหมู่นักเรียนญี่ปุ่น เป็นผีเด็กชายที่ถูกฆ่าตายโดยปีศาจกรีดปากฉีกถึงหู แต่เชื่อกันว่าหากเราต้องการรู้อะไรก็ตามไม่ว่าจะในอนาคต อดีต หรือปัจจุบัน ซาโตรุคุงผู้หยั่งรู้จะสามารถบอกเราได้ทุกอย่าง ขอแค่ทำตามกติกานี้เท่านั้นคือ
ไปที่โทรศัพท์สาธารณะตอนกลางคืน ยกหูขึ้นมา โทร.เข้าเบอร์โทรศัพท์มือถือของตัวเองแล้วกดรับสาย พูดตอบลงไปว่า ซาโตรุคุงได้ยินแล้วตอบด้วย สามครั้ง หลังจากนั้นให้วางหูไป ว่ากันว่า ไม่เกิน 24 ช.ม. จะมีสายโทรศัพท์ปริศนาโทร.เข้ามา เมื่อรับสายจะเป็นเสียงเด็กผู้ชายบอกว่า กำลังเดินทาง ถึงตรงไหน และจะโทร.เข้ามาเรื่อยๆ แต่ละครั้งตำแหน่งที่ปลายสายบอกก็จะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดจะมาถึงหน้าบ้าน
สุดท้าย เราจะได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบามาจากด้านหลัง(ที่ไม่ได้มาจากโทรศัพท์) บอกว่าตอนนี้อยู่ข้างหลังเธอแล้วนะ หลังจากนั้นให้เรารีบถามคำถามที่เตรียมไว้ ห้ามตกใจจนลืมถาม ห้ามอึกอัก ห้ามหนี และห้ามหันไปดูเด็ดขาด มิฉะนั้น ซาโตรุคุงจะเอาชีวิตของคนเล่นไปแทน
เรื่องนี้ทั้งที่ฟังดูน่ากลัวแต่กลับมีนักเรียนสนใจกันมาก หลายคนเล่าว่าได้ลองแล้ว และซาโตรุคุงก็มาตอบให้จริงๆ ส่วนใหญ่ก็จะถามกันเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ถามว่าเขาคนนั้นชอบฉันอยู่หรือเปล่า บางคนก็อาจจะถามว่าฉันจะสอบผ่านไหม ล้วนแต่เป็นเรื่องงี่เง่าทั้งนั้น ที่งี่เง่าสุดคือ ผีญี่ปุ่นมันจะข้ามประเทศมาถึงนี่ได้ไง
น่าแปลกที่ว่า หลังจากเรื่องผีซาโตรุคุงระบาด ก็มีคนที่บอกว่าได้รับคำตอบจากซาโตรุคุงกันมากมาย แถมบางคนถามเรื่องอาการป่วยของพ่อ ซาโตรุคุงก็ตอบได้ตรงเป๊ะอย่างไม่น่าเชื่อ
จะว่าไปก็มีบางเรื่องเหมือนกัน ที่ฉันอยากรู้...
ปกติ แล้วฉันเองเป็นคนไม่กลัวผี ไม่กลัวและไม่เชื่อเสียด้วย การจะลองเล่นอะไรประหลาดๆ พวกนี้ดูบ้างก็ไม่น่าแปลกอะไร หลายปีที่แล้วที่แม่ฉันหายตัวไปจากบ้าน ไม่มีใครรู้ว่าไปอยู่ที่ไหน บางคนก็ว่าแม่หนีไปกับผู้ชายคนอื่น แต่ฉันไม่อยากเชื่อว่าแม่จะทำแบบนั้น
ค่ำวันนั้น ฉันรอจนฟ้ามืดสนิท แล้วเดินออกไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะกลางหมู่บ้าน ทดลองทำตามที่ได้ยินมา คือโทร.เข้าเบอร์มือถือในมือตัวเอง แล้วรับสาย "ซาโตรุคุง..." ฉันพูดลงไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก แต่ยังไม่ทันจบก็ต้องสะดุ้งจนแทบขว้างโทรศัพท์ทิ้ง
เสียงเล็กๆ แหบๆ เสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูโทรศัพท์ "ได้ยินแล้ว...กำลังไปหานะ"
ฉันตกใจรีบวางหูทั้งมือถือและโทรศัพท์ตู้ทันที มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อคนที่โทร.คือฉันเอง ยังถือหูค้างอยู่ด้วยซ้ำ!
