[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
09 พฤษภาคม 2567 01:08:30 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ศานติ เพื่อโลก  (อ่าน 2066 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 21 มิถุนายน 2553 20:37:05 »

ศานติ เพื่อโลก
23 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 10:00:00





นี่เป็นครั้งสำคัญที่ท่านติช นัท ฮันห์ พระชาวเวียดนาม สายพุทธศาสนามหายาน เดินทางมาเมืองไทย ท่านเคยมาครั้งแรกเมื่อ 30 ปีที่แล้ว และครั้งนี้ถือเป็นโอกาสของคนไทยที่จะได้เรียนรู้พุทธศาสนาตามแนวทางของท่าน จุดประกาย มีรายงานจากพุทธมณฑล นครปฐม

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : หลายคนรู้จักท่าน ติช นัท ฮันห์ จากหนังสือ ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่ และตอนนี้สงฆ์จากหมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส รวมทั้งหมด 80 รูป กำลังเผยแผ่การปฏิบัติธรรมตามแนวทางพุทธศาสนามหายาน อยู่ในเมืองไทย และจะร่วมงานในวันวิสาขบูชาโลก วันที่ 31 พฤษภาคม นี้

หลังจากสงฆ์จากหมู่บ้านพลัมเดินทางมาถึงเมืองไทยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา วันถัดมาท่านติช นัท ฮันห์ ได้แสดงปาฐกถาธรรมและเดินวิถีแห่งสติที่สวนลุมพินี ส่วนกิจกรรมภาวนาช่วงวันที่ 23-27 พฤษภาคม นี้ จัดที่ศูนย์พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ล้านนา อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ (กิจกรรมอื่นๆ อ่านล้อมกรอบหน้า 3)

ช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (20 พ.ค.) ท่านติช นัท ฮันห์ และคณะสงฆ์พักอยู่ที่พุทธมณฑล และเป็นโอกาสพิเศษที่ท่านติช นัท ฮันห์ อนุญาตให้คุณสุทธิชัย หยุ่น บรรณาธิการอำนวยการ เครือเนชั่นฯ สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการในเรื่องธรรมะและวัตรปฏิบัติของสงฆ์จากหมู่บ้านพลัม



1.
เช้านั้นท่านติช นัท ฮันห์ ฉันอาหารมังสวิรัติเรียบง่ายเหมือนคณะสงฆ์ มีน้ำข้าว ขนมปังโฮลวีตไส้เต้าหู้ และผลไม้ ท่านปฏิบัติตัวเรียบง่าย สงบนิ่ง มีรอยยิ้มน้อยๆ อย่างเมตตา



หลังจากฉันอาหารเสร็จแล้ว ก็เปิดโอกาสให้คุณสุทธิชัยเข้าสัมภาษณ์ เพื่ออัดรายการชีพจรโลก และครั้งนี้คุณสุทธิชัย บอกว่า


"ท่านติช นัท ฮันห์ เป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดแล้ว เราจะมีความรู้สึกสงบนิ่ง แต่ลึก"
การสนทนาระหว่างท่านติช นัท ฮันห์ แม้จะใช้เวลาไม่นานนัก แต่เนื้อหาเรื่องราวมีความคมคายลึกซึ้งในเรื่องความเมตตาที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ (อ่านบทสัมภาษณ์เต็มในกาย-ใจ กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอาทิตย์นี้)


"อย่างเศรษฐีฮ่องกงคนหนึ่งบอกว่า อยากให้หลวงปู่ (ท่านติช นัท ฮันห์) ไปพบจะบริจาคเงินให้เยอะมาก แต่วันนั้นท่านต้องพูดกับคนจำนวนมากที่รอฟังธรรมอยู่ หลวงแม่ก็ติดต่อหลวงปู่ แล้วหลวงปู่ก็บอกว่า เราไม่ต้องการเงินของคนๆ เดียว แต่เรามีคนฟังมากมาย และอยากให้ทุกคนได้ประโยชน์จากสิ่งที่เราพูดมากกว่า" หลวงแม่จุนคง ภิกษุณีชาวเวียดนาม (บวชเมื่อปี ค.ศ.1988) ผู้ร่วมก่อตั้งหมู่บ้านพลัมในประเทศฝรั่งเศส เล่าให้คุณสุทธิชัยฟัง และบอกว่า ท่านมองเรื่องเงินมาทีหลัง การปาฐกถาย่อมสำคัญกว่า


