|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5483
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2561 15:21:57 » |
|
คติ - สัญลักษณ์สถาปัตยกรรมไทยวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร พระมหาเจดีย์หรือมหาธาตุเจดีย์ของนครเชียงใหม่ ศูนย์กลางอำนาจของอาณาจักรล้านนา และเป็นสัญลักษณ์ของเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางจักรวาล
ตามความเชื่อในเรื่องของจักรวาลทัศน์ เชื่อว่าบรรจุพระเกศาธาตุและธาตุของพระพุทธเจ้า ครั้นสมัยที่พระเจ้าอโศกมหาราชที่ส่งสมณทูต ๘ รูป ภายใต้การนำพระโสณะและ พระอุตตะระ ที่เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในภูมิภาคนี้ ได้นำพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้ามาบรรจุไว้ในเจดีย์องค์เล็กๆ ที่สูงเพียง ๓ ศอก ซึ่งต่อมาก็คือบริเวณที่พระธาตุเจดีย์หลวงมาสร้างครอบทับไว้
พระเจดีย์หลวง (หรือน่าจะชื่อพระธาตุหลวง) สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมา พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์มังราย ประมาณ พ.ศ.๑๙๒๘-๑๙๔๕ พระองค์เป็นโอรสของพญากือนา โปรดให้สร้างขึ้นขณะพระองค์มีพระชนมายุ ๓๙ ปี
เชื่อกันว่าในยุคสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมานั้น ผู้คนในอาณาจักรล้านนากำลังเปลี่ยนศรัทธาความเชื่อของศาสนาผี มาเป็นศาสนาพุทธ
การสถาปนาวัดเจดีย์หลวงมาจากตำนานที่กล่าวว่า พระเจ้าถือนาผู้เป็นพระราชบิดาของพระเจ้าแสนเมืองมาชิงสวรรคตไปนั้น ได้ไปเกิดเป็นอสุรกายรุกขเทวดารักษาต้นไม้นิโครธ (ต้นไทรใหญ่) ได้บอกแก่พ่อค้าที่เดินทางไปค้าขายยังอาณาจักรพุกามว่า พระองค์นั้นเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ แต่ไปเกิดเป็นเทวดาไม่ได้ ให้พ่อค้าไปบอกแก่พระเจ้าแสนเมืองมาผู้เป็นบุตรให้สร้างมหาเจดีย์ที่สูงใหญ่ คนเห็นไกลตั้งแต่ ๒ พันวา
พระเจ้าแสนเมืองมาจึงได้สร้างเจดีย์ (ครอบเจดีย์พระธาตุเดิมไว้) แต่ไม่แล้วเสร็จ ท่านสวรรคตเสียก่อน พระมารดาของท่านจึงสร้างต่อสูงถึง ๙๒ ศอก หรือประมาณ ๔๕ เมตร กว้าง ๕๒ ศอก หรือ ๒๖ เมตร ใช้เวลาสร้างรวมเกือบ ๑๐ ปี โดยศรัทธาที่ปรารถนาพุทธภูมิ
พระเจดีย์หลวงวรวิหารนี้นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของศูนย์กลางจักรวาลแล้ว ยังมีคติความเชื่อในเรื่องของภูมิทัศน์ที่เรียกว่าทักษาเมือง กล่าวคือมีการสร้างวัดที่อยู่เป็นวัดบริวารโดยรอบอีก ๘ วัด ตามทักษาเมือง คือบริวารเมืองชื่อวัดสวนดอก อายุเมืองชื่อวัดเจดีย์ยอด, เดชเมืองคือวัด เชียงมัน, ศรีเมืองชื่อ วัดชัยศรีภูมิ, มูลเมืองชื่อวัดบุพพาราม, อุสาหเมืองชื่อวัดชัยมงคล มนตรีเมืองชื่อวัดนันทาราม และกาลกิณีเมืองคือวัดตโปทาราม โดยรอบ และมีการสร้างรูปเคารพอีกจำนวนมาก
