ขุนรองปลัดชู” เป็นกิจกรรมรวมหลายอย่างที่กลุ่มทำงานสร้างสรรค์กลุ่มหนึ่ง นำโดย สุรัสวดี เชื้อชาติ หรือ แหม่ม มาม่าบลูส์ ผู้กำกับหญิงไฟแรง ต้องการกระตุกจิตสำนึกให้คนไทย รู้สึกสำนึกรักในบ้านเกิด หรือแผ่นดินเกิดให้มากขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งทางทัศนคติที่สูงมากของบ้านเมืองเราในเวลานี้ในส่วนภาพยนตร์เรื่องราวของ ขุนรองปลัดชู จึงเริ่มต้นถ่ายทอดจากการนำเสนอเป็นภาพยนตร์ ความยาวเกือบ 2 ชั่วโมง เพื่อให้คนดูได้เข้าใจในเนื้อหาด้วยอรรถรสของ “ประวัติศาสตร์เชิงภาพยนตร์” ซึ่งมีพื้นฐานการนำเสนอโดยการค้นหาข้อมูลประวัติศาสตร์จากพงศาวดาร และนำบริบทสิ่งแวดล้อมรอบๆ ของข้อมูลมาสร้างเป็นบทหนัง ไม่ใช่นำจินตนาการไปผสมผสานกับบทหนัง จนต้องตีความเชิงดราม่ามาร่วมด้วย ตัวอย่างเช่น Love scene ของหนังเรื่องนี้ ไม่ได้ถูกสร้างให้ผู้ดูเห็นภาพชัดเจนในแบบฉบับของบทรักทั่วไป แต่จะเห็นถึงความงามในความรักของมนุษย์ผู้ชายที่พึงมีต่อมนุษย์ผู้หญิงหนึ่งคนธรรมดาๆ ในรูปแบบของครอบครัวผู้นำ และบทก็กลับไปส่งเสริมถึงเจตนารมย์และจุดยืนของมนุษย์ผู้ชายหนึ่งคนที่มีความมุ่งมั่น ศรัทธาในประเทศบ้านเกิดเมืองนอน จนต้องลุกขึ้นมาทำความดีเพื่อตอบแทนแผ่นดินเกิดของตนแทน
คุณเชค คนค้นคน นั่นเอง
ทีมงานบุญชัย เบญจรงคกุล ผู้อำนวยการสร้าง
สุรัสวดี เชื้อชาติ ผู้กำกับภาพยนตร์
ปณต อุดม ผู้ดำเนินงานสร้าง
เอก เอี่ยมชื่น ผู้เขียนบทและออกแบบงานสร้าง
ชาญกิจ ชำนิวิกัยพงศ์ ผู้กำกับภาพ
พงศธร โกศลโพธิทรัพย์ ผู้ลำดับภาพ
บริษัท บัตเตอร์ฟลาย เรคคอร์ด จำกัด ดนตรีประกอบภาพยนตร์
กิจกรรมทั้งหมดมีดังต่อไปนี้– นิทรรศการศิลปะภาพถ่ายและจัดวาง (Photo and Installation) “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ที่ศูนย์ศิลปะฮอฟอาร์ท ชั้น 4 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เปิดให้ชมตั้งแต่วันที่ 1 – 31 กรกฎาคม 2554 ทุกวัน (ปิดวันจันทร์) ตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น. (เปิดงานอย่างเป็นทางการวันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2554 เวลา 18.00 น.)– ฉายภาพยนตร์ฟรี ในโรงภาพยนตร์ สกาล่า ทั้งหมด 5 รอบ ในวันพฤหัสที่ 7 – วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม 2554 สามารถดูรายละเอียดรอบที่ฉายและการจองตั๋วได้ในเว็บไซต์ www.thaiunsunghero.com– ฉายภาพยนตร์พรีวิว ในรายการไทยเธียเตอร์ ช่อง Thai PBS วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม 2554 เวลา 22.00 น.– รายการออกอากาศทาง สถานีโทรทัศน์ Thai PBS ทุกวันจันทร์ เวลา 23.00 น. เริ่มจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม เป็นต้นไป “ภาพยนตร์ ขุนรองปลัดชู” กับการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ในรูปแบบกิจกรรมต่างๆเหล่านี้ นับได้ว่าเป็นการสร้างสรรค์และใช้สื่อข้ามสายพันธุ์เพื่อการสื่อสารในรูปแบบ Trans – media ได้อย่างลงตัว นับได้ว่าน่าจะเป็นผู้บุกเบิกและนำมาใช้ในวงการภาพยนตร์ไทยเป็นเจ้าแรกๆ นอกจากนี้ทีมงานยังได้นำวิธีการสื่อสารของสังคมโลกยุคปัจจุบันที่ใช้แนวคิด Social Networks มาเป็นประโยชน์ต่อการสื่อสารท่ามกลางชีวิตมนุษย์ยุคโลกาภิวัฒน์ให้เกิดประโยชน์เชิงสร้างสรรค์อย่างสูงสุดด้วย
สำหรับในส่วนของรายการทางสถานีโทรทัศน์ ได้นำเนื้อหามาตัดทอนเป็น ตอนๆ เพื่อออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ อีก 10 ตอน แบ่งเป็นองก์ต่างๆ เพื่อให้เกิดการพูดถึงประเด็นที่นำเสนอในแต่ละตอน ซึ่งในหนึ่งชั่วโมงเต็มของรายการ ถูกแบ่งออกเป็นการฉายสารคดีในครึ่งหนึ่งของเวลา และที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง ก็จะเป็นการสนทนาเชิงสร้างสรรค์ถึงหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการออกอากาศในเบื้องต้นก่อนหน้าไปแล้ว โดยมีแขกรับเชิญที่เป็นผู้รู้ และผู้เชี่ยวชาญในวงการ ทั้งนักวิชาการประวัติศาสตร์ นักมนุษยวิทยา ผู้เชี่ยวชาญยุทธวิธีการรบตำราพิชัยสงคราม แฟนพันธุ์แท้อยุธยา นักประวัติศาสตร์ศิลป์ ปราชญ์ชาวบ้าน และผู้รู้ท่านอื่นๆอีกมากมาย มาเปิดมุมมองและทัศนคติใหม่ๆ ที่ชวนให้คนไทยต้องคิดและติดตามอย่างเข้มข้น ทั้ง 10 ตอนเต็มที่มา ไทยซีเนม่า———————————————— อนุสาวรีย์ “ขุนรองปลัดชู” วีรชนบ้านสี่ร้อย
ขุนรองปลัดชู วีรกรรมที่ถูกลืมโดย… นายทวีศักดิ์ ศรีทองกิติกูลกรุงศรีอยุธยา ( พ.ศ.2302 – 2303 ) สมัยแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์พระเจ้าอลองพญาทราบเหตุว่ากรุงศรีอยุธยาผลัดแผ่นดินจึงได้ยกกองทัพเข้าตีเมืองมะริด และเมืองตะนาวศรี หัวเมืองของกรุงศรีอยุธยา โดยอ้างเหตุว่าให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏมอญ เมื่อยึดได้เมืองมะริดและเมืองตะนาวศรีแล้ว พระเจ้าลองพญาก็ได้เคลื่อนทัพผ่านทางด่านสิงขร เพื่อเข้าตีกรุงศรีอยุธยาต่อไป ครั้นเมื่อกรุงศรีอยุธยาทราบเรื่อง พระเจ้าเอกทัศน์ได้รับสั่งให้พระยายมราชคุมพลเป็นทัพหน้าออกมาต่อกรกับทัพพม่าที่ด่านสิงขร และให้พระยารัตนาธิเบศเป็นแม่ทัพคุมพลเข้ามาตั้งรับทัพพม่า ที่เมืองกุยบุรี
ขณะนั้น ขุนรองปลัดชู กรมการเมืองวิเศษชัยชาญ เป็นผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในการรบ และคงกระพันชาตรี เข้ามารับอาสากับไพร่สี่ร้อยคน ขอไปรบกับพม่า ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นกองอาทมาต (หน่วยรบพิเศษ) ร่วมทัพมากับพระยารัตนาธิเบศ
ทัพของพระยายมราช เข้าปะทะกับทัพของพม่าที่เมืองแก่งตุมด้วยกำลังที่น้อยกว่าจึงแตกพ่ายถอยรุ่นไม่เป็นขบวน พระยารัตนาธิเบศตั้งค่ายมั่นอยู่ ณ เมืองกุยบุรี แจ้งว่าทัพพม่ายกพลมาเป็นจำนวนมาก อาจต้านทานไว้ไม่ไหว จึงสั่งการให้เกณฑ์ไพร่พล และเร่งอพยพผู้คนหลบหนีพม่า และหวังรวบรวมผู้คนเพื่อไปตั้งมั่นรับพม่าที่ชานพระนคร ครั้งนั้น ขุนรองปลัดชู ได้อาสาขอต้านทานทัพพม่าด้วยกำลังพลเพียงสี่ร้อยนาย เพื่อยันทัพข้าศึกและเปิดทางให้รี้พลได้หลบหนี พระยารัตนาธิเบศ จึงได้แบ่งไพร่ให้อีกห้าร้อยนายไปช่วยกองกำลังของขุนรองปลัดชู ในการต่อต้านทัพพม่า
ณ ชายหาดหว้าขาวชายทะเล (บ้านทุ่งหมากเม่า ตำบลอ่าวน้อย) เวลาเช้าตรู่ ขุนรองปลัดชูพร้อมกับเหล่าทหาร ตั้งท่ารอทัพพม่าอยู่ด้วยจิตใจห้าวหาญ เมื่อเห็นกองทัพพม่าก็กรูกันออกโจมตีทัพหน้าของพม่ารบกันด้วยอาวุธสั้นถึงตะลุมบอนกัน แทงพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก และตัวขุนรองปลัดชูท่านถือดาบสองมือ วิ่งเข้าท่ามกลางข้าศึก ฟันพม่าล้มตายก่ายกองดั่งขอนไม้ ด้วยกำลังพลเก้าร้อยต่อทัพพม่านับหมื่นที่ยัดเยียดหนุนเนื่องกันเข้ามาต่อรบได้รบกันอยู่ตั้งแต่เข้าจนถึงเวลาเที่ยง ขุนรองปลัดชูไม่คิดถอยหนี ต่อสู้ทัพพม่าจนเหนื่อยอ่อนสิ้นกำลัง ถูกกองทัพพม่าใช้พลทัพช้างขับช้างเข้าเหยียบจนล้มตาย ต่างพากันถอนร่นลงทะเล จนจมน้ำทะเลตายเสียสิ้น กองทัพพม่าจึงมีชัย พระยารัตนาธิเบศจึงได้เร่งเลิกทัพหนีมากับทัพพระยายมราช กลับมาถึงพระนครขึ้นเฝ้ากราบทูลว่า ศึกพม่าเหลือกำลังจึงพ่าย
ฝ่ายทัพพม่าเมื่อมีชัยเหนือกองทหารเก้าร้อยคน ก็เหนื่อยอ่อนหยุดทัพพักผ่อน ก่อนเดินทัพเข้าเมืองกุย เมืองปราณ เมืองชะอำ เมืองเพชรบุรี เมืองราชรี เมืองสุพรรณบุรี โดยไม่มีหัวเมืองใดต่อรบกับพม่าเลย และต่อมาชาววิเศษชัยชาญ ได้ร่วมกันสร้างวัดสี่ร้อยเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของขุนรองปลัดชู ตราบจนถึงปัจจุบัน
ในบันทึกของพม่าในกาลต่อมากล่าวว่า การตีกรุงศรีอยุธยาครั้งนั้น ได้มีการต่อสู้กองทัพของกรุงศรีอยุธยา ที่ช่องเขาแคบๆ ริมทะเลอย่างประจัญบาน ดุเดือด ก่อนเข้าเมืองกุย เมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี โดยง่าย
หากกองทัพกรุงศรีอยุธยา มีคนอย่างขุนรองปลัดชู ไหนเลยเราจะเสียกรุงศรีอยุธยา และหากคนประจวบคีรีขันธ์ ยังไม่รู้จักวีรกรรมที่หาดหว้าขาว ไหนเลยวิญญาณของนักรบไทย จะได้รับการยกย่องความดี ความกล้า ความเสียสละต่อชาติ ต้องไม่ถูกลืม ขอยกย่องวีรกรรมของขุนรองปลัดชู ณ ดินแดนเมืองประจวบคีรีขันธ์
http://www.aownoi.go.th/webpage/slogan.php?sg=5