หลังจากนั้นเป็นไปตามที่ได้ยินมา ฉันได้รับโทรศัพท์เป็นระยะ ครั้งแรก เสียงนั้นบอกว่า "กำลังอยู่บนรถนะ" ต่อมา บอกว่า "อยู่หน้าหมู่บ้านแล้วนะ" อีกครั้งบอกว่า "กำลังเดินเข้าซอยนะ" และครั้งล่าสุดบอกว่า "อยู่หน้าบ้านแล้วนะ"
ทั้งที่บอกตัวเองว่าไม่กลัว ซาโตรุคุงก็แค่เรื่องเล่าจากประเทศห่างไกล และถึงหากมีจริง เราก็แค่ "ถาม" แต่ฉันก็ตัวสั่น มือเท้าเย็นเฉียบ
ฉันได้ยินเสียงเคาะประตู แต่พอลุกขึ้นยืนเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ยังไม่ทันได้รับ เสียงหนึ่งก็ดังมาจากข้างหลัง เสียงเล็กแหบแห้งชวนขนพองสยองเกล้า ราวกับกำลังกระซิบอยู่ ข้างหู "อยู่ข้างหลังเธอแล้วนะ...ถามมาสิ..."
ใจฉันเต้นตุบตับเหมือนจะหลุดออกจากอก ฉันรีบตั้งสติเปล่งเสียงออกมาด้วยความตื่นกลัว "ฉันอยากรู้ว่า แม่ของฉันหายไปอยู่ที่ไหน"
หลังจากที่ฉันถามไปแล้ว ภายในห้องมีแต่ความเงียบเชียบ ฉันยืนรอตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่หลายนาที จนชักประหลาดใจว่าทำไมซาโตรุคุงไม่ตอบเสียที "เอ่อ ซาโตรุคุง ยังอยู่ไหม"
ยังคงเงียบ ฉันสงสัยเลยแอบชำเลืองไปมองด้านหลังนิดหนึ่ง แล้วก็ต้องตกตะลึงตัวชาเหมือนฟ้าผ่า เมื่อสบเข้ากับดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าซีดขาวที่แนบหน้ารออยู่ข้างหู
ซาโตรุคุงยิ้มแสยะปากฉีกกว้างออกจนถึงใบหู "แม่เธอตายนานแล้วล่ะ แต่ตอบคำถามเธอว่าแม่เธออยู่ที่ไหนตอนนี้นี่มันยากสักหน่อย เอาเป็นว่าฉันพาเธอไปหาแม่เองละกันนะ"
ลายมือมรณะ
เมื่อวานนี้ผมนั่งเสิร์ชหากูเกิ้ลเล่นๆ แก้เหงา มาสะดุดตรงเรื่องเส้นลายมือขาด ผมตามไปอ่านหลายเว็บไซต์ มีทั้งคนที่ไม่เชื่อและเชื่อ เชื่อที่ว่าก็คือหากใครมีเส้นลายมือขาด คนคนนั้นมักจะประสบอุบัติเหตุจนตายโหง
ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อเบนครับ จะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเส้นลายมือขาดของเขา
เบนเป็นเพื่อนกับผมตั้งแต่เล็ก จำความได้ผมก็สนิทสนมกับเขาแล้ว นอกจากมีบ้านที่ใกล้กันแล้ว เรียนหนังสือโรงเรียนเดียวกันแล้ว ครอบครัวผมกับเขายังสนิทสนมกันอีกด้วย พ่อของเบนเป็นฝรั่งอิตาลี ฝรั่งชาตินี้ให้ความสำคัญกับเรื่องครอบครัวมาก พ่อของเบนก็ใจดี แต่เรื่องเส้นลายมือขาดของบนที่ขาดทั้งสองข้างพ่อของเบนไม่เชื่อเลยว่าจะเป็นเหตุหรือลางบอกเหตุว่าเบนต้องประสบอุบัติเหตุหรือจะตายโหง พ่อเขานับถือศาสนาคริสต์จึงไม่เชื่อ จะรวมทั้งแม่ของเบนด้วยหรือไม่ ผมจำไม่ชัด เพราะแม่ของเบนไม่ค่อยโดดเด่น เป็นช้างเท้าหลัง พ่อว่าอย่างไรแม่ก็ว่าตามกัน แม่ของเบนเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดจากับใคร ไม่ค่อยมีความเห็นเรื่องใดๆ เข้ากับคนทุกคนได้ดี แต่ใจดีเหมือนกับพ่อ