พระเจดีย์หลวง เชียงใหม่ จึงมีสถานะเป็นวัดมหาธาตุประจำเมืองที่บ่งบอกถึงศูนย์กลางของอำนาจ ความมั่งคั่ง และความรุ่งเรืองพระธาตุลำปางหลวง วัดมหาธาตุลำปางหลวงปรากฏชื่อในปี พ.ศ.๑๘๔๕ เมื่อพญามังรายยึดเมืองเขลางค์นคร หรือนครลำปาง แล้วจัดให้มีการบำรุงปฏิสังขรณ์
เมืองลำปางหรือเมืองเขลางค์นครเป็นเมืองใหญ่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำวังที่มีขุนเขาโอบล้อม เป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่น่าจะเป็นที่ตั้งหลักแหล่งของชุมชน ที่มีหลักฐานการ ตั้งถิ่นฐานของผู้คนยุคก่อนสมัยประวัติศาสตร์คือ กว่า ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว มีตำนานการสร้างวัดมหาธาตุที่เชื่อว่าจะมีบรรจุพระเกศาและพระอัฐิธาตุจากพระนลาฏข้างขวาและพระศอด้านหน้าและด้านหลังของพระพุทธเจ้าไว้ในพระธาตุองค์นี้
(ในหนังสือท่องกรรมฐาน อาจารย์บุนนาคเล่าว่า เมื่อธุดงค์เข้าไปในพื้นที่ทุรกันดาร ผู้คนในพื้นที่นั้นจะเรียกพระธุดงค์ว่า พระเจ้า ฉะนั้นบางทีคำว่าพระพุทธเจ้าในตำนานนี้ อาจจะหมายถึงพระธุดงค์ที่เข้าใจและเรียกกันว่า พระเจ้า เลยกลายเป็นพระพุทธเจ้า)
การที่ลำปางเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ ย่อมนำไปสู่การเป็นชุมชนใหญ่และเป็นเมืองใหญ่ต่อมา และในที่สุดก็มาเป็นเมืองยุทธศาสตร์ระหว่างล้านนากับสุโขทัย และเมื่อสุโขทัยเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยา ลำปางจึงมาเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญ และแน่นอนที่สุด เมืองสำคัญย่อมมีสิ่งก่อสร้างที่งดงามใหญ่โต
พระธาตุลำปางหลวง มีมาตั้งแต่พุทธศักราชที่ ๑๓ สมัยพระจามเทวี ที่ตำนานว่ากันว่าพระนางจามเทวีได้พบปาฏิหาริย์ขึ้นที่บริเวณเจดีย์หลวงองค์นี้ และพื้นที่ตั้งของวัดเจดีย์หลวงลำปางก็คือ หนึ่งในความเชื่อว่าเป็นเมืองลำปางเดิมที่ชื่อ "ลัมภะ กัปปนคร" เมืองที่สุพภามฤาษีและพรานเขลางค์สร้างให้พระเจ้าอนันตยศโอรสของพระนางจามเทวีที่บริเวณเกาะคาน
มีศิลาจารึก ๓ หลัก ที่กล่าวถึงการซ่อมแซมพระธาตุลำปางหลวงคือ พ.ศ.๑๙๙๒ พ.ศ.๒๐๑๙ พ.ศ.๒๐๓๙ พ.ศ.๒๑๔๕ และ พ.ศ.๒๑๙๒ ใน พ.ศ.๒๐๑๙ มีการสร้างพระวิหารที่งดงาม โดยเจ้าหมื่นคำเป๊ก และหลังจากนั้นในปี ๒๑๐๑ พระเจ้าบุเรงนองยกทัพมายึดเชียงใหม่ได้ นครลำปางจึงตกไปอยู่ใต้อิทธิพลพม่าถึง ๒๐๐ ปี
