.ความหลงทำให้ยึดติด (ต่อ) ถ้ายังเห็นว่าเป็นสุขอยู่ก็ยังอยากได้อยู่ ถ้ารู้ว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ก็จะไม่อยากได้ ทุกข์เพราะอะไร เพราะไม่เที่ยง มีเกิดมีดับ ทุกข์เพราะสั่งให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไม่ได้ นี้คือปัญญาทางศาสนา ให้เห็นอย่างนี้ ให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นทุกข์ เพราะไม่เที่ยง ทุกข์เพราะสั่งเขาไม่ได้ ควบคุมบังคับเขาไม่ได้ ถ้าเห็นอย่างนี้ก็จะไม่อยากกับอะไร เมื่อไม่อยากก็จะสงบ ถ้าอยากก็จะวุ่น เวลาอยากได้อะไรใจจะกระวนกระวายกระสับกระส่าย จะได้หรือไม่ได้หนอ ได้แล้วก็จะกระวนกระวายกระสับกระส่าย ว่าจะอยู่ไปนานสักเท่าไหร่ พอจากไปก็เศร้าโศกเสียใจ เป็นทุกข์ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ทุกข์ตั้งแต่ยังไม่ได้ ทุกข์ในขณะที่ได้แล้ว แล้วก็มาทุกข์ตอนที่เสียไป ทุกข์ตลอดเวลา ให้เห็นความทุกข์อย่างนี้ จะได้ไม่อยากได้อะไร ไม่อยากมีอะไร ไม่อยากเป็นอะไร จะปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างไปตามความจริง เขาจะเป็นอะไรก็ปล่อยเขาเป็นไป เขาจะวิเศษขนาดไหนก็ปล่อยให้เขาวิเศษไป มีเงินร้อยล้านพันล้านแสนล้าน ก็ปล่อยให้เขามีไป ไม่ได้อยากจะมีกับเขา ใครจะเป็นอะไรก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องของธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างมีขึ้นมีลง มีเกิดมีดับ ไม่ไปดีใจไม่ไปเสียใจกับอะไรทั้งนั้น เพราะไม่มีความอยากให้เป็นอย่างอื่น อยู่ที่ตัวเราว่าจะเอาพระพุทธเจ้ามาเป็นแบบฉบับได้หรือเปล่า เป็นสรณังคัจฉามิได้หรือเปล่า เอาพระธรรมคำสอนมาเป็นแบบฉบับได้หรือเปล่า เป็นแสงสว่างนำทางได้หรือเปล่า เอาพระอริยสงฆ์สาวกมาเป็นแบบฉบับได้หรือเปล่า ถ้าทำได้ก็จะสบายใจไปตลอด ถ้าทำไม่ได้ก็จะทุกข์ไปตลอด อยู่ที่ตัวเราว่าจะทำอย่างไร ไม่มีใครตัดสินใจให้เราได้
ถาม เมื่อเช้าเดินจงกรมรู้สึกเหมือนมีตัวอยู่ ตอนหลังก็รู้สึกเหมือนไม่มี ก็มองเห็นทุกอย่าง ตอนหลังก็เหลือแต่ช่วงล่างลงไป แล้วก็เหลือแต่เข่า แต่น่อง เหลือแต่เท้า พอจะหยุดเดิน ก็ไม่เหลืออะไร แต่มองเห็นของรอบตัวเรา ไม่รู้สึกกลัว อย่างนี้ฟุ้งซ่านหรือเปล่าคะ
ตอบ ไม่ เป็นความว่าง ใจว่างจากร่างกาย
ถาม ไม่รู้จะทำอย่างไร
ตอบ ทำต่อไป
ถาม จะเห็นว่าเวลามองภาพทั่วไป จะประกอบด้วยเม็ดสีเล็กๆเจ้าค่ะ เหมือนเอาแว่นขยายส่องภาพพิมพ์ค่ะ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า