เรื่องราวชีวิตการต่อสู้ของท่านติช นัท ฮันห์ ไม่ว่าคำสอนและการปฏิบัติตามวิถีพุทธ ที่คนสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ท่านจึงเรียกว่า ศาสนาเพื่อสังคม



ท่านได้นำเอาศาสนามาสอนให้คนทั้งโลกสัมผัสได้ด้วยใจ ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าอยู่ในกลุ่มสังฆะ (กลุ่มเพื่อนๆ ที่มีการพบปะเพื่อทำกิจกรรมภาวนาบนวิถีแห่งสติ) ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร หากได้ยินระฆังแห่งสติ คุณต้องหยุดกิจกรรมทุกอย่างไว้ชั่วคราว แค่ไม่กี่อึดใจ เพื่อที่จะกลับมาอยู่กับการตระหนักรู้ในลมหายใจเข้าออก


ถ้าคุณโกรธหรือมีความรู้สึกแง่ลบ แล้วกลับมาเพ่งอยู่กับลมหายใจเข้าออก ก็จะป้องกันไม่ให้ความรู้สึกด้านลบลากคุณไป



คุณสุทธิชัย ยังถามท่านว่า โลกนี้มีพระเจ้าจริงหรือไม่ ท่านบอกว่า พระเจ้าอยู่ในใจเรา ท่านเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งบอกว่า พระเจ้าสร้างโลก แต่ท่านไม่เชื่อ พระเจ้าอยู่ในจิตใจเรา ก็คือ ความดี ความถูกต้อง ในแง่มุมนี้ท่านเชื่อว่า พระเจ้ามีจริง



"การตีความในเรื่องศาสนาพุทธ อยู่ที่ตัวเราเอง คือ ที่นี่...เวลานี้ คือท่านปฏิบัติจริง และไม่ใช่แค่สอน แต่เอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ศาสนาพุทธไม่ใช่แค่การสวดมนต์หรือเข้าวัด อยู่ที่วิถีชีวิตประจำวัน ต้องทำให้เป็นพุทธ นั่นก็คือ มีเมตตา สมาธิ"



2.


ที่สำคัญก็คือ คุณสุทธิชัย ถามเรื่องสงครามอิรัก มีหลายคนเปรียบเทียบว่าเหมือนสงครามเวียดนาม ท่านบอกว่า หลังเหตุการณ์ 11 กันยายนผ่านไป 1 วัน ท่านก็ออกมาพูดว่า ขออย่าให้อเมริกาทำสงครามกับอิรัก สงครามจะทำให้คนเกิดความทุกข์และความเสียหายจนไม่อาจประเมินได้ และทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้น



หากถามว่า ท่านจะประณามการก่อการร้ายอย่างไร ท่านติช นัท ฮันห์ บอกว่า ไม่ได้ประณามการก่อการร้าย แต่คิดว่า พวกเขาคงจะมีเหตุผลอะไรบางอย่าง แล้วต้องรู้ว่าสาเหตุที่เขาก่อการร้ายคืออะไร ถ้าไม่เข้าใจ ก็จะเผชิญหน้าแบบนี้ต่อไป ดังนั้นต้องเข้าใจสาเหตุของการก่อการร้าย แล้วแก้ที่สาเหตุดีกว่าฆ่าฟันกันเอง



กรณีนี้คุณสุทธิชัย วิเคราะห์ว่า ท่านตีความจากมุมในแง่จิตวิญญาณมากกว่าการแย่งชิงอำนาจระหว่างประเทศใหญ่และประเทศเล็ก ท่านมองว่า แต่ละฝ่ายมีปัญหาที่จะต้องทำความเข้าใจ และการกลับไปเวียดนามคราวนี้ ท่านทำให้คนเวียดนามปัจจุบันเกิดการตื่นตัวทางด้านจิตวิญญาณ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความเข้าใจ เพราะครั้งนี้รัฐบาลเวียดนามเชิญกลับไปและมีท่าทีทางบวก ทำให้พุทธศาสนามีความชัดเจนยิ่งขึ้นในเวียดนาม และมีคนฟังปาฐกถาจากท่านมากกว่า 7,000 คน