แน่ล่ะ เบนเติบโตในเมืองไทย โรงเรียนไทย สังคมทั่วไปก็คนไทย นานเข้าเบนก็ชักเป๋ตามความเห็นนี้จนเชื่อว่าเขาต้องประสบอุบัติเหตุและอาจจะตายโหงเข้าสักวัน เบนเป็นเอามากเมื่อเราเรียนชั้น มอหก โดยเฉพาะช่วงที่เขาบ้าเรื่องหมอดู ฮวงจุ้ย โหงวเฮ้งอะไรทำนองนี้ เขาเชื่อหมด หาตำรามาอ่าน ถามคนที่รู้เรื่องและชอบพอเหมือนกัน ใครไม่สนเรื่องพวกนี้ โดยเฉพาะทำท่าไม่เชื่อ เขาไม่คุยด้วยเลย แรกๆ ผมก็รู้สึกตลกมากกว่าแต่นานวันเข้าเห็นเบนเป็นเอามาก จนเหมือนกับจะห่างๆ ผมไปเลยด้วยซ้ำ จนผมเห็นเริ่มเป็นห่วง ต้องพยายามฟังเขาพูด ทำท่าสนใจเรื่องพวกนี้อยู่ตลอด ก็เพราะเขาเชื่อเรื่องพวกนี้อย่างที่สุด ถึงขนาดไม่ยอมขับมอเตอร์ไซค์ ข้ามถนนก็ตรงทางม้าลายตลอด ไปไหนมืดค่ำไม่ยอมไป อะไรที่เป็นความเสี่ยงให้เขาต้องตายโหงเขางดหมด และแน่นอนเบนไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ตลอด ชนิดพอมีใครทักเรื่องเส้นลายมือขาด เบนมีอันต้องไปทำบุญทันที (อย่างน้อยก็ใส่บาตร ทำสังฆทานล่ะ)
พ่อเบนมีปัญหากับเขาแน่นอน!
พ่อลูกทะเลาะกันหลายครั้ง ครั้งรุนแรงที่สุดก็ตอนที่พ่อเบนเอาหนังสือพวกนี้ไปจุดไฟเผาทิ้ง เบนมายื้อแย่งจนลงไม้ลงมือกับพ่อตัวเอง พ่อไล่ออกจากบ้าน เบนมาอาศัยนอนที่บ้านผมจนแม่ต้องมาตามขอโทษครอบครัวผมและฝากลูกชาย มีการส่งข้าวส่งน้ำส่งเงินให้ลูกลับหลังจากแม่ของเบนทุกวัน แม่ผมบอกไม่เป็นไรๆ แม่เบนก็ไม่ยอม เราต้องรอจนพ่อหายโกรธและเป็นฝ่ายมาตามให้กลับบ้าน นั่นแหละเบนถึงจะกลับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเบนจะเลิกเชื่อเรื่องเส้น ลายมือขาด เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นต่อจากนี้แหละ!
มีคนแต่งตัวเป็นฤๅษีคนหนึ่งมาปักกลดทำตัวเหมือนพระอยู่บริเวณที่รกร้างใกล้บ้านของพวกเรา คนก็แห่ไปแน่นสิครับ ก็เริ่มจากใบ้หวยได้ถูก ฤๅษีท่าทางประหลาดจึงปักกลดอยู่นานเพราะมีข้าวปลาอาหารมาถวายทุกวัน มีเงินใส่ซองไม่ขาด แน่นอนที่สุดเบนต้องแวะไปหาแน่นอนและก็มาตรงนี้แหละตรงที่ดันไปทักเบนว่า เส้นลายมือขาด!