อย่างไรก็ตามรูปแบบของวิหาร ๓ หลัง คือ วิหารหลวง วิหารพระพุทธ วิหารน้ำแต้ม นักโบราณคดีก็ยกว่า เป็นต้นแบบและมีอายุเก่าแก่ที่สุดของศิลปล้านนา
วัดพระธาตุลำปางหลวงมีการซ่อมแซมบำรุงอยู่หลายครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ แผนผังแบบแปลนเป็นแผนผังแบบแปลนที่สะท้อนทัศนคติ ความ เชื่อ ในเรื่องจักรวาลทัศน์อย่างสมบูรณ์และงดงาม เหมือนยุคสุโขทัย อันสะท้อนให้เห็นว่าสังคมหรือเมืองที่มีอำนาจ พลังทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของสยามประเทศย่อมต้องมีพระมหาธาตุเป็นเครื่องรองรับความเชื่อนี้วัดพระธาตุเจดีย์หลวง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เมืองเชียงแสนหรือเวียงเชียงแสน ที่ราบลุ่มริมฝั่งโขง เป็นจุดรวมของการตั้งถิ่นฐานของผู้คนในอดีตกาลหลายกลุ่มหลายชาติพันธุ์ ตั้งบ้านแปงเมืองที่มีนามว่า สุวรรณโคมคำ หรือเชื่อกันว่าคือเมืองเชียงลาว ที่เคยเป็นที่อยู่ของกลุ่มคนที่เรียกตนเองว่าลาว (คำว่าลาวแปลว่า ผู้ยิ่งใหญ่)
ผู้ปกครองชุมชนในกลุ่มนี้จึงมักมีชื่อนำว่า ขุนลาว กันหลายต่อหลายท่าน
จากสุวรรณโคมคำมาเป็นนาคพันธุสิงหนวัตนคร โยนกนาคนคร (ปัจจุบันที่ตั้งคือ บริเวณทะเลสาบเชียงแสน ปรากฏในตำนานของสิงหนวัติ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ และล่มสลายลงจากแผ่นดินไหว และยุบตัวลงเป็นทะเลสาบเชียงแสนในปัจจุบัน
เมืองเชียงแสนได้ก่อตั้งขึ้นใหม่ชื่อว่าเมืองเงินยาง หรือภาษาบาลีว่า หิรัญนคร หรือหิรัญนครเงินยาง และเมืองนี้ก็เป็นที่เกิดของพญามังราย ที่ขึ้นมามีอำนาจประมาณปี พ.ศ.๑๘๐๒ ใช้อำนาจและฐานะทางกำลังคน ทุน ทรัพย์สิน ขยายอำนาจไปตลอดบริเวณนี้จนถึงเมืองลำปางเรียกว่า อาณาจักรล้านนาที่ร่วมสมัยกับพ่อขุนรามคำแหงแห่งอาณาจักรสุโขทัย
วัดพระธาตุเจดีย์หลวง สถาปัตยกรรมแบบล้านนาที่มีเจดีย์หลวงที่สูงที่สุดของเมืองเชียงแสนคือสูงถึง ๘๘ เมตร หรือ ๔๔ วา สร้างขึ้นในปี พ.ศ.๑๘๓๔ บ้างก็ว่าปี พ.ศ.๑๘๘๗ โดยหลานของพ่อขุนเม็งราย ชื่อ พระเจ้าแสนภู
คติและสัญลักษณ์ของวัดพระธาตุเจดีย์หลวงก็คือ จักรวาลทัศน์ที่มีพระเจดีย์หลวงหรือเจดีย์ใหญ่หรือเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของจักรวาล มีวิหารและพระธาตุเล็ก ๔ พระองค์โดยรอบวิหารคือ อนุทวีป ทั้งสี่ ส่วนเจดีย์องค์ย่อมคงหมายถึงสัตต บริเวณหรือเขาที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ
การก่อสร้างวัดพระธาตุเจดีย์หลวงเชียงแสน ก็คือ การประกาศความสำคัญของเมืองหรือความเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจของบริเวณกลุ่มเมืองโดยรอบ ที่มา : คติสัญลักษณ์สถาปัตยกรรมไทย โดย ชวพงศ์ ชำนิประศาสน์ หนังสือพิมพ์ข่าวสด
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 สิงหาคม 2561 18:43:31 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5483
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: 10 มกราคม 2562 16:08:58 » |
|
คติ - สัญลักษณ์สถาปัตยกรรมไทย พระนอน วัดโลกยสุธาราม พระนอนที่ใหญ่ที่สุดกลางเกาะเมืองศรีอยุธยา ที่ยาวถึง ๔๒ เมตร สูงถึง ๘ เมตร ที่เชื่อกันว่าสร้างมาสมัยอยุธยาตอนกลาง ราวปี พ.ศ.๑๙๙๕ ด้วยความที่วัดโลกยสุธารามมีขนาดใหญ่โต มีศาสนสถานที่มีขนาดใหญ่หลายองค์เช่นกัน โดยเฉพาะที่สำคัญก็คือ พระปรางค์ก่ออิฐฐานเตี้ยที่เป็นรูปแบบศาสนสถานที่พระเจ้า แผ่นดินที่มีฐานานุรูปฐานานุศักดิ์ในระดับนี้ จึงจะสร้างวัดที่มีรูปแบบเช่นนี้ได้
องค์พระนอนเป็นพระพุทธไสยาสน์ที่หันพระเศียรไปทางทิศเหนือ หันพระพักตร์คือหันหน้าไปทางทิศตะวันตก พระบาทเสมอกันนั้น น่าจะเป็นปางปรินิพพาน แต่กลับปรากฏว่ามีเสา ๘ เหลี่ยม ๒๔ ต้น ที่เข้าใจว่าเป็นพระวิหารครอบอยู่ แต่ก็คงพังทลายลงหลังจากเสียกรุงครั้งที่ ๒ เนื่องจากขาดการดูแล โดยเฉพาะในบริเวณนี้ ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ นั้น มีสภาพเป็นป่ารกทึบ
พระปางไสยาสน์องค์นี้คงเป็นพระปรางค์ที่แสดงธรรมให้อสุรินทราหูได้ลดมานะทิฐิที่เชื่อว่าตัวของอสุรินทราหูนั้นใหญ่โต อันเป็นความเชื่อมั่นที่เป็นสิ่งสำคัญของความสำคัญผิดที่เรียกว่า อัตวาทุปาทาน ในพระธรรมคำสั่งสอนที่อุปาทานขั้น ๕ เป็นทุกข์
พระพุทธไสยาสน์องค์นี้ชำรุดทรุดโทรม เพิ่งจะมีการบูรณะ ๒ ครั้ง ในปี พ.ศ.๒๔๙๗ และปี พ.ศ.๒๕๓๒ อีกครั้ง พระนอน วัดพุทไธศวรรย์ ประวัติวัดพุทไธศวรรย์ สร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ.๑๘๙๖ โดยพระเจ้าอู่ทอง หลังสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี บนพื้นที่ที่เชื่อว่าเป็นที่ประทับก่อนย้ายเข้ากรุงศรีอยุธยา โดยใช้รูปแบบคติสัญลักษณ์ ของวัดตามคติการสร้างวัดมหาธาตุในสมัยสุโขทัยที่มีพระปรางค์ (แบบไทย) เป็นสัญลักษณ์ศูนย์กลางแห่งจักรวาล
