โรคหน้าเบี้ยว กลายเป็นโรคที่มีคนให้ความสนใจมากขึ้นในขณะนี้ เมื่อมีกระแสข่าวดารา ผู้มีชื่อเสียง เป็นโรคดังกล่าวโดยไม่ทราบสาเหตุ แพทย์เตือนโรคนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน ที่มีภาวะเครียด พักผ่อนน้อย โรคหน้าเบี้ยว หรือทางการแพทย์เรียกว่า โรคเบลล์ พัลซี (Bell Palsy) เนื่องจากเป็นโรคใกล้ตัว ที่ซ่อนความน่ากลัว เพราะสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย
นพ.ชยานุชิต ชยางศุ อายุรแพทย์โรคสมองและระบบประสาท โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวถึงความอันตรายของโรคนี้ว่า "โรคหน้าเบี้ยว เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ปลายประสาทคู่ที่ 7 (Facial nerve) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อบนใบหน้า เช่น หลับตา ยิ้ม เลิกคิ้ว การแสดงของสีหน้า อาการเริ่มต้นจะมีอาการปวดศีรษะ จากนั้นอาการต่อเนื่องคือ รู้สึกชาบริเวณใบหน้า ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ รู้สึกหนักหน้า หลับตาไม่สนิท ริมฝีปากตก ทานน้ำแล้วมีน้ำไหลที่มุมปาก อาการลิ้นชา และหูอื้อๆ ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นฉับพลันภายใน 24-48 ชั่วโมง
โดยปกติแล้วคนเราจะมีเส้นประสาทสมอง 12 คู่ ทำหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น ใช้ดมกลิ่น กลอกตา การมองเห็น การรับความรู้สึกของใบหน้า การกลืนอาหาร เป็นต้น โรคนี้สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย แต่มักพบมากในอายุ 30-45 ปี เมื่อได้รับการรักษาทันท่วงทีมักจะมีอาการดีขึ้นประมาณ 70%”
สาเหตุของการเกิดโรคหน้าเบี้ยว“ปัจจุบันยังไม่รู้สาเหตุของโรคที่แน่ชัด อาจเกิดจากการได้รับเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสเริม ไวรัสไข้หวัดใหญ่ จนเส้นประสาทมีการอักเสบ บวม มักเกิดในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ มีภาวะเครียด และพักผ่อนไม่เพียงพอ”
การรักษา“อาการของผู้ป่วยแต่ละคนจะรุนแรงไม่เท่ากัน แพทย์ต้องประเมินและรักษาตามความรุนแรงของอาการ ซึ่งปัจจุบันสามารถรักษาด้วยการใช้ยสเตียรอยด์ เพื่อลดการบวมและการอักเสบของเส้นประสาท ควบคู่กับการทำกายภาพบำบัดเพื่อให้สามารถกลับมาควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ ตามปกติ แต่ก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก
โรคหน้าเบี้ยว จึงเป็นอีกโรคหนึ่งที่น่ากลัว เนื่องจากเกิดขึ้นได้ฉับพลัน ดังนั้น วิธีการที่ดีที่สุดคือควรหาเวลาออกกำลังกายเสริมเกราะป้องกันโรคให้กับร่าง กาย ปล่อยวางความเครียด ทานผัก ผลไม้ และอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกาย งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะทำให้เรามีคุณภาพชีวิตและมีสุขภาพร่างกายที่พร้อมสู้กับทุกๆ โรคได้” นพ.ชยานุชิต กล่าวทิ้งท้าย
ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลเวชธานี
ที่มา
http://www.thairath.co.th/content/life/115454