[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
09 พฤษภาคม 2567 15:47:20 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  1 2 3 [4] 5 6 ... 8   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความสุขอยู่ที่ตัวเรา  (อ่าน 88309 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #60 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2556 10:54:55 »

ไม่ต้องสงสัยว่าชาติหน้ามีหรือไม่มี
ไม่ต้องไปถามว่า คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด
อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา
หน้าที่ของเรา คือ เราจะต้องรู้จักเรื่องราวของตัวเองในปัจจุบัน
เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม?
ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร?
นี้คือสิ่งที่เราจะต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย
 สลึมสลือ
บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #61 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2556 11:00:02 »

"จิตของคนเรา ไม่ว่าคิด ไม่ว่าพูด..
ไม่ว่าทำออกมาแล้ว เราเดือนร้อน คนอื่นเดือดร้อน อันนั้นแหละชั่ว
คิดพูดออกมาแล้วเราสบายใจ..คนอื่นสบายใจ
คนอื่นได้รับความสุขใจ เราก็สุขใจ อันนั้นหนะมันดี.."
 โทดค๊าบ
บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #62 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2556 11:06:13 »

จิตของเรานะมันก็ดิ้นรนไปทั่วแหละมันไม่ค่อยอยู่นิ่งหรอกขนาดตัวอยู่เมืองไทยใจยังไปอยู่ต่างประเทศเลยนะถ้ามันไปอยู่ผิดที่ผิดทางมันก็ทำให้เกิดความทุกข์ได้นะเราต้องฝึกให้มันอยู่นิ่งๆบ้างให้อยู่ในที่ๆควรอยู่จะได้ทุกข์น้อยๆ
 เขิน
บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #63 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2556 11:10:05 »

รองเท้า..ถ้าใส่แล้วมันคับไปก็ทำให้เราเจ็บเท้าได้เหมือนกัน...อาจจะเดินไม่สะดวก
เราลองถอดรองเท้าที่คับนั้นวางไว้ แล้วลองเดินเท้าเปล่า อาจจะมีความรู้สึกที่ดี กว่าการใส่ร้องเทาที่คับนั้นก็ได้.....คิด....คิด...คิด
 เครียด
บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #64 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2556 17:54:04 »

"ความสุข ยิ่งอยากได้ ยิ่งห่างไกล"
ความสุขนั้นใคร ๆ ก็ปรารถนา แต่เคยสังเกตไหมว่า ทันทีที่เราอยากได้ความสุข ความสุขกลับเลือนหาย ยิ่งอยากได้ความสุขมากเท่าไร เรากลับมีความสุขน้อยลง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?
เหตุผลนั้นมีหลายประการ ทุกครั้งที่เราอยากมีความสุข เรามักจะนึกถึงสิ่งที่เรายังไม่มี เช่น เงิน รถยนต์ ชื่อเสียง ความสำเร็จ หรือสิ่งที่ยังไปไม่ถึง เช่น ห้างสรรพสินค้า สถานที่ท่องเที่ยว แต่พอคิดเช่นนั้น เราก็จะรู้สึกไม่พอใจกับสภาพปัจจุบันทันที เพราะตรงนี้เดี๋ยวนี้ไม่มีสิ่งที่เราอยากได้ อีกทั้งไม่ใช่สิ่งที่เราอยากไปถึง
ทั้ง ๆ ที่สภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบันอาจให้ความสุขแก่เราอยู่แล้ว เช่น บ้านที่สะดวกสบาย ร่างกายที่ไม่ป่วยไข้ พ่อแม่และคนรักที่รู้ใจ แต่ความสุขเหล่านี้กลับถูกเรามองข้ามเพียงเพราะว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากได้หรือไม่ใช่สิ่งที่เราอยากไปถึง ใช่แต่เท่านั้นเมื่ออยากได้สิ่งที่ยังไม่มี เราก็ต้องดิ้นรนหามันมาให้ได้ ระหว่างที่ดิ้นรนนั้นก็รู้สึกเป็นทุกข์ตลอดเวลาที่ยังไม่ได้มันมา ยิ่งมีคู่แข่งมากมายด้วยแล้ว จะมีความสุขได้อย่างไร
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทันทีที่เราอยากได้ความสุข เราจะไม่เห็นความสุขที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะใจนั้นมัวจดจ่อใส่ใจกับความสุขที่อยู่ข้างหน้า แค่นั้นก็ทำให้ความสุขเลือนหายไปจากใจแล้ว คนส่วนใหญ่ที่อยากมีความสุขนั้นที่จริงเขามีความสุขอยู่แล้ว แต่มองไม่เห็น เพราะเอาแต่มองออกไปนอกตัว เขามองข้ามปัจจุบัน ฝากความหวังไว้กับอนาคต จึงเสียโอกาสที่จะเก็บเกี่ยวความสุขที่มีอยู่ในปัจจุบัน
 เย้
บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #65 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2556 19:19:39 »