เป็นที่น่าสังเกตก็คือ กรณีที่จะสถาปนางานทางสถาปัตยกรรมในรูปแบบนี้นั้น ผู้สร้างน่าจะต้องเป็นผู้มีอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจการเมืองอย่างสูง ประวัติของวัดที่กล่าวว่าสร้างเมื่อพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยาได้ ๓ ปี แล้ว ในขณะที่การจะสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นนั้นจำเป็นที่อยุธยาหรือพระเจ้าอู่ทองต้องมีฐานะทางเศรษฐกิจดี มีเงินทอง และไพร่พลมากพอที่จะจัด ทำจัดหาวัสดุ ช่างฝีมือ และแรงงานมาสร้างสรรค์งานในระดับนี้มากมาย ซึ่งอาจจะคาดได้ว่าอยุธยาในสมัยนั้นคงเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ สังคม ร่ำรวยอยู่มาแล้ว และการสถาปนากรุงศรีอยุธยาของพระเจ้าอู่ทองก็เริ่มต้นด้วยการพัฒนาที่ดินที่เป็นหนองน้ำชื่อหนองโสนก็หมายถึงการลงทุนค่อนข้างมากทีเดียว
ในส่วนของพระวิหารพระพุทธไสยาสน์กับพระพุทธไสยาสน์นั้นก่อสร้างอยู่ในเขตพุทธาวาสก็มีรูปแบบที่น่าจะแตกต่างสมัยกัน
องค์พระพุทธรูปปางไสยาสน์นั้น พระเศียรหันไปทางทิศตะวันตก หันพระพักตร์ (หน้า) ไปทางทิศใต้ จึงไม่ใช่พระพุทธรูปที่มุ่งหมายจะเน้นไปถึงการแสดงธรรมที่เรียกว่า ปรินิพพานสูตร อีกทั้งพระพุทธรูปองค์นี้ก็ยาวประมาณ ๑๐.๐๐ เมตร ไม่นับว่าเป็นพระพุทธรูปนอนองค์ใหญ่สำคัญนัก และก็ไม่แน่ใจว่าสร้างพร้อมวิหารหรือไม่ เพราะตัวพระวิหารมีฐานวิหารเรียกว่าทรงสำเภานั้นก็เป็นรูปแบบของอุโบสถหรือวิหารในสมัยอยุธยาตอนปลาย ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓
คำถามเชิงศึกษาคือ ใครเป็นผู้สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ และการสร้างพระพุทธรูปองค์นี้คงไม่ใช่มาจากความเชื่อหรือศรัทธาของการสืบทอดพระพุทธศาสนาอย่างเดียว น่าจะมีจุดมุ่งหมายทางธรรมอย่างอื่น ที่น่าจะวิพากษ์วิจารณ์กันก็เพราะงานประเภทนี้ปัจจุบันเขาเรียกการพัฒนาเมือง ซึ่งในอดีตการพัฒนาเมืองก็คือการเริ่มต้นสร้างศูนย์กลางหรือศาสนสถานขนาดใหญ่ของชุมชน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขนาดของเศรษฐกิจของชุมชนนั้นๆ พระนอน วัดเสนาสนาราม พระนอนที่วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร ข้อมูลจากวิกิพีเดีย ระบุว่า เป็นวัดที่ปฏิสังขรณ์ขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ จากวัดเก่าสมัยกรุงศรีอยุธยาร่วมกับวัดเดื่อหรือวัดท่าเดื่อที่มีประวัติเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจในสมัยขุนวรวงษาธิราช สมัยอยุธยากลาง แต่ในแผนที่อยุธยา ๒๕๐๓ แสดงว่าวัดเสือหรือวัดท่าเสื่อเป็นคนละวัดกับวัดเสนาสนารามราชวรวิหาร ซึ่งไม่ปรากฏซากไปแล้ว
แผนผังวัดเสนาสนารามราชวรวิหาร เป็นแผนผัง การวางผังพระอุโบสถ เจดีย์ และวิหาร กำแพงวัดคูนำรอบวัดเป็นคติ สัญลักษณ์ของจักรวาลทัศน์ที่สืบเนื่องมาจากสมัยสุโขทัย อันเป็นคตินิยมการสร้างวัดตามคตินี้ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เช่น วัดเทพสรนาวาส วัดโสมนัสวิหาร และวัดมกุฏกษัตริย์ ในกรุงเทพฯ เช่นเดียวกัน