เมื่อถูกถามถึงการเดินทางมาเมืองไทย ท่านติช นัท ฮันห์ บอกว่า เป็นประเทศที่ท่านใกล้ชิดมาตลอด และโอกาสนี้เป็นวันวิสาขบูชา ครั้งนี้ท่านก็อยากแสดงแนวคิดของท่าน เพื่อให้คนไทยมองอีกแง่หนึ่งของพุทธศาสนา


"พุทธไม่ใช่แค่การบวช การสวดมนต์หรือไปวัด ไม่ว่าจะอาชีพอะไร พุทธศาสนาก็อยู่ในใจคุณได้" ท่านติช นัท ฮันห์ กล่าวกับคุณสุทธิชัย



เมื่อคุณสุทธิชัยถามเรื่องพุทธศาสนิกชนจะมีบทบาทด้านการเมืองได้ไหม ท่านบอกว่า ทุกคนก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่เราไม่ทำตัวเป็นนักการเมือง เราต้องมีจุดยืนที่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการเมือง และไม่เห็นด้วยที่การเมืองก่อให้เกิดความทุกข์ยากต่อประชาชน



"ท่านจะไม่เล่นบทบาททางการเมือง แต่จะแสดงจุดยืน ถ้านักการเมืองทำให้ความทุกข์เกิดกับประชาชน นั่นถือว่าไม่ถูกต้อง ท่านบอกว่า ต้องมีจุดยืนและแสดงความคิดเห็นออกมา ไม่ใช่ทำตัวเป็นกลาง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องดีหรือเลว แต่สำหรับท่าน ถ้านักการเมืองทำให้ประชาชนลำบากและผิดศีลธรรม ท่านจะออกมาแสดงความคิดเห็น แต่ท่านจะไม่เล่นบทบาททางการเมือง อย่างตอนท่านอยู่ในอเมริกา ก็มีนักการเมืองอเมริกันมาฟัง ท่านเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองตรงนี้ เพื่อให้นักการเมืองเข้าใจว่า ความยุติธรรม ความเมตตาคืออะไร" คุณสุทธิชัย สรุปถึงสิ่งที่ได้คุยกับท่านติช นัท ฮันห์



3.



ด้วยวัยกว่า 80 ปีของท่านติช นัท ฮันห์ ลูกศิษย์และภิกษุผู้ใหญ่จึงมีความเป็นห่วงท่านมาก เพราะไม่ว่าจะเดินทางไปประเทศไหน ก็จะมีคนต้องการพบท่านอยู่ตลอดเวลา และแต่ละครั้งท่านต้องขึ้นปาฐกถาธรรม ซึ่งมีคนฟังจำนวนมาก และท่านอยากให้คนซึมซับวิถีการปฏิบัติพุทธศาสนา จึงพยายามปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามในใจคนทั้งโลก โดยไม่แบ่งเชื้อชาติ ศาสนา หรือไม่มีศาสนาก็มีโอกาสเดินทางไปปฏิบัติที่หมู่บ้านพลัม ทั้งในฝรั่งเศสและอเมริกา และในอนาคตจะมีการตั้งหมู่บ้านพลัมในเชียงใหม่
ในบรรดาลูกศิษย์ของท่านติช นัท ฮันห์ หลวงพี่นิรามิสา เป็นที่รู้จักของคนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ และได้เล่าถึงหลวงปู่ว่า ตอนนี้สุขภาพท่าน เปราะบางมาก แต่ท่านก็พยายามดูแลสุขภาพตัวเอง ที่ท่านสามารถปาฐกถาธรรมเป็นชั่วโมงได้ เพราะท่านมีพลังแห่งความรักและความเมตตา