"คุณต้องมาปวารณาเป็นลูกศิษย์อาจารย์ มิเช่นนั้นชะตาชีวิตคุณจะหมดในอีกไม่เกิน อืม สองสัปดาห์" ฤๅษีพูดอย่างนี้เพราะผมไปกับเบนด้วย ได้ยินมาเต็มสองหู เบนเชื่อสุดใจ แต่ถ้าแค่ตั้งใจกราบหรือทำอะไรแสดงตัวเป็นลูกศิษย์ซึ่งพ่อเบนไม่รู้ไม่เห็นก็คงจะไม่เกิดเรื่อง
แต่ฤๅษีให้เบนห่มคลุมตัวแบบฤๅษีน่ะสิ! แถมยังต้องปฏิบัติรับใช้ใกล้ชิดทุกวันเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ไหนจะเรื่องเรียน ต้องไปโรงเรียน ไหนจะไม่ให้พ่อรู้ ต้องอยู่บ้าน ปัญหาจึงเกิดขึ้นทันที เพราะเบนทำตามคำแนะนำของฤๅษีทุกอย่าง!!
พ่อเบนแจ้งตำรวจจับฤๅษี ไม่เพียงทำเอาชาวบ้านโกรธแค้นพ่อของเบนแล้ว เบนถึงกับประกาศรับฤๅษีเป็นพ่อแทนตัวเอง ฤๅษีคนนั้นอายุยังไม่ถึง 30 ปี เลยครับ
ฤๅษีไม่ถูกจับ แถมยังอยู่บริเวณนั้นได้สะดวก และดูท่าสมบูรณ์พูนสุขมากขึ้นอีก เพราะมีคนเช่าทาวน์เฮาส์ให้เข้าไปตั้งสำนัก มีลูกศิษย์ลูกหาเพิ่มอีกหลายคนด้วยซ้ำ
เวลาผ่านไปครบเดือน เบนก็เลิกห่มเลิกคลุมผ้าแบบฤๅษีแต่ยังเป็นลูกศิษย์รับใช้ในทาวน์เฮาส์หลังนั้น อีกไม่ถึงสามวันหลังครบเดือน เบนก็ถูกรถชนขณะเดินตามฤๅษีไปทำกิจธุระ คนมากมายที่เดินตามและห้อมล้อมไม่เป็นไรสักคน แต่เบนกลับเสียชีวิตในที่เกิดเหตุเพียงคนเดียว
พ่อเบนร้องไห้เสียใจมาก แม่เบนและพวกเราก็เช่นกัน
ในความฝันผมเห็นเบนหน้าตาหมองเศร้า เขากล่าวขอโทษผมและให้ไปช่วยบอกว่าขอโทษ เขาเข้าบ้านไม่ได้เพราะพ่อมีกางเขนติดไว้หน้าบ้าน
ผมไปเล่าให้พ่อฟัง พ่อของเบนก็ยังไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ หาว่าผมโกหก ตายแล้วย่อมไปหาพระเจ้า ศาสนาของเขาไม่เชื่อเรื่องการเข้าฝัน
คนเราต่างจิตต่างใจจริงๆ คุณล่ะเชื่อผมไหม
ลฺกบิดปริศนา
ของฟรีไม่มีในโลกจริงๆ เชื่อผมเถอะ!!!