พระนอนปางไสยาสน์ของวัดนี้ เดิมประดิษฐานอยู่ในวัดมหาธาตุ จึงไม่ทราบจุดประสงค์ของการสร้างพระนอนองค์นี้ ว่าสร้างในปางเทศนาอสุรินทราหู หรือปางแสดงธรรมในมหาปรินิพพานสูง
เป็นพระพุทธรูปที่ประกอบด้วยศิลาเป็นท่อนๆ ยาว ๑๔.๒๐ เมตร (แบบเดียวกับพระนอนวัดเสมาธรรมจักร นครราชสีมา) รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวิหารที่ท้าย พระเจดีย์และย้ายพระนอนมาจากวัดมหาธาตุ มาประดิษฐานไว้ที่วิหารองค์นี้
ว่ากันว่า พระไสยาสน์องค์นี้เป็นพระนอนที่สวยที่สุดในอยุธยา ที่มา : คติสัญลักษณ์สถาปัตยกรรมไทย โดย ชวพงศ์ ชำนิประศาสน์ หนังสือพิมพ์ข่าวสด
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 เมษายน 2562 15:32:41 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
|
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5483
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #30 เมื่อ: 05 มีนาคม 2563 16:20:52 » |
|
. คติ - สัญลักษณ์สถาปัตยกรรมไทย ชนชั้นของสัตว์โลก (๘) สวรรค์ชั้นดุสิต สัญลักษณ์ของสวรรค์ชั้นนี้ก็คือ ปล้องที่ ๔ ของยอดกลางเจดีย์ที่อยู่เหนือองค์เจดีย์ที่มีทั้งหมด ๖ ปล้อง คือดินแดนที่ผู้อยู่ยังเกี่ยวข้องอยู่กับกาม ที่แปลว่า ยังยินดีอยู่ในรูป รส กลิ่น และสีเสียง และธรรมารมย์ (แปลว่ามีความสุขอยู่ในธรรมะที่ประโลมใจ)
ความสำคัญของสวรรค์ชั้นดุสิต หมายถึงเป็นที่อยู่ของนักบวช นักปราชญ์ ผู้มีบุญทั้งหลาย ผู้ปรารถนาหรือผู้ที่มีดำริจะพ้นไปจากความทุกข์ มีหัวหน้านาม ท้าวสันดุสิตเทพราช
แบ่งพื้นที่เป็นเขตที่เป็นที่อยู่ของเทวดาระดับที่เรียกว่าเป็นพระอริยเจ้าในพระพุทธศาสนา เรียกว่า พระโสดาบัน (ผู้เข้าถึงกระแสที่จะนำไปสู่นิพพาน) ละสังโยชน์ (หรือเครื่องผูกมัดไว้ในโลก) ได้แก่ มีเห็นถูกต้อง ชัดเจนในเรื่องกายละความสงสัยธรรมในข้อต่างๆ และการประพฤติเชื่อถือในโชคลางนิมิตต่างๆ กับ พระสกิทาคามี ผู้ทำสังโยชน์อีก ๒ ประการให้เบาบาง ได้แก่ กามราคะ ความพอใจในกาม ปฏิฆะ ความข้องขัดในอารมณ์หรือความกระทบกระทั่งหงุดหงิดในใจ อันเป็นความพยาบาทอย่างหนึ่ง ซึ่งพระอริยเจ้าทั้ง ๒ ระดับนี้จะจุติกลับมายังโลกมนุษย์
พระโสดาบันจุติกลับมายังโลกไม่เกิน ๗ ครั้ง พระสกิทาคามีจุติกลับมายังโลกอีก ๑ ครั้ง และจะบรรลุอรหันต์บนโลกนี้
สิ่งสำคัญของผู้ที่อยู่ในดินแดนสวรรค์ชั้นดุสิตก็คือ เมื่อจะจุติมาสู่โลกมนุษย์เพื่อจะบรรลุพระอรหันต์นั้นเลือกเกิดได้