เมื่อถามถึงเป้าหมายการเดินทางมาเมืองไทยของท่านติช นัท ฮันห์ ครั้งนี้ หลวงพี่นิรามิสา บอกว่า เมื่อสองปีที่แล้ว ท่านมาเวียดนาม คราวนี้ได้มาเมืองไทย และนี่เป็นโอกาสที่จะเผยแผ่คำสอน ซึ่งคนรุ่นใหม่ไม่เคยได้เห็นตัวท่าน ได้แค่อ่านหนังสือ แต่ไม่ได้ปฏิบัติแบบชุมชนสังฆะ



"หมู่บ้านพลัมในฝรั่งเศสเน้นการอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนหรือสังฆะคือ นักบวชชาย นักบวชหญิง ฆราวาสชายและหญิง อยู่กันอย่างสมานฉันท์กลมกลืน โดยวิธีการปฏิบัติแบบเจริญสติ อยู่กับลมหายใจเข้าออกขณะปัจจุบัน และตระหนักรู้ร่วมกัน แต่การอยู่ร่วมกัน ก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีทั้งความสุขและความทุกข์ เมื่อมีความทุกข์หรือปัญหา สังฆะของหลวงปู่จะมีอะไรใหม่ๆ ให้เราฝึกปฏิบัติเรื่อยๆ"



คนจากทั่วโลกกว่า 20 เชื้อชาติต้องมาอยู่ร่วมกันในหมู่บ้านพลัม แล้วมีแนวทางการปฏิบัติอย่างไร หลวงพี่บอกว่า ความแตกต่างทางวัฒนธรรมเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่ลึกๆ กว่านั้นคือ อุดมคติ อยากมีวิถีที่เป็นนักปฏิบัติ เพื่อไปสู่อุดมการณ์ความปรารถนาที่ลึกซึ้งคือ การเปลี่ยนแปลงตัวเอง รักตัวเอง รักคนอื่น อยากทำอะไรที่งดงามให้กับตัวเราและชาวโลก



"อย่างเวลามีปัญหาในกลุ่มสังฆะ ทุกอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ เราก็จะนั่งล้อมวงกัน แล้วแสดงความรู้สึกขอบคุณและความประทับใจ ยกตัวอย่าง "ขอบคุณมากนะที่วันนั้นไม่สบาย เดินเข้าห้องเบาๆ แล้วปิดไฟให้" การอยู่ร่วมกันในวิถีตระหนักรู้ จะเห็นสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งเหล่านี้มีคุณค่า ไม่ใช่คิดว่า เราไม่สบาย เขาต้องทำอย่างนี้อยู่แล้ว"



หลวงพี่บอกว่า บางครั้งเราใช้วิธีการแสดงออกด้วยวาจา เพื่อให้ความสุขเพิ่มพูนมากขึ้น ถ้ามีความขัดแย้งในชุมชน ก็จะมีการปฏิบัติที่เรียกว่า สัญญาเพื่อสันติ เพื่อจะบอกชัดเจนว่า ช่วงเวลาที่โกรธไม่ให้พูด ไม่ให้คุย ต้องไปเดินสมาธิ ทำอย่างไรให้ใจเย็นลงภายใน 24 ชั่วโมง ก็ต้องเขียนจดหมายรัก คือ จดหมายสันติภาพ แสดงสิ่งที่เราคิดและรู้สึก ฝึกปฏิบัติที่จะใช้วาจาแห่งสติ ในการเขียนอย่างมีสติ หลวงปู่เรียกว่า จดหมายแห่งสติ



"เมล็ดพันธุ์แห่งความโกรธทุกคนมีอยู่ในตัวเอง แล้วเวลาที่เราโกรธ ต้นตอก็อยู่ที่ตัวเรา พอแต่ละฝ่ายนิ่ง ก็จะเข้ามาคุยกัน อีกอย่างก็คือ นักบวชก็ยังเป็นมนุษย์ เราก็ตั้งมั่นว่าฝึกปฏิบัติ แล้วเราก็ใช้วิถีชีวิตปฏิบัติได้ตลอดเวลา บางครั้งเราก็หลุด



อย่างต้องเตรียมงานมากๆ ก็เครียด แต่เราก็เตือนตัวเองว่า เครียดต้องผ่อนคลาย"