"รู้หรือไม่ว่า ทานของท่าน ที่อุทิศให้ญาติที่ล่วงลับ ญาติเหล่านั้นจะได้รับหรือไม่?" โปรดอ่าน....
ชาณุสโสณีสูตร
[๑๖๖] ครั้งนั้นแล ชาณุสโสณีพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับได้
ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ท่านโคดมผู้เจริญพวกข้าพเจ้าได้นามว่าเป็นพราหมณ์ ย่อมให้ทาน ย่อมทำความเชื่อว่า ทานนี้ต้องสำเร็จแก่ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วขอญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วจงบริโภคทานนี้ ท่านโคดมผู้เจริญ ทานนั้นย่อมสำเร็จแก่ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วหรือญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วเหล่านั้นย่อมได้บริโภคทานนั้นหรือ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ทานนั้นย่อมสำเร็จในฐานะแล ย่อมไม่สำเร็จในอฐานะ ฯ
ชา. ท่านโคดมผู้เจริญ ฐานะเป็นไฉน อฐานะเป็นไฉน ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มีความอยากได้ของผู้อื่น มีจิตปองร้าย มีความเห็นผิด บุคคลนั้นเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงนรก เขาย่อมเลี้ยงอัตภาพอยู่ในนรกนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรกนั้น ด้วยอาหารของสัตว์นรก ดูกรพราหมณ์ ฐานะอันเป็นที่ไม่เข้าไปสำเร็จแห่งทานแก่สัตว์ผู้ตั้งอยู่นี้แล เป็นอฐานะ ฯ
ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ฯลฯ มีความเห็นผิด บุคคลนั้น
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนั้น ย่อมตั้งอยู่ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนั้น ด้วยอาหารของสัตว์ผู้เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ดูกรพราหมณ์แม้ฐานะอันเป็นที่ไม่เข้าไปสำเร็จแห่งทานแก่สัตว์ผู้ตั้งอยู่นี้แล ก็เป็นอฐานะ ฯ
ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์จากการลักทรัพย์จากการประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ จากการพูดส่อเสียดจากการพูดคำหยาบ จากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่มีความอยากได้ของผู้อื่น มีจิตไม่ปองร้าย มีความเห็นชอบ บุคคลนั้นเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของพวกมนุษย์ เขาย่อมเลี้ยงอัตภาพในมนุษย์โลกนั้น ย่อมตั้งอยู่ในมนุษย์นั้นด้วยอาหารของมนุษย์ ดูกรพราหมณ์ แม้ฐานะอันเป็นที่ไม่เข้าไปสำเร็จแห่งทานแก่สัตว์
ผู้ตั้งอยู่นี้แล ก็เป็นอฐานะ ฯ
ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ฯลฯ มีความเห็นชอบ บุคคลนั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเขาย่อมเลี้ยงอัตภาพอยู่ในเทวโลกนั้น ย่อมตั้งอยู่ในเทวโลกนั้น ด้วยอาหารของเทวดา ดูกรพราหมณ์ แม้ฐานะเป็นที่ไม่เข้าไปสำเร็จแห่งทานแก่สัตว์ผู้ตั้งอยู่นี้แลก็เป็นอฐานะ ฯ
ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ฯลฯ มีความเห็นผิด บุคคลนั้น
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงเปรตวิสัย เขาย่อมเลี้ยงอัตภาพอยู่ในเปรตวิสัยนั้น ด้วยอาหารของสัตว์ผู้เกิดในเปรตวิสัย หรือว่ามิตร อำมาตย์หรือญาติสาโลหิตของเขา ย่อมเพิ่มให้ซึ่งปัตติทานมัยจากมนุษย์โลกนี้ เขาเลี้ยงอัตภาพอยู่ ในเปรตวิสัยนั้น ย่อมตั้งอยู่ในเปรตวิสัยนั้น ด้วยปัตติทานมัยนั้น ดูกรพราหมณ์ฐานะอันเป็นที่เข้าไปสำเร็จแห่งทานแก่สัตว์ผู้ตั้งอยู่นี้แล เป็นฐานะ ฯ
ชา. ท่านโคดมผู้เจริญ ก็ถ้าญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วนั้น ไม่เข้าถึงฐานะนั้น
ใครเล่าจะบริโภคทานนั้น ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วแม้เหล่าอื่นของทายกนั้นที่เข้าถึง
ฐานะนั้นมีอยู่ ญาติสาโลหิตเหล่านั้นย่อมบริโภคทานนั้น ฯ
ชา. ท่านโคดมผู้เจริญ ก็ถ้าญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วนั้น ไม่เข้าถึงฐานะนั้น และญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วแม้เหล่าอื่นของทายกนั้น ก็ไม่เข้าถึงฐานะนั้น ใครเล่าจะบริโภคทานนั้น ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ ฐานะที่จะพึงว่างจากญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วโดยกาลช้านานเช่นนี้ มิใช่ฐานะมิใช่โอกาสที่จะมีได้ อีกประการหนึ่ง แม้ทายกก็เป็นผู้ไม่ไร้ผล ฯ
ชา. ท่านโคดมผู้เจริญ ย่อมตรัสกำหนดแม้ในอฐานะหรือ ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ เรากล่าวกำหนดแม้ในอฐานะ ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ... มีความเห็นผิด บุคคลนั้นย่อมให้ข้าว น้ำ ผ้ายาน มาลา ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก และเครื่องประทีป แก่สมณพราหมณ์ บุคคลนั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของช้าง เขาย่อมได้ข้าว น้ำ มาลาและเครื่องอลังการต่างๆ ในกำเนิดช้างนั้นดูกรพราหมณ์ข้อที่บุคคลเป็นผู้ฆ่าสัตว์ ... มีความเห็นผิด ผู้นั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของช้างด้วยกรรมนั้น และข้อที่ผู้นั้นเป็นผู้ให้ข้าว น้ำ ยาน มาลา ของหอม เครื่องลูบไล้
ที่นอน ที่พัก และเครื่องประทีป แก่สมณพราหมณ์ ผู้นั้นย่อมได้ข้าว น้ำ มาลาและเครื่องอลังการต่างๆ ในกำเนิดช้างนั้นด้วยกรรมนั้น ฯ
ดูกรพราหมณ์ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ... มีความเห็นผิด บุคคลนั้นย่อมให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน มาลา ของหอม เครื่องลูบไล้ที่นอน ที่พัก และเครื่องประทีปแก่สมณพราหมณ์ ผู้นั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของม้า ... ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของโค ... ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของสุนัข เขาย่อมได้ข้าว น้ำ มาลาและเครื่องอลังการต่างๆในกำเนิดสุนัขนั้น ดูกรพราหมณ์ ข้อที่บุคคลเป็นผู้ฆ่าสัตว์... มีความเห็นผิด บุคคลนั้นเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของสุนัข ด้วยกรรมนั้น และข้อที่ผู้นั้นเป็นผู้ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน มาลา ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก และเครื่องประทีป แก่สมณพราหมณ์ ผู้นั้นย่อมได้ข้าว น้ำ มาลาและเครื่องอลังการต่างๆ ในกำเนิดสุนัขนั้น ด้วยกรรมนั้น ฯ
ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์จากการลักทรัพย์จากการประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ จากการพูดส่อเสียดจากการพูดคำหยาบ จากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่มีความอยากได้ของผู้อื่น มีจิตไม่ปองร้าย มีความเห็นชอบ ให้ข้าว น้ำ ผ้ายาน มาลา ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก และเครื่องประทีป แก่สมณพราหมณ์บุคคลนั้นเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของพวกมนุษย์ เขาย่อมได้เบญจกามคุณอันเป็นของมนุษย์ในมนุษย์โลกนั้น ดูกรพราหมณ์ ข้อที่บุคคลเป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อไม่มีความอยากได้ของผู้อื่นมีจิตไม่ปองร้าย มีความเห็นชอบ ผู้นั้นเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของมนุษย์ด้วยกรรมนั้น และข้อที่ผู้นั้นเป็นผู้ให้ข้าวน้ำ ผ้า ยาน มาลา ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอนที่พัก และเครื่องประทีป แก่สมณพราหมณ์ บุคคลนั้นย่อมได้เบญจกามคุณอันเป็นของมนุษย์ในมนุษย์โลกนั้น ด้วยกรรมนั้น ฯ
ดูกรพราหมณ์ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ
มีความเห็นชอบ บุคคลนั้นย่อมให้ข้าว น้ำ ยาน มาลา ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พักและเครื่องประทีป แก่สมณพราหมณ์ บุคคลนั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเขาย่อมได้เบญจกามคุณ อันเป็นทิพย์ในเทวโลกนั้น ดูกรพราหมณ์ ข้อที่บุคคลเป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯมีความเห็นชอบ ผู้นั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของพวกเทวดาด้วยกรรมนั้น และข้อที่ผู้นั้นเป็นผู้ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน มาลา ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอนที่พัก และเครื่องประทีป แก่สมณพราหมณ์ บุคคลนั้นย่อมได้เบญจกามคุณอันเป็นทิพย์ในเทวโลกนั้น ด้วยกรรมนั้น ดูกรพราหมณ์ แม้ทายกก็เป็นผู้ไม่ไร้ผล ฯ
ชา. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีแล้ว ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้อที่แม้ทายกก็เป็นผู้ไม่ไร้ผลนี้ เป็นของควรเพื่อให้ทานโดยแท้ เป็นของควรเพื่อกระทำศรัทธาโดยแท้ ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ ข้อนี้เป็นอย่างนี้ๆ ดูกรพราหมณ์ แม้ทายกก็เป็นผู้ไม่ไร้ผล ฯ
ชา. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯขอพระโคดมผู้เจริญโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
จบชาณุสโสณีวรรคที่ ๒
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๔
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
หน้าที่ ๒๔๓-๒๔๖ ข้อที่ ๑๖๖
 เลือดพุ่ง
บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #66 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2556 03:06:15 »

