[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 02 เมษายน 2567 14:21:43



หัวข้อ: บัว ๔ เหล่า โดย พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 02 เมษายน 2567 14:21:43
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/58395841055446_434708851_995873038587519_3704.jpg)

บัว ๔ เหล่า

พระพุทธเจ้าของพวกเรา ตอนที่ทรงตรัสรู้ใหม่ๆ ไม่มีความปรารถนาที่จะประกาศพระศาสนา แต่หลังจากที่ได้ทรงพินิจพิจารณา ก็ทรงเห็นว่า มีสัตว์โลกบางกลุ่มบางพวกที่อยู่ในเกณฑ์ที่จะรับคำสอนได้ ทรงพิจารณาแยกสัตว์โลกไว้เป็น ๔ กลุ่มด้วยกัน เหมือนบัว ๔ เหล่า

กลุ่มที่ ๑ คือกลุ่มบัวเหนือน้ำ ที่พอได้รับแสงสว่างของพระอาทิตย์ บัวก็จะบาน พวกนี้เป็นพวกนักบวช ที่ได้ศีลแล้ว ได้สมาธิแล้ว แต่ไม่รู้จักอริยสัจ ๔ พอทรงแสดงพระอริยสัจ ๔ ก็สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้เลย

กลุ่มที่ ๒ คือกลุ่มบัวปริ่มน้ำ ที่ต้องรออีกวันสองวันถึงจะโผล่เหนือน้ำ พวกนี้เป็นพวกนักบวชที่ยังไม่ได้สมาธิ กำลังเจริญสติ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ยังไม่ได้เต็มที่ แต่บำเพ็ญไปเรื่อยๆ พอจิตรวมเข้าสู่ความสงบอย่างเต็มที่แล้ว พอได้พิจารณาอริยสัจ ๔ พิจารณาไตรลักษณ์ พิจารณาอสุภะก็จะตัดกิเลสได้ ตัดกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาได้

กลุ่มที่ ๓ คือพวกที่ยังไม่ได้บวช ชอบทำทานแต่ไม่ชอบรักษาศีล ๘ ไม่ชอบปลีกวิเวก ไม่ชอบไปอยู่ตามลำพังตามสถานที่สงบสงัด ยังติดอยู่กับลาภยศสรรเสริญ ยังติดอยู่กับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ พวกนี้ก็ต้องใช้เวลาบำเพ็ญไปเรื่อยๆ อยู่ที่ว่าจะขยันหรือขี้เกียจ ถ้าขยันก็อาจจะหลุดพ้นได้ในชาตินี้ ถ้าไม่ขยันก็ต้องสะสมบารมีไปก่อน

กลุ่มที่ ๔ คือพวกที่ไม่สนใจเรื่องศาสนาเลย เวลาชวนมาวัดก็จะปฏิเสธ ถ้าชวนให้ไปเที่ยวไปทันที ถ้าชวนให้มาวัด มาปลีกวิเวก มานั่งสมาธิ จะไม่เอา พวกนี้จะไม่มีวันได้เห็นแสงสว่างแห่งธรรม เป็นดอกบัวที่อยู่กับโคลนตม ที่จะกลายเป็นอาหารของปูของปลาไป ไม่มีวันที่จะโผล่เหนือน้ำขึ้นมาได้

หลังจากได้พิจารณาความแตกต่างของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว ก็ทรงมีกำลังใจที่จะประกาศพระศาสนา ตอนต้นทรงคิดว่าเหมือนกันหมด ชอบรูปเสียงกลิ่นรส ชอบลาภยศสรรเสริญ เหมือนกันหมด สอนอย่างไรก็จะไม่มีใครปฏิบัติตาม แต่หลังจากได้ทรงพิจารณา ก็ทรงเห็นว่ามีพวกนักบวชที่มีฌานมีสมาธิแล้ว หรือพวกที่กำลังเจริญสติเดินจงกรมนั่งสมาธิอยู่ หรือพวกฆราวาสที่เข้าวัดทำบุญทำทานรักษาศีลเป็นประจำอยู่ ก็ทรงเห็นว่าเป็นพวกที่สามารถปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนได้ จึงทรงมุ่งไปสอนสู่บัวทั้ง ๓ กลุ่มนี้ โดยเฉพาะกลุ่มที่ ๑ กลุ่มที่อยู่เหนือน้ำแล้ว คือพวกนักบวช ทรงไปสอนตามสำนักต่างๆ หลังจากทรงสอนพระปัญจวัคคีย์ ที่เคยติดตามอุปถัมภ์อุปัฏฐาก จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ทรงไปสอนตามสำนักของนักบวชต่างๆ

ในแต่ละครั้งที่ทรงสอน ก็มีผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาพร้อมๆกันหลายรูป เช่นครั้งหนึ่งมีนักบวชจำนวน ๕๐๐ รูป พอฟังธรรมเสร็จแล้วก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ รูปเลย ภายในเวลาเพียง ๗ เดือน นับตั้งแต่วันแรกที่ทรงประกาศพระศาสนา คือในวันเพ็ญเดือน ๘ วันอาสาฬหบูชา มาถึงวันเพ็ญเดือน ๓ วันมาฆบูชา ก็ปรากฏมีพระอรหันต์อย่างน้อย ๑๒๕๐ รูป ได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้า จากทิศต่างๆโดยที่ไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน เป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน มีปรากฏขึ้นมาหลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และประกาศพระศาสนา ก่อนหน้านั้นไม่มีพระอรหันต์แม้แต่รูปเดียว

นี่คือความสำคัญที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าต่อสัตว์โลก เป็นผู้มีพระคุณที่ยิ่งใหญ่ ต่อผู้ปรารถนาความหลุดพ้นจากความทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เป็นทางลัดที่สุด ไม่มีทางไหนที่จะลัดเท่ากับทางที่พระพุทธเจ้าได้ทรงนำมาสั่งสอน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
จุลธรรมนำใจ ๓๒ กัณฑ์ที่ ๔๕๓       
วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
]