นอกจากหลวงพี่นิรามิสา แล้วยังมี หลวงพี่พิทยา ฐานิสสโร ภิกษุหนุ่มรูปนี้บวชเมื่อปี 2541 ท่านนี้เรียนจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยมหิดล เคยทำงานเป็นผู้จัดการบริษัทอยู่พักหนึ่ง ในงานภาวนาที่ผ่านมา ท่านช่วยเป็นล่ามภาษาไทย และอธิบายเดินวิถีแห่งสติให้คนไทยเข้าใจได้ด้วยภาษาที่อ่อนโยน พร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ที่เต็มไปด้วยความเมตตา



ท่านบอกว่า ถ้าพุทธศาสนามีชีวิต ทุกคนจะเข้าใจ เหมือนมีพระพุทธเจ้าตื่นในใจของเรา เราต้องสอนให้คนตื่นรู้ในตัวเอง คือสิ่งที่หลวงปู่พยายามสอนอยู่เสมอ



"เมื่อก่อนเวียดนามก็มองว่า หลวงปู่เข้าข้างสหรัฐ สหรัฐก็มองว่า หลวงปู่เป็นเวียดกง เพราะฉะนั้นหลวงปู่ก็เลยต้องอยู่ตรงกลาง เพื่อรักษาความสงบ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านอยากให้สันติภาพเกิดขึ้นที่เวียดนาม แม้จะกลับประเทศไม่ได้ ท่านก็บอกว่า ได้เรียนรู้จากสิ่งนั้นเยอะ ท่านขอบคุณความยากลำบากที่ทำให้ยืนหยัดได้ในวันนี้"



อีกเรื่องหนึ่งที่หลวงพี่ยกตัวอย่างสิ่งที่หลวงปู่เขียนไว้เกี่ยวกับเด็กเวียดนามที่ลี้ภัยทางเรือแล้วถูกโจรสลัดไทยข่มขืน ก็เลยโดดน้ำ เรื่องนี้ถ้าเรามองอย่างลึกซึ้ง ก็เพราะเด็กไทยถูกเลี้ยงดูมาอย่างนั้น แล้วไม่ได้ถูกรดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งความงดงามในจิตใจเขา กลับรดน้ำด้วยโกรธความเกลียดชัง พอโตมาก็กระทำสิ่งนั้น น่าสงสารที่เขาไม่ได้รับรู้ในสิ่งที่ดี


"ถ้ามองอย่างลึกซึ้งเราจะรู้สึกสงสารเด็กไทยคนนี้ที่ไปข่มขืนผู้หญิง และสงสารผู้หญิงคนนั้นเช่นกัน เราไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จิตใจเราก็สงบ แต่ถ้าถามว่า เป็นการยากไหม...ยาก



หลวงพี่ก็ต้องเรียนรู้ไปทีละนิด บางครั้งพระยังต้องร้องไห้ ไม่ใช่เรื่องแปลก บางเรื่องบางอย่างเมื่อเรากลับมาดูตัวเรา ก็จะเห็นข้างในเรามากขึ้น"
ระหว่างการสนทนา ระฆังแห่งสติดังขึ้น หลวงพี่บอกว่า เมื่อได้ยินเสียงระฆัง เราจะอยู่กับลมหายใจให้กายกับจิตอยู่ตรงนี้อย่างแท้จริง เมื่อเราหยุดได้บ่อยๆ มันก็เหมือนการสร้างสติให้กับตัวเรา เมื่ออารมณ์มาก็เปลี่ยนอารมณ์ของเรา
"เซนเป็นเรื่องอะไรที่ง่าย เหมือนเด็กคนหนึ่งที่อยากเรียนรู้และเปิดหัวใจ และง่ายที่จะเข้าใจ อย่างเด็กๆ จะมีความสุข แต่ไม่มีความสงบ แล้วผู้ใหญ่อย่างเราจะมีทั้งความสุขและสงบได้อย่างไร เพราะเราจะเห็นอะไรที่ชัดเจนขึ้น"



..................................