ไตรภูมิกถาระบุว่า พระศรีอารยเมตไตรยะ ผู้จะลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในภัทรกัลป์นี้ เป็นผู้เทศนาธรรมให้เทวดาทั้งหลายฟังอยู่เป็นนิจ อันเป็นหลักการของพุทธศาสนา ฝ่ายมหายานเรียกนิกายสุขาวดี สำหรับในประเทศไทยก็คือกลุ่มธรรมกาย สวรรค์ชั้นที่ ๕ ชั้นนิมมานรดี สวรรค์หรือที่อยู่ของเทวดาหรือสัตว์โลกในหนังสือไตรภูมิพระร่วงนี้มีลักษณะวิจิตรบรรจงกว่าชั้นดุสิต มีปราสาทเงินปราสาททอง มีสระน้ำ มีสวนแก้วอันงดงาม สิ่งที่แตกต่างจากที่อยู่ของเทวดาหรือสัตว์โลกชนชั้นต่ำกว่าก็คือ
เทวดาหรือสัตว์โลกในชั้นนี้ปรารถนาสิ่งใดก็นฤมิตให้ตนเองได้ทุกประการ และมีหน้าที่อันสำคัญต่อมาก็คือ ต้องนฤมิตสิ่งที่เป็นความปรารถนาของเทวดาหรือสัตว์โลกที่อยู่สูงกว่าคือชั้นที่ชื่อ ปรนิมิตสวัสตีสวรรค์
เทวดาหรือสัตว์โลกในชั้นนี้ยังคงติดอยู่กับกามคุณหรือยังยินดีติดข้องอยู่ในรูป รส กลิ่น สี เสียง และสัมผัส
ตามถ้อยคำที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วงก็คือ กลุ่มเทวดาที่อยู่ในชั้นนี้ ถ้าแลว่ามีใจปรารถนาจะใคร่หาอันใดก็ดี เขาหากนฤมิตตนให้เป็นเองโดยใจรัก เขาได้ทุกประการและเขาเล่นด้วยหมู่นางฟ้าทั้งหลายด้วยใจเขานั้นและดูเสมือนเสวยสุขที่ไม่ต้องทำกิจการอะไรที่ต่างจากสัตว์โลกในชั้นที่ต่ำกว่า (และดูจะมีลักษณะมองผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศอยู่พอสมควร) ที่มา : คติสัญลักษณ์สถาปัตยกรรมไทย โดย ชวพงศ์ ชำนิประศาสน์ หรรษา sun หนังสือพิมพ์ข่าวสด nec. ๘/๓ p.๔๐๐
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5483
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #31 เมื่อ: 21 เมษายน 2563 15:43:41 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5483
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2563 16:29:18 » |
|
เจว็ด เจว็ด - เจว็ด เป็นสัญลักษณ์ของผี หรือสัมภเวสี หรือเทพเทวดาชั้นล่างสุดที่มิได้มีที่อยู่ในสวรรค์บนเขาพระสุเมรุ
ชาวบ้านจะทำเจว็ดด้วยแผ่นไม้แบนๆ แล้วเขียนรูปเทพหรือเทวดาสัปตเคราะห์ หรือเทวดานพเคราะห์ที่ หมายถึงพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร ครบทั้ง ๙ องค์
หรือบางทีเขียนรูปพระชัยมงคลที่ลักษณะเป็นเทวดาถือพระขรรค์ ประทับยืนอยู่บนดอกบัวคว่ำบัวหงาย ประดิษฐานไว้ในศาลพระภูมิเจ้าที่
เจว็ดในฐานะผู้คุ้มครองหรือที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเจ้าที่เจ้าทาง เป็นผีหรือเทพในลัทธิบูชาผี ซึ่งเชื่อกันอยู่ในสุวรรณภูมิก่อนพุทธศาสนา ทำหน้าที่ปกป้องรักษาดูแลความสงบสุขของชาวบ้าน