ความทุกข์เกิดที่จิตเพราะเห็นผิดเรื่องผัสสะ
เมื่อผัสสะสิ่งไรๆ เราเกิดทุกข์ เพราะเราไม่เข้าใจความจริงในสิ่งนั้น นี่คือหัวใจ ของการฝึกฝนขัดเกลาตนเอง ไม่เข้าใจความจริงเรื่องอะไร เรื่องความไม่มีตัวตนของสิ่งนั้น เราผัสสะสิ่งไร เราจะสมมติชื่อให้สิ่งนั้น เช่น คน สัตว์ รถ ความดี ความเลว แล้วเราก็มีความรู้สึกว่า สิ่งนั้นคือสภาพที่มีจริงเป็นจริงตามที่สมมติ มีคนจริงๆ ไม่มีใครที่เรียกคนแล้วจิตรู้ว่ามันคือธาตุ มีสัตว์จริงๆ ไม่มีใครเรียกสัตว์ แล้วในใจคิดว่ามันเป็นสิ่งปรุงแต่ง มีรถจริงๆ ไม่มีใครคิดว่ารถคือธาตุต่างๆผสมกันอยู่
นี่คือความจริงของผู้มีอวิชชา สภาพอวิชชาห่อหุ้มเป็นเช่นไร ดูเราทุกคน ตอนนี้คือผู้มีอวิชชา เห็นคนเป็นคนแล้วคิดว่า คนมีตัวตนอยู่ในคน เห็นจิตเป็นจิตแล้วคิดว่า ตัวจิตมีจริงๆ เมื่อยังไม่รู้ความจริง หรือยังมีอวิชชาอยู่ย่อมเห็นผิดไปจากความจริง เห็นผิดจากความเป็นจริง สัมผัสสิ่งไรก็จะมี ตัวฉัน ของฉัน จิตฉัน แม้เห็นความเกิดดับก็ยังเป็นจิตฉันเกิดดับ มีตัวฉันเกิดเมื่อใดแสดงว่าเรามีอวิชชาอยู่เต็มร้อย และการไม่รู้ความจริงเมื่อสัมผัสสิ่งไรมันจึงเกิดทุกข์ อย่างที่เลี่ยงไม่ได้
อยากเลี่ยงความทุกข์ทำเช่นไร ก็รู้ความตามที่เป็นจริง รู้ว่า อะไรๆทุกสิ่งทุกอย่างเลย ไม่ใช่มีตัวตนที่ไหนเลย มันเป็นเพียงธาตุ ธาตุทั้งนั้น จิตก็ไม่มีมีแต่ธาตุผสมกัน แล้วเราคิดเองว่ามันคือจิต สัตว์ก็ธาตุมาผสมกัน สิ่งของก็ธาตุมาผสมกัน นี่เป็นตัวอย่างที่เรียกว่ารู้ความตามที่เป็นจริง ทำได้ก็หมดทุกข์ ทำได้ชั่วคราว หมดทุกข์ชั่วคราว ทำได้ถาวรหมดทุกข์ถาวร
ใครทำได้เช่นนี้คือผู้ไม่โง่เรื่องผัสสะ หรือ ทุกข์ไม่มีวันโผล่ เพราะสังขารกลุ่มนี้ไม่โง่เรื่องผัสสะแล้วจ้า
ธรรมะติดดิน โดย สมสุโขภิกขุ
 ซีด
บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #67 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2556 03:13:41 »