หมายเหตุ : ผู้สนใจเรื่องราวการปฏิบัติตามแนวท่านติช นัท ฮันห์ ติดตามหาคำตอบที่ลึกซึ้งได้ที่รายการชีพจรโลก วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม 2550 เวลา 22.00 น. ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี



มองพุทธ...อย่างเข้าใจ


ในบรรดาคนที่เข้าใจพุทธศาสนาอย่างแตกฉาน คงไม่มีใครเกิน สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ปัญญาชนของเมืองไทย ท่านเคยต้อนรับท่านติช นัท ฮันห์ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว และนี่คือมุมมองของท่าน



+อยากให้ท่านเปรียบเทียบระหว่างท่านติช นัท ฮันห์ และท่านพุทธทาสว่า มีความเหมือนและต่างกันอย่างไรครับ



ท่านอาจารย์พุทธทาส เคยบอกว่า ท่านนัท ฮันห์ เขียนหนังสือดีกว่าท่าน ท่านเป็นกวี แต่อาจารย์พุทธทาสไม่ได้เป็น ท่านเขียนกลอนได้บ้าง ความเหมือนคือ ทั้งสองเป็นสมณะ ความต่างคือ ท่านนัท ฮันห์ เป็นมหายาน ท่านพุทธทาสเป็นเถรวาท แต่เป็นพุทธที่กว้างขวาง รับมหายาน วัชรยาน และคริสต์ศาสนา เปิดรับทุกศาสนา อย่างหนังสือท่านนัท ฮันห์ที่ขายดีมากคือ เปรียบเทียบพระพุทธเจ้ากับพระเยซู ท่านกว้างขวางมาก และเคยเข้าพิธีรับศีลมหาสนิทจากบาทหลวงอเมริกัน ผมไม่เชื่อว่าจะมีพระองค์ไหนทำได้เพียงนี้ ท่านมีความกล้าหาญ ไม่เห็นความต่างทางศาสนาเพื่อเป็นเรื่องกีดขวาง ท่านเป็นมิตรกับศาสนิกต่างๆ แม้คนไม่นับถือศาสนาก็เป็นมิตรกัน ตรงนี้ที่ท่านคล้ายๆ กับท่านพุทธทาส



+สิ่งที่ท่านติช นัท ฮันห์ พูดถึงเรื่องศาสนาเพื่อสังคม ในทางปฏิบัติอาจารย์สุลักษณ์ตีความอย่างไร




คำว่า Buddhism ฝรั่งเข้าใจว่า นับถือพุทธ แล้วภาวนาอย่างเดียว จริงๆ พุทธต้องมีทั้งศีล สมาธิและปัญญา ภาวนาเป็นส่วนหนึ่งของสมาธิ ฝรั่งมาถือพุทธไม่เข้าใจเรื่องศีล ส่วนใหญ่พวกนี้เป็นคนรวยและชนชั้นกลาง



อาจารย์นัท ฮันห์ เคยบอกว่า ศีลไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เป็นคนดี ไม่ตบยุง ศีลหมายถึงต้องการให้สังคมยุติธรรม ลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน มีความเห็นว่า สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติต้องเหมาะสม สมัยใหม่ต้องเข้าใจว่า ศีลต้องประยุกต์ใช้กับโครงสร้างสังคมอยุติธรรม ท่านเป็นผู้นำคนหนึ่ง ซึ่งผมก็เดินตามท่าน ผมก็มาตั้งกระบวนการพุทธศาสนิกสัมพันธ์เพื่อสังคมนานาชาติ




+ถ้าจะเผยแผ่แนวพุทธมหายานในเมืองไทยจะมีอุปสรรคไหม



อาจเป็นอุปสรรคกับพวกที่ติดยึดกับรูปแบบ ผมว่างานของท่านเกื้อกูลมนุษย์ อย่างหนังสือของท่านเล่มหนึ่ง 'ปัจจุบันในเวลาประเสริฐสุด' เป็นบทสวดบทภาวนาง่ายๆ ท่านพุทธทาสเคยบอกกับท่านสิงห์ทองว่า อ่านเล่มนี้เล่มเดียวแล้วปฏิบัติตามนี้ เป็นปัจฉิมวาจาของท่านพุทธทาส ท่านให้เกียรติท่านนัท ฮันห์อย่างสูง ผมโชคดีที่ได้แปลหนังสือเล่มนี้