เดิมเป็นผีแล้วพัฒนามาเป็นเทพหรือเทวดาที่ไม่มีที่อยู่บนสวรรค์ ที่ปัจจุบันพัฒนาจากที่เป็นเจว็ดเป็นเทพชั้นสูง ติดตั้งอยู่ในศาลพระภูมิรวมกับศาลปู่ตาก็มี
ปัจจุบันศาลพระภูมิจึงใหญ่โตและดูจะมีอำนาจมากขึ้น และดูเหมือนว่ารูปของเจว็ดจะหายไปแล้ว เช่น เป็นพระพิฆเนศก็มีหรือบางทีก็กลายเป็นศาลพระพรหม หน้ากาล หน้ากาล - รูปวาด รูป ปูนปั้นหรือลวดลายแกะสลัก ที่ปรากฏบนประตูหรือทางเข้าวัดหรือ เทวาลัย มีใบหน้าเป็นอสูรผสมสิงห์ เรียกว่าหน้ากาล
เรื่องราวของหน้ากาล หรือเกียรติมุข เป็นเรื่องราวที่มาจากศาสนาฮินดูหรือกลุ่มไศวนิกาย ซึ่งหลากหลายและสลับซับซ้อน สนุกสนานแทรกคติแห่งความเชื่อไว้หลายระดับ
การที่หน้ากาลหรือเกียรติมุขที่ปรากฏในพุทธศาสนา เป็นความพยายามเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของความเชื่อของคติให้เข้ากันระหว่างพุทธศาสนากับไศวนิกาย
ขณะเดียวกันหน้ากาลหรือเกียรติมุขนี้มิได้มีอยู่ในเฉพาะ พุทธศาสนาที่ผสมกลมกลืนไปกับไศวนิกายเท่านั้น หากแต่ ความเชื่อหรือคติของหน้ากาลนี้ปรากฏขึ้นในเอเชีย จีน หรือ ทิเบต ในภาชนะสำริด ซึ่งมีอายุประเมินได้ก่อนพุทธกาลถึง ๘๕๐ ปี
สำหรับประเทศไทย หน้ากาลหรือเกียรติมุขนี้ปรากฏในสมัยศิลปะที่เรียกว่า ศรีวิชัยหรือทวารวดีในพุทธศาสนาฝ่ายมหานิกายและพัฒนาไปร่วมกับฝ่ายเถรวาทในเขตสุโขทัยหรือเชียงแสนมาประมาณ ๑,๒๐๐ ปี ล่วงมาแล้ว
คติของทางไศวนิกายที่ตำนานหรือคัมภีร์มีเรื่องของหน้ากาลหรือเกียรติมุขนั้น การมีหน้ากาลหรือเกียรติมุขไว้ที่ปากทางเข้าศาสนสถานในฐานะเป็นอสูรผู้พิทักษ์สถานที่ ในฐานะของใบหน้าอันมีเกียรติ หรือหน้าที่อันมีเกียรติ (ก็คงคล้ายกับ RECEPTION โรงแรมระดับ ๔ ดาวหรือ ๕ ดาว) หรือในฐานะอสูรผู้พิทักษ์สถานที่มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองรักษาไม่ให้สิ่งชั่วร้ายทั้งปวงสามารถย่างกรายเข้ามาในสถานที่นั้นได้
ส่วนคติทางพุทธศาสนาก็กลมกลืนไปกับความเชื่อแบบหนึ่งของไศวนิกายก็คือ เป็นสัญลักษณ์ของเวลา ที่มีความหมายว่า เวลาย่อมกินกลืนสรรพสิ่งทั้งปวง (เพราะหน้ากาลหรือเกียรติมุขนั้นในตำนานหรือคัมภีร์โบราณกล่าวว่า หน้ากาลนั้นกลืนกินทุกอย่างแม้แต่ตนเองจนเหลือแต่ใบหน้า)
หมายเหตุ : หน้ากาลหรือเกียรติมุขจะแตกต่างจากพระกาฬหรือพระกาฬไชยศรี ซึ่งจะบรรยายในตอนต่อไป ที่มา : คติสัญลักษณ์สถาปัตยกรรมไทย โดย ชวพงศ์ ชำนิประศาสน์ นสพ.ข่าวสด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
|
|
|
กำลังโหลด...