ตอบ เห็นแบบนั้นไม่เป็นประโยชน์ สิ่งที่ต้องควรเห็นก็คือความเสื่อมของสิ่งต่างๆ เห็นการดับของสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นของเรา ที่เรารัก ที่เราหวง จะเป็นประโยชน์กว่า เพราะจะทำให้เราต้องปรับใจ เตรียมตัวเตรียมใจรับกับความจริง ถ้าไปเห็นสิ่งที่เราไม่มีความผูกพันด้วย เห็นไปก็ไม่เป็นประโยชน์แต่อย่างใด
ถาม แค่อยากทราบว่าเป็นอะไร ที่เห็นเป็นจุดๆอย่างนี้ค่ะ
ตอบ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ต้องรู้ ไม่เป็นประเด็นสำคัญ รู้ไปก็เท่านั้น
ถาม ให้ดูความอยากรู้
ตอบ ให้ดูสิ่งที่เรารักที่เราหวง เช่นดูธนบัตรของเราถูกไฟเผา แล้วใจเราทุกข์หรือเปล่า ถ้าทุกข์ก็แสดงว่าใจยังหวงยังเสียดายอยู่ ถ้าไม่ทุกข์แสดงว่าไม่ยึดไม่ติด
ถาม เวลาดูหน้าตัวเองในกระจกไม่เห็นเป็นจุดๆ
ตอบ ถ้าจะดูก็ดูให้เป็นขี้เถ้า ต่อไปจะต้องเป็นขี้เถ้าแน่ๆ เวลาไปเผาไฟแล้วเป็นอย่างไร ดูความจริง อย่าไปจินตนาการเรื่องที่ไม่เป็นความจริง ดูร่างกายตอนที่หนังเหี่ยว ตอนที่ผมขาว ตอนที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล ตอนที่อยู่ในโลง ถ้าจะดูร่างกายให้ดูอย่างนี้ จะได้เห็นภาพจริง จะได้ปรับใจให้เตรียมรับกับความจริง ถ้ารับกับความจริงได้ก็จะไม่ทุกข์ ถ้าไม่ได้ก็จะทุกข์ ถ้าอยากจะทุกข์กับร่างกายก็ไม่ต้องดู ถ้าอยากจะไม่ทุกข์ก็ต้องดูบ่อยๆ ดูจนชินจนรับได้ จะได้ไม่ทุกข์ เวลามีกามารมณ์อยากจะร่วมหลับนอนกับคนนั้นคนนี้ ก็ให้ดูในส่วนที่ไม่สวยงามของเขา ดูเข้าไปใต้ผิวหนังใต้เนื้อ จะได้เห็นโครงกระดูก เห็นหัวใจ เห็นปอด เห็นตับ เห็นไต เห็นลำไส้ ให้หัดเห็นอย่างนี้ ถ้าเห็นอย่างนี้แล้วจะไม่เกิดกามารมณ์ จะดับกามารมณ์ได้ จะถือศีล ๘ ได้ คนที่ถือศีล ๘ ไม่ได้ก็เพราะยังอยากร่วมหลับนอนกับคนนั้นคนนี้อยู่ เวลาเกิดกามารมณ์อยากจะร่วมหลับนอน ก็ให้นึกถึงส่วนที่ไม่สวยงาม
การปฏิบัตินี้ต้องพุ่งเป้าไปที่การดับความอยาก เพื่อทำใจให้สงบ ถ้าไปดูสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับการดับความอยาก ดูไปก็เสียเวลาเปล่าๆ ทำไมไม่ดูดวงอาทิตย์ ไม่ดูต้นไม้ ดูไปก็เท่านั้น เพราะไม่เป็นปัญหา ต้องดูสิ่งที่เป็นปัญหา สิ่งที่ทำให้จิตใจวุ่นวาย ทุกข์ทรมานใจ ต้องดูสิ่งนั้น เช่นดูความเสื่อมของร่างกายของเรา ของคนที่เรารัก เพื่อให้รับความจริงว่า สักวันหนึ่งจะต้องเป็นอย่างนี้ ร่างกายของเราก็ดี ของคนที่เรารักก็ดี สักวันหนึ่งก็จะต้องหยุดทำงาน สักวันหนึ่งจะต้องกลายเป็นขี้เถ้า เป็นเศษกระดูกไป ให้มองอย่างนี้ เวลามองคนที่เราอยากจะร่วมหลับนอนด้วย ก็ต้องมองให้เห็นโครงกระดูก เห็นผีที่อยู่ในตัวเขา ถ้าเขาตายไปวันนี้ คืนนี้จะนอนกับเขาได้หรือเปล่า ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ยังนอนร่วมกันได้ แต่พอไม่มีลมหายใจ ก็จะคิดว่าเป็นผีไปแล้ว ไม่อยากจะนอนด้วยแล้ว คิดอย่างนี้เพื่อดับกามารมณ์ เพราะกามารมณ์ทำให้ใจไม่สงบ ถ้าต้องการความสุขที่เกิดจากความสงบ ก็ต้องดับกามารมณ์ให้ได้ ต้องพิจารณาอสุภะอยู่เนืองๆ คิดถึงภาพที่ไม่สวยงามของร่างกาย คิดถึงเวลาไม่หายใจแล้ว ตายไป ๓ วันแล้ว ขึ้นอืดส่งกลิ่นเหม็นแล้ว ยังอยากจะนอนกับเขาหรือเปล่า คิดอย่างนี้จะได้ดับกามารมณ์ได้ จะอยู่คนเดียวได้ จะทำใจให้สงบได้ จะมีความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องอาศัยสิ่งต่างๆที่ไม่เที่ยง มาเป็นเครื่องมือให้ความสุขกับเรา ถ้าเขาไม่เที่ยงเวลาเขาจากไปเราก็จะเสียใจ จะว้าเหว่ ถ้ามีความสุขภายในใจแล้ว จะไม่ต้องการอะไร
จึงต้องพิจารณาเพื่อตัดทุกสิ่งทุกอย่าง ให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องจากเราไป ต้องหมดสภาพไป แม้แต่ร่างกายของเราก็ต้องหมดสภาพไป แต่การหมดสภาพของร่างกายไม่ได้ทำให้เราหมดสภาพไปด้วย เรายังอยู่ เพียงแต่ว่าจะอยู่แบบไหน จะอยู่แบบทุกข์หรืออยู่แบบไม่ทุกข์ ถ้าปล่อยวางร่างกายได้ ยอมรับการดับของร่างกายได้ ก็จะไม่ทุกข์ จะเฉยๆ สบายใจ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าพิจารณาด้วยปัญญาก็จะว่าดีเสียอีก เพราะไม่ต้องดูแลรักษาร่างกายต่อไป ร่างกายเป็นภาระที่หนักมาก ที่เราต้องคอยดูแลตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ต้องหายใจ ต้องหาน้ำมาดื่ม หาอาหารมารับประทาน ต้องทำความสะอาดขับถ่าย ไม่มีร่างกายก็ไม่ต้องทำภารกิจนี้ ถ้าพิจารณาด้วยปัญญาจะเห็นว่าความตายเป็นสิ่งที่ดี เพราะหมดภาระ ไม่ต้องแบก ถ้ายังมีร่างกาย ถึงแม้ว่าใจจะไม่มีความอยากกับร่างกาย ไม่มีความทุกข์กับร่างกาย ก็ยังมีภาระดูแลรักษาร่างกาย พระพุทธเจ้ายังต้องบิณฑบาต ยังต้องฉัน ยังต้องสรงน้ำ ยังต้องฉันยาเวลาไม่สบาย จึงควรพิจารณาความเสื่อมของทุกสิ่งทุกอย่าง จะได้ไม่ยึดติด จะได้ปล่อยวาง จะได้ไม่ต้องอาศัยสิ่งต่างๆในโลกนี้เป็นเครื่องมือให้ความสุข เพราะมีความสุขที่ดีกว่า ถ้ามีความสงบแล้วจะไม่ต้องการอะไร ถ้าปล่อยวางได้แล้วใจจะมีความสุข ความสงบ ความสบาย จะไม่หลงไปยึดไปติด ไปอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มาให้ความสุข
ถาม ถ้าร่างกายเรามีโรคที่จะต้องรักษา แต่เราคิดว่าเราไม่อยากได้ร่างกายแล้ว เป็นอะไรก็ช่าง จะไม่รักษา อย่างนี้ถือว่าบาปไหมคะ
ตอบ ไม่บาป ถ้าไม่ทำให้ร่างกายตาย ปล่อยให้ร่างกายตายไปเอง ถ้าทำให้ร่างกายตาย เช่นกินยาพิษ อย่างนี้ก็บาป เพราะเป็นการทำลายร่างกาย มีเจตนา ถ้าไม่มีเจตนาทำลายร่างกาย ปล่อยวางร่างกาย ก็จะไม่บาป