ผมกับภรรยาผ่อนอพาร์ตเมนต์ต่อจากเพื่อนคนหนึ่งที่เขาผ่อนมาก่อนหน้านี้สี่เดือนแล้วยกให้ฟรีๆ โดยบอกว่าได้งานใหม่ที่อเมริกา ไม่คิดค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่เสียไปแล้วทั้งหมด ผมดีใจไม่น้อย เพราะทำเลที่พักใหม่กลางเมือง เดินไม่ถึงสองร้อยเมตรก็ถึงรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ภรรยาผมตั้งข้อสังเกตว่า "ให้ฟรีๆ อะไรอย่างนี้ มีอะไรหรือเปล่า"
ผมลืมนึกข้อนี้ไป ไม่ใช่เพียงเพราะไม่อยากเดินทางไปกลับบ้านไกลจากที่ทำงาน แต่เพราะความโลภแท้ๆ ผมบอกภรรยาไปว่า "ช่างเหอะ ของฟรี อย่าคิดมากเลย"
แค่ขนของเข้าบ้านวันแรกคืนนั้นก็เอาแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาระหว่างขนของก็ต้องเปิดประตูทุกครั้งเข้าออก แต่เข้าออกเปิดปิดหลายหน ขนเก้าอี้ ลากโต๊ะ เครื่องคอมพิวเตอร์ สารพัดเครื่องใช้ไฟฟ้า ทุกครั้งผมสังเกตว่าทำไมลูกบิดประตูทั้งฝืดและหนักมาก ภรรยาผมสงสัยก่อน ผมเองก็รู้สึกแต่ด้วยเหตุที่ภรรยาทักท้วงก่อนหน้านี้แล้วเรื่องการให้ห้องฟรีๆ ผมจึงเกรงเสียหน้า ได้แต่ตอบไปว่า "ก็ธรรมดานะ ลูกบิดแพงๆ สแตนเลสแบบนี้ ต้องหนักกว่าพวกอันละร้อยกว่าบาทอย่างบ้านเก่าที่เราเคยใช้"
ผ่านไปจนกระทั่งขนของเสร็จในเวลาค่ำ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเราสั่งพิซซ่ามารับประทานกัน พอใกล้มืดผมก็เริ่มหวาดระแวง ที่จริงผมก็กลัวอยู่หรอกแต่ความมีทิฐิและเป็นผู้ชายผมก็ทำราวกับไม่กลัว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น กินพิซซ่าไปมองไปทางลูกบิดประตูไป จนกระทั่งเข้านอนผมก็หลับตาตามปกติ แต่ด้วยความแปลกที่ทำเอาผมนอนไม่หลับ ลุกขึ้นมาเปิดหนังดูคนเดียว ภรรยาเพลียหลับไปนานแล้ว
อพาร์ตเมนต์แห่งนี้มีสองห้องเล็กที่กินเนื้อที่เท่ากับอีกห้องที่เหลือ สองห้องเล็กเป็นห้องนอนและห้องครัว ส่วนห้องใหญ่ใช้เป็นที่ส่วนกลาง ทั้งนั่งนอน รับแขกและพักผ่อน ประตูทางเข้าห้องอยู่หน้าห้องใหญ่ ผมเปิดหนังดูได้สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ตอนแรกไม่คิดอะไร เมื่อไปเปิดก็ไม่เห็นใคร สุดทางเดินซ้ายขวาไม่มีใครทั้งสิ้น ผมปิดประตูและพยายามไม่คิดอะไรทั้งนั้น แล้วก็มีเสียงเคาะประตูอีก ผมเดินไปเปิดอีกก็เหมือนเดิม ช่วงกำลังปิดประตูและเตรียมจะกดล็อกลูกบิดผมก็ได้ยินเสียงแก๊กที่ลูกบิด ผมแน่ใจว่าไม่ได้กดล็อกแน่นอน มือยังกำลูกบิด มันดังคลิกต่อหน้าต่อตาอย่างนี้ ผมจึงตกใจผวาไปที่ห้องนอน เปิดปิดประตูดังๆ ให้เธอตื่น ซึ่งเธอก็ตื่นจริงๆ แต่งัวเงียบ่นว่าทำอะไรเบาๆ หน่อย คนง่วงจะตายอยู่แล้ว
ผมไม่สนใจรีบสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มคลุมโปงเตรียมจะนอน แต่เสียงหนังที่เปิดค้างไว้ ภรรยาจึงบอกว่าเปิดหนังดูหรือ ทำไมไม่ไปปิด
"ไปด้วยกันสิ" ผมพูด
"เกิดกลัวผีขึ้นมา ไหนบอกไม่กลัวไง" เธอบ่นแต่ก็ยอมลุกแต่โดยดี
ผมไม่ต่อความยาวสาวความยืดเพื่อให้บรรลุผลและเรื่องจบๆ ไป เธอยืนงัวเงียเป็นเพื่อนผมที่กำลังกดปิดเครื่องเล่นและดึงปลั๊กออก ทันใดนั้นเองเราสองคนก็ได้ยินเสียงเหมือนประตูห้องเราเปิดออกเอง เอี๊ยด!!