เพราะเราคู่กัน ทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนแต่ถูกส่งมาเป็นคู่ ทุกข์กับสุขก็คู่กัน
สุขอยู่คู่กับทุกข์
เสมือนเราหยิบแก้วน้ำขึ้นมา
เราหยิบตรงปากแก้ว ก้นแก้วก็ต้องติดขึ้นมาด้วย
เมื่อใดมีสุข อย่าประมาท...ทุกข์ รอเสียบอยู่แล้ว
อะไรก็ตามที่ทำให้คุณสุขมาก
มันก็สามารถทำให้คุณทุกข์มาก ได้เช่นกัน
 สลึมสลือ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 กรกฎาคม 2556 05:11:10 โดย Mckaforce » บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #68 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2556 03:16:16 »

ชีวิตของคนไม่ต่างอะไรกับน้ำทะเล
มีขาขึ้น ก็ต้องมีขาลง เป็นธรรมดา
ยามได้ดี ไม่ควรประมาท
ยามตกต่ำ ไม่ควรท้อถอย
 รู้สึกแย่
บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #69 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2556 03:21:06 »

ความโกรธ เหมือนหินผา มีน้ำหนักมาก แข็งแกร่ง
และเพราะความแข็งแกร่งนั่นเอง
จึงมักถูกนายทุนระเบิดมาทำถนนหนทาง
คนเจ้าอารมณ์มักโกรธ ก็คือคนที่จุดระเบิดทำลายตนเอง
 เครียด
บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #70 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2556 21:58:42 »