ถาม สมมุติว่าหมอวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน แล้วก็ดูแลร่างกายไม่ดี บางทีก็กินยาบ้างไม่กินบ้าง อย่างนี้ถือว่าบาปไหมเจ้าคะ
ตอบ ไม่บาป ไม่กินก็ไม่บาป แต่อย่าไปทำให้ร่างกายตาย
ถาม เช่นฆ่าตัวตาย
ตอบ อย่างนั้นบาป
ถาม ถ้าไม่รักษาตัวเอง ไม่ดูแลตัวเอง เป็นบาปไหมคะ
ตอบ ไม่บาป ไม่กินข้าว ปล่อยให้อดตายก็ไม่บาป
ถาม ไม่กินแสดงว่ามีเจตนาจะให้ตาย
ตอบ ไม่กินเพราะมีเจตนาไม่กิน ไม่ได้มีเจตนาให้ตาย คนที่ฆ่าตัวตายเพราะมีความทุกข์ ไม่อยากจะอยู่ ความไม่อยากอยู่เป็นกิเลส เป็นวิภวตัณหา ทำให้จิตเครียดจิตทุกข์ แต่จิตที่มีความสุขจะเฉยๆ อยู่ก็ได้ ไม่อยู่ก็ได้ กินก็ได้ ไม่กินก็ได้ มันต่างกัน ไม่เหมือนกัน ต้องดูที่ใจเป็นหลัก ใจมีความอยากหรือเปล่า ไม่ว่าอยากอยู่หรืออยากตายเป็นกิเลสทั้งนั้น
ถาม อยากมีบริวารดีๆ ควรจะทำอย่างไรคะ
ตอบ ต้องดูความจริงว่ามีได้หรือเปล่า
ถาม บางคนมีเด็กช่วยงานอยู่เป็น ๑๐ ปี ๒๐ ปี ไม่ออกเลย ของเราเปลี่ยนบ่อยค่ะ
ตอบ โลกนี้มีทั้งดีและไม่ดี เวลาไปซื้อส้มที่ตลาดก็ต้องเลือกใช่ไหม ถ้าอยากจะได้ดีก็ต้องเลือก ถ้าเลือกไม่เป็นก็ต้องเอาตามมีตามเกิด เลือกมาแล้วถ้าไม่ดีก็เปลี่ยนใหม่ อย่าไปอยากในสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ จะทุกข์ไปเปล่าๆ เลือกรถยนต์ง่ายกว่าเลือกคน รถยนต์นี้มีมาตรฐาน มีการควบคุมคุณภาพ ผู้ผลิตรับประกันได้ว่าดีทุกคัน แต่คนนี้ไม่มีใครมาสามารถรับประกันได้ว่าจะดีทุกคน ก็ต้องทำใจ ไม่ดีก็เปลี่ยน
ถาม ควรจะสร้างกุศลอย่างไร ที่จะส่งเสริมในด้านนี้ค่ะ
ตอบ โลกนี้เราไปสั่งมันไม่ได้ สั่งให้ดีตามที่เราต้องการไม่ได้ นี้เป็นความจริงที่เราจะต้องรู้ เพื่อจะได้ไม่หวังมาก ต้องอยู่กับความจริง โลกนี้ไม่ดี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครดี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ดีตลอดเวลา บางเวลาก็ดี บางเวลาก็ไม่ดี ถึงแม้ในอดีตจะดีมาตลอด ไม่มีใครรับประกันอนาคตได้ เพราะใจคนเปลี่ยนได้ เหตุการณ์บังคับให้เปลี่ยนใจได้ ที่ดีเพราะเหตุการณ์ราบรื่น ไม่มีปัญหาก็ดีได้ พอเหตุการณ์ยากลำบาก ก็อาจจะทำไม่ดีได้ ควรตัดความอยากนี้ไป เลือกให้ดีที่สุดเท่าที่จะเลือกได้ ถ้าเลือกไม่เป็นก็หาคนที่เลือกเป็นให้ช่วยเลือกให้ แล้วก็ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ สมัยก่อนจะหมั้นกันก่อน ไม่แต่งงานเลย เพื่อจะได้มีเวลาดูว่าดีหรือไม่ดี ต้องทดสอบใจด้วย ไม่เอาอกเอาใจกันตลอดเวลา ต้องขัดใจกันบ้าง แล้วดูว่าจะยังดีอยู่หรือไม่ ถ้าเอาใจกันก็ดีได้ พออยู่ด้วยกันแล้ว ก็อาจจะไม่เอาใจกัน อย่าเชื่อคำพูดของคน เวลาเขาพูดว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ อย่าไปเชื่อ เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ฟังได้แต่อย่าไปเชื่อ