"นี่เธอลืมปิดประตูหน้าหรือ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นมาได้หมดบ้านหรอก" ภรรยาว่า
"เปล่า เราปิดกับมือเลย"
ภรรยามองหน้าผม เรามองหน้ากันไปมา แล้วภรรยาก็พูดว่า "เดินไปดูสิ ถ้าประตูเปิดจริงๆ เดี๋ยวได้ถูกยกเค้าหมดหรอก"
"ไปด้วยกันนี่แหละ"
ผมพูดแล้วก็จูงมือเธอที่เหมือนได้สติตื่นขึ้นมา เราเดินไปช้าๆ ความมืดที่ก่อตัวตะคุ่มๆ ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ยอมเปิดไฟ จึงเดินไปควานหาสวิตช์ไฟ เพราะเพิ่งมาอยู่ใหม่ ยังจำไม่ได้ว่าตำแหน่งสวิตช์อยู่ที่ใด ผมกดสวิตช์ไฟคลิกปั๊บไฟก็สว่างวาบ แล้วเราก็เห็นว่าประตูหน้าปิดไม่ได้เปิดอย่างที่เข้าใจ
"ช่างเหอะ นอนเถอะ ฉันง่วง" ภรรยาตัดบท
ผมคิดว่าเธอคงมีคำพูดที่ไม่อยากพูดเช่นเดียวกันกับผม
ทั้งคืนได้ยินเสียงเคาะประตู เสียงบิดลูกบิดไม่หยุด ผมนอนคลุมโปงทั้งคืนไม่กล้าแม้แต่ลุกไปปัสสาวะ
รุ่งเช้าหลังอาบน้ำเรียบร้อยผมชวนภรรยาออกจากบ้าน แล้วก็พูดในเรื่องที่เราค้างคาใจ "เราว่า ที่ลูกบิดนั่นต้องมีผี เธอว่ามะ"
"ชัดเจน ตรงประเด็น ว่าแต่ดูหนังผีมากไปเปล่า"
"แล้วเสียงมันมาจากไหน"
"เราว่าโทร.ถามเพื่อนเธอเลย คนที่ยกห้องให้"
"ไม่ต้อง ช้าไป ถามคนในอพาร์ตเมนต์ ยาม คนขายอาหารหน้าอพาร์ตเมนต์ อะไรพวกนี้น่าจะได้เรื่องเร็วกว่า"
เราพากันไปเดินถาม เพียงแต่ยามข้างล่างก็พร้อมที่จะเล่าให้ฟัง
ยามพูด "ใช่ครับ ผูกคอตายที่ลูกบิดนั่นแหละครับ พี่ไม่ถามผมก็ไม่กล้าเล่า มันเสียมารยาท" ยามยิ้มและพูดต่อ "ผมเห็นกับตาเลย เพราะเป็นคนเอากุญแจไขเข้าไปแต่มันแน่นๆ หนักๆ ไขไม่ค่อยออก กลิ่นก็โชยเน่าออกมา สุดท้ายกู้ภัยก็ใช้ชะแลงงัดเข้าไป"
เราจ้างบริษัทรับขนของย้ายบ้าน โดยที่ผมกับภรรยาไม่กล้าแม้แต่จะเดินไปหน้าห้องอีกเลย แค่คิดก็ขนลุกแล้ว! เข็ดแล้ว ของฟรีไม่มีโลก ผมคนหนึ่งที่เชื่อสนิทใจ
เงาหัว
เจนนี่ เป็นลูกครึ่ง แม่เป็นชาวอเมริกันพ่อเป็นคนไทย เธอเกิดและเติบโตที่ลอสแองเจลิส สหรัฐ ตอนนั้นเธออายุ 14 ปี ครอบครัวเธอย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยภายหลังปู่เสียชีวิต แรกๆ พ่อเธอก็เพียงจะกลับมาจัดการเรื่องทรัพย์สมบัติ แต่อยู่ไปอยู่มาแม่ของเจนนี่เกิดชอบเมืองไทย ครอบครัวจึงเปลี่ยนใจลงหลักปักฐานแทน
เจนนี่มีพื้นฐานเกี่ยวกับเมืองไทยและความเป็นไทยน้อยมาก เธอค่อยๆ เรียนรู้จากสภาพแวดล้อมและเพื่อนๆ เธอเหมือนกับวัยรุ่นทั่วโลกจำนวนไม่น้อยที่ชอบเรื่องลี้ลับและตื่นเต้น วันหนึ่งเธอได้ยินคุณย่าเล่าเรื่องเห็นคนไม่มีหัวหรือไม่มีเงาหัว จากนั้นคนคนนั้นก็จะเสียชีวิต
"มันเป็นลางบอกเหตุจ้ะ" ย่าบอกเจนนี่
"คล้ายๆ ซิกธ์เซนส์ใช่ไหมคะ" เจนนี่ถาม
ย่าพยักหน้ารับอย่างเอ็นดู แล้วเล่าต่อ "ตอนแม่ของย่า ทวดของหนูอพยพมาเมืองไทย กำลังจะขึ้นเรือกัน ทวดเห็นคนในเรือไม่มีหัวก็ร้องตกใจจนพ่อกับแม่ของทวดไม่กล้าขึ้นเรือลำนั้น ในเวลาต่อมาก็ทราบว่าเรือลำนั้นล่ม เสียชีวิตกันทั้งลำ"
เจนนี่หมกมุ่นกับเรื่องเงาหัว เธอเที่ยวไปถามคนนั้นคนนี้รวมทั้งผม พ่อผมขับรถให้ครอบครัวของเธอ ผมเล่าเรื่องตอนเด็กๆ ที่เดินตามน้าชายกลับจากดูหนังกลางแปลงให้ฟัง โดยทำเสียงเล็กเสียงน้อยพลางทำท่าเล่าอย่างออกรสออกชาติ
"ตอนนั้นดึกแล้ว ผมค่อนข้างง่วง ผมเดินช้าจนห่างจากน้าไม่น้อย แต่แล้วก็ตาสว่างโพลง หายง่วงไปเลย เพราะผมเห็นน้าชายไม่มีหัว อีกไม่ถึงเดือนน้าชายก็ขี่มอเตอร์ไซค์ถูกสิบล้อชนตาย ผมไม่เคยเล่าเรื่องน้าไม่มีหัวให้ใครฟังนะ ผมเล่าให้คุณเจนนี่ฟังเป็นครั้งแรก"
เจนนี่ตื่นเต้นมาก "คนไทยสนุกจัง เจนนี่ชอบ" พูดพลางหัวเราะเฮฮา
เจนนี่นำเรื่องนี้ไปเล่าให้ย่าของเธอฟัง ที่จริงทุกเรื่องที่มีคนเล่าเกี่ยวกับคนไม่มีหัวและเรื่องอื่นๆ เจนนี่เล่าให้ย่าฟังเสมอแหละ
ผมเคยบอกเจนนี่ว่า "บางเรื่องก็ไม่ควรเล่านะครับคุณเจนนี่ อย่างกรณีน้าชายผม ถ้าผมรีบไปทำบุญก่อนจะเล่าให้พ่อฟัง น้าก็อาจจะไม่ตาย โบราณว่าต้องทำบุญก่อนจะเล่าให้คนอื่นฟัง"
"ไหนเธอบอกว่าเพิ่งเล่าให้ฉันฟังเป็นครั้งแรก"
"ผมโกหก แค่อยากให้คุณเจนนี่ตื่นเต้น รู้สึกสนุก"
เจนนี่ทำท่าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรผมมากแม้แต่เรื่องนี้ สุดท้ายเธอก็เล่าเรื่องผมให้ย่าเธอฟัง แม้แต่เรื่องปี๊บ "เพื่อนหนูคนหนึ่งนะ เล่าว่า อ้อ ย่าคะ คนไทยโบราณเขาเชื่อกันว่าถ้าเห็นคนไม่มีหั ให้รีบเอาปี๊บคลุมหัวหรือคะ ปี๊บคืออะไรคะ"
ย่ายิ้มอย่างนึกขัน "สมัยนี้หายากขึ้น สมัยก่อนเขาจะเอาไว้ใส่ของ สมัยนี้ใช้ถังพลาสติกแทน ปี๊บก็ค่อยๆ หายไป ที่เจนนี่ได้ยินเพื่อนบอก ย่าก็เคยได้ยิน บางคนเขาก็ว่าให้รีบเอาผ้าคลุมหัวแล้วพูดว่า? นี่ข้าต่อหัวให้แก? ย่าก็เคยได้ฟังมา หนูเป็นเด็กสมัยใหม่ เชื่อด้วยหรือ"
"หนูคิดว่าสนุกดีค่ะ"
"ย่าจะสอนอะไรให้อย่างหนึ่ง เราอย่าไปล้อเล่นหรือเห็นความเชื่อของคนอื่นเป็นเรื่องตลก"
เจนนี่ไม่ตอบ ได้แต่หัวเราะคิกคักแล้วเดินเข้าบ้าน เธอสนุกกับเรื่องความเชื่อและบรรยากาศสังคม ประเพณีไทยๆ เธอรู้สึกสนุกเพลิดเพลินมากกว่าจะเห็นเป็นเรื่องความรู้วิชาการ
เดือนต่อมาทางบ้านของเจนนี่ก็มีงานขึ้นบ้านใหม่ เธอดูตื่นเต้นมาก เดินไล่ดูตั้งแต่เพื่อนพ่อนำสายสิญจน์มาวนภายในบ้าน เดินดูการจัดตั้งโต๊ะหมู่บูชาจนกระทั่งพระสงฆ์เดินทางมาถึง แม้แต่อาหารสำรับอาหารคาวหวานเจนนี่ก็พลอยตื่นเต้นอย่างไม่รู้จบ
หลังงานเลี้ยงทำบุญแบบไทยๆ ผ่านไป ตกค่ำพ่อกับแม่ก็จัดปาร์ตี้ขึ้นในบ้าน บ้านใหม่ของครอบครัวเป็นบ้านเดี่ยวสูงถึงสี่ชั้นเพราะพ่อกับแม่เปิดเป็นบริษัท ทำชั้นล่างของบ้านเป็นสำนักงาน เจนนี่ชอบขึ้นไปยืนรับลมเล่นที่ชั้นสี่ ที่สนามหญ้าด้านล่างวันนั้นมีคนมาไม่น้อย เจนนี่เริ่มเหน็ดเหนื่อย เธอคึกคักมาทั้งวันจนหมดแรงแล้วจึงหลบขึ้นไปชั้นบน
ขณะยืนรับลมพลางกวาดตามองลงมาสนามหญ้า เจนนี่รู้สึกใจหวิวๆ ชอบกลแล้วก็มีอันต้องตกใจเบิกตาโพลง! เมื่อมองลงมายังพ่อที่กำลังยืนคุยกับเพื่อน แต่พ่อไม่มีหัว!
เจนนี่ยืนตัวแข็งสักพักก็ได้สติ รีบเข้าห้อง เดินอย่างหน้าตาตื่นไปหาย่าในห้อง ย่ากำลังสวดมนต์ก่อนนอน
"พ่อค่ะย่า พ่อไม่มี" เธอพูดทันทีที่ปะหน้าย่า ก่อนจะร้องไห้โฮ
"ใจเย็นๆ พ่ออะไร" ย่าถาม
"ไม่มี...หัว...ค่ะ" แล้วก็ร้องโฮอีก
ย่าต้องพยายามปลอบใจฟื้นคืนสติอยู่พักใหญ่
"ไม่มีอะไรเจนนี่ พรุ่งนี้เราไปทำบุญที่วัดกัน ย่าจะพาไปเอง เรื่องนี้ไม่ต้องเล่าให้ใครฟังนะ"
เจนนี่เล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้ผมฟังในเวลาต่อมา ผมพยายามพูดปลอบใจเธอเช่นกัน แต่ทว่าสัปดาห์ต่อมาพ่อของเจนนี่ก็ประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ กระจกรถตัดคอขาด
ทุกวันนี้เจนนี่กับแม่ย้ายกลับไปอเมริกาแล้ว ผมกับพ่อไม่เคยได้ข่าวคราวของเจนนี่อีกเลย