สิ่งที่พ่อแม่ควรพูดให้ลูกฟัง

1. พ่อกับแม่ รักลูกเสมอ และสิ่งนี้จะไม่เปลี่ยนไป ไม่ว่าลูกจะทำสิ่งไหน จะพูดอย่างไรและจะคิดยังไง ความรักของพ่อแม่จะอยู่กับลูกเสมอ
2. ลูกเป็นสิ่งมหัศจรรย์และพิเศษที่สุดของพ่อและแม่ ไม่ใช่ที่ความสามารถที่ลูกมี แต่เพราะลูกเป็นในสิ่งที่ลูกเป็น และลูกไม่จำเป็นจะต้องเหมือนใครๆ ลูกเป็นตัวของลูก
3. การร้องไห้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม ไม่ว่าลูกจะเศร้า เสียใจ ผิดหวัง มีความสุข โกรธ กลัว หรือกังวลใจ ลูกร้องไห้ได้ และใครๆก็ร้องไห้ได้ทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่พ่อกับแม่
4. ลูกสามารถทำผิดพลาดได้ คนเราอาจทำในสิ่งผิด ใครๆก็เคยผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น พ่อกับแม่ก็เคยทำผิดพลาด แต่เราจะต้องแก้ไขมัน และเราจะช่วยกันแก้ไข ทุกๆเรื่อง ลูกสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ และพ่อกับแม่รู้ดีว่าลูกรู้สึกเสียใจ และพ่อกับแม่พร้อมเสมอที่จะให้อภัยลูก
5. เมื่อลูกตั้งใจทำในสิ่งที่ดี มันอาจต้องใช้ความกล้าและมีความยาก และถึงแม้ว่ามันจะไม่ง่าย แต่ลูกยังเลือกที่จะทำ พ่อและแม่ภูมิใจในตัวลูกที่สุด และลูกก็ต้องรู้สึกภูมิใจในตัวเอง
6. พ่อ/แม่ขอโทษ พ่อ/แม่รู้สึกเสียใจจริงๆ ลูกให้อภัยพ่อ/แม่ได้มั้ย
7. ลูกสามารถเปลี่ยนความคิดของตัวเองได้ การตัดสินใจของลูกเป็นสิ่งที่ดี แต่มันควรจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
8. อะไรเป็นความคิดที่ดีที่สุดของลูก ลูกคิดอะไรอยู่ และลูกตัดสินใจจะทำอย่างไรต่อเกี่ยวกับความคิดนั้น ขอให้ลูกเล่าให้พ่อกับแม่ฟังได้มั้ย ความคิดลูกเป็นความคิดที่ดี(เราอยากฟัง)
9. ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ลูกได้รับจากผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือหรือสิ่งอื่นใด ให้ลูกสำนึก และไม่ลืมที่จะกล่าวคำว่า ขอบคุณ
10. เราทุกคนต้องรู้จักที่จะรอคอย เรามีเวลา อย่ารีบร้อนและอย่าประมาท
11. อะไรก็ตามที่ลูกอยากจะทำ ลูกสามารถกลับไปเลือกทำมันได้ตามความคิดของลูก มันเป็นเรื่องที่สำคัญของคนเรา ที่จะเลือกเดินตามความฝันและทำในสิ่งที่เราชอบ
12. ให้ลูกเล่าเรื่องนั้นให้พ่อกับแม่ฟัง พ่อกับแม่อยากได้ยินความจริงจากลูกมากกว่าฟังจากคนอื่น และไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พ่อกับแม่จะรับฟังลูกเสมอ
13. พ่อกับแม่จะอยู่ตรงนี้ และจะไม่ทิ้งลูกไปไหนโดยที่ไม่บอกลูกก่อน พ่อกับแม่จะเฝ้าดูลูกและคอยรับฟังลูกเสมอ
14. คำว่าขอโทษและคำว่าขอบคุณเป็นคำที่สำคัญ ถ้ามีครั้งไหนที่พ่อกับแม่ลืมพูดมัน ขอให้ลูกทวงถาม
15. พ่อกับแม่ คิดถึงลูกเสมอ และจะคิดถึงลูกทุกครั้งเวลาที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน
16. ให้ลูกลองทำดู ค่อยๆลอง ทีละขั้นตอน ทีละน้อย ลูกอาจจะชอบมันก็ได้ พ่อกับแม่จะคอยช่วยเหลือถ้าลูกต้องการ และเราเชื่อว่า ลูกทำได้
17. เราจะคอยช่วยลูก แค่ลูกเรียกเราเราจะคอยอยู่ตรงนี้ ถ้าเราช่วยกัน เราจะทำมันได้สำเร็จ และเราเชื่อว่าลูกสามารถทำมันได้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน แต่เราจะยินดีถ้าลูกจะเรียกให้พ่อกับแม่ช่วย
18. ไม่ว่าลูกจะปรารถนาสิ่งใด อย่าอธิษฐานมันแค่ตอนจุดเทียนในวันเกิดของลูก พ่อกับแม่อยากได้ยินว่าอะไรคือสิ่งที่ลูกต้องการ ความหวังความใฝ่ฝันของลูก เราจะมีความสุขและเป็นกำลังใจให้ลูกสมปรารถนา

ถ้าเราเลี้ยงลูกด้วยคำพูดเหล่านี้ ทุกวัน ทุกวัน เรากับลูกจะเข้าใจกัน รักกัน ไม่มีอะไรจะดีเท่าสถาบันครอบครัวเข้มแข็ง
เลือดพุ่ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 กรกฎาคม 2556 05:12:08 โดย Mckaforce » บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #71 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2556 19:17:05 »