ถาม เด็กรุ่นใหม่เปลี่ยนงานบ่อยค่ะ
ตอบ ถ้าไม่อยากจะเปลี่ยนบ่อย ก็ต้องมีเครื่องล่อใจ
โยม เขามีเหตุผลของเขา เช่นอยากจะไปอยู่ใกล้แฟน
ตอบ โลกนี้มีตัวแปรมาก เป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน เป็นอนัตตา สั่งไม่ได้ควบคุมไม่ได้ ต้องปรับตัวรับกับสภาพที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่าไปยึดติดกับสภาพใดสภาพหนึ่ง เพราะจะทำให้ทุกข์ ทำให้เครียด
ถาม ทราบมาว่าทานเป็นบาทของศีล ศีลเป็นบาทของการภาวนา ถ้าไม่ได้ทำทานเป็นประจำ ไม่ได้รักษาศีล การเจริญภาวนาจะดีได้ไหมคะ
ตอบ ไม่ได้
ถาม บางคนบอกว่าภาวนาดีมาก แต่ว่าทานก็ไม่ทำ เหล้าก็ยังดื่มอยู่ ศีลก็ไม่รักษา ก็ยังข้องใจอยู่เสมอว่า การภาวนาจะดีได้อย่างไร
ตอบ เป็นไปไม่ได้ คนกินเหล้าเมาจะภาวนาได้อย่างไร
ถาม เขาบอกว่าเขาภาวนาได้ดีมาก แต่ไม่ทำบุญตักบาตร ไม่รักษาศีล
ตอบ การทำทานไม่ได้อยู่ที่การทำบุญตักบาตรอย่างเดียว ทำได้หลายรูปแบบ ถ้าใจกว้างเสียสละ ไม่ยึดติดกับเงินทอง ช่วยเหลือผู้เดือดร้อน ก็ถือว่าเป็นทาน ถ้าไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่นก็มีศีลแล้ว ไม่ต้องมาวัดขอศีลจากพระ ศีลอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่วัด อยู่ที่การกระทำ ถ้าไม่ฆ่า ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดประเวณี ไม่พูดปด ไม่เสพสุรายาเมา ก็มีศีลแล้ว จะเข้าวัดหรือไม่ ไม่เป็นปัญหา
ถาม ทานศีลภาวนาเป็นเหมือนขั้นบันได จะสามารถข้ามขั้นบันไดไปภาวนาเลยได้หรือ
ตอบ สำหรับบางคนเป็นไปได้ เช่นองคุลิมาลนี้ก็ไม่มีศีล เพราะฆ่าคนตั้ง ๙๙๙ คน แต่พอมาเจอพระพุทธเจ้า ก็เปลี่ยนใจได้ หยุดการฆ่าได้ เป็นกรณีพิเศษ สำหรับผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ ก็ต้องปฏิบัติทานศีลภาวนาตามลำดับ ทำทานก็ไม่ได้ทำเพื่อให้ร่ำรวย แต่ทำเพื่อให้ยากจน จะได้ไม่มีเงินใช้ จะได้มีเวลาไปภาวนา ถ้ามีเงินก็จะไปดูหนัง ไปเที่ยว ไปกินเหล้าเมายา ทำทานเพื่อตัดทางออกของกิเลส ไม่ได้ทำทานเพื่อให้ร่ำรวย ทำทานเพื่อจะได้ไม่มีเงิน พอไม่มีเงินก็จะไปอยู่วัดได้ รักษาศีล ๘ ได้ ถ้าจะภาวนาก็ต้องรักษาศีล ๘ ศีล ๕ ไม่มีกำลังพอ เหมือนเวลาขับรถขึ้นเขาต้องใช้เกียร์ต่ำ ถ้าใช้เกียร์สูงจะไม่มีกำลัง
ธรรมะบนเขา
๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๒
"ความหลงทำให้ยึดติด"
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร. สัตหีบ. ชลบุรี