ไตร่ ตรอง มอง หลัก…

<< < (3/3)

เงาฝัน:





ไตร่ ตรอง มอง หลัก…
โดย เขมานันทะ

บรรยายแก่ นักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาศาสนาเปรียบเทียบ 
มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

สาระสำคัญแห่งวัชรยานตันตระ





หัวข้อที่กำหนดไว้คือสาระสำคัญแห่งวัชระยาน  ที่จริงชื่อนี้เป็นชื่อที่คนไทยทั่วไปไม่ค่อยคุ้น  ผมเองสนใจและผูกพันกับวัชรยานมานานแล้วและส่วนใหญ่ก็เป็นการคบกับบุคคลที่เป็นชาววัชรยาน  โดยแท้จริงผมอ่านตำราน้อยมาก  ดังนั้นการบรรยายของผมต้องถือเป็นการบรรยายโดยอัตนัยเป็นการบอกข่าวสารที่ตัวเองรับทราบและหลายเรื่องหลายตอนที่ผมเองก็ไม่สู้จะแน่ใจนัก  เพราะตัวเองก็ไม่ใช่ชาวธิเบตที่เกิดในท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เรียกว่าวัชรยาน  พูดเพื่อให้เห็นที่มาและที่ไปก่อน  แม้ผมจะเป็นผู้บรรยายก็จริง โดยแท้จริงแล้วผมเป็นคนหนึ่งที่กำลังศึกษาอยู่

              สิ่งแรกที่ผมจะกล่าวนำในที่นี้คือ  เมื่อเราจะศึกษาสิ่งใดใหม่ จำเป็นมากที่เรา ต้องขยายฐานการสังเกตให้กว้างเข้าไว้  นั่นก็คือเราต้องทำใจกว้างไว้ก่อน  จะโดยสมัครใจหรือหรือไม่ก็ตาม  เมื่อเราเกิดในแผ่นดินนี้  เราจะรับทราบพุทธศาสนาในรูปใดรูปหนึ่งหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง  ดังนั้นทัศนคติของเราจะมีโดยพื้นฐาน  ไม่ว่าเราจะไปบวชมาแล้วหรือไม่ได้บวช  สังคมที่เราอาศัยอยู่เป็นเสมือนเบ้าหลอมทำให้เรารู้สึกโดยไม่รู้ตัว  เช่นทัศนคติแบบเถรวาท เมื่อสมัยที่  ผมเป็นนักบวช  ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่สังคมกำลังต้องการคำตอบจากพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก  เห็นจะประมาณสัก 10 ปีที่แล้ว ผมเคยเสนอที่ประชุมสงฆ์ พูดเล่น ๆ  เพื่อให้รู้สึกถึงความแปลกประหลาด 

ผมเสนอให้พระสงฆ์มีเมียได้  ปรากฏว่าเกิดปฏิกิริยาขึ้นทั่วถึงในที่ประชุมนั้น  เพราะถือว่าพระสงฆ์เป็นผู้บริสุทธิ์  จะแตะต้องแปดเปื้อนไม่ได้  ที่จริงการที่ผมเสนอเช่นนั้น  ผมไม่ได้หมายถึงให้พระสงฆ์ไปมีภรรยาจริง ๆ   ผมหมายเพียงแต่ว่า  เราต้องขยายฐานของการปฏิบัติธรรมให้กว้าง เช่นให้มีคฤหัสถ์ที่ปฏิบัติธรรม  พระที่บริสุทธิ์และมีคล้าย ๆ กับจะเป็นครึ่งพระครึ่งโยม  ซึ่งมีลูกมีเมีย  ที่จริงสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่  ที่ประเทศอินโดนีเซียและบาหลีนั้น  พระสงฆ์เกิดจากการเลือกตั้ง  ไม่ใช่การบวช ประชาชนในถิ่นนั้นจะเลือกอุบาสกคนหนึ่งหรือกี่คนก็ได้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม  เลือกทั้งตระกูลขึ้นเป็นพระ  เรียกพระปทันตาหรือเปมังกุ  ผมรับทราบครั้งแรกงงๆ  เพราะทัศนะเถรวาทเรานั้น  พระสงฆ์ต้องเกิดจากการบวชหรือสมัครใจ



เงาฝัน:





           และดังนั้นเองเมื่อวัชรยานถูกประกาศขึ้นในยุโรป  ก็สามารถช่วยบุคคลที่เรียกว่า บุปผาชน  เป็นจำนวนมากทีเดียว  ฮิปปี้เหล่านั้นเริ่มมีระเบียบวินัยขึ้น   เริ่มมีหลักยึดขึ้น  ก่อนหน้านั้นเขาสูบทั้งกัญชา ทั้งส้องเสพความสุขทางกาม  แต่ว่าไม่รู้เพื่ออะไร  ในที่สุดกามและกัญชาก็กลายเป็น Aim แทนที่จะเป็น Means

           ผมได้อธิบายเรื่องที่เป็นอันตรายที่สุด ทำนองว่าเอายาพิษมาห่อแล้วบอกว่ากินผิดตาย กินถูกหาย ทั้งหมดนี้ความสำคัญของวัชรยาน อยู่ที่วัชรญาณ ญาณสายฟ้าแลบที่เกิดขึ้น  เนื้อหาปฏิบัติอยู่ที่มนสิการสี่และพละ สุตะพละ สัมปชัญญะพละ  ปัญญาพละ สมาธิพละ อะไรเหล่านี้ เมื่อพละเหล่านี้พร้อมเพรียงแล้ว  มีมนสิการอยู่บนฐานทั้งสี่แล้ว อะไรก็ได้ที่จะช่วยให้ตื่น

          เราจะเห็นได้ว่า วัชรยานแม้มีเรื่องกาม เรื่องดื่มเหล้า เรื่องดนตรี ดนตรีถือว่าเป็นการเร่งเร้าพลังได้  เมื่อเราได้ยินดนตรีที่จัดระเบียบโน้ตไว้อย่างดีแล้วก็เกิดอารมณ์  ผมบอกแล้วว่า  การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นเรื่องของขบวนการเคมีชีวะ ไม่ใช่เรื่องเปลี่ยนแปลงทาง จริยธรรม

เมื่อใช้เครื่องดนตรีเร้า  เราจะพบว่าเมื่อดนตรีมีจังหวะจะโคนอย่างหนึ่งอย่างใด  มันก็ส่งผลกระทบระบบสัมผัสในร่างกาย  ดังนั้นชาวมหายาน โดยเฉพาะชาววัชรยานนั้น ไม่ค่อยพูดเรื่องอื่นหรอก นอกจากเรื่องของกาย เช่นกายสาม: สัมโภคกาย  นิรมาณกาย  ธรรมกาย  อะไรเหล่านี้ถือว่ากายเท่านั้น เป็นเรื่องสัมผัสได้ทั้งสิ้น

ลักษณะเด่นอันหนึ่งก็คือไม่พูดถึงมาร  เถรวาทเราพูดถึงมารในฐานะเป็นอุปสรรค มารผจญ วัชรยานหรือมหายานถือว่ามารนั่นแหละเป็นเครื่องช่วยให้พระพุทธเจ้ารู้ตัว  ตื่นขึ้น มารก็เป็นส่วนหนึ่งของพุทธะ ที่จริงพุทธศาสนาเถรวาท หินยานนี่ก็มีสิ่งดีมากมาย อย่างภาษิตทางเหนือนี่เห็นชัดว่าเป็นเรื่องเดียวกัน “ มารบ่มี บารมีบ่แก่ “  ชาวเหนือพูดกันติดปาก ถ้ามารไม่ มี รับรองบารมีไม่ถึงที่สุด  ต้องมีมารผจญนี่แหละ  ถ้าพูดไปแล้ว เถรวาท หินยาน มหายาน จริงแล้วแยกจากกันไม่ได้เลย  เนื้อหาสาระทั้งหมดคือการตรัสรู้  การบรรลุโพธิญาณ  แต่เนื่องจากมีวิธีคิดวิธีมองลุ่มลึกต่างกัน มองกว้างแคบต่างกัน

          อย่างพีธีบวชของชาวมหายาน เมื่อเจ้านาคเข้าสู่พิธีกรรมแล้ว อุปัชฌายะถามว่าจะบวชเพื่ออะไร  เจ้านาคจะต้องบอกว่าบวชเพื่อยกสรรพสัตว์ให้พ้นจากสังสารวัฎให้เข้าสู่พระนิพพาน  ในขณะที่เถรวาทนี่เวลาถามนาคก็ไปอีกแบบหนึ่ง การตรัสรู้เป็นเรื่องส่วนตัว  แต่ชาววัชรยานและมหายานนั้น การตรัสรู้เป็นเรื่องส่วนรวม ถือว่าการตรัสรู้ของปัจเจกไม่มี เรื่องนี้มีสาระสำคัญมาก  หมายความว่า  ถ้าผู้ใดเข้าถึงธรรมระดับใด  ก็จะรู้ว่าคนอื่นเข้าถึงอยู่แล้ว แต่เจ้าตัวนั้นจะรู้หรือไม่รู้อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเข้าถึงที่สุดก็จะรู้ว่าทุกคนมีที่สุดอยู่แล้ว นั่นคือการตรัสรู้ของส่วนรวม วันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทรงร้องอุทานว่า “ แท้ที่จริงสัตว์ทั้งหลายคือตถาคต “ เมื่อพระพุทธเจ้าเข้าถึงมัน ท่านจึงรู้ว่าทุกคนเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่เจ้าตัวไม่รู้เท่านั้นเอง



เงาฝัน:





           เมื่อสมัยที่อรชุนรบศึกที่ทุ่งกุรุเกษตร  ต่อมาก็ขึ้นสวรรค์ไปปรากฎตนอยู่ต่อพระพักตร์ของมหาเทพ  ทันใดนั้นก็เห็นทุรโยชน์  ศัตรูยืนอยู่ที่นั่นด้วย  ทั้ง ๆ ที่ทุรโยชน์เป็นฝ่ายเลวร้าย  เป็นศัตรูกับความดีทีเดียว แต่ว่าเข้าถึงสวรรค์  ต่อหน้าพระพักตร์มหาเทพนั้น  ไม่มีคนดีหรือคนชั่ว ทุกชีวิตเสมอกันหมด  เมื่อเข้าถึงธรรมก็จะรู้ว่า  ธรรมนั้นเป็นอยู่แล้วอย่างไร  ดังนั้นการตรัสรู้เป็นเรื่องของสรรพสัตว์ ไม่ใช่เรื่องของปัจเจก มโนคติใด ที่คิดว่าการตรัสรู้ เป็นเรื่องของฉัน  ของตัวเข้า  นั่นคือการเพี้ยน  ชาวมหายานถือกันอย่างนั้น

           ดังนั้นการบวชก็เพื่อจะช่วยให้บุคคลตรัสรู้  อุดมคติของโพธิสัตว์จึงเกิดขึ้นที่ว่า  ตัวเองนั้นต้องลุพระโพธิญาณ  แต่ยังไม่ปรารถนาเข้าสู่พระนิพพาน จะต้องเข้าคนสุดท้าย  เพื่ออยู่อนุเคราะห์สรรพสัตว์ทั้งหลายเข้าสู่พระนิพพานให้หมดสิ้น  สาระมันอยู่ที่ว่า  เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ท่านเข้าถึงตถาคตและร้องอุทานว่า “ แท้ที่จริงสัตว์ทั้งหลายคือตถาคต “ ในคัมภีร์ฝ่ายเถรวาทที่บ่งบอกไว้ชัดเจนมีว่า  วันที่พระพุทธเจ้าพบอุปกชีวก  วันที่ท่านเสด็จไปพาราณสี  เขาถามว่า ท่านเป็นใคร ท่านบอกว่าเราเป็นพุทธะคือท่านบอกไปตรง ๆ ต่อตัวสภาวะ  เขาเข้าใจไม่ได้ ในที่สุดท่านได้บทเรียน  พระพุทธเจ้าได้บทเรียนว่า สิ่งนี้คนทั่วไปเข้าใจไม่ได้ ท่านก็เลยต้องบัญญัติธรรมะขึ้นสอนตามลำดับ  คือต้องเข้าใจอย่างนี้ ๆ เสียก่อน จึงเข้าใจอันนี้



ที่จริงวันแรกท่านบอกตรง ๆ เมื่อถูกถามว่าท่านคือใคร ท่านตอบว่าเรา คือพุทธะ  นั่นเป็นการสอนครั้งแรกของพระพุทธเจ้า  เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่ได้เรียนรู้ว่าชาวบ้านเข้าใจไม่ได้  ในพระสูตรหนึ่งทรงตรัสว่า ยิ่งนานวันเข้าเมื่ออายุท่านมากเข้าเท่าไร  ธรรมะก็หลือแต่แก่น คือท่านค่อย ๆ บัญญัติธรรมขึ้นสอน ผมเชื่อว่าการรู้ธรรมะนั้นคือการเริ่มต้นชีวิตใหม่  ตอนนั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยสอนใครเลย  ท่านบอกตรง ๆ แล้วผลก็คือ

อุปกชีวกแลบลิ้นหลอก เขาไม่เชื่อ  ในที่สุดพระพุทธเจ้าต้องเริ่มไตร่ตรองถึงสมมติและบัญญัติ   แล้วเริ่มสอน เพราะสอนตรง ๆ ไม่ได้  เว้นไว้แต่เฉพาะบางคนเท่านั้นที่ท่านสอนแล้วเข้าใจได้เฉพาะพระพักตร์นั้น

           ถ้าว่าไปแล้ว  สิ่งที่ผมบรรยายมาทั้งหมดนี้ที่มาก็คือ  ผมอ่านจากตำราบ้าง แต่ว่าน้อย คุยกับชาววัชรยาน เคยเข้าร่วมพิธีกรรมบ้างแต่ไม่มาก  เคยเข้าเฝ้าองค์ดาไลลามะ 1 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้สนทนากันถึงแก่นเพราะพระองค์ท่านเป็นประมุข จะถามอะไรก็ต้องระมัดระวัง แล้วก็เวลาไม่พอเพียง 20 นาที  แต่ผมก็ได้คบหากับชาววัชรยานหลายคน  แล้วก็เห็นเค้าโครง  จึงเอามาบอกเล่า  เพื่อจะให้เห็นว่าวัชรยานไม่ใช่ญาณต่ำต้อย แต่พร้อม ๆ กันนั้นก็ไม่พึงไขว่คว้าเอาอย่างรู้เท่าไม่ทัน  ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องเข้าใจ เข้าถึงอย่างมีรากฐาน  ไต่เต้าไปอย่างมีรากฐาน อย่างไม่ประมาท  สิ่งที่ดีนั้น  ถ้าเราใช้ไม่เป็นก็เกิดโทษได้  เหมือนกับไฟ ถ้าเราเข้าใจเราควบคุมมันได้ เราใช้ต้มเนื้อต้มผัก  เราก็มีอาหารที่ดี  ร่างกายเราก็ดีขึ้นด้วย  กินอาหารสุกแล้วหรืออาหารที่ร้อน ๆ  แต่ถ้าเราไม่เข้ใจธรรมชาติของไฟ ควบคุมมันไม่ได้ ในที่สุดมันก็เผาผลาญทั้งตัวเองและบ้านเรือนคือถ้าเข้าใจไม่ได้มันก็ทำลายทั้งตัวเองและบุคคลที่แวดล้อมด้วย  ฉะนั้นพึงมนสิการโดยแยบคายในทุก ๆ เรื่อง ผมขอยุติไว้เพียงนี้




Credit by : http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/003152.htm
Pics by : Google
อกาลิโกโฮม * สุขใจดอทคอม
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ท
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[*] หน้าที่แล้ว