[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4 => ข้อความที่เริ่มโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 21 พฤษภาคม 2555 23:58:28



หัวข้อ: อภิญญา 6 จากอานาปานุสติ จะเกิดเมื่อ...
เริ่มหัวข้อโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 21 พฤษภาคม 2555 23:58:28
อภิญญา 6 จากอานาปานุสติ จะเกิดเมื่อ...

1.ในชาติก่อนๆต้องได้ อภิญญา 5 มาก่อน
2.ในชาติที่จะเอาอภิญญา 6 ก่อนเป็นพระอรหันต์ ต้องได้ฌาณ 4 จากอานาปานุสติก่อน เพื่อให้อภิญญา 5 ที่เคยได้ในชาติที่แล้วกลับคืนมา (ที่จริงแล้วฌาณ 4 จากกรรมฐานกองไหนก็ได้ไม่จำเป็นต้องอานาปานุสติ)
3.เป็นพระอรหันต์ จะได้อาสวักขญาณ มาเป็นตัวที่ 6 เรียกว่าอภิญญา 6

---------------------------------------

ถ้าไม่เคยฝึกมาในชาติก่อนๆ แล้วอยากได้อภิญญา 6 ในชาตินี้ ต้องฝึกอภิญญา 5ใหม่หมดครับ
แล้วอภิญญา 5 จะไม่สามารถได้จากอานาปานุสติด้วย ต้องไปฝึกกรรมฐานกองอื่นๆ เช่น กสิณทั้ง 10 กอง เป็นต้น
เนื่องจากอภิญญาส่วนใหญ่จะฝึกได้ต้องมีพื้นกสิณ 10 แน่นก่อน
หลังจากได้อภิญญา 5 แล้ว ค่อยยกจิตขึ้นวิปัสนาญาณตัดกิเลสให้หมด เป็นพระอรหันต์ก็จะได้อภิญญา 6

อภิญญามี ๖ ได้แก่...
๑. อิทธิวิธิแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้
๒. ทิพพโสต หูทิพย์
๓. เจโตปริยญาณ ญาณที่ให้ทายใจคนอื่นได้
๔. ปุพเพนิวาสานุสติญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้
๕. ทิพพจักขุ ตาทิพย์
๖. อาสวักขยญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป

อานาปานสติแบบที่พระพุทธเจ้าให้ฝึกจริงๆ สมัยนี้หาคนฝึกยากครับ
โดยมากจะเพ่งจิตจับลมเข้าออก กระทั่งลมละเอียดหรือเหมือนหายไป
(น้อยคนจะหายไปจริงๆแบบที่ถึงฌาน ๔)

อานาปานสติแบบพระพุทธเจ้านั้นมีทั้งสมถะและวิปัสสนาอยู่ในตัว
และพระองค์รับรองว่าอานิสงส์ของอานาปานสตินั้น
โลกียอภิญญาก็สามารถถึงได้ (อภิญญาชนิดที่ ๑ ถึง ๕)
โลกุตรอภิญญาก็สามารถหวังได้เช่นกัน (อภิญญาชนิดที่ ๖)

อภิญญาจะไม่เกิดระหว่างฝึกอานาปานสติ
เพราะฉะนั้นไม่มีช่วงไหน จังหวะใดของผู้เริ่มฝึกรู้ลม ที่จะให้ถึงอภิญญา
ต่อเมื่อฝึกรู้ลมจนจิตอยู่ในสภาพผู้รู้
เมื่อนั้นอาจได้อภิญญาขึ้นมาตามวาสนาบารมี
เพราะอภิญญานั้นแปลว่า "ความรู้อันยิ่ง"
หรือ "รู้จำเพาะเจาะจงยิ่งยวด"