+ท่านพุทธทาสเคยพบท่านนัท ฮันห์ไหมครับ



ไม่เคยเจอกันครับ ท่านพุทธทาสเคยเฝ้าองค์ทะไลลามะ แต่ท่านนัท ฮันห์ มาเมืองไทยครั้งแรกในช่วงที่ผมเชิญท่านมา ตอนนั้นท่านอยู่วัดผาราช เอารูปแบบของสวนโมกข์ไปตั้งที่เชียงใหม่ อย่างตอนนั้นประชา หุตานุวัตร วิศิษฐ์ วังวิญญู และพระไพศาล วิสาโล กลุ่มพวกนี้ใกล้ชิดกับท่าน ช่วงนั้นเวียดนามแตก เราก็ช่วยท่านหาเรือให้พวกเวียดนาม ท่านรักพวกนี้เหมือนลูกศิษย์ใกล้ชิด แต่ก็มีปัญหาตอนนั้นรัฐบาลเวียดนามเกลียดท่าน เพราะท่านช่วยคนญวน ตอนนั้นเขาบอกว่าผิดกฎหมาย ก็เลยมีคนป้ายสีท่านในทางไม่ดี แล้วรัฐบาลไทยก็เกลียดคนที่ป้ายสี




กว่า 30 ปีที่ท่านถูกห้ามเข้าเมืองไทย และครั้งนี้เป็นแง่หนึ่งที่ท่านได้มาแสดงถึงอิสรภาพและเสรีภาพของรัฐบาลไทย ผมหวังว่า ต่อไปรัฐบาลไทยคงจะต้องแสดงความกล้าหาญ หากองค์ทะไลลามะจะเสด็จมาเมืองไทย



+ทั้งท่านทะไลลามะและท่านติช นัท ฮันห์ เป็นผู้นำศาสนาที่เป็นที่รู้จักดี แล้วบทบาททางการเมืองและศาสนามีความเหมือนและต่างกันอย่างไร
สมัยหนึ่งท่านนัท ฮันห์ ต่อต้านเผด็จการสงครามในเวียดนาม ท่านมีบทบาททางการเมือง พอสงครามสงบแล้ว ท่านเปลี่ยนจุดยืนมาเน้นในการสร้างคณะสงฆ์ เมื่อทำเช่นนี้ก็จำเป็นต้องลดบทบาททางการเมือง จะเห็นได้ว่าท่านเกือบจะไม่โจมตีทางการเมืองอีกต่อไป อย่างท่านทะไลลามะมีบทบาททางการเมืองมากกว่า และไม่เฉพาะทิเบตที่ต้องการอิสรภาพ ท่านทะไลลามะยังมีบทบาทในโลกมากกว่า



อย่างท่านนัท ฮันห์มาเน้นที่คณะสงฆ์ทั้งในฝรั่งเศส อเมริกา และเวียดนาม เมื่อตั้งคณะสงฆ์ก็ต้องมีบทบาทท้าทายสังคมน้อยลง องค์ทะไลลามะไม่เชิงท้าทาย แต่ท่านขายความคิดเพื่อสันติสุขของโลกมากกว่าท่านนัท ฮันห์ เช่น ความคิดเรื่องเน้นความสุขมากกว่าผลผลิตจากภูฏาน ก็มาจากแนวคิดองค์ทะไลลามะ


.............................. สรุปจากบทสัมภาษณ์คุณสุทธิชัย หยุ่น กับอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ที่พุทธมณฑล นครปฐม เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2550 เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ

http://www.bangkokbiznews.com/2007/05/23/WW06_0602_news.php?newsid=72763

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2553 11:21:49 »






เหงื่อตก    เก็บลิ้งค์ค่ะ
สาธุนะคะ
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
มนตรา แห่ง ศานติ -- ร้องโดย ทีน่า เทอเนอร์ นักร้องอเมริกันชื่อดัง
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 0 1970 กระทู้ล่าสุด 31 พฤษภาคม 2558 14:42:17
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.718 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 05 กุมภาพันธ์ 2567 00:11:28