ทรงพร้อมที่จะสอน

                    พระพุทธเจ้าในสมัยเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงได้รับการศึกษาเป็นอย่างดี จากอาจารย์ที่มีชื่อเสียง คือ อาจารย์วิศวามิตร วิชาที่ทรงศึกษา คือ ศิลปศาสตร์ 18 ประการ อันเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้จะเป็นกษัตริย์ จะต้องศึกษาศิลปศาสตร์ 18 ประการ คือ
                    1. ยุทธศาสตร์  วิชานักรบ
                    2. รัฐศาสตร์  วิชาการปกครอง
                    3. นิติศาสตร์   วิชากฎหมายและจารีตประเพณีต่างๆ
                    4. พาณิชยศาสตร์  วิชาการค้า
                    5. อักษรศาสตร์  วิชาวรรณคดี
                    6. นิรุกติศาสตร์   วิชาภาษาทั้งของตน และของชนชาติ ที่เกี่ยวข้องกัน
                    7. คณิตศาสตร์  วิชาคำนวณ
                    8. โชติยศาสตร์  วิชาดูดวงดาว
                    9. ภูมิศาสตร์  วิชาดูพื้นที่ และรู้จักแผนที่ของประเทศต่างๆ
                   10.โหราศาสตร์   วิชาโหรรู้จักพยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ
                   11.เวชศาสตร์   วิชาแพทย์
                   12.เหตุศาสตร์   วิชาว่าด้วยเหตุผล หรือตรรกวิทยา
                   13.สัตวศาสตร์   วิชาดูลักษณะสัตว์ และรู้เสียงสัตว์ว่าดี หรือร้าย
                   14.โยคศาสตร์   วิชาช่างกล
                   15.ศาสนศาสตร์   วิชาศาสนารู้ความเป็นมา และหลักศาสนาทุกศาสนา
                   16.มายาศาสตร์   วิชาอุบาย หรือตำหรับพิชัยสงคราม
                   17.คันธัพพศาสตร์   วิชาร้องรำ หรือนาฎยศาสตร์ และวิชาดนตรี หรือดุริยางค์ศาสตร์
                   18.ฉันทศาสตร์   วิชาการประพันธ์
                    พระพุทธเจ้าทรงศึกษาศิลปศาสตร์ 18 ประการนี้ จนมีความรู้แตกฉาน ยากที่หาใครเสมอเหมือนได้ จึงกล่าวได้ว่า พระองค์ทรงมีความรู้ ในทางโลกเพียบพร้อม เป็นอย่างดีอยู่แล้ว เมื่อได้เสด็จออกบรรพชา พระองค์ทรงได้ศึกษาเพิ่มเติมจากอาฬารดาบส และอุททกดาบส ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา และทรงบำเพ็ญเพียรทางจิตใจ จนได้ตรัสรู้ พระองค์จึงทรงพร้อมที่จะสอนบุคคลทุกชั้น ตั้งแต่คนธรรมดา จนถึงนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียง ทุกโอกาสและสถานที่
                    ในที่นี้ไม่ได้ประสงค์ จะให้ครูไทยของเราเป็นสัพพัญญู เหมือนพระพุทธเจ้า เพียงแต่ให้พร้อมเพื่อจะสอนนักเรียน คือ ครูต้องมีความรู้ ในเนื้อหาวิชาที่สอน มากกว่านักเรียนหลายเท่า ความรู้ที่ครูเคยศึกษาเล่าเรียนมา อาจลืมได้ ถ้าไม่พยายามศึกษา ค้นคว้าเพิ่มเติม ความรู้จะค่อยๆ หดสั้นเข้า เหลือเพียงความรู้ เท่าระดับชั้นที่สอนเท่านั้น เมื่อครูกับนักเรียนมีความรู้พอๆ กัน แล้วจะสอนให้ได้ผลดีอย่างไรเล่า ครูจึงควรศึกษา หาความรู้เพิ่มเติม อยู่เสมอทุกด้าน และทุกระดับของการศึกษา ให้เป็นผู้พร้อมที่จะสอน ไม่ใช่สอนโดยการบอกให้จดจำจากตำรา ซึ่งครูในสมัย 2,500 ปีเศษมาแล้ว ก็ยังไม่ทำ 


 เลือดพุ่ง
บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #72 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2556 12:40:28 »

ผู้แสวงหา.!
ผู้มีความประสงค์
แสวงหาความสุขที่แท้จริง พึงมองข้ามกามารมณ์
ความอิ่มในกามทั้งหลายไม่มีในสัตว์
สังขารที่เสื่อมทรามไปตามอายุขัย ยิ่งทำให้กามารมณ์เป็นเสมือนหนึ่งขุมนรก
จะมีใครร้อนเร่า ยิ่งไปกว่าผู้กระหายในกามารมณ์ แต่ไม่สมประสงค์
กามารมณ์ที่ร้อนเร่า ย่อมเผาใจ ให้ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่เป็นสุข
ผู้มักมากในกามารมณ์ยอมดิ้นรนมาก ลำบากมาก ทุกข์มาก
การลด ละ สละ เว้น ซึ่งกามฉันทะเสียได้
จึงเป็นเสมือนหนึ่งได้ดื่ม-อาบ น้ำอมฤต
ผู้มีความประสงค์
แสวงหามิตรที่แท้จริง พึงแสวงหากุศลธรรม
กุศลธรรม เป็นมิตรที่ประเสริฐสุด
ไม่เสแสร้ง ไม่เป็นภัย ไม่ทรยศ ไม่หลอกลวง ไม่ฉ้อฉล ไม่ปิดบังอำพราง
ใครเล่าจะให้ความสุข
เท่ากับใจที่เปี่ยมด้วยกุศล
ใครเล่าจะปกป้องเราจากภัยอันตรายทุกเมื่อได้
เท่ากับใจที่กุศลธรรมได้อบรมไว้ดีแล้ว
ใครเล่าจะห้ามเราไม่ให้หลงผิดคิดชั่ว
เท่ากับใจที่มีกุศลธรรมธำรงอยู่
ใครเล่าจะชี้ทางไปสู่อนาคตที่สดใส-ราบรื่น-สุคติ
เท่ากับใจที่น้อมนำกุศลธรรมเป็นเครื่องนำทาง
กุศลธรรมจึงเป็นมิตรแท้ที่ประเสริฐสุด
คำมั่นสัญญา ไม่ยืนยีนความจงรักภักดี
คำอาราธนาศีล ไม่รับรองความจริงใจของคน
คำยกย่องสรรเสริญ ไม่สนับสนุนความสุจริตของใคร
เสื้อผ้าสีขาว ไม่ประกันความบริสุทธิ์ของผู้สวมใส่
ผ้าเหลือง ไม่ใช่ป้าย ประพฤติพรหมจรรย์
กรรมฐานและภาวนา ไม่สามารถชำระล้างใจของผู้ทะยานอยากให้หมดจด
สถานภาพและบทบาท
อาจปรากฏดั่งคนละด้านของเหรียญอันเดียวกัน
ผู้ให้ อาจปรากฏเป็นผู้แย่งชิง
ผู้สร้าง อาจปรากฏเป็นผู้ทำลาย
ผู้ปกป้อง อาจปรากฏเป็นผู้เบียดเบียน
ผู้รักษา อาจปรากฏเป็นผู้เอารัดเอาเปรียบ
ผู้ให้ความรู้ อาจปรากฏเป็นผู้ให้ความหลง
คนรัก อาจปรากฏเป็นคนลวง
แต่ไม่ว่าใคร
ก็ไม่เป็นภัยเท่ากับ ความไม่รักดีของตัวเอง
ความหลงใหล ทำให้มืดมน
ความมักง่าย ทำให้ลำบาก
ความงมงาย ทำให้หลงผิด
ความมัวเมา ทำให้เสียอนาคต
ความเกียจคร้าน ทำให้เสื่อมความเจริญ
ความประมาท ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ชีวิต ฯ
 หัวเราะลั่น
บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #73 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2556 12:20:57 »

ถ้าใครเห็นธรรมชาติ...ก็เห็นธรรมะ
ถ้าใครเห็นธรรมะ...ก็เห็นธรรมชาติ
ถ้าผู้ใดเห็นธรรมชาติ...เห็นธรรมะ
ผู้นั้นก็เป็นผู้รู้จักธรรมะนั่นเอง
ไม่ใช่อยู่ไกล...
 เย้
บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #74 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2556 07:40:57 »

จิตผู้ปฎิบัติเป็นจิต อริยะ เป็นจิตที่ไม่ตกนรก จิตที่ไม่คิดทำบาป จิตที่คิดเป็นบุญเป็นกุศล จิตที่ดีที่แต่งไว้ดีแล้ว จิตที่จะดีได้ ไม่ใช่ว่าเกิดมาแล้วจะดีเลย เกิดมาแล้วต้องฝึก ต้องสมาคมคบคนดี มีพ่อแม่ดี มีครูบาอาจารย์ดี เพื่อนฝูงดี สังคมดี พยายามคิดทำดี แล้วก็ฝึกการมีศิลมีสมาธิ จิตจึงจะดีได้ ถือว่าเป็นบุญเป็นกุศลบารมี ที่พวกเราได้มีโอกาสมา ฝึกจิต 

 ตลก
บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #75 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2556 18:53:27 »

อย่าเฝ้ามองจริตหรือการกระทำความดีความชั่วของคนอื่นอยู่เลย
ใครทำสิ่งใดไว้ย่อมรับผลแห่งการกระทำของพวกเขาด้วยตัวของพวกเขาเอง แม้แต่ตัวของเราเองก็ตาม กฎแห่งกรรมยุติธรรมและเที่ยงตรงเสมอ เราจงนำเวลาที่เพ่งโทษคนอื่นนั้น มาทำความดีดีกว่า เพราะได้บุญได้กุศลและสามารถเก็บเป็นอริยทรัพย์ภายในติดตัวไว้ได้ตลอดไป...
 ตลก
บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #76 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2556 00:00:41 »

คำสอนจากหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
1. ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ตัวเราเอง
2. ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความอวดดี
3. การกระทำที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การหลอกลวง
4. สิ่งที่แสนสาหัสที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความอิจฉาริษยา
5. ความผิดพลาดมหันต์ที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การยอมแพ้ตัวเอง
6. สิ่งที่เป็นอกุศลที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การหลอกตัวเอง
7. สิ่งที่น่าสังเวชที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความถดถอยของตัวเอง
8. สิ่งที่น่าสรรเสริญที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความอุตสาหะ วิริยะ
9. ความล้มละลายที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความสิ้นหวัง
10. ทรัพย์สมบัติที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ สุขภาพที่สมบูรณ์
11. หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ หนี้บุญคุณ
12. ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การให้อภัยและความเมตตากรุณา
13. ข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การมองโลกในแง่ร้ายและไร้เหตุผล
14. สิ่งที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การให้ทาน
 ตลก
บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #77 เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2556 08:54:06 »

"ใจเดิม"
ใจใหม่..ใจปลอม
เวลาเป็นทุกข์เป็นร้อน คนเรามักไปโทษใจ ชอบพูดกันว่า ไม่สบายใจ
ความจริงใจมันจะมีอะไร ใจมันสบายอยู่แล้ว เหมือนกับใบไม้ในป่า
ตามปกติใบไม้จะอยู่นิ่งๆ แต่บางครั้งใบไม้กวัดแกว่งไปมา เพราะอะไร
เพราะถูกลมพัด ถ้าไม่มีลมพัด ใบไม้ก็อยู่นิ่งๆ เป็นปกติ
ใจเราก็เหมือนกัน เป็นของสงบ สะอาดอยู่แล้ว
ใจเดิมของเราเป็นอย่างนั้น ที่กวัดแกว่งหวั่นไหวไปมานั้น
คือใจใหม่..ใจปลอม เป็นใจที่ถูกตัณหาชักจูงไปมา
เราจึงรู้สึกสุขบ้างทุกข์บ้างตลอดเวลา...
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
 เย้
บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.116 Chrome 27.0.1453.116


ดูรายละเอียด
« ตอบ #78 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2556 17:49:08 »

การให้พรที่ถูกต้องในการใส่บาตร
เวลาใส่บาตร เรามักจะเห็นผู้ใส่บาตรนั่งไหว้ พระก็สวดยาวๆ ตั้งแต่สัพพี...ต่อด้วย อภิวาทนสีฯลฯ
บทว่า สัพพีฯลฯ เป็นอนุโมทนากถา
พระบางรูปท่านรู้ว่าเป็นอาบัติ แต่ท่านเกรงใจโยม สำหรับโยมผู้ต้องการรักษาพระธรรมวินัย มีจิตเมตตาพระคุณเจ้า ควรขอให้พระแค่อนุโมทนา สาธุ หรือขอให้ท่านกล่าวว่า "เอวัง โหตุ" แปลว่า ขอความปรารถนาจงสำเร็จเถิด ก็เพียงพอนะ เพราะบท อภิวาทนสี ฯลฯ เป็นพุทธพจน์ ภิกษุผู้ยืนอยู่ไม่แสดงธรรมแก่ผู้สวมรองเท้า นั่ง นอน ที่มิได้ป่วยไข้ บทว่า อภิวาทนสี ฯลฯ จึงเป็นการแสดงธรรม ภิกษุรูปใดแสดงธรรมเช่นนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ
ถ้าเราต้องการฟังธรรม ใส่บาตรแล้ว ควรถอดรองเท้าแล้วยืนค่ะ อย่านั่งยองลงกับพื้น คนอื่นไม่รู้ไม่เป็นไร เมื่อเรารู้เราควรทำตามพระวินัย เพื่อรักษาพระพุทธศาสนาสืบไป
พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมกัน ด้วยเรื่องอะไรหนอ?" เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า "ด้วยเรื่องชื่อนี้"
จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย อายุเจริญอย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่, ก็สัตว์เหล่านี้ไหว้ท่านผู้มีพระคุณ ย่อมเจริญด้วยเหตุ ๔ ประการ, พ้นจากอันตราย ดำรงอยู่จนตลอดอายุทีเดียว" ดังนี้แล้ว
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน
จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ.
ธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ เจริญแก่บุคคลผู้กราบไหว้เป็นปกติ ผู้อ่อนน้อมต่อท่านผู้เจริญเป็นนิตย์.
เอวัง โหตุ ฯ /
 โทดค๊าบ
บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 28.0.1500.71 Chrome 28.0.1500.71


ดูรายละเอียด
« ตอบ #79 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2556 09:19:12 »

อดทน ให้ได้ดั่ง ก้อนหิน
ติดดิน ให้ได้ดั่ง ต้นหญ้า
ใจกว้าง ให้ได้ดั่ง ท้องฟ้า
มุ่งไปข้างหน้า ให้ได้ดั่ง สายธาร....
 ตลก
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:  1 2 3 [4] 5 6 ... 8   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.191 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 30 พฤษภาคม 2566 16:04:01