[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก => ข้อความที่เริ่มโดย: ใบบุญ ที่ 29 เมษายน 2559 20:47:46



หัวข้อ: หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ วัดสนามใน จ.นนทบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 29 เมษายน 2559 20:47:46

(http://www.dhammajak.net/board/files/paragraph__197.jpg)

หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ
วัดสนามใน ต.วังชลอ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี

"หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ" แห่งวัดสนามใน ต.วังชลอ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เป็นบูรพาจารย์สายปฏิบัติที่มุ่งสอนวิปัสสนาการเจริญสติตามแนวสติปัฏฐาน 4

วิธีการดังกล่าว ถือว่าเป็นแนวปฏิบัติที่สั้น-ตรง-ลัด-เร็ว เข้าสู่ความเป็นพุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อันเป็นแนวทางยกระดับทางจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบตามหลักพุทธธรรม

มีนามเดิมว่า พันธ์ อินทผิว เกิดเมื่อวันที่ 5 ก.ย.2454 ที่บ้านบุฮม ต.บุฮม อ.เชียงคาน จ.เลย

บิดาเสียชีวิตตั้งแต่ท่านยังเด็ก ในสมัยนั้นหมู่ บ้านบุฮมยังไม่มีโรงเรียน จึงไม่ได้เรียนหนังสือ ในวัยเด็กท่านช่วยมารดาทำไร่ทำนา

เมื่ออายุ 10 กว่าได้บรรพชากับหลวงน้าที่วัดในหมู่บ้าน ได้เรียนตัวหนังสือลาวและตัวหนังสือธรรม พออ่านออกและเขียนได้บ้าง และได้เริ่มฝึกกัมมัฏฐานตั้งแต่คราวนั้น ท่านได้ปฏิบัติหลายวิธี เช่น วิธีพุทโธ วิธีนับหนึ่ง สอง สาม... หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรได้ 1 ปี 6 เดือน ได้ลาสิกขาออกมาช่วยครอบครัวหาเลี้ยงชีพ

อายุ 20 ปี อุปสมบท ศึกษาและทำสมาธิกับหลวงน้าอีกครั้ง หลังบวชได้ 6 เดือน ได้ลาสิกขาออกมาและแต่งงานมีครอบครัว มีบุตรชาย 3 คน

ช่วงอายุ 22 ปี ท่านมักจะเป็นผู้นำของคนในหมู่บ้านในการทำบุญจนเป็นที่นับถือและได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านถึง 3 ครั้ง แม้จะมีภาระมาก แต่ท่านยังสนใจการทำสมาธิและได้ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอตลอดมา

ต่อมาย้ายไปอยู่ในตัวอำเภอเชียงคาน เพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือ รวมทั้งได้ประกอบอาชีพ เป็นพ่อค้าเดินเรือค้าขาย ขึ้นล่องตามลำน้ำโขง ระหว่างเชียงคาน -หนองคาย-เวียงจันทน์ บางครั้งไปถึงหลวงพระบาง ทำให้ท่านได้มีโอกาสพบกับพระอาจารย์กัมมัฏฐานหลายรูป จึงเกิดความสนใจธรรมะมากขึ้น

นอกจากนี้ ท่านยังเห็นว่าแม้จะทำความดี ทำบุญ และปฏิบัติกัมมัฏฐานมาหลายวิธีตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ท่านก็ยังไม่สามารถเอาชนะความโกรธได้ ท่านจึงอยากค้นคว้าหาทางออกจากสิ่งเหล่านี้

พ.ศ.2500 เมื่ออายุได้ 45 ปีเศษ ได้ออกจากบ้านโดยตั้งใจแน่วแน่จะไม่กลับจนกว่าจะพบธรรมะที่แท้จริง ท่านได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดรังสีมุกดาราม ต.พันพร้าว อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย (ปัจจุบันคือ อ.ศรีเชียง ใหม่) โดยทำกัมมัฏฐานวิธีง่ายๆ คือ การเคลื่อนไหว แต่ท่านไม่ได้ภาวนาคำว่า "ติง-นิ่ง" (ติงแปลว่า ไหว) อย่างที่คนอื่นทำกัน ท่านเพียงให้ความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายและจิตใจเท่านั้น

อายุ 48 ปี เข้าพิธีอุปสมบทครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2503 ที่วัดศรีคุณเมือง ต.ชุมฮม อ.เชียงคาน จ.เลย โดยมีพระครูวิชิตธรรมาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการชุน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการสุบรรณ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

เมื่อบวชเป็นพระแล้ว หลวงพ่อได้ทำหน้าที่ของท่าน คือสอนธรรมะให้ทั้งพระสงฆ์และญาติโยมท่านเล่าว่าท่านสอนไปทุกที่ ไม่จำกัดว่าอยู่ในวัดหรือกุฏิ แม้แต่คนเดินอยู่บนถนน ถ้าถามท่านท่านก็แนะนำให้ หรือบางครั้งท่านก็ยังเคยเป็นผู้ถามนำขึ้นก่อนก็มี

คำสอนของหลวงพ่อได้แพร่หลายออกไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้มีผู้ปฏิบัติตามเพิ่มจำนวนมากขึ้น

หลวงพ่อเทียน ได้อุทิศชีวิตให้กับการสอนธรรมะอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยหรือสุขภาพของร่างกาย

สิ่งที่หลวงพ่อเทียนมุ่งสอน คือ การเจริญสติในรูปแบบของกายเคลื่อนไหว ถือเป็นหัวใจหลักในการสอน หลวงพ่อเทียนสอนฉีกแนวการทำสมาธิรูปแบบที่เราคุ้นเคยกันมา จนเป็นที่แปลกใจของผู้ที่พบเห็นและเป็นผลประจักษ์แก่ผู้ทดลองปฏิบัติ

ธรรมโอวาทของหลวงพ่อ เป็นคำกล่าวหรือคำพูดง่ายๆ แต่มีความหมายอย่างลึกซึ้ง เช่น "การปฏิบัติธรรมะ นั้นวิธีใดก็ดี ถ้ามันทำประโยชน์ให้กับเรา หมดข้อข้องแวะ แต่ขอให้หมดจริงๆ ต้องปฏิบัติจริงๆ ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อหลอกตัวเอง ต้องปฏิบัติจริงๆ คนจริงย่อมรู้ของจริง" ฯลฯ

ช่วงบั้นปลายชีวิต หลวงพ่อเทียน ย้ายมาอยู่จำพรรษาที่วัดสนามใน ต.วังชลอ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เพื่อสะดวกในการเดินทางไปรักษาอาการอาพาธที่โรงพยาบาลในเมืองหลวง ก่อนที่หลวงพ่อจะขอเดินทางกลับจังหวัดเลย

เมื่อวันที่ 13 ก.ย.2531 หลวงพ่อเทียน ละสังขารอย่างสงบ ที่ศาลามุงแฝกบนเกาะพุทธธรรม สำนักปฏิบัติธรรมทับมิ่งขวัญ ต.กุดป่อง อ.เมือง จ.เลย สิริอายุ 77 ปี


พันธุ์แท้พระเครื่อง
ราม วัชรประดิษฐ์