เมื่อจิตอยู่กับลมหายใจได้เสมอๆทั้งวัน
จะมีความรู้ ความเห็นภายในขึ้นมา
แน่นอนอันดับแรกคือนิมิตสายลมหายใจอันก่อจากการเฝ้ารู้ผัสสะคือลมนั่นเอง
จากนั้น ถ้าหากจิตไม่น้อมมาพิจารณาไตรลักษณ์ของลมหายใจ
ไม่น้อมมาพิจารณาไตรลักษณ์ของสุขเวทนา ทุกขเวทนา
โดยมากมักเกิดสัมผัสที่ละเอียด เช่นกินข้าวอร่อยขึ้น ฟังคนพูดรู้เรื่องมากขึ้น
ตลอดจนกระทั่งทราบชัดว่าใครหายใจอ่อน ใครหายใจแรง
และในลมหายใจของแต่ละคนจะเป็นตัวบอก ว่าจิตของเขากำลังหยาบหรือละเอียด
เมื่อรู้มากๆเข้าก็กลายเป็นการเห็นทะลุทะลวงไปถึงความรู้สึกนึกคิดเป็นขณะๆของเขา
ฉะนั้นอานาปานสติจึงมีของแถมเป็นเจโตปริยญาณเป็นอันดับต้นๆ
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ไม่จำเป็นต้องถึงฌาน เอาแค่ขณิกสมาธิแบบเข้มแข็ง
จิตมีความเป็นกลาง รู้ลมหายใจชัด ก็ได้กันแล้ว
แต่จะเป็นเจโตแบบตื้นๆ รู้เฉพาะคนที่มีจิตหยาบกว่าเท่านั้น

อันดับต่อมาที่มักได้กันไม่ยากคือทิพพจักขุ
สามารถเห็นอะไรที่ตาเปล่าไม่เห็น เช่นคลื่นพลังของมนุษย์ ราศีมนุษย์
ซึ่งเมื่อเห็นบ่อยๆก็จะพลอยทำให้เห็นวิญญาณต่างๆในชั้นหยาบ
หรือไม่ก็เป็นอดีตและอนาคตที่ใกล้ๆ และเป็นเรื่องใกล้ตัว

อภิญญาอื่นๆนั้น ถ้าไม่ถึงฌาน ๔ ก็หวังสำเร็จยาก
เพราะต้องใช้กำลังอย่างสูง ต้องใช้ความเพียรกันนานกว่าจะระลึกได้หรือทำได้
ส่วนมากที่ระลึกชาติได้จะเป็นของหลอกมากกว่าของจริง
ประเภทอยู่ๆมีนิมิตโผล่มาบอกว่าเป็นนั่นเป็นนี่ และมักจะเป็นคนสำคัญๆ
ของหลอกไม่ค่อยบอกว่าเราเป็นหมูหมากาไก่ จะเอาเฉพาะดีๆที่กิเลสชอบ

ส่วนอภิญญาชนิดที่ ๖ ซึ่งมีคุณค่าสูงสุดนั้น
ก่อนจะได้มา ก็ต้องผ่านขั้นหนึ่ง สอง สามเสียก่อน
ซึ่งสำหรับขั้นหนึ่งกับสองนั้น ไม่ต้องมีสมาธิเข้มแข็งขนาดใหญ่
เอาแค่ทรงจิตให้ตั้งมั่น เป็นสติรู้ปัจจุบันธรรมไปเรื่อยๆ
ว่าเกิดขึ้นแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา ไม่ว่าสุข ทุกข์ เฉย ชอบ ชัง
นับว่าน่าเอาอานาปานสติมาใช้ทำมากกว่าอย่างอื่น เพราะ...
๑) ง่ายกว่าเมื่อขวนขวายอภิญญาชนิดอื่น ถ้ารู้เป็น
๒) ประสพความสำเร็จได้ใน ๗ วันเป็นอย่างเร็ว ๗ เดือนเป็นอย่างกลาง ๗ ปีเป็นอย่างช้า
ต่างจากอภิญญาชนิดอื่น ที่พยายามทั้งชาติก็อาจไม่สำเร็จ เพราะต้องอาศัยปัจจัยนานาชนิด
๓) เมื่อสำเร็จแล้ว จะเป็นอภิญญาชนิดเดียวที่ไม่กลับไม่เปลี่ยน ต่างจากชนิดอื่น
ที่ต้องเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนเล่า วนเวียนไม่รู้จบ



จาก palungjit