ญาณสังวรธรรม เทศนาพิเศษ พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก -----------------------------------------
สุทธิมรรคกถา* นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส กมฺมํ วิชฺชา จ ธมฺโม จ | | สีลํ ชีวิตมุตฺตมํ |
เอเตน มจฺจา สุชฺฌนฺติ | | น โคตฺเตน น ธเนน วาติ |
บัดนี้ จักแสดงพระธรรมเทศนา ในสุทธิมรรคกถา ฉลองศรัทธา ประดับปัญญา เพิ่มพูนสัมมาปฏิบัติตามสมควรแก่กุศลทักษิณานุปทาน ที่ มล.ปุ๋ย (นพวงศ์) ชัยนาม ภริยาและบุตร กับน้องและมิตรญาติทั้งหลายได้พร้อมกันเป็นเจ้าภาพ บำเพ็ญในคราวที่จะรับพระราชทานเพลิงศพ นายดิเรก ชัยนาม ตามทางพระพุทธศาสนาด้วยความกตัญญูกตเวทีและด้วยความระลึกถึงคุณความดีของท่านผู้ล่วงลับไปแล้ว ดังที่พระบรมศาสดาได้ตรัสไว้ความว่า “เมื่อระลึกถึงอุปการกิจที่ท่านผู้ละไปได้ทำไว้ ก็พึงให้ทักษิณาเพื่อท่านผู้ละไป” ดังนี้
นายดิเรก ชัยนาม เป็นผู้มีเกียรติคุณที่คนรู้จักและนับถือมากผู้หนึ่ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้ทำงานในตำแหน่งที่สำคัญมามาก และปรากฏว่าเป็นผู้สามารถสมแก่ตำแหน่ง เป็นนักศึกษาที่ไม่หยุดในการศึกษาแสวงหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดมา ทั้งไม่หยุดในการแสดงความรู้ให้เป็นวิทยาทานและในการเขียนหนังสือให้เป็นประโยชน์ทางความรู้แก่คนทั้งหลาย เป็นผู้ประพฤติตนดี และวางตนดี ไม่ให้แปดเปื้อนเสียหาย นับว่าเป็นคนดีมีกรรมอันสะอาดได้คนหนึ่ง
นายดิเรก ชัยนาม เป็นบุตรข้าราชการผู้ใหญ่ฝ่ายตุลาการ ได้ศึกษาสำเร็จวิชาทางกฎหมาย ได้เริ่มเข้ารับราชการในกระทรวงยุติธรรมตามท่านบิดา ต่อมาได้เข้ารับราชการในตำแหน่งทางการเมืองโดยมาก ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ จนถึงตำแหน่งรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี ได้ไปปฏิบัติราชการและรับราชการในต่างประเทศหลายครั้ง ได้เป็นสมาชิกรัฐสภามาตั้งแต่แรกมีรัฐสภา จนถึงเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ตำแหน่งสุดท้ายคือเป็นเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มประจำสหพันธรัฐเยอรมัน ได้ดำรงตำแหน่งนี้ตราบเท่าถึงเกษียณอายุราชการ นอกจากนี้ยังได้ทำงานด้านมหาวิทยาลัย เป็นคณบดีคณะรัฐศาสตร์คนแรกของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยได้รับเชิญไปบรรยายในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในต่างประเทศ ได้รับตำแหน่งผู้บรรยายวิชาพิเศษต่างๆ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มานาน จึงปรากฏว่ามีชีวิตคลุกเคล้าอยู่กับงานด้านมหาวิทยาลัย คู่กันไปกับงานด้านราชการ แม้เมื่ออายุครบเกษียณออกจากราชการแล้ว ก็เข้าปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งศาสตราจารย์พิเศษในคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ทำหนังสือทางวิชาการที่พิมพ์ออกเป็นเล่มแล้วหลายเล่ม มีบทความปาฐกถาทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศที่พิมพ์แล้วและยังมิได้พิมพ์อีกมากเรื่อง
แม้ในทางพระพุทธศาสนา นายดิเรก ชัยนาม ได้รับใช้ทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา เช่นเป็นผู้แทนไทยในการประชุมองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกครั้งที่ ๕ ที่กรุงเทพฯ เป็นกรรมการฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ และได้แสดงปาฐกถาเกี่ยวแก่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศหลายครั้ง
นายดิเรก ชัยนาม ปรากฏว่าเป็นผู้มีอัธยาศัยดี สงเคราะห์บุตรภริยา มิตรสหาย และผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ช่วยเอื้อเฟื้อ จึงเป็นผู้ที่มีมิตรสหายมาก เป็นสมาชิกของสมาคมสโมสรหลายแห่ง เป็นผู้มุ่งที่จะใช้ชีวิตบั้นปลายทำประโยชน์อีกมาก แต่ก็ต้องละไปตามธรรมดาของสังขาร เป็นที่อาลัยเสียดายของคนเป็นอันมาก เพราะเป็นคนรักษาความดีมีกรรมสะอาด อันน่านับถือ มีความรู้ที่จะแสดงออกให้ได้ มีอัธยาศัยสุภาพ มีจิตใจกอบด้วยธรรม คุณความดีที่ใครๆ ได้ทำไว้ย่อมเป็นที่ระลึกถึง และเป็นที่แสดงออกให้ปรากฏจนได้แม้ในปัจจุบัน ดังจะพึงเห็นได้ว่า การศพของท่านได้รับพระราชทานเครื่องอิสริยยศตามควรแก่ความดีและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตั้งแต่ต้นมา และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จะเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพ ญาติมิตรสหายทั้งหลายก็ได้ช่วยและร่วมบำเพ็ญกุศล ทั้งได้รวบรวมทุนส่งเสริมการศึกษา จะให้ชื่อว่า “ทุน ดิเรก ชัยนาม” เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงท่านผู้ล่วงลับไปแล้วนั้นด้วย
ขณะที่คนผู้เกิดมาต้องการสืบต่ออายุไปไม่มีที่สิ้นสุด มัจจุคือความตายก็มาพรากชีวิตไป ทอดทิ้งร่างกายและทุกๆ สิ่งที่เคยยึดถือเป็นของตนไว้ เว้นไว้แต่กรรมที่ตนเองได้ทำแล้ว ดังที่พระบรมศาสดาตรัสเตือนไว้ (ในโกศลสังยุตต) ความว่า “ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงิน ทอง หรือแม้ของที่หวงแหนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และทาส คนทำงาน คนรับใช้ ซึ่งต้องเลี้ยงดู ทั้งหมดอันคนที่จะต้องตายพาไปด้วยมิได้ ต้องทอดทิ้งทั้งหมดไป ส่วนกรรมใดที่บุคคลทำด้วยกาย วาจา หรือด้วยใจ กรรมนั้นแลเป็นของผู้ทำนั้น เขาพากรรมนั้นไป และกรรมนั้นย่อมติดตามผู้นั้นไป เหมือนเงาไม่ละตน” ฉะนั้น สิ่งที่จะเป็นของตนจริงก็คือกรรมที่ทุกๆ คนทำแล้ว แต่กรรมนั้นมี ๒ คือ กรรมดี กับกรรมชั่ว ถ้ากรรมดีก็ส่งผลให้เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด ถ้าทำกรรมชั่วก็ส่งผลให้เป็นผู้เศร้าหมองสกปรก ฉะนั้น จึงได้มีพระพุทธภาษิตแสดงสุทธิมรรค คือ ทางแห่งความบริสุทธิ์สะอาด ยกกรรมขึ้นเป็นข้อแรก กับธรรมเป็นเครื่องประกอบอีกบางข้อ ว่า กมฺมํ วิชฺชา จ ธมฺโม จ เป็นอาทิ แปลความว่า “กรรม ๑ วิชชา ๑ ธรรม ๑ ศีล ๑ ชีวิตอันอุดม ๑ ผู้ที่จะต้องตายย่อมหมดจดสะอาดด้วยทางนี้ มิใช่ด้วยโคตร ตระกูล มิใช่ด้วยทรัพย์” ดังนี้
เรื่องกรรมและผลของกรรมเป็นหลักธรรมข้อสำคัญในพระพุทธศาสนา ถ้าได้ทำความเข้าใจว่าเป็นของจริงในปัจจุบันทันตาเห็น ก็จะเป็นเครื่องช่วยให้พ้นความไม่ดีและความทุกข์ต่างๆ ได้มาก เพราะจะทำให้ประพฤติตนไปในทางแห่งความหมดจดสะอาด พระพุทธเจ้าทรงยกความหมดจดสะอาดขึ้นแสดงเป็นผลแห่งกรรมที่ดีเป็นต้น โดยตรงกันข้าม ความสกปรกเศร้าหมองเป็นผลแห่งกรรมที่ชั่ว บุคคลย่อมมีพื้นปัญญาที่รู้จักบาปบุญคุณโทษดีชั่วถูกผิดอยู่ด้วยกัน และเมื่อหมั่นศึกษาพิจารณาก็จะยิ่งรู้มากขึ้น ฉะนั้น เมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็มักจะรู้ว่าไม่ดี หรือเมื่อทำอะไรดี ก็มักรู้ว่าดี เช่นเดียวกัน และย่อมรู้ถึงคนอื่นๆ ที่ทำดีหรือไม่ดีอย่างไร นอกจากนี้บุคคลยังอาจที่จะงดเว้นไม่ทำกรรมอะไร หรือจะทำกรรมอะไรก็ได้ และก็เป็นการสมควรที่จะงดเว้นกรรมที่ไม่ดี ทำแต่กรรมที่ดี ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ว่า “ท่านทั้งหลายจงละกรรมที่ชั่วเสีย จงทำกรรมที่ดี ท่านทั้งหลายอาจที่จะละจะทำดังนั้น และเมื่อละกรรมที่ชั่วทำกรรมที่ดีแล้ว ก็จะได้รับประโยชน์สุข” ฉะนั้น ถ้าได้ปฏิบัติตามพระโอวาทนี้ก็จะมีกรรมที่ดีงาม เป็นทางแห่งความหมดจดสะอาดข้อแรก
กรรมของคนนั้นโดยปกติย่อมเนื่องด้วยวิชชา คือความรู้ เพราะจะทำอะไรได้ตามความรู้ จึงต้องมีการศึกษาความรู้ต่างๆ เบื้องต้นก็ต้องศึกษาให้มีความรู้ที่จะใช้ในการประกอบอาชีพหรือที่จะทำกรรม คือการงานที่ประสงค์ และให้มีความรู้จักดีชั่วถูกผิดในกรรมที่ทำ ทั้งให้รู้วิธีที่จะละกรรมที่ชั่วทำกรรมที่ดี คือ ให้มีโกศล ความฉลาด ๓ อย่าง ได้แก่ อายโกศล ความฉลาดรู้ในทางเจริญ อปายโกศล ความฉลาดรู้ในทางเสื่อม อุปายโกศล ความฉลาดรู้ในอุบาย คือวิธีเข้าถึงความเจริญ
ทางหรือเหตุให้เกิดวิชชา คือ สุต การสดับตรับฟังหรือการเรียน จินตา การคิด ภาวนา การอบรมปฏิบัติ เรื่องพระราชดำริของพระเจ้าปเสนทิโกศล (ในโกศลสังยุตต) เป็นตัวอย่างแห่งการได้ความรู้จากการคิด คือ พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพระดำริว่า “ใครหนอชื่อว่ารักษาตน ใครไม่ชื่อว่ารักษาตน” เมื่อทรงตั้งปัญหาขึ้นดังนี้แล้ว ก็ทรงดำริต่อไปว่า “คนบางพวกที่ประพฤติทุจริตทางกายวาจาใจ แม้จะมีหมู่จาตุรงคเสนารักษาอยู่ ก็ไม่ชื่อว่ารักษาตน เพราะนั้นเป็นการรักษาภายนอก มิใช่เป็นการรักษาภายใน ส่วนคนบางพวกที่ประพฤติสุจริตทางกายวาจาใจ แม้จะไม่มีจาตุรงคเสนารักษา ก็ชื่อว่ารักษาตน เพราะข้อนั้นเป็นการรักษาภายใน มิใช่ภายนอก ฉะนั้น จึงชื่อว่ารักษาตนแล้ว” พระองค์ได้กราบทูลพระดำรินี้แด่พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงรับรอง อีกคราวหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงดำริว่า “ใครหนอชื่อว่ารักตน ใครชื่อว่าไม่รักตน” แล้วทรงดำริต่อไปว่า “คนบางพวกที่ประพฤติทุจริตทางกายวาจาใจ แม้จะพูดว่ารักตน ก็ไม่ชื่อว่ารักตน เพราะคนที่ไม่รักกันเป็นศัตรูกันพึงทำความพินาศใดแก่คนที่เป็นศัตรูกัน เขาย่อมทำความพินาศนั้นแก่ตนด้วยตนเอง ส่วนคนบางพวกที่ประพฤติสุจริตทางกายวาจาใจ ถึงไม่พูดว่ารักตน ก็ชื่อว่ารักตน เพราะทำกรรมที่เกื้อกูลแก่ตน เหมือนอย่างคนที่รักกันชอบกันกระทำแก่กัน” พระองค์ได้กราบทูลพระดำรินี้แด่พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงรับรอง
พระดำริของพระเจ้าปเสนทิโกศลนี้ เป็นตัวอย่างของความคิดที่เป็นเหตุให้ได้วิชชา คือ ความรู้ที่ถูกต้องในกรรมประการหนึ่ง ซึ่งเป็นทางแห่งความหมดจดสะอาด เป็นข้อที่ ๒
อันวิชชา คือ ความรู้ทั่วไป ย่อมเป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ทั้งในทางที่ผิดและทางที่ถูก ผู้มีวิชชาหากขาดธรรม อาจใช้วิชชาก่อกรรมที่ชั่วร้ายได้มากกว่าคนโง่ที่ขาดวิชชา และถ้ามีธรรม ก็อาจใช้วิชชาทำกรรมที่อำนวยประโยชน์ได้อย่างยิ่งเช่นเดียวกัน ฉะนั้น จึงต้องมีธรรมอีกด้วย ธรรมในที่นี้หมายถึงคุณที่พึงอบรมให้มีประจำจิตใจ เช่น หิริ ความละอายใจต่อบาปทุจริต โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาปทุจริต เมตตา กรุณา เป็นต้น ซึ่งตรงกันข้ามกับโทษ เช่นกิเลสในใจ ธรรมเป็นคุณที่จำปรารถนาในที่ทั้งปวง ดังเช่นพระพุทธภาษิตแปลความว่า “ชุมนุมที่ไม่มีผู้สงบ ไม่ชื่อว่าสภา ผู้ที่พูดเป็นธรรม ไม่ชื่อว่าผู้สงบ ผู้ที่ละราคะ โทสะ โมหะ จึงจะเป็นผู้สงบ พูดเป็นธรรมได้” ธรรมจึงเป็นทางแห่งความหมดจดสะอาดเป็นข้อที่ ๓
เมื่อจิตใจมีธรรม ความประพฤติทางกายวาจา ก็เป็นสุจริตดีงาม อันเรียกว่า ศีล ซึ่งมีอธิบายกว้างๆ ว่า “เว้นการที่ควรเว้น ประพฤติการที่ควรประพฤติ” ความตั้งใจงดเว้นในแน่วแน่ในข้อห้าม หรือในการที่ควรเว้น เป็นหลักสำคัญในการรักษาหรือปฏิบัติในข้อศีลนี้ เกี่ยวด้วยความสำรวมใจ ความระมัดระวังรักษาช่องทางเกิดแห่งความไม่ดีทั้งหลายเป็นทางปฏิบัติ ศีลเป็นทางแห่งความหมดจดสะอาดเป็นข้อที่ ๔
ทุกๆ ข้อย่อมประมวลลงในอีกข้อหนึ่ง คือ “ชีวิตอันอุดม” คำว่าชีวิตในที่ทั่วไป หมายถึงความดำรงอยู่ของสังขารร่างกาย ซึ่งมีระยะกาลของอายุสั้นบ้างยาวบ้าง แต่ก็มักไม่เกินร้อยปี อีกอย่างหนึ่งเป็นถ้อยคำหมายถึงสาระประโยชน์ที่พึงได้จากชีวิต ดังในที่นี้ ใช้คำว่าชีวิตอันอุดม หมายถึงสาระประโยชน์อย่างสูงสุด อะไรเป็นชีวิตอันอุดมของคน หรือคนจะขึ้นไปสูงได้ถึงเพียงไหน จึงจะชื่อว่าขึ้นไปได้สูงสุด ข้อนี้เป็นข้อสำคัญที่มักจะมีความเห็นต่างๆ กัน และมีการปฏิบัติต่างๆ กันตามความเห็นของแต่ละคน เช่น บ้างก็มีความเห็นทางทรัพย์ บ้างก็มีความเห็นทางยศ แต่ทางพระพุทธศาสนาแสดงทางกรรม คือ การงานที่ทำ ดังที่ปันชีวิตไว้ ๓ ประเภท คือ ทุชชีวิต ชีวิตชั่ว หมายถึงคนที่ใช้ชีวิตประกอบกรรมที่ชั่วร้าย โมฆชีวิต ชีวิตเปล่า หมายถึงคนที่ไม่ใช้ชีวิตประกอบกรรมที่ชั่วร้าย แต่ก็มิได้ใช้ชีวิตประกอบกรรมที่ดีอะไร ปล่อยกาลเวลาแห่งชีวิตให้ล่วงไปเปล่าปราศจากประโยชน์ สุชีวิต ชีวิตดี คือ ใช้ชีวิตประกอบกรรมที่ดีงาม ฉะนั้นชีวิตอันสูงสุด ก็คือชีวิตที่ใช้ประกอบกรรมดี อันเป็นสาระประโยชน์ได้มากที่สุด หรือดีที่สุด และกรรมอันจะเป็นกรรมดีที่อำนวยประโยชน์ได้นั้นจะต้องประกอบด้วยวิชชา ความรู้เป็นเครื่องสอดส่อง ธรรมเป็นเครื่องควบคุม ศีลเป็นขอบเขต
รวมสุทธิมรรคคือทางแห่งความหมดจดสะอาด คือ กรรม วิชชา ธรรม ศีล และรวมเข้าข้อชีวิตอันอุดม ด้วยประการฉะนี้
ท่านศาสตราจารย์ นายดิเรก ชัยนาม ชื่อว่าเป็นผู้มีชีวิตอยู่ในระดับสูงผู้หนึ่ง เพราะได้ทำการงาน ประกอบด้วยวิชชา ธรรม และศีล จึงเป็นกรรมที่อำนวยประโยชน์เป็นเกียรติแก่ชื่อและตระกูลของท่านตลอดกาลนาน ดังพระพุทธภาษิตว่ารูปํ ชีรติ มจฺจานํ นามโคตฺตํ น ชีรติ
”รูปของผู้จะต้องตายทั้งหลายย่อมสลายไป แต่ชื่อและตระกูลหาสลายไปไม่” และกรรมที่ดีเป็นบุญกุศลย่อมจะติดตามไปอำนวยผลในสัมปรายะ ด้วยประการฉะนี้
ขออำนาจกุศลทักษิณานุปทานที่ท่านเจ้าภาพได้บำเพ็ญอุทิศทั้งปวง จงเป็นผลสัมฤทธิ์อำนวยสุขวิบากแด่ ท่านศาสตราจารย์ นายดิเรก ชัยนาม ตามควรแก่คติภพวิสัย
ในอวสานแห่งพระธรรมเทศนานี้ พระสงฆ์ทั้ง ๔ รูป จะได้สวดคาถาธรรมบรรยายโดยสรภัญญวิธีเพิ่มพูนอัปปมาทธรรมสืบต่อไป
แสดงพระธรรมเทศนา ยุติด้วยเวลา เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ * ทรงแสดงเมื่อดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ ในการบำเพ็ญกุศล เป็นเบื้องต้นแห่งการพระราชทานเพลิงศพนายดิเรก ชัยนาม ม.ป.ช.,ม.ว.ม.,ท.จ.ว. ณ วัดธาตุทอง